พุทธประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กายมหาบุรุษที่ใครก็ตามที่ได้พบเห็นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เทิดทูนบูชา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็คือ มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นเทพเจ้าผู้วิเศษหรือเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรพชีวิตหรือสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก แต่เป็นบุคคลที่ตั้งความปรารถนาที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้สั่งสมบารมีอย่างมากมาย ซึ่งการสร้างบารมีนั้นไม่ใช่เพียงแค่ทำวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้วจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย แต่ทุกพระองค์ต่างต้องสั่งสมบารมีมาเป็นเวลายาวนานหลายภพหลายชาติ โดยอย่างน้อยที่สุดต้องสร้างบารมี 20 อสงไขยกับแสนมหากัป อย่างเช่นพระโคดมพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบันนี้ แต่ถ้าสร้างบารมีกันยาวนานที่สุดก็ 80 อสงไขยกับแสนมหากัป เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ก็ได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงมีพระคุณและคุณประโยชน์อย่างมากมายต่อสรรพสัตว์ ทั้งหลาย และทำให้พระองค์ได้ที่สุดแห่งรูปสมบัติ คือ กายมหาบุรุษที่ใครก็ตามที่ได้พบเห็นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เทิดทูนบูชา นอกจากนี้ยังทำให้พระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะได้เข้าถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายในกายของพระองค์การสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแต่ละพระองค์ก็สร้างบารมีกันมายาวนาน ทรงเกิดในภพต่างๆ เป็นอันมาก และด้วยการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยการฝึกฝนอดทน มุ่งมั่นตั้งใจอย่างมาก จึงเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงมีปัญญากว้างขวาง เป็นพระสัพพัญญูรอบรู้ทุกสิ่งทั้งปวง เพราะพระองค์ได้สะสมปัญญามาจากการเกิดในแต่ละชาติ จึงทำให้พระองค์เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า โลกนี้มีแต่ความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ที่เกิดจากตนเองและที่เกิดมาจากคนอื่น เมื่อมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้น จึงมีความคิดที่จะกำจัดทุกข์ออกไปอย่างถาวร นอกจากนี้ยังตั้งใจที่จะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากวงจรแห่ง ความทุกข์นี้ไปด้วย พระองค์จึงได้เริ่มสร้างบารมี ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยความเพียรพยายามและด้วยความอดทนเป็นเวลายาวนานหลายกัป จนเมื่อบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว ก็จะเสด็จมาอุบัติขึ้นยังมนุสสภูมิที่ชมพูทวีป และจะทรงเสด็จอุบัติขึ้นเฉพาะอสุญกัปเท่านั้น เพื่อมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำพระสัทธรรมมาสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากวงจรทุกข์ไปสู่พระ นิพพาน ด้วยเหตุนี้ประกอบกับระยะเวลาที่ใช้ในการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง 3 ประเภท จึงทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้ยาก บนโลกนี้ แต่ก็ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้แล้วหลายพระองค์อุปมาเหมือนเม็ด ทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4 มากมายเพียงนั้น
แต่ด้วยการสั่งสมบารมีและฝึกฝนตนเองที่ใช้เวลายาวนานไม่เท่ากัน และด้วยผลกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีตทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม จึงทำให้บารมีของแต่ละพระองค์มีไม่เท่ากัน และต้องได้รับผลจากที่ได้กระทำไว้ในอดีตที่แตกต่างกัน จึงทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความแตกต่างกันในชาติสุดท้ายที่เสด็จมา ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น บุคคลใดก็สามารถที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะตำแหน่งนี้มิได้ผูกขาดแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ทุกคนสามารถที่จะเป็นได้ทั้งนั้น ถ้ามีใจปรารถนาแล้วสั่งสมบุญบารมีในทุกบุญไม่ได้ขาดเลยในทุกเวลานาทีของทุก วันตามอย่างของพระพุทธองค์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และตั้งใจฝึกฝนตนเองในมีนิสัยที่ดีเกิดขึ้น โดยการละเว้นจากอกุศลกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม แล้วมีใจปรารถนาที่มั่นคงแน่วแน่ ต่อเป้าหมายที่ตนต้องการ ไม่ทอดถอนหรือหมดกำลังใจเสียก่อน เมื่อถึงที่สุดแล้ว ผลแห่งกุศลกรรมก็จะส่งผลให้เรา ทั้งในระดับที่ทำให้จิตใจงาม รูปร่างลักษณะดี มีบุคลิกน่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจ น่าเกรงขามและเป็นผู้มีชื่อเสียงดี มีคนอยากที่จะคบค้าสมาคมด้วย เมื่อถึงคราวที่ปฏิบัติธรรมก็เข้าถึงธรรมกาย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ภายในตัวของทุกคนได้ง่ายหมดกิเลสเข้าพระนิพพาน ตามอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหลายๆ พระองค์ที่ได้ทำมาแล้ว
พุทธประวัติ - พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นการยากที่ใครจะนิยามความหมายของคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ครอบคลุมชัดเจน เพราะเนื่องด้วย คุณลักษณะเฉพาะพระองค์นั้นเป็นเลิศประเสริฐในทุกด้าน เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของโลกและจักรวาล พระองค์มีพระคุณอันไม่มีประมาณต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะทรงชี้หนทางแห่งการดับทุกข์ อีกทั้งทรงเป็นต้นบุญต้นแบบในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงามที่จะนำพาสรรพสัตว์ไปสู่ความสุขทั้งปัจจุบัน อนาคต และความสุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน ทุกข้อความที่ถูกถ่ายทอดออกมา คำอุปมาที่ยกขึ้นแสดงไม่ถึงเศษเสี้ยวอสงไขยในความเป็นจริงของพระองค์ ที่จะยกขึ้นแสดงได้หมด
นิยามของคำว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ให้คำนิยามไว้มากมาย มีนัยที่แตกต่างกันไปตามสติปัญญาที่ผู้นั้นจะพึงมี หรือพุทธศาสนิกชนทั่วไป ที่ไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังก็ย่อมมีความเข้าใจความหมายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระพุทธปฏิมากรในโบสถ์ หรือพระพุทธรูปที่กราบไหว้บูชาอยู่บนหิ้งพระ บางท่านอาจจะเข้าใจผิดคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพียงรูปปั้น เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมิใช่มีตัวตนที่แท้จริงอยู่ในโลกนี้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อนอกพระพุทธศาสนาที่พยายามนำพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปกล่าวในลักษณะที่ไม่ถูกต้อง เช่น พระพุทธเป็นอวตารของพระเจ้า องค์นั้นองค์นี้ ความเชื่อเหล่านี้ เป็นการหาผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนา และเป็นการกลืนความเชื่อของศาสนาพุทธให้เข้ากับศาสนาของตนได้อย่างแยบยล นับว่าเป็นอันตราย เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เพราะผู้ไม่เข้าใจย่อมหลงเชื่อได้โดยง่าย
เมื่อกล่าวถึงความหมายของคำว่า “ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” จะมีความหมายที่สำคัญอยู่ 2 นัย คือ
นัยที่ 1 พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระสมณโคดมพุทธเจ้า ผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และทรงตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง ซึ่งแต่เดิมคือ เจ้าชายสิทธัตถะ แห่งศากยวงศ์ ที่พระองค์นั่งเจริญภาวนาปรารภความเพียร เป็นจาตุรังควิริยะ คือ แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่เอ็น หนังหุ้มกระดูกก็ตาม ถ้าไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณก็ยอมตาย จนในที่สุดก็ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์* เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วก็ได้เสด็จไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่สัตวโลกให้รู้ตามในความรู้ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ซึ่งพระองค์ได้ประกาศพระพุทธศาสนาตลอด 45 พรรษา มีพระชนมายุได้ 80 ปี ก็ทรงปรินิพพาน*สูตรที่ 5 กัมมกรณวรรคที่ 1, อังคุตตรนิกาย ทุกนิกาย, ทุกนิกาย, มก. เล่ม 33 หน้า 297.
