โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMCคำถาม: การเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่ตำแหน่งผูกขาด จะมีทางเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นซ้อนกันในเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันในโลกนี้?
การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าคำตอบ: เท่าที่เป็นมา ไม่เคยมีเลย มีแต่ว่านานๆ จะเกิดขึ้นสักพระองค์หนึ่ง ที่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั้นไม่มี มีแต่ท่านไม่มาเกิดเลยเป็นเวลานานตลอดกัป ทำให้คนในยุคนั้นไม่รู้ธรรมะ ที่เรียกว่า สุญญกัปคำถาม: คำถามบางคำถามครูบาอาจารย์ไม่ยอมตอบ เพราะอะไรจึงไม่ตอบครับ ?
คำตอบ: คำถามบางคำถาม ถ้าครูบาอาจารย์ท่านพิจารณาแล้วเห็นว่าพื้นฐาน หรือประสบการณ์ทั่วไปของคนถามไม่พอ ท่านอาจไม่ตอบก็ได้หรือถึงตอบก็มักตอบสั้นๆ ว่า ไปนั่งสมาธิ(Meditation)ให้มากๆ แล้วไปดูเอาเอง คำถามบางคำถามท่านก็ให้รอไปฟังคำตอบต่อหน้าครูบาอาจารย์ของท่าน อย่างเช่นสมัยพุทธกาลคราวหนึ่ง ขณะที่พระโมคคัลลาน์ กำลังเดินบิณฑบาตไปกับพระลูกศิษย์ของท่าน อยู่ดีๆ ท่านก็หยุดเดิน แล้วมองไปในอากาศครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินต่อไปพระลูกศิษย์เห็นผิดปรกติจึงถามท่านว่า “ท่านเห็นอะไรหรือขอรับ” พระโมคคัลลาน์ ไม่ตอบว่าเห็นอะไร แต่ผัดว่าจะไปตอบคำถามนี้ต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่วัดเวฬุวันครั้นถึงวัด ก็พาพระลูกศิษย์ไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วตอบข้อสงสัยของลูกศิษย์โดยเท้าความขึ้นใหม่ แล้วตอบว่าเห็นเปรตตนหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงกล่าวเสริมคำของพระโมคคัลลาน์ว่าเคยมีคนถามพระองค์ว่าเปรตมีจริงหรือไม่ แต่พระองค์ยังไม่เคยตอบคำถามนี้แก่ใครเลย เพราะเห็นว่าตอบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนที่มาถามไม่เคยเห็นเปรต แต่วันนี้มีคนเห็นเปรตแล้วเปรตเปรตที่พระโมคคัลาน์เห็นตนนั้น แต่เดิมมีอาชีพเป็นโจรวันหนึ่งไปนอนอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง ใกล้ประตูพระนคร ถูกเศรษฐีท่านหนึ่งกล่าวตำหนิเปรยๆ เพียงเท่านั้น ถึงกับผูกอาฆาตมาดร้าย ได้เผานาข้าวเศรษฐีถึง ๗ ครั้ง ตัดเท่าโคในคอก ๗ ครั้ง และเผาบ้านเศรษฐีอีก ๗ ครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หายแค้นต่อมาทราบว่าเศรษฐีได้สร้างพระคันธกุฎีถวายแด่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้เผาพระคันธกุฎีนั้นเสีย เพราะคิดว่าเศรษฐีจะเศร้าโศกเสียใจ แต่เศรษฐีกลับปีติยินดี เพราะคิดว่าตนจะได้โอกาสสร้างมหาทานบารมีอีกฝ่ายโจรนั้นเมื่อละโลกแล้ว จึงไปเกิดเป็นเปรต แล้วทรงย้ำในตอนท้ายอีกว่า ถ้าไม่มีพระโมคคัลลาน์เป็นพยาน จะไมทรงตอบปัญหานี้แก่ผู้ใดเลยอีกตัวอย่างหนึ่งปรากฎอยู่ในเกวัฏฏสูตร กล่าวว่าเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ณ ป่ามะม่วงของปาวาริกะ มีบุตรคฤหบดีคนหนึ่ง ชื่อเกวัฏฏะมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์และชักชวนภิกษุ ผู้มีฤทธิ์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ดู แต่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่าปฏิหาริย์ที่ยิ่งยวดคืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ หรือการสั่งสอนให้คนบรรลุมรรคผล ปราบกิเลสในตัวได้จากนั้นทรงเล่าเรื่องภิกษุรูปหนึ่งซึ่งอยู่ในที่นั้น