โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMCคำถาม: เราจะสังเกตคนได้อย่างไร ว่าใครเป็นคนดีหรือคนเลว?
คำตอบ: คนจะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่ที่ใจของเขา ถ้าใจของเขาคิดดีก็จะเป็นผลให้พูดดี ทำดี ถ้าใจของเขาคิดชั่ว ก็จะส่งผลให้พูดชั่วทำชั่วโดยทั่วไปแล้ว มีคนบางคนชอบคิดชั่วๆ ตลอดเวลา แต่แสร้งทำเป็นพูดดี ทำดีต่อหน้าคน ถ้าลับหลังระหว่างอยู่ในกลุ่มคนเลวๆ ด้วยกัน เขาก็จะพูดเลว ทำเลว คนประเภทนี้ถ้าคบกันเผินๆ เราก็จะหลงเข้าใจว่าเขาเป็นคนดีวิธีสังเกตคนว่าเป็นคนดีหรือคนเลววิธีง่ายๆ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว และเราเองก็ไม่จำเป็นจะต้องมีฤทธิ์ มีอำนาจพิเศษถึงกับอ่านใจคนได้ คือให้สังเกตดูว่า เท่าที่ผ่านมาคนนั้นมีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ผู้มีอุปการคุณ หรือต่อผู้มีคุณคนอื่นๆ หรือเปล่า บางคนแม้ว่าเขาอาจจะโง่ไปบ้าง การศึกษาต่ำไปบ้าง สะเพร่าไปบ้าง แม้ที่สุดอาจจะมีนิสัยเกะกะเกเรไปบ้าง แต่ถ้าเขายังดูแลพ่อแม่ ยังรับใช้ครูบาอาจารย์ ไม่ล่วงเกินผู้มีพระคุณให้เสียใจ ก็อย่าไปตั้งข้อรังเกียจเขาเลย เพราะนั่นแสดงว่าธาตุแท้จริงๆ ของเขายังดี ความกตัญญูของเขายังมีอยู่ มีทางฝึกให้เป็นคนดีได้ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดีถ้าจะรับคนประเภทนี้เอาไปเป็นเพื่อนผู้ร่วมงาน เป็นลูกน้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เขาก็ยังมีแววเอาดีได้ พยายามอดทนฝึกฝนถ่ายทอดนิสัยดีๆ ให้กันไปเถอะ แต่ตรงกันข้าม ใครก็ตามถึงแม้จะมีความรู้ ความสามารถมีฝีมือเก่งกาจแค่ไหน แต่ไม่รู้คุณคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณของพ่อแม่ คนประเภทนี้เป็นประเภทเลวแท้ เพราะไม่ว่าใครๆ จะทำดีกับเขาอย่างไร ก็ไม่มีทางเกินพ่อแม่เขาได้ ขนาดพ่อแม่เขายังไม่เห็นความดี เขาก็ไม่มีทางเห็นความดีของใครได้ คนอย่างนี้คบด้วยก็อันตราย ไม่ควรเข้าใกล้รู้จักหน้า ไม่รู้จักใจ อยากจะรู้ให้ได้ก็ต้องคบ ต้องดูกันไปนานๆ และใช้มาตรฐานคนดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องวัด คือ คนดี ต้องไม่โง่ (มีปัญญา) ไม่แล้งน้ำใจ (มีกรุณา) และไม่เป็นพิษเป็นภัย (มีความบริสุทธิ์) คุณสมบัติทั้ง 3 อย่างนี้ คือคุณสมบัติของคนดีตามที่พระพุทธองค์ทรงวางแบบไว้ให้คำถาม: เพื่อนขอยืมเงินไปแล้วไม่คืน จะลืมจริงๆ หรือแกล้งลืมก็ไม่รู้ไม่กล้าทวง กลัวเพื่อนจะอาย แต่ใจก็ยังนึกเสียดายเงินนั้นอยู่ ถือว่าการเสียดายนี้เป็นการโลภหรือไม่?