ดังที่นิยามมาข้างต้น พอสรุปในความหมายแรกได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง กายเนื้อของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ที่ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ผู้ตรัสรู้เองโดยมิได้มีใครสอน เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นครูของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย มีประวัติปรากฏเป็นหลักฐานในประวัติศาสตร์โลก ที่ได้ศึกษากันมาในระบบการศึกษาของไทยเรื่อง พุทธประวัติ
กายเนื้อที่ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษนี้ มีความไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นอนัตตา จึงมีความแก่ความเจ็บและความตาย เหมือนบุคคลทั่วไป แต่กายนี้เป็นร่างกายของบุคคลผู้ประเสริฐสูงสุด เพราะได้ทรงสั่งสมบ่มบารมีมาหลายภพหลายชาติจนบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ร่างกายนี้ย่อมสูญสิ้นไป
นัยที่ 2 พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระพุทธเจ้าที่อยู่ภายในร่างกายของพระองค์ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 อย่างตลอดต่อเนื่องในการสร้างบารมีในทุกๆ ชาติ แม้แต่ในพระชาติสุดท้าย พระองค์ทรงสละชีวิต เพื่อให้ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ และในที่สุดพระองค์ก็ทรงได้เข้าถึงพระพุทธเจ้า คือ ธรรมกาย หรือ กายธรรมภายใน ที่อยู่ในตัวของพระองค์และทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด
ดังที่นิยามมาข้างต้น พอสรุปในความหมายที่สองได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระธรรมกายที่อยู่ภายในร่างกายของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะที่มีกายเนื้ออันประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ดังมีพุทธพจน์ยืนยันไว้ว่า
“ ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนังร่างกาย แต่อยู่ที่ธรรม”*อัคคัญญสูตร, ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, มก. เล่ม 15 ข้อ 55 หน้า 150.
และที่ทรงกล่าวไว้ว่า
“ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”วักกลิสูตร, สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค, มก. เล่ม 27 หน้า 276.
ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนังร่างกาย แต่อยู่ที่ธรรมพระธรรมกายที่อยู่ในกายเนื้ออันประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษนี้ เป็นกายนี้ไม่มีวันสูญสลายไป เมื่อใดที่มนุษย์ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ ก็จะสามารถเข้าถึงกายภายใน ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ภายในกายอย่างแน่นอน
จากที่กล่าวมาทั้งหมดพอจะสรุปนิยามของคำว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ว่ามีความหมายอยู่ 2 นัย ในความหมายแรก คือ ร่างกายพระสมณโคดมพุทธเจ้า เป็นกายมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วยลักษณะมหาบุรุษผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ส่วนความหมายที่ 2 คือ กายธรรมหรือธรรมกาย หมายถึง พระธรรมกายที่ซ้อนอยู่ภายในร่างกายของพระองค์ ที่ทำให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างสมบูรณ์
หากจะกล่าวความหมายโดยสรุปจากในนัยสำคัญทั้ง 2
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระมหาบุรุษ ผู้ประกอบด้วยกายลักษณะมหาบุรุษอันมีพระธรรมกายซ้อนอยู่ภายใน เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นครูของมนุษย์และเทวดา เป็นศาสดาเอกของโลก
จะเห็นได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ บุคคลผู้มีพระคุณต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างมากมาย เกินกว่าที่บุคคลทั่วไปจะพรรณนาได้หมดสิ้น เนื่องจากพระองค์ทรงมีพระคุณอย่างมากที่คิดจะหลุดพ้นออกจาก วัฏสงสารด้วยตนเอง และคิดที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายออกไปด้วย และด้วยเหตุที่พระองค์ทรงสร้างบารมีอย่างยิ่งยวด โดยที่ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เพื่อมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทำให้พระองค์เป็นผู้ทรงคุณค่า มีพระคุณและคุณประโยชน์อย่างมากมายต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายและ ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงสร้างบารมีมาหลายภพหลายชาติ จึงทำให้พระองค์ได้ที่สุดแห่งรูปสมบัติ คือ กายมหาบุรุษ ที่ใครก็ตามที่ได้เห็นก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใส เทิดทูนบูชา และยังทำให้พระองค์ประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ คือ การได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนำพระสัทธรรมอันประเสริฐมาสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้
