โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMCคำถาม: ผู้มีนิสัยอิจฉาริษยาผู้อื่น จะได้รับผลกรรมอย่างไร?
คำตอบ: จำไว้เลยใครที่มีนิสัยชอบอิจฉาชาวบ้าน คนขี้อิจฉาคือคนที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี ความไม่อยากให้คนอื่นได้ดีก็คือไม่อยากให้คนอื่นทำความดีนั่นเอง เพราะกลัวว่าเขาจะได้ดี เพราะฉะนั้นมโนภาพที่อยู่ลึกๆ ในใจของเขาตลอดเวลา หรือความนึกคิดของเขาจึงเป็นในลักษณะที่นึกสร้างภาพความต่ำต้อยความพินาศไว้ในใจตลอดเวลาบุคคลใดมีใจอิจฉาริษยา มุ่งร้าย จะทำให้เป็นคนไร้อำนาจกรรมนี้จะติดตัวไปว่า เกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ภาพความต่ำต้อยในใจที่สะสมไว้มาก จะทำให้เป็นเป็นคนหย่อนอานุภาพ แม้จะเกิดเป็นกษัตริย์ก็เป็นได้แค่กษัตริย์ประเทศราช หรือประเทศที่เป็นเมืองขึ้นเขา เป็นได้แค่นั้นถ้าจะเป็นภรรยาใครเขา ก็คงได้เป็นแค่ภรรยาน้อย ภรรยาลับเท่านั้น เป็นสามีเขาก็ได้ทำนองเดียวกันทั้งนั้นแหละ อานุภาพมันหย่อนไปทุกสถานะกรรมที่ทำให้มีนิสัยเป็นคนขี้อิจฉาเพราะภพในอดีตชอบคบคนพาลกรรมเก่าอะไรที่ทำให้ชาติก่อนนั้นเขามีนิสัยขี้อิจฉา ตอบว่า เพราะภพในอดีตไปคบคนพาลเข้า ทำให้มีวินิจฉัยผิดมีความเห็นผิดตามคนพาล คือวินิจฉัยผิด คิดว่าการทำลายล้างผลาญ หรือนึกให้คนอื่นเขาวินาศสันตะโรไปได้ นั่นคือความสุขของตน ความเห็นเช่นนี้ เมื่อเกาะกินใจนานเข้าๆ ก็กลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีขึ้นมาคำถาม: ผลของกรรมมีจริงหรือไม่คะ?
คำตอบ: กรรม แปลว่า การกระทำ ขึ้นชื่อว่าการกระทำแล้วย่อมมีผลเสมอ เหมือนกับเราอิ่มเพราะอะไร เพราะกิน ถ้าไม่กินก็หิว ถ้าไม่นอนก็ง่วง ถ้านอนก็หายง่วง นี่คือกรรม ซึ่งในที่นี้กรรมแปลว่าการกระทำ ยังไม่ได้แยกออกว่าทำดีหรือทำชั่ว แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าทำแล้วเป็นต้องมีผลเสมอทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วทางวิชาฟิสิกส์บอกชัดเลยว่า แรงที่ส่งออกไปมีผลเท่ากับแรงที่สะท้อนกลับ เซอร์ไอแซก นิวตัน ได้ค้นพบทฤษฎีแรงว่า Action เท่ากับ Reaction เมื่อ ๓๐๐ ปีมานี่เอง นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบและทั่วโลกเพิ่งยอมรับ แต่พระพุมธองค์ได้ค้นพบ และสั่งสอนชาวโลกมาตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วนะ ท่านสอนว่า ทำดี ได้ดี และ ทำชั่ว ได้ชั่ว นั่นเองคำถาม: พระภิกษุที่มีบุคลิกดี มีเสียงดี เทศน์น่าฟัง ท่านทำบุญมาอย่างไรคะ?
คำตอบ: ก็ขอบอกก่อนว่า บุคลิกดี เสียงดีนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ กับคนใดคนหนึ่ง ผู้ที่จะได้สิ่งนี้มา จะต้องฝึกตัวติดต่อกันมาหลายชาติทีเดียวคนที่บุคลิกดีอย่างน้อยที่สุดต้องรักษาศีลมาดี ไม่เคยไปทุบตี ทำร้ายใคร รู้จักขวนขวายช่วยเหงืองานบุญงานกุศล มีความเคารพนบนอบผู้ใหญ่และผู้ปฏิบัติธรรม ผลของความดีนี้เลยส่งผลให้ข้ามภพข้ามชาติมาทำให้ได้บุคลิกดีคนที่มีบุคลิกดีเพราะรักษาศีลมาดี คนที่มีน้ำเสียงดีมักเคยสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยและได้ยกย่องสรรเสริญบูชาบุคคลที่ทำความดีหรือบุคคลที่ควรบูชาในทุกโอกาสเป็นประจำคนที่เสียงดี ถามว่าสร้างบุญอะไรมาหรือ? พวกนี้โดยทั่วๆ ไปก็คือ ข้ามภพข้ามชาติมาไม่นินทาคนอื่น ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ได้สวดมนต์บูชาสรรเสริญพระรัตนตรัยเป็นประจำ ได้ยกย่องสรรเสริญบูชาบุคคลที่ทำความดี คนที่ควรบูชาในทุกโอกาสคนที่ได้ลักษณะดีๆ มานั้นเป็นผลจากการทำความดีข้ามภพข้ามชาติของเขาเอง