เคยสงสัยว่าธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ดับไม่เหลือในที่ใด เพราะถ้าที่ตรงไหนไม่มีสิ่งเหล่านี้ แสดงว่าที่ตรงนั้นไม่มีการเกิดกันอีกแล้วพระภิกษุรูปนั้นนั่งสมาธิไปถึงชั้นเทวโลก ไปถามคำถามนี้กับเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา เทวดาตอบว่าไม่ทราบ แต่ว่าเทวดาชั้นสูงๆ ขึ้นไป ท่านคงทราบให้ไปถามดู ท่านก็เที่ยวถามไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ สุดท้ายไปถึงพรหมโลก ไปถามท้าวมหาพรหม ปรากฎว่าท้าวมหาพรหมตอบไม่ตรงคำถาม คือตอบว่ามหาพรหมเป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นบิดาของหมู่สัตว์ทั้งหลาย พระภิกษุรูปนี้จึงแย้งว่าไม่ได้ถามอย่างนั้น แต่ท้าวมหาพรหมก็ยังตอบอย่างนั้นอีกถึง ๓ ครั้งพอถูกถามซ้ำถึงครั้งที่ ๔ ท้าวมหาพรหมจึงเข้าไปจับแขนท่านพาเลี่ยงไปมุมหนึ่ง แล้วกระซิบบอกว่า ถ้าอยู่ต่อหน้าเทวดาทั้งหลายจะไม่ตอบเด็ดขาดว่า “ไม่ทราบ” ซึ่งคำถามนี้ จริงๆ แล้วไม่ทราบคำตอบแต่พูดว่าไม่ทราบไม่ได้ ผู้ที่จะตอบได้มีเพียงพระองค์เดียวคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า“ท่านเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย แล้วเที่ยวไปถามใครๆ อย่างนี้เป็นการเสียเวลาเปล่า”ภิกษุรูปนั้นจึงกลับมาหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกราบทูลถามด้วยคำถามนั้นพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “อุปมาเหมือนจับนกใส่เรือไปปล่อยเกาะ เดี๋ยวนกก็กลับมาหา เหมือนท่านกลับมาหาเรา คำถามของท่านไม่ถูก ที่ถูกท่านควรถามว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน และถ้าอยากรู้ว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมตั้งอยุ่ไม่ได้ที่ใด ให้นั่งสมาธิไปดูที่อายตนะนิพพาน แล้วจะเห็นเองว่าธาตุเหล่านี้มาจากไหน แล้วดับหมด จนสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษที่ไหน ตอนนี้พูดไปท่านก็ตามไม่ทัน เพราะไม่ได้ไปเห็นด้วยกัน”พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงเป็นเลิศทางการอธิบายขยายความ สามารถเทศนาโปรดชาวบ้านชาวเมืองจนเป็นพระอรหันต์มามากมาย ยังทรงบอกให้พระภิกษุรูปนั้นนั่งสมาธิไปดูเอง เช่นกันในเรื่องบางเรื่องครูบาอาจารย์ของพวกเรา ท่านก็มีเหตุผลที่จะไม่ตอบคำถามบางคำถามต่างๆ กันหลวงพ่อเองเคยเจอคำถามชนิดที่ตอบให้คนถามเข้าใจไม่ได้เช่นกัน ทั้งๆ ที่เป็นคำถามพื้นๆ คือเมื่อก่อนบวช หลวงพ่อไปเรียนที่ออสเตรเลีย เพื่อนจากเมืองไทยส่งพริกป่นไปให้ขวดใหญ่ทีเดียวเพื่อนฝรั่งคนหนึ่งถามว่า พริกเผ็ดไหม? เผ็ดเหมือนอะไรก็ตอบเขาว่าเผ็ดมาก เผ็ดเหมือนพริกนั่นแหละ เขาต่อว่าทำนองน้อยใจว่า แค่นี้ก็ไม่ยอมอธิบาย แต่เขาไม่ละความพยายามที่จะถามต่อ คงอยากรู้มากนั่นเอง เขาถามนำว่า เผ็ดเหมือนขิงไหม? ตอบว่าไม่ใช่ เผ็ดเหมือนมัสตาร์ดไหม? ไม่เหมือน อะไรๆ ก็ไม่ใช่ไม่เหมือน อ่อนใจเข้าก็เลยบอกเขาไปว่า “ยูกินเองดีกว่า” แล้วให้เขาตักพริกใส่ปากพอพริกเข้าปาก เพื่อนฝรั่งคนนั้นตาเหลือกเลย ถ่มถุยๆ น้ำลายยืด หน้าตาแดงกร่ำไปหมด ก็ถามเขาว่าพริกเผ็ดเหมือนอะไร เขาตอบว่าเผ็ดเหมือนถ่านไฟในเตา ซึ่งหลวงพ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ่านไฟแดงๆ มันเผ็ดร้อนอย่างไร เพราะไม่เคยกิน แต่ก็คิดว่ามันคงเหลือหลายทีเดียวคำตอบสำหรับคำถามบางคำถาม ต้องตอบแบบอุปมาอุปไมย จะให้ถูกเป๊ะคงไม่ได้ เพราะพื้นฐานประสบการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
http://goo.gl/IdDLm