คำตอบ: ไม่ใช่โลภ เขามาขอยืมเงินเราไป ถึงเวลาไม่เอามาคืน เราก็ต้องไปทวง เมื่อไม่ทวงก็กลายเป็นลังเล ความลังเลจัดเป็นโมหะชนิดหนึ่งเรื่องเงินๆ ทองๆ นี่อยากจะเตือน เงินของเราถ้าควักออกจากกระเป๋าแล้วต้องถือว่าให้ เราจะควักให้ใครมากแค่ไหนต้องคิดคำนวณแล้วว่า เงินส่วนนั้นแม้ไม่ได้คืน ก็ไม่เดือดร้อน ถ้าเป็นส่วนที่เดือดร้อนต้องไม่ให้ ให้เฉพาะส่วนที่ไม่เดือดร้อน ถ้าเขาเอามาคืนก็ถือว่าเป็นลาภลอย คิดอย่างนี้แล้วจะสบายใจทั้งสองฝ่ายนะเขามาขอยืมเงินเราไป ถึงเวลาไม่เอามาคืนหลวงพ่อแต่ไหนแต่ไรมาก็ทำอย่างนี้ ให้เงินใครไปแล้วก็ตัดขาดออกจากใจ คืนไม่คืนก็ช่าง คิดอย่างนี้สบายใจดีคำถาม: หลวงพ่อคะ ก่อนจะเรียนจบ หนูได้บนเจ้ากรรมนายเวรไว้ว่า เมื่อเรียนจบแล้ว จะบวชชีพราหมณ์แก้บนให้ ตอนนี้ก็เรียนจบแล้ว จะอยู่ธุดงค์แทนบวชได้ไหมคะ?
คำตอบ: นักติดสินบนนะนี่ ไปติดสินบน “เจ้ากรรมนายเวร” หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เจ้ากรรมนายเวรของหนูคนนี้ นิสัยชอบติดสินบนนี่เป็นกันเกือบทุกหัวระแหง ผีสางนางไม้ก็บนกันไป มีตัวมีตนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตั้งหน้าตั้งตาบนกันไป เพราะติดนิสัยชอบบนบานศาลกล่าวอย่างนี้ พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เวลามีอุปสรรค ตอนไปติดต่อการงาน ก็เลยชอบติดสินบนเจ้าพนักงานบนบานศาลกล่าวการติดสินบนเป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชั่นนะ คุณเองไม่ใช่หรือที่บ่นนักบ่นหนาว่า เมืองไทยมีแต่พวกคอร์รัปชั่น ก็พวกติดสินบนคือพวกคุณนี่แหละ ที่เป็นตัวสนับสนุนคอร์รัปชั่น จะไปบ่นว่าใครได้ คนไทยไปถึงไหนก็บนบานศาลกล่าว ติดสินบนกระทั่งเทวดา “เทวดาครับ ขอลูกชายสักคนหนึ่งนะ ถ้าได้ลูกชาย ผมจะเอาหมูเอาไก่มาให้” ถ้าหมูไก่มันได้ยินและฟังรู้เรื่อง มันคงสะดุ้งโหยงเลยนะ เลิกทีเถอะเรื่องบนบานศาลกล่าวอะไรนี่ ไม่ได้ประโยชน์เลยคราวนี้ถามว่า บวชชีพราหมณ์กับอยู่ธุดงค์แทนกันได้ไหม? คงต้องไปถามเจ้ากรรมนายเวรของคุณนะว่า เขายอมไหม? แต่ถ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อว่าก็ไม่เหมือนกันทีเดียวหรอกนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลืมเรื่องที่ไปบนบานศาลกล่าวไว้ก่อน แล้วมาปักกลดอยู่ธุดงค์กัน งวดนี้ตั้งใจรักษาศีล 8 ตั้งใจนั่งสมาธิให้ตัวตั้งเลยนะ หลวงพ่อว่าทำอย่างนี้จะเข้าท่ากว่า ที่บนอะไรๆ ไว้นั้นลืมเสียเถอะ ไม่ได้เรื่องหรอก ถ้าเทวดาคนไหนมารับสินบนคุณ แสดงว่าเทวดานั่นไม่น่าคบหรอก เพราะกินกระทั่งสินบนของมนุษย์
http://goo.gl/7LjM0