โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMCคำถาม: ทำไมที่วัดพระธรรมกายถึงได้เปิดเพลงในตอนเช้าๆ ก่อนพิธีด้วย จะเปลี่ยนเป็นเทศนามงคลชีวิต หรือบทเทศน์อื่นๆ ได้ไหม?
คำตอบ: สำหรับเรื่องการเปิดเพลงนี่เมื่อก่อนที่วัดนี้ก็ไม่ได้เปิด จนมาในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา เราพยายามสอบถาม เก็บข้อมูลศึกษาในทุกเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่มาวัด ในที่สุดก็ได้ข้อสังเกตว่าผู้ที่มาวัด มีอยู่หลายระดับ เช่น ระดับผู้เฒ่า ระดับกลางๆ คน ระดับเด็กวัยรุ่น และระดับเมื่อเริ่มจะรุ่น คือในระดับประถมปลาย จะขึ้นมัธยมอีกระดับหนึ่งเราพบอีกว่าสำหรับผู้เฒ่าและผู้มีอายุล่วงเข้าวัยกลางคน ท่านเหล่านี้เมื่อเข้ามาในวัดแล้วก็ไม่อยากจะได้ยินเสียงเพลง เสียงอึกทึกอะไรทั้งนั้น แต่ว่าในกลุ่มเด็กๆ แกยังอยากได้ยินเสียงเพลงอยู่ แกบอกมาวัดแล้วมันเซ็ง เสียงนอกร้องเพราะๆ ก็ไม่มีจะให้ฟังเพลินๆ นอกจากเสียงนกกระจอกจ๊อกแจ๊กๆ ที่มันชอบมาเกาะแถวใต้หลังคานี่ความจริงนกย่านนี้มีมาก นกเขาขันคูเสียงเพราะๆ ในวัดมีกว่าสิบตัว แต่กว่านกมันจะขันเสียงเพราะได้ต้องหลังจากมันรุ่นหนุ่ม รุ่นสาวแล้ว มันต้องหัดขันเป็นเดือนๆ มันหัดดีแล้วเสียงจึงเพราะ แต่ทันทีที่มีนกเสียงเพราะๆ พวกนักต่อนกจะเอากรงต่อนกมาแขวนไว้รอบวัดเลย ก็ไม่รู้จะไปห้ามเขาอย่างไร พอไปว่าเขาเข้า เขาตอบว่าไงรู้ไหม?“แหมบวชมาตั้งหลายพรรษาแล้วเรื่องสัตว์เดรัจฉาน แค่นี้ยังตัดใจ ไม่ขาด ยังปลงไม่ตกอีกเหรอหลวงพ่อ” อ้าว..แล้วกัน ไปว่ามันเข้า มันก็เลยว่าเอาอย่างนี้แหละเพลงธรรมะเพราะฉะนั้นในเมื่ออยากให้เด็กๆ เข้าวัดกันมากๆ ก็เลยต้องเปิดเพลงธรรมะให้ฟัง รู้อยู่ว่าผู้ใหญ่คงรำคาญ อาตมาเองก็ไม่ค่อยอยากฟังนักหรอก แต่เมื่อนึกว่ายังมีเจ้าตัวเปี๊ยกๆ มาวัด ไหนๆ ก็อุตส่าห์มาวัดแล้ว ให้ฟังเพลงสักหน่อยจะได้ชื่นใจ ไม่ทิ้งวัดไปเดินศูนย์การค้าหมดแล้วเรื่องอื่นที่กำลังศึกษาอยู่ยังมีอีกหลายเรื่อง กำลังเก็บข้อมูลอยู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้เอามาประกาศให้พวกเราทราบ เดี๋ยวจะหาว่า แหม..อะไรนิดอะไรหน่อยก็ตีฆ้องร้องป่าว นี่ไม่ใช่ตีฆ้องร้องป่าวนะ เมื่อถามมาเองก็ต้องตอบให้รู้อย่างนี้แหละคำถาม: เมื่อบวชเรียนในพระพุทธศาสนาแล้ว จะปลูกผักฟักแฟงแตงกวาไว้ในวัดได้หรือไม่?
คำตอบ: เรื่องการปลูกผักไว้กินนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะทำ กิจของสงฆ์คือการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมกันไป แล้วก็เอาความรู้ทางธรรมที่ศึกษาได้ มาอธิบายขยายความให้ญาติโยมเข้าใจ ให้มีกำลังใจทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปการปลูกผักถ้าเด็กวัด หรือญาติโยมที่มาวัด เขาต้องการจะปลูกฟักแฟงแตงกวาอย่างที่ว่าในบริเวณที่ว่างในวัด เพื่อเก็บเกี่ยวเอาผลเป็นเสยียงไว้เลี้ยงพระ อันนั้นเป็นกิจที่เขาทำได้ ก็ปล่อยให้เขาทำไป เราไม่ว่ากันละนะคำถาม: ไปงานศพ ฟังสวดพระอภิธรรมไม่รู้เรื่องเลยคะ จะให้เข้าใจได้อย่างไรคะ?