แต่ก็มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หลายคนพอได้ลักษณะที่ดีนี้มาแล้วมักจะลืมตัวใช้ความดีเหล่านี้ไปโอ้อวดข่มคนอื่น ผลที่สุดกลายเป็นว่า บุญที่อุตส่าห์สร้างมาข้ามภพข้ามชาติกลับนำไปใช้เป็นฐานสำหรับสร้างบาปน่าเสียดายจริงๆ เหมือนอย่างคนในยุคนี้หลายๆ คน ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อาจจะเป็นทางด้านการแสดง การร้องรำอะไรก็ตามที การที่เขามีชื่อเสียงดี รูปร่างดี แสดงได้ดีอย่างนั้น ก็แสดงว่าเขาได้ก่อเหตุดี สร้างกรรมดีในอดีตมามากพอสมควรทีเดียวแต่มาชาตินี้ น่าเสียดายที่บางคนกลับเอาเสียงดีๆ ของตัวเองไปใช้ในทางที่ผิด เช่น แทนที่จะมาสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยต่อ เพื่อให้จิตใจจะได้อ่อนโยนนุ่มนวล แล้วก็ชวนคนอื่นให้สวดมนต์ตาม กลับใช้เสียงดีๆ ของตัวเองไปร้องเพลงยั่วยุกามเสียอีก ตัวเองก็ตกอยู่ในอำนาจกาม คนอื่นฟังก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยน่าเสียดายที่บางคนกลับเอาบุคลิกดี เสียงดีๆ ของตัวเองไปใช้ในทางที่ผิดผลสุดท้ายเสียงเพราะๆ ซึ่งเกิดจากอำนาจบุญที่สร้างมาดีแล้วในอดีต กลับถูกนำมาใช้ก่อบาปในชาตินี้ น่าเสียดายจริงๆ และเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเฉพาะดาราทั้งหลายหรอก เราเองก็เป็นกันหลวงพ่อเองเมื่อก่อนนี้ก็เป็น ตั้งแต่เล็กมาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามันเพราะอะไร รู้แต่ว่าถ้าจะปล้ำกับพรรคพวกรุ่นเดียวกันแล้วล่ะก็ถ้าตัวเท่าๆกัน เป็นจับขว้างกระเด็นไปหมดทั้งนั้น ต่อยกันพักเดียว เดี๋ยวเขาหมอบกันไปแล้ว ก็หลงชมตัวเองว่าข้าเก่งจนกระทั่งมาพบคุณยายจึงได้รู้ว่า เรี่ยวแรงแข็งขันเหล่านั้นน่ะมันมาจากอำนาจบุญของเรา ที่เกิดจากการขวนขวายช่วยเหลือกิจการที่ดีที่ชอบ ตรงกับหลักที่ว่า ผู้ให้ย่อม ได้รับ ผู้ให้กำลัง ย่อมได้กำลัง คือเป็นคนไม่ดูดายข้ามภพข้ามชาติมา อะไรที่เป็นความดี อะไรที่เป็นประโยชน์แก่หมู่คณะหรือส่วนรวมแล้ว เป็นต้องขวนขวายรีบเร่งอาสาสมัครเข้าไปทำออกหน้าเขาเลยเพราะฉะนั้นก็เลยได้บุญตรงนี้ติดตัวมา แต่ว่าเมื่อได้แล้ว เนื่องจากไม่สามารถระลึกชาติหนหลังได้ ก็ใช้บุญตรงนี้ไปในการอาละวาดเกะกะระรานไปพักใหญ่อยากจะชี้ให้ดูอีกด้วยว่า ทุกครั้งที่มีการนำเอาปมเด่นของตัวเองไปข่มเหง หรือเอาไปอวดคนอื่น เราจะมีโรคเกิดขึ้นมาอีกโรคหนึ่ง คือ โรคหิวคำชม ที่ไปข่มเขา ไปโอ้อวดเขา เพื่ออะไร ก็ต้องการคำชมว่าเก่งใช่ไหม? เสร็จแล้วไม่มีใครเขาชม เพราะว่าแต่ละคนก็เป็นโรคหิวคำชมด้วยกันทั้งนั้น เลยเป็นเหตุให้ทะเลาะกันเองตรงนี้ขอฝากไว้ เมื่อเวลาทำงานแล้วไปพบผู้ร่วมงานประเภทหิวคำชม หรือถ้าจะต้องทำงานกับคนที่มีอะไรก็อยากจะอวดเพื่อให้เขาชมละก็ ดูภาวะให้ดี ในภาวะที่เขายังเป็นเด็กอยู่ หรือในภาวะที่เขามีปมด้อยอย่างอื่นอยู่มาก ก็ช่วยชมเขาหน่อย ให้ใจมันฟูขึ้นมาสักนิดจะได้สบายใจ แล้วงานการของหมู่คณะจะไปกันราบรื่นขอให้มองคนอวดเก่ง อวดดี อวดวิเศษทั้งหลายว่า คือคนที่กำลังเป็นโรคหิวคำชม แล้วเราก็ดูให้พอเหมาะว่าจะให้หรือไม่ให้คำชมนั้น ถ้าให้แล้วมันชักจะเหลิงจัดไป อย่าไปให้ เบรกเสียแรงๆ ด้วยก็จะยิ่งดีแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีข้อแม้ว่า ดูเรื่องของส่วนรวมเป็นหลัก อย่าให้เรื่องของส่วนรวมเสียหาย แล้วก็ปรับให้พอเหมาะคนเราอยู่ด้วยกันจำนวนมาก ก็ต้องรู้ใจกันอย่างนี้ แล้วมันแปลกเสียด้วย พวกหิวคำชมนี่ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเป็นได้ก่อความแตกแยกกันเรื่อยไป ขอให้ระวังไว้ด้วย
http://goo.gl/AzkNP