เหตุใด ความกตัญญูกตเวที จึีงมีอานิสงส์ให้เป็นผู้มีปัญญา
เริ่มโดย ฟ้ายังฟ้าอยู่, May 09 2006 04:18 PM
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 04:18 PM
อย่างเช่นพระสารีบุตรที่มีปัญญามาก เพราะเป็นผู้ที่มีความกตัญญูมาก เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
แล้วอย่างพระโมคคัลลานะ ผู้มีฤทธิ์มาก เพราะ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคะ
แล้วอย่างพระโมคคัลลานะ ผู้มีฤทธิ์มาก เพราะ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคะ
#2
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 06:12 PM
ตามความเห็นของผมนะครับ อย่างน้อยคนที่มีความกตัญญูกตเวทีน่ะ จะต้องมีคุณธรรมประการหนึ่ง คือ ความเคารพนอบน้อมเป็นพื้นฐาน ซึ่งคุณธรรมประการนี้เอง ที่ทำให้จิตใจของผู้นั้น เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน นุ่มนวล ควรแก่การงาน และเมื่อจิตอยู่ในสภาพดังกล่าวแล้ว ย่อมทำให้สภาวะจิตในขณะนั้น พร้อมที่จะน้อมรับเอาคุณธรรมอันดีงามที่บัณฑิตถ่ายทอดให้แก่เขาอย่างเต็มที่เต็มเปี่ยม ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ผู้มีความกตัญญูกตเวทีเป็นผู้มีปัญญามากครับ
#3
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 07:12 PM
หลวงพ่อทัตตะเคยเทศน์ไว้
ไม้ต้นเดียว ...........ไม่เป็นผืนป่า
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#4
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 08:19 PM
แนะนำให้ไปหาหนังสือพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อทัตตะเรื่อง "ทำไมพระสารีบุตรจึงเลิศด้วยปัญญา" มาอ่านครับ คำตอบอยู่ในหนังสือเล่มนั้นครับ หรือ ไม่ก็ลองเซิทหาจากเวปของทางวัดดูก็ได้ครับ น่าจะมีอยู่ครับ
แต่ถ้าจะเอาแบบที่พอทรงจำได้ก็คือ คนที่มีความกตัญูญูอยู่ในใจ จะพยายามหาหนทางตอบแทนบุญคุณแก่บุคคลผู้มีพระคุณอยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องเค้นปัญญา พยายามหาหนทาง ตอบแทนคุณ ดังนั้นปัญญาจึงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ถ้าเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณแล้ว ครูบาอาจารย์ก็อยากจะถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้ด้วยความเอ็นดูครับ แต่ถ้าไร้ซึ่งความกตัญญูไม่รู้คุณครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็ไม่อยากถ่ายทอดความรู้ให้ สู้ปล่อยให้ความรู้ตายไปกับตัวท่านจะดีกว่าครับ
สำหรับสาเหตุที่ความรับผิดชอบต่อหมู่คณะทำให้เกิดฤทธิ์นั้น เหตุผลเพราะว่า คนที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะนั้น ย่อมเปรียบเสมือนกระโถนท้องพระโรง ต้องรับเรื่องราวและทำเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้สำเร็จซึ่งเป็นอุปนิสัยของคนที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ แต่อย่างไรก็ดี มนุษย์ก็มีข้อจำกัดคือมีแค่ 2 มือ ดังนั้น คนที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะเป็นที่ตั้ง จึงอาศัยเอาเหตุแห่งข้อจำกัดของกายมนุษย์นี้ตั้งจิตอธิษฐานให้ใจตนเองมีฤทธิ์ทำสิ่งใดก็ให้สำเร็จสมดังใจปรารถนา นั่นจึงเป็นเหตุที่มาของสาเหตุที่ว่าความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ ทำให้มีฤทธิ์มาก
แต่ถ้าจะเอาแบบที่พอทรงจำได้ก็คือ คนที่มีความกตัญูญูอยู่ในใจ จะพยายามหาหนทางตอบแทนบุญคุณแก่บุคคลผู้มีพระคุณอยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องเค้นปัญญา พยายามหาหนทาง ตอบแทนคุณ ดังนั้นปัญญาจึงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ถ้าเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณแล้ว ครูบาอาจารย์ก็อยากจะถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้ด้วยความเอ็นดูครับ แต่ถ้าไร้ซึ่งความกตัญญูไม่รู้คุณครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็ไม่อยากถ่ายทอดความรู้ให้ สู้ปล่อยให้ความรู้ตายไปกับตัวท่านจะดีกว่าครับ
สำหรับสาเหตุที่ความรับผิดชอบต่อหมู่คณะทำให้เกิดฤทธิ์นั้น เหตุผลเพราะว่า คนที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะนั้น ย่อมเปรียบเสมือนกระโถนท้องพระโรง ต้องรับเรื่องราวและทำเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้สำเร็จซึ่งเป็นอุปนิสัยของคนที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ แต่อย่างไรก็ดี มนุษย์ก็มีข้อจำกัดคือมีแค่ 2 มือ ดังนั้น คนที่มีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะเป็นที่ตั้ง จึงอาศัยเอาเหตุแห่งข้อจำกัดของกายมนุษย์นี้ตั้งจิตอธิษฐานให้ใจตนเองมีฤทธิ์ทำสิ่งใดก็ให้สำเร็จสมดังใจปรารถนา นั่นจึงเป็นเหตุที่มาของสาเหตุที่ว่าความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ ทำให้มีฤทธิ์มาก
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#5
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 10:51 PM
ผู้ที่กตัญญูอย่างน้อยต้องมีปัญญารู้ว่าเขามีคุณอย่างไรแก่เราไงครับ
เมื่อเรามีความกตัญญูแล้ว เราย่อมมีนิสัยเป็นปกติที่จะคอยมองหาว่าใครมีคุณแก่ตนบ้าง
ทำให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า "คุณ" หรือ "คุณธรรม" เมื่อคอยสังเกตอยู่อย่างนั้นแล้ว
ความรู้ในคุณย่อมเกิดขึ้น ทั้งนี้ คุณธรรม นั้นมีอยู่มากมาย ยิ่งสังเกตยิ่งมองหาก็ยิ่งเห็นครับ
ทำให้เกิดปัญญาขึ้นแก่ตนว่า อะไรบ้างคือคุณธรรม และที่สำคัญย่อมนำไปปฏิบัติ
จึงทำให้สามารถเป็นผู้รองรับคุณธรรมจากผู้อื่นได้ง่ายครับ ไม่ว่าใครมีคุณธรรมอะไรสังเกตออกหมด
และนำมาเป็นคุณธรรมของตัวเองได้ด้วย
ส่วนผู้มีกตเวทีคือนอกจากรู้คุณแล้ว ยังตอบแทนคุณอีกด้วย เพื่อหาวิธีตอบแทนคุณ
ย่อมจำแนกว่าคุณธรรมแต่ละอย่างอยู่ในระดับไหน และต้องตอบแทนด้วยอะไรจึงจะสมค่า
ยิ่งค้นหาก็ยิ่งมีปัญญากว้างขวางออกไปครับ คุณธรรม 2 ประการนี้เองที่ทำให้มีปัญญาอย่างไม่สิ้นสุด
เพราะไม่ว่าจะเจอผู้มีคุณธรรมระดับไหน เขาผู้นี้ก็ทำตัวเหมือนกับมหาสมุทรที่ทอดตัวลงต่ำ
รองรับน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำทุกสายไว้ ปัญญาและคุณธรรมจึงมากอย่างไม่มีใครเสมอเหมือนได้ครับ
ส่วนเรื่องความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ เพราะว่าหมู่คณะหมายถึงเรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเรารับผิดชอบเฉพาะตัวเองมันก็ไม่ยาก ทีนี้มันยากและใหญ่เกินกำลังธรรมดาของเรา เพื่อที่เราจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ เราจึงต้องออกฤทธิ์ออกแรง พยายามหาวิธี พยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้งานนั้นสำเร็จ มีแรงอยู่แค่ไหนก็ออกจนเกินแรงไปทุกที เคยยกของได้หนักแค่ไหน ก็ยกเกินกำลังตัวเองทุกที แต่กำลังหรือฤทธิ์หรือปัญญา สิ่งเหล่านี้ยิ่งออกมันยิ่งมีมากครับ พอทำไปเรื่อย ๆ มันก็ยกระดับแล้วก็อยู่ตัว พออยู่ตัวก็ยกระดับอีก ไปเรื่อย ๆ ครับ พอทำบ่อย ๆ ก็กลายเป็นกำลังมาก ฤทธิ์มาก ไปโดยปริยาย อันนี้เทียบในแง่ธรรมดานะครับ ส่วนในแง่ของฤทธิ์ก็คิดได้ทำนองเดียวกันครับ