พุทธประวัติ - การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการยาก
การเสด็จอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในโลกนี้ ย่อมเป็นการยากอย่างยิ่ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าบุคคลที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องเป็นบุคคลผู้มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่สุดประมาณ ที่เห็นวัฏสงสาร นี้เป็นเหมือนคุกแห่งความทุกข์ ที่กักขังสรรพสัตว์ทั้งหลายไว้ การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะต้องใช้เวลายาวนานมาก กว่าจะเจอบุคคลเช่นนี้ แต่เมื่อบุคคลเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในโลก ก็ยังจะต้องใช้เวลาอีกยาวนานในการสร้างสมบ่มบารมีสืบเนื่องมาโดยลำดับ จนกว่าบารมีจะบรรลุถึงความสมบูรณ์ทุกประการ จึงจะมาอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก่อนจะมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ก็เคยเกิดมาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเรา พระองค์ก็ทรงลองผิดลองถูก เพื่อค้นหาหนทางพ้นทุกข์มาโดยตลอด ซึ่งในบางครั้งพระองค์ก็ได้พลาดพลั้งทำบาปอกุศลบ้าง จึงต้องวนเวียนอยู่ในทุคติภูมิเป็นเวลายาวนาน ทำให้ระยะเวลาในการสร้างบารมีนั้นยาวนาน ยืดเยื้อออกไป แต่เมื่อพระองค์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้มาสร้างบารมีอย่างเต็มที่ จนสามารถที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ที่ต้องการจะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากคุกแห่งทุกข์นี้ไปด้วย ดังที่ได้ตั้งความปรารถนาไว้ตั้งแต่เริ่มคิดสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้สร้างสมบ่มบารมีมาเป็นเวลายาวนาน ต้องใช้ความพากเพียรพยายามและกำลังใจเป็นอย่างมาก รวมกับความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างบารมีเพื่อมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่ไม่ได้ท้อถอยในระหว่างหนทางการสร้างบารมี แม้จะต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จนในที่สุดก็สามารถมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ออกจาก วัฏสงสารไปสู่พระนิพพานได้สำเร็จตามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ในการสร้างบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไม่ได้เกิดมาเพื่อตนเองเพียงคนเดียวแต่เกิดมาเพื่อที่จะยกตนและสรรพสัตว์ให้พ้นจาก วัฏสงสารนี้ให้ได้
การมาบังเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน มาก เพื่อฝึกฝนอบรมตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ สั่งสมบารมีให้บรรลุถึงความสมบูรณ์ทุกประการ สั่งสมความเป็นครูของโลก เพื่อจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นไปด้วย เพราะพระองค์ไม่ได้เกิดมาเพื่อตนเองเพียงคนเดียว แต่เกิดมาเพื่อที่จะยกตนและสรรพสัตว์ให้พ้นจาก วัฏสงสารนี้ให้ได้ ดังพุทธดำรัสที่ว่า
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เป็นเอกเมื่อเกิดขึ้นในโลกย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก…. เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย…. ความปรากฏแห่งบุคคลผู้เป็นเอกหาได้ยากในโลก …. บุคคลเป็นเอกเมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้น เป็น อัจฉริยมนุษย์…. กาลกิริยาของบุคคลผู้เป็นเอกเป็นเหตุแห่งความเสียใจของคนเป็นอันมาก …. บุคคลผู้เป็นเอก…. ย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่มีที่สอง ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ…. เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย…. ความปรากฏแห่งบุคคลผู้เป็นเอกเป็นความปรากฏแห่งจักษุใหญ่ แห่งแสงสว่างใหญ่ แห่งความรุ่งโรจน์ใหญ่ แห่งอนุตตริยะ 6 เป็นการกระทำให้แจ้งปฏิสัมภิทา 4 เป็นการแทงตลอดธาตุเป็นอันมากและธาตุต่างๆ เป็นการทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล บุคคลเป็นผู้เอกเป็นไฉน คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”เอกปุคคลวรรคที่ 13 ว่าด้วยบุคคลผู้เป็นเอก, อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต, มก. เล่ม 32 ข้อ 139-144 หน้า 181.
การมาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลและนำความสุขมาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างมากมาย
ดังพุทธดำรัส จะเห็นได้ว่า การอุบัติขึ้นในโลกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ถึงแม้จะมาบังเกิดขึ้นได้เพียงครั้งละพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่สามารถมาตรัสรู้ได้คราวละมากกว่าหนึ่งพระองค์ แต่การมาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลและนำความสุขมาให้แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างมากมาย เพราะเมื่อเสด็จอุบัติตรัสรู้ในโลกแล้ว ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เกิดปัญญา เข้าใจความจริงอย่างที่พระองค์ทรงรู้แจ้งเห็นจริงได้แล้ว เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏสงสาร ไปสู่พระนิพพาน พ้นจากทุกข์ทั้งปวงตามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ จึงทำให้พระองค์ทรงเป็นเอกบุคคล ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนในทุกๆ ด้านบรรจบ บรรณจุริ, พุทธประวัติ ประสูติ ตรัสรู้, กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546, หน้า 2.นอกจากนี้ยังทำให้โลกได้อนุตตริยะ คือ ได้สิ่งที่ยอดเยี่ยม 6 อย่าง ได้แก่
ทัสสนานุตตริยะ การเห็นยอดเยี่ยม คือ การได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สวนานุตตริยะ การฟังยอดเยี่ยม คือ การได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ลาภนุตตริยะ การได้ยอดเยี่ยม คือ การได้ศรัทธาเชื่อในคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สิกขานุตตริยะ การศึกษายอดเยี่ยม คือ การได้ฝึกหัดตนตามหลักไตรสิกขา
ปาริจริยานุตตริยะ การรับใช้ยอดเยี่ยม คือ การได้รับใช้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการฝึกหัดตนตามหลักไตรสิกขา
อนุสสตานุตตริยะ การหมั่นระลึกถึงยอดเยี่ยม คือ การหมั่นระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การอุบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทำให้แจ้งปฏิสัมภิทา 4 จึงทำให้แทงตลอดธาตุต่างๆ เป็นอันมาก คือ การรู้และเข้าใจได้ถูกต้องในเรื่องของธาตุที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นชีวิต มนุษย์และสัตว์ในภพภูมิต่างๆ ได้ครบถ้วน จนทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้บรรลุผลญาณ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตตผล การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแต่ละครั้งนั้น ย่อมเป็นสภาพที่เป็นไปได้โดยยาก ต้องใช้เวลาอย่างยาวนาน จึงจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้สักพระองค์หนึ่ง เพราะว่าท่านเป็นบุคคลพิเศษ ที่ได้สั่งสมบารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ซึ่งกว่าที่จะทรงค้นพบทางสายกลาง หรือที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ที่เป็นทางเอกสายเดียวและเป็นความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรง ค้นพบและปฏิบัติได้รับผลสำเร็จเรียบร้อยแล้วนั้น จะต้องอาศัยความเพียรพยายามและกำลังใจอย่างมากด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นพระพุทธเจ้าการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก
ถึงแม้ระยะเวลาในการสร้างบารมีจะยาวนานเพียงใด กว่าบารมีจะสมบูรณ์พร้อมทุกประการ ก็ไม่ได้ท้อถอยในระหว่างการสร้างบารมี บุคคลนั้นก็จะมาอุบัติเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทรงยังประโยชน์เป็นอันมากแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการแนะนำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้จักทางหลีกพ้นจากโอฆสงสาร แล้วไปสู่พระนิพพาน
ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าบรรดาผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายในภพสามนี้ ผู้ที่จะสามารถทำได้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไม่มี และผู้ที่จะทำประโยชน์อย่างมากมายที่แท้จริงอย่างนี้ หาได้ไม่ง่ายในโลกใบนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเป็นเอกบุคคล ที่ไม่มีบุคคลใดเสมอเหมือน และเกิดขึ้นได้ยากยิ่งในโลก ดังพุทธดำรัสที่ตรัสการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็น การยากว่า
“ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺทาโท การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก”เรื่องนาคราช ชื่อ เอรกปัตตะ, ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท, มก. เล่ม 42 หน้า 329.
พุทธประวัติ - ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้จะบำเพ็ญบารมีมาเพื่อมาตรัสรู้ หลุดพ้นจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้พระสัทธรรม แล้วนำมาสั่งสอนสรรพสัตว์เพื่อความพ้นทุกข์เหมือนกันทุกพระองค์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะมีระยะเวลาในการสร้างบารมี ระยะเวลาในการ ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ไม่เท่ากัน ซึ่งความแตกต่างกันของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ขึ้นอยู่กับบารมีที่ได้สั่งสมมา จึงแบ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีชนิดปัญญาแก่กล้า ทรงมีพระปัญญามาก แต่มีพระศรัทธาน้อย โดยมีระยะเวลาในการสร้างบารมี 20 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป ซึ่งมีระยะเวลาในการสร้างบารมีแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ทรงดำริในพระทัย โดยไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร ใช้เวลา 7 อสงไขย
ระยะที่ 2 เปล่งวาจา คือการออกปากบอกบุคคลอื่น พร้อมๆ กับสร้างบารมีไปด้วย ใช้เวลา 9 อสงไขย
ระยะที่ 3 เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งแรกว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลาอีก 4 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป
2. พระสัทธาธิกพุทธเจ้า คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีชนิดศรัทธาแก่กล้า มีศรัทธามาก แต่มีพระปัญญาปานกลาง โดยมีระยะเวลาในการสร้างบารมี 40 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป ซึ่งมีระยะเวลาในการสร้างบารมีแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ทรงดำริในพระทัย โดยไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร ใช้เวลา14 อสงไขย
ระยะที่ 2 เปล่งวาจา ใช้เวลา 18 อสงไขย
ระยะที่ 3 เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งแรกว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลาอีก 8 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป
3. พระวิริยาธิกพุทธเจ้า คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีชนิดมีความเพียรแก่กล้า ทรงมีพระวิริยะมาก แต่มีพระปัญญาน้อยกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทอื่น โดยมีระยะเวลาในการสร้างบารมี 80 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป ซึ่งมีระยะเวลาในการสร้างบารมีแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ทรงดำริในพระทัย ใช้เวลา 28 อสงไขย
ระยะที่ 2 เปล่งวาจา ใช้เวลา 36 อสงไขย
ระยะที่ 3 เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งแรกว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลาอีก 16 อสงไขย กับอีกแสนมหากัป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 3 ประเภท เมื่อจะได้รับคำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น ถ้าหากพระพุทธองค์ทรงกลับใจไม่ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีความประสงค์ที่จะเป็นพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันตสาวกได้ทันที ดังนี้
พระโพธิสัตว์ประเภทปัญญาธิกะ มีปัญญามาก หากปรารถนาเป็นพระสาวก เพียงฟังพระธรรมเทศนา ไม่ทันจบบาทคาถาที่ 3 ก็จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้ง 4
พระโพธิสัตว์ประเภทศรัทธาธิกะ มีศรัทธามาก เพียงแค่ฟังพระธรรมเทศนาไม่ทันจบบาทคาถาที่ 4 ก็จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้ง 4
พระโพธิสัตว์ประเภทวิริยาธิกะ มีความเพียรมาก เพียงแค่ฟังพระธรรมเทศนาจบบาทคาถาที่ 4 ก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้ง 4
การที่แต่ละพระองค์จะมาอุบัติขึ้นตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องใช้เวลาอย่างยาวนานมาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 3 ประเภทนี้ จึงมีระยะเวลาในการสร้างบารมีที่แตกต่างกัน โดยในแต่ละประเภทนั้น ก็มีระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน ซึ่งบ่งบอกได้ว่า การที่แต่ละพระองค์จะมาอุบัติขึ้นตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาอย่างยาวนานมาก ที่กว่าจะเริ่มคิดสร้างบารมี เพื่อมาตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเริ่มลงมือสร้างบารมี นอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงบารมีของแต่ละพระองค์อีกด้วยที่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากระยะเวลาในการสร้างบารมีที่แตกต่างกัน
พุทธประวัติ ตอน ประสูติ พุทธประวัติ ตอน ตรัสรู้
พุทธประวัติ ตอน : สละชีวิตเป็นเดิมพันสร้างบารมี
พุทธประวัติ ตอน : เลือกเกิดได้ด้วยพระบารมี
พุทธประวัติ ตอน : นั่งขัดสมาธิอยู่ในครรภ์พระมารดา
พุทธประวัติ ตอน : ได้ลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ
พุทธประวัติ ตอน : ได้รับพยากรณ์
พุทธประวัติ ตอน : พระราชบิดาทำความเคารพด้วยความเลื่อมใส
พุทธประวัติ ตอน : 7 ขวบ เรียนจบ 18 สาขา ภายใน 7 วัน
พุทธประวัติ ตอน : ชีวิตสุขสบายดังอยู่ในสรวงสวรรค์
พุทธประวัติ ตอน : มีทุกอย่างที่ชาวโลกต้องการ แต่สละเพื่อเสด็จออกผนวช
พุทธประวัติ ตอน : ออกบวชช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์
พุทธประวัติ ตอน : อธิษฐานเป็นบรรพชิต
พุทธประวัติ ตอน : เรียนจบสุดความรู้ของอาจารย์
พุทธประวัติ ตอน : แสวงหาทางพ้นทุกข์
พุทธประวัติ ตอน : บำเพ็ญเพียรทางจิต
พุทธประวัติ ตอน : ชนะมารตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้
พุทธประวัติ ตอน : ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยการทำสมาธิภาวนา
พุทธประวัติ ตอน : ค้นพบสุดยอดแห่งความรู้
พุทธประวัติ ตอน : บรมครูผู้ยิ่งใหญ่
พุทธประวัติ ตอน ประกาศพระศาสนา
พุทธประวัติ ตอน ปรินิพพาน
พุทธประวัติ ตอน : ใครปฏิบัติตามคำสอนก็จะบรรลุธรรมได้
พุทธประวัติ ตอน : ประกาศพระศาสนานำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
พุทธประวัติ ตอน : เวฬุวันมหาวิหาร..วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
พุทธประวัติ ตอน : สอนได้ทุกระดับชั้น ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหม
พุทธประวัติ ตอน : โอวาทปาฏิโมกข์ หัวใจพระพุทธศาสนา
พุทธประวัติ ตอน : โปรดพุทธบิดา พุทธมารดา
พุทธประวัติ ตอน : เปิดโลกทั้งสามด้วยพุทธานุภาพ
พุทธประวัติ ตอน : ไปโปรดยักษ์พุทธประวัติ ตอน : ไปโปรดโจรองคุลิมาล
พุทธประวัติ ตอน : ไปโปรดพรหม
พุทธประวัติ ตอน : พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา
พุทธประวัติ ตอน : พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งสันติภาพ
พุทธประวัติ ตอน : พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งการดับทุกข์ พุทธประวัติ ตอน : ทรงปลงอายุสังขาร
พุทธประวัติ ตอน : ทำหน้าที่ครูเป็นครั้งสุดท้าย
พุทธประวัติ ตอน : เสด็จดับขันธปรินิพพาน
พุทธประวัติ ตอน : แบ่งพระพรมสารีริกธาตุ
พุทธประวัติ ตอน : วันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก
http://goo.gl/wWP71Y