ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

ย้อนรอยหมู่คณะตอนที่ 12


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 12:44 PM

อ้างอิงจาก ย้อนรอยหมู่คณะตอนที่ 11 คำเตือนของเทวดา

http://www.dmc.tv/fo...showtopic=23092

โอ้โห รู้สึกว่ามีใบสั่งให้เขียนเรื่องเพิ่มมาหลายเรื่องเชียวครับ เดี๋ยวต้องค่อยๆ ทยอยไปนะครับ คราวที่แล้วก็กล่าวถึงพี่ๆ ที่ชมรมพุทธไปหลายคน จนมาจบที่พี่บุ๊ง ซึ่งต่อมาพี่บุ๊งก็ได้ขึ้นทำเนียบประธานชมรมพุทธฯ จุฬาฯ อีกท่านหนึ่งด้วยครับ ปัจจุบันพี่บุ๊งก็ได้เป็นอุบาสกท่านหนึ่งในวัดเช่นกัน ประธานคนต่อมาก็เป็นหมอเหมือนกันครับ ชื่อ พี่เม้ง ปัจจุบันเป็นแพทย์มืออาชีพอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง(แหะ แหะ คือ ผมก็ไม่ทราบว่าอยู่โรงพยาบาลไหนนะครับ แต่เห็นหน้าที่วัดบ่อยๆ)

ตอนอยู่ชมรมก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องคาใจผมมานาน มาคลี่คลายได้ก็ได้มาศึกษาธรรมะที่วัดนี่เอง เรื่องราวนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องการทำบุญครับ ความจริงแล้ว ไม่เฉพาะผมหรอกครับ คนรุ่นใหม่หลายๆ คนที่ไม่ได้คุ้นกับวัด รวมไปถึงคุณอนันต์ อัศวโภคิน (คนคนละกับพี่อนันต์ ชมรมพุทธฯ นะครับ) เจ้าของบริษัทแลนด์ ก็เคยมีความคิดเช่นนี้เหมือนกันครับ นั่นคือ ความคิดว่า พระภิกษุอยู่เฉยๆ สบายๆ ไม่ต้องทำงาน แค่พูดๆ นิดหน่อย ก็มีคนนำเงินมาบริจาคแล้ว แล้วเราควรทำบุญกับพระด้วยหรือ

ซึ่งหากย้อนดูประวัติศาสตร์ชาติไทยขึ้นไป ก็จะพบว่า ในอดีตบรรพบุรุษของไทยให้การเคารพต่อพระภิกษุสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลอย่างมากๆ แต่ประวัติศาสตร์มาเริ่มเปลี่ยนไป ก็ในช่วงที่ทฤษฎีคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจขึ้นมาในเมืองไทย ทำให้หนุ่มสาวรุ่นใหม่ในยุคนั้น มองพระว่าเป็น กาฝากสังคม ทีเดียว เพราะหลักของคอมมิวนิสต์ถือว่า ทุกคนต้องทำงาน แต่หลังจากที่คอมมิวนิสต์ได้ล่มสลายไปจากเมืองไทย แนวคิดหัวรุนแรงขนาดนั้นก็จางไป แต่ก็ยังคงส่งอิทธิพลจางๆ ต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน

ทำให้คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีแนวคิดคล้ายๆ กันไปว่า "เอ พระอยู่เฉยๆ ทำไมต้องบริจาค" ตัวผมเอง แม้ไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น แต่ก็ได้รับอิทธิพลน้องๆ แนวคิดมาว่า "เอ ทำบุญกับพระ ถ้าท่านมีความเป็นอยู่พร้อมอยู่แล้ว จะได้บุญมากกว่า ทำบุญกับคนลำบากยากจนเดือดร้อนจริงหรือ"

ครั้นต่อมาไม่นาน ผมได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวของนักเขียนสมัครเล่น แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นมืออาชีพ ของชมรมนักคิดนักเขียน เรื่อง ต้นหรือปลายสะพาน ทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดเลยครับ เรื่องราวในตอนนั้นก็มีอยู่ว่า หากมีสะพานแห่งหนึ่ง กลางสะพานมีเศษแก้วอยู่มากมายที่อาจบาดเท้าได้ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ต่อมา เราเห็นคนๆ หนึ่ง กำลังจะเดินข้ามสะพาน

คำถามถามว่า เราควรไปเตือนให้เขาทราบถึงอันตรายที่ต้นสะพานดี หรือว่า ไปรอที่ปลายสะพาน รอให้เขาถูกเศษแก้วบาดเท้าเรียบร้อยแล้ว เราถึงค่อยเข้าไปช่วยรักษาเขา

แน่นอนว่า ทุกคนที่ได้อ่านเรื่องนี้ล้วนต้องบอกเหมือนๆ กันขึ้นมาว่า เราต้องไปเตือนที่ต้นสะพานก่อนสิ แล้วหนังสือก็สรุปปิดท้ายว่า ถูกต้อง การทำทาน ก็เช่นเดียวกัน หากเราเอาแต่ทำทานช่วยเหลือคนยากจนเดือดร้อน โดยไม่ไปคิดพยายามช่วยแก้ไขที่ต้นเหตุเลยว่า ทำไมคนเราจึงยากจน ต้องประสบเหตุเคราะห์กรรมต่างๆ มันก็เหมือนกันการที่เราไปยืนอยู่ที่ปลายสะพาน รอคอยรักษาคนที่โดนแก้วบาด ทั้งนี้เพราะสัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม ที่ประสบเหตุเภทภัยต่างๆ ล้วนเป็นเพราะทำกรรมในอดีตมาทั้งสิ้น