หรือเหมือนเราคิดสร้างเครื่องบินส่วนตัวกับเครื่องบินบรรทุกคนเป็นพัน ๆ มันก็ต้องใช้ความสามารถคนละระดับครับ คนที่พยายามทำเรื่องใหญ่โตสำเร็จ คนนั้นล่ะครับฤทธิ์มาก ที่เห็นเครื่องบินที่เป็นเหล็กทั้งแท่งนั่นลอยไปในอากาศได้ก็เป็นเพราะฤทธิ์ของใจนั่นเองครับ ไม่งั้นคิดให้หัวแตกมันก็ไม่ลอย เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้ใจเขาไม่บริสุทธิ์พอจะควบคุมละเอียด เขาก็ไม่สิ้นฤทธิ์ครับ ยังควบคุมหยาบให้ลอยขึ้นไปได้
เมื่อเรามีความกตัญญูแล้ว เราย่อมมีนิสัยเป็นปกติที่จะคอยมองหาว่าใครมีคุณแก่ตนบ้าง
ทำให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า "คุณ" หรือ "คุณธรรม" เมื่อคอยสังเกตอยู่อย่างนั้นแล้ว
ความรู้ในคุณย่อมเกิดขึ้น ทั้งนี้ คุณธรรม นั้นมีอยู่มากมาย ยิ่งสังเกตยิ่งมองหาก็ยิ่งเห็นครับ
ทำให้เกิดปัญญาขึ้นแก่ตนว่า อะไรบ้างคือคุณธรรม และที่สำคัญย่อมนำไปปฏิบัติ
จึงทำให้สามารถเป็นผู้รองรับคุณธรรมจากผู้อื่นได้ง่ายครับ ไม่ว่าใครมีคุณธรรมอะไรสังเกตออกหมด
และนำมาเป็นคุณธรรมของตัวเองได้ด้วย
ส่วนผู้มีกตเวทีคือนอกจากรู้คุณแล้ว ยังตอบแทนคุณอีกด้วย เพื่อหาวิธีตอบแทนคุณ
ย่อมจำแนกว่าคุณธรรมแต่ละอย่างอยู่ในระดับไหน และต้องตอบแทนด้วยอะไรจึงจะสมค่า
ยิ่งค้นหาก็ยิ่งมีปัญญากว้างขวางออกไปครับ คุณธรรม 2 ประการนี้เองที่ทำให้มีปัญญาอย่างไม่สิ้นสุด
เพราะไม่ว่าจะเจอผู้มีคุณธรรมระดับไหน เขาผู้นี้ก็ทำตัวเหมือนกับมหาสมุทรที่ทอดตัวลงต่ำ
รองรับน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำทุกสายไว้ ปัญญาและคุณธรรมจึงมากอย่างไม่มีใครเสมอเหมือนได้ครับ
ส่วนเรื่องความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ เพราะว่าหมู่คณะหมายถึงเรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเรารับผิดชอบเฉพาะตัวเองมันก็ไม่ยาก ทีนี้มันยากและใหญ่เกินกำลังธรรมดาของเรา เพื่อที่เราจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ เราจึงต้องออกฤทธิ์ออกแรง พยายามหาวิธี พยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้งานนั้นสำเร็จ มีแรงอยู่แค่ไหนก็ออกจนเกินแรงไปทุกที เคยยกของได้หนักแค่ไหน ก็ยกเกินกำลังตัวเองทุกที แต่กำลังหรือฤทธิ์หรือปัญญา สิ่งเหล่านี้ยิ่งออกมันยิ่งมีมากครับ พอทำไปเรื่อย ๆ มันก็ยกระดับแล้วก็อยู่ตัว พออยู่ตัวก็ยกระดับอีก ไปเรื่อย ๆ ครับ พอทำบ่อย ๆ ก็กลายเป็นกำลังมาก ฤทธิ์มาก ไปโดยปริยาย อันนี้เทียบในแง่ธรรมดานะครับ ส่วนในแง่ของฤทธิ์ก็คิดได้ทำนองเดียวกันครับ
หรือเหมือนเราคิดสร้างเครื่องบินส่วนตัวกับเครื่องบินบรรทุกคนเป็นพัน ๆ มันก็ต้องใช้ความสามารถคนละระดับครับ คนที่พยายามทำเรื่องใหญ่โตสำเร็จ คนนั้นล่ะครับฤทธิ์มาก ที่เห็นเครื่องบินที่เป็นเหล็กทั้งแท่งนั่นลอยไปในอากาศได้ก็เป็นเพราะฤทธิ์ของใจนั่นเองครับ ไม่งั้นคิดให้หัวแตกมันก็ไม่ลอย เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้ใจเขาไม่บริสุทธิ์พอจะควบคุมละเอียด เขาก็ไม่สิ้นฤทธิ์ครับ ยังควบคุมหยาบให้ลอยขึ้นไปได้
#6
โพสต์เมื่อ 09 May 2006 - 11:11 PM
ในที่สุดกระทู้นี้ก็ได้รับการชี้แจงแถลงไขจนหมดสิ้น
ต้องขออนุโมทนาบุญกับทุกความเห็นด้วยนะครับ สาธุ...
ต้องขออนุโมทนาบุญกับทุกความเห็นด้วยนะครับ สาธุ...
#7
โพสต์เมื่อ 10 May 2006 - 07:21 AM
อย่าอวดรู้เกินครู อย่าอยู่สูงเกินผู้ให้ความรู้ อย่าอยู่เสมอกับผู้ทอดวิชา
จงทำตัวอ่อนน้อมอยู่เบื้องล่าง เพื่อรองรับวิชาที่เรายังไม่รู้
จงทำตัวอ่อนน้อมอยู่เบื้องล่าง เพื่อรองรับวิชาที่เรายังไม่รู้
thamma_072.p
#8
โพสต์เมื่อ 10 May 2006 - 08:38 AM
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ครับสำหรับคนกตัญญูรู้คุณ อาจาร์ยก็จะถ่ายทอดวิชาให้ไม่ปิดบัง
เพราะเห็นว่าเป็นคนดี
เพราะเห็นว่าเป็นคนดี
#9
โพสต์เมื่อ 10 May 2006 - 09:41 AM
อืมมม กระจ่างแล้วค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ทำให้เกิดปัญญา ขอปัญญาจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย
โดยส่วนตัว ชอบอธิษฐานว่าขอให้มีปัญญา โดยการประกอบเหตุเพียงแค่สนับสนุนทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร คราวนี้ก็ได้ทราบว่าหนทางแห่งการได้มาซึ่งเป็นผู้เลิศทางด้านปัญญา นั้นคือความกตัญญู
ต่อนี้ไป ก็ต้องขวนขวายทำให้ความกตัญญูมีขึ้นกับตนให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปแล้วล่ะค่ะ
โดยส่วนตัว ชอบอธิษฐานว่าขอให้มีปัญญา โดยการประกอบเหตุเพียงแค่สนับสนุนทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร คราวนี้ก็ได้ทราบว่าหนทางแห่งการได้มาซึ่งเป็นผู้เลิศทางด้านปัญญา นั้นคือความกตัญญู
ต่อนี้ไป ก็ต้องขวนขวายทำให้ความกตัญญูมีขึ้นกับตนให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปแล้วล่ะค่ะ
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#10
โพสต์เมื่อ 10 May 2006 - 04:50 PM
สาธุ ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์ดังเช่น คุณยายอาจารย์ พวกเราย่อมไม่มีทางได้รู้เคล็ดลับดีๆ นี้แน่นอนครับ ก่อนหน้านี้ หลวงพ่อทัตตะเคยไปสนทนาธรรมกับใครหลายๆ คน เขาก็พูดแค่ว่า พระสารีบุตร มีปัญญา เพราะชาติแรกตั้งความปรารถนาไว้ พระโมคคัลลานะ มีฤทธิ์ ก็เพราะชาติแรกตั้งความปรารถนาไว้
หลวงพ่อทัตตะท่านนึกในใจว่า ไอ้นั่นน่ะรู้แล้ว เพราะอ่านพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน แต่อยากรู้ว่าท่านฝึกตัวต่อมาอย่างไรต่างหาก จึงได้ดังที่อธิษฐาน แล้วเมื่อท่านไปถามคุณยายอาจารย์ ก็ไม่ผิดหวังทีเดียวล่ะครับ
หลวงพ่อทัตตะท่านนึกในใจว่า ไอ้นั่นน่ะรู้แล้ว เพราะอ่านพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน แต่อยากรู้ว่าท่านฝึกตัวต่อมาอย่างไรต่างหาก จึงได้ดังที่อธิษฐาน แล้วเมื่อท่านไปถามคุณยายอาจารย์ ก็ไม่ผิดหวังทีเดียวล่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#11
โพสต์เมื่อ 10 May 2006 - 04:59 PM
QUOTE
อย่าอวดรู้เกินครู อย่าอยู่สูงเกินผู้ให้ความรู้ อย่าอยู่เสมอกับผู้ทอดวิชา
จงทำตัวอ่อนน้อมอยู่เบื้องล่าง เพื่อรองรับวิชาที่เรายังไม่รู้
จงทำตัวอ่อนน้อมอยู่เบื้องล่าง เพื่อรองรับวิชาที่เรายังไม่รู้
ถูกต้องครับ ให้ทำตัวเป็นเหมือนแก้วเปล่าที่พร้อมจะรองรับความรู้ที่ครูบาอาจารย์จะถ่ายทอดให้ อย่าทำตัวเป็นเหมือนน้ำเต็มแก้วที่จะเติมอะไรลงไปเสียเท่าไรๆ ก็เอ่อล้น
#12
โพสต์เมื่อ 11 May 2006 - 10:44 AM
ความกตัญญูกตเวที เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเรามีความกตัญญ กับพ่อแม่แล้วสักวันหนึ่งก็มีคนที่อยู่รอบข้างทำกับเราเหมือนเราที่ทำมาในอดีต ทำอะไร ได้อย่างนั้น สาธุ
#13
โพสต์เมื่อ 04 March 2007 - 12:59 PM
กราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