คำตอบ: โดยทั่วไป การสวดพระอภิธรรมเป็นการหยิบยกเอาเรื่องราวส่วนหนึ่งในพระไตรปิฏกมาสวด คือพระไตรปิฏกแบ่งเป็น 3 ส่วนส่วนที่ 1 เป็นพระวินัย ว่าด้วยศีลของพระภิกษุ รวมทั้งภิกษุณีเปรียบเหมือนกฎหมายควบคุมความประพฤติส่วนที่ 2 เป็นพระสูตร ว่าด้วยเรื่องราวเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลเป็นตอนๆส่วนที่ 3 เป็นพระอภิธรรม แสดงถึงหัวข้อธรรมต่างๆ ในพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวกับคุณภาพจิตของผู้ปฏิบัติตามธรรมฟังสวดพระอภิธรรมคุณฟังสวดเท่าไรๆ ก็ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเป็นคำบาลี ฟังเอาว่าเป็นธรรมะ เป็นเรื่องการทำความดีอย่างนั้นก็ได้ ถ้าเกิดศรัทธาแรงกล้า อยากรู้ว่าท่านว่าอย่างไรบ้าง ก็มาค้นคว้าตำรับตำรา หรือไปเรียนภาษาบาลี เอามาแปลคำสวดของท่านให้รู้เรื่องไปเลย ก็คงจะหายข้องใจนะคำถาม: หลวงพ่อคะภิกษุณีจะมีอีกได้ไหม?
คำตอบ: เคยมีผู้แสดงความคิดเห็นว่า ในการพัฒนาบุคลากรของชาติและศาสนา ผู้หญิงเก่งๆ ขณะนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าได้มาบวชเป็นพระ ก็น่าจะช่วยทำให้งานพระศาสนารุดหน้าไปอีกกว้างไกล และคงจะทำให้สังคมมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นเรื่องนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงคิดไว้แล้ว พระพุทธศาสนาอยู่ในลักษณะของบริษัทใหญ่ อันประกอบด้วยหุ้นส่วน 4 หุ้น คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบากสก อุบาสิกาภิกษุณีในสมัยพุทธกาลภิกษุณีนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ว่าสูญไปนานแล้ว จนสิ้นเชื้อสาย จะกลับมารื้อฟื้นบวชใหม่ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ การบวชของพระภิกษุก็เหมือนกัน ถ้าปล่อยให้พระภิกษุหมดไปจากโลกในวัดใด วันต่อมาถึงใครอยากบวช ก็ไม่รู้จะบวชอย่างไร เพราะไม่มีเชื้อสายเหลืออยู่สมมติว่าในภายภาคหน้า โลกนี้ไม่มีพระภิกษุแม้แต่รูปเดียวแต่มีผู้ไปอ่านพระไตรปิฏก พบว่าพระภิกษุ แล้วเกิดอยากบวชเป็นพระภิกษุขึ้นมา ก็คงทำไม่ได้ เพราะไม่มีผู้บวชให้ ก็ไม่ได้ผิดวินัย ซึ่งตัวคนนั้นจะรู้ตัวเองว่าไม่ใช่พระ คงพอนึกภาพออกนะเช่นกัน ภิกษุณีได้หมดไปจากพุทธศาสนจักร เมื่อประมาณ พ.ศ. 300 ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ครั้นจะมาบวชอีกก็ยาก เพราะตามพุทธบัญญัติ ต้องอาศัยปวัตตินี คือภิกษุณีเถรีที่ทำหน้าที่เป็นพระอุปัชฌาย์ของภิกษุณีบวชให้ด้วย จึงจะถูกต้องตามพุทธบัญญัตินะพอภิกษุณีรุ่นที่บวชมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดลง ก็ไม่รู้ว่าจะเอาใครเป็นต้นแบบ เลยไม่กล้าที่จะรื้อฟื้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เราอยากให้มีผู้หญิงบวช แต่ทำไม่ได้ อย่างไรก็ดีถึงจะทำได้ หลวงพ่อก็ยังไม่อยากให้มาอยู่วัดเพราะแม้ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ภิกษุณีเกิดเรื่องยุ่งๆ อยู่เรื่อย ผู้หญิงไม่ปลอดภัยเลย ปล่อยให้อยู่วัดตามลำพัง ก็ถูกชาวบ้านปล้ำ ครั้นจะให้อยู่ใกล้พระภิกษุ ก็มีเรื่องกับพระภิกษุเสียอีกเพราะฉะนั้นต้องเอาอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ มีผู้หญิงมาก ปัญหาก็มาก ในวงการทหาร หรือวงการนักปกครองเขาบอกว่า ปกครองผู้ชายทั้งกองทัพหรือสักพันหนึ่งไม่ยากหรอก แต่ปกครองผู้หญิงสักห้าคนจะบ้าตายขออภัยคุณผู้หญิงด้วยนะ ผู้หญิงเก่งๆ ก็มี แต่ว่าส่วนมากแล้วมีแต่เรื่องยุ่งๆ มาให้ ฉะนั้น ภิกษุณีหมดไปแล้วก็หมดไปเลย ไม่อยากกู้กลับมาอีก เพราะขืนกู้กลับมาอาศัยแต่พระไตรปิฎก อ่านๆ แล้วทำกันเอง หาต้นแบบภิกษุณีที่ดีอย่างสมัยพุทธกาลเป็นตัวอย่างไม่ได้ เดี๋ยวพุทธบริษัททั้งบริษัทก็ล้ม
http://goo.gl/3JRuR