ดังนั้น เราควรทำทานกับพระนั่นแหละจึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะพระจะได้ไปเทศน์สอนผู้คนให้เข้าใจกฏแห่งกรรม ละบาปสร้างบุญ คนเหล่านั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ประสบเคราะห์กรรมต่างๆ เหมือนการไปตักเตือนผู้คนให้ระวังตัวที่ต้นสะพานนั่นเอง

เรื่องนี้ทำให้ผมย้อนคิดถึง ตอนสมัยอยู่ชั้นประถม ตอนนั้น อาหารจานละ 2 บาท น้ำแก้วละ 25 สต. ผมได้เงินมาโรงเรียนวันละ 5 บาท ทางโรงเรียนได้รับเด็กยากจนให้เข้ามาเรียนฟรี (แต่ไม่มีค่าใช้จ่ายให้) จึงมีเด็กคนหนึ่ง มาขอเงินผม 1 บาททุกวัน ซึ่งผมก็ให้เงินเขาไปทุกวันเช่นกัน เป็นเวลา 1 ปี ต่อมาเขาก็หายไป ไม่ได้มาเรียนอีก (คงเป็นเพราะไม่มีเงิน)

ตอนนั้นที่ผมยังเด็ก ผมแค่รู้สึกสบายใจที่ได้ช่วยเขา แต่ไม่ได้ทันคิดว่า ช่วยแค่วันนี้พรุ่งนี้เขาก็เดือดร้อนอีก ทำไงจึงจะช่วยเขาได้ตลอดรอดฝั่ง ตอนนี้ผมได้คิดแล้ว หลังจากอ่านเรื่องนี้ แต่คิดต่างกันไปหน่อยว่า หากโลกนี้เปรียบเป็นสะพาน ก็จะเป็นสะพานที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มีเศษแก้วอันแหลมคม ใหญ่บ้างเล็กบ้างเต็มไปหมด ผู้คนมากมายกำลังเดินขึ้นสะพานนี้(คนทั่วๆไปที่ปรกติ) และผู้คนอีกมากมายโดนเศษแก้วบาดอยู่ที่ปลายสะพาน(คนลำบากยากจนเดือดร้อนเต็มไปหมด)

เราล่ะควรอยู่ต้นหรือปลายสะพาน คำตอบในใจของผมคือ อยู่มันทั้งต้นทั้งปลายนั่นแหละ ทำบุญกับคนยากจนก็ทำเท่าที่มีโอกาส เพราะแม้จะแก้ปลายเหตุแต่เหตุมันเกิดแล้ว ยังไงก็ต้องแก้ๆกันไป ทำบุญกับพระยิ่งต้องทำ เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง คุณล่ะครับ อยากจะอยู่ต้น หรือ ปลาย สะพาน
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#2 Kay :)

Kay :)
  • Members
  • 238 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 12:56 PM

สาธุค่ะ พี่หัดฝัน

ลึกซึ้งกินใจจริงๆ เลยค่ะ Kay:) จะนำข้อความเหล่านี้
ไปยังความกระจ่างให้กับอีกหลายๆ คนที่ยังไม่เข้าใจค่ะ
สาธุค่ะ

#3 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 05:47 PM

ทั้งรู้กัน รู้แก้ ยอดเลย

ต้นสะพาน ปลายสะพาน

#4 มะลิแก้ว

มะลิแก้ว
  • Members
  • 127 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 08:21 PM

มาตามติดด้วยอีกคนค่ะ ยิ่งเขียนยิ่งคม เหมือนมีดที่ลับครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนั้นแล

อนุโมทนาบุญค่ะ

#5 N-Heart

N-Heart
  • Members
  • 33 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 12:47 AM

เป็นบทความที่ดี.....มากกกกกเลยค่ะ อ่านแล้วได้ข้อคิดที่ดี
อนุโมทนาบุญค่ะ


#6 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 05:13 AM

สาธุ ครับผม

#7 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 09:13 AM

สาธุๆๆ

#8 OH!! MY BUDDHA

OH!! MY BUDDHA
  • Members
  • 13 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 05:35 PM

โอ้! กินใจอีกแล้วจ้า อนุโมทนาบุญด้วยน่ะค่ะ ...สาธุค่ะ















#9 @--แสงตะวัน--@

@--แสงตะวัน--@
  • Members
  • 723 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Thailand

โพสต์เมื่อ 08 May 2010 - 11:04 PM

สุดยอดครับเปรียบเทียบได้ดีมากๆ เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกันครับ
ขอ share นิดนึงนะครับ ยังไงอย่าลืมยืนที่กลางสะพานด้วยนะครับ เพราะพวกเราแต่ละคนก็เดินเหยียบเศษแก้วจนรับรู้ถึงความเจ็บปวดกันมามากแล้ว ผมว่าเราก็คงต้องยืนทั้งต้นสะพาน กลางสะพาน และปลายสะพานนั่นหละครับ :-) (ต่อยอดนิดนึงนะ ไม่รู้เข้ากับเนื้อเรื่องหรือเปล่า)
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"

#10 จันทร์ยิ้ม

จันทร์ยิ้ม
  • Members
  • 205 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 May 2010 - 10:56 AM

สาธุอนุโมทนาบุญค่ะ