ไปที่เนื้อหา


เนื้อหาจาก krittiya

ค้นพบทั้งสิ้น 50 รายการโดย krittiya (จำกัดการค้นหาจาก 15-July 23)



#88388 อภัยทาน

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 06 September 2007 - 12:42 PM ใน เว็บบอร์ด DMC


อภัยทาน
โดย ปิยโสภณ
วัดพระรามเก้า
ทุกชีวิตล้วนมีภัยของชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที ภัยที่อาจเกิดขี้น ภัยเกิดจากภายนอก ไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยภายใน

ภัยที่ผู้อื่นสร้างขึ้นกระทบเราน้อยกกว่าภัยที่เราสร้างขึ้นเอง บางคนทำผิดแล้ว กลับมานั่งเสียใจในภายหลังก็บ่อย ภัยทั้งหลายล้วนเป็นยาพิษ ที่ปลิดจิตใจเราได้ทั้งสิ้น

มนุษย์อื่นทำลายเรา ก็ทำได้เพียงขณะหนึ่ง แต่จิตที่ตั้งไว้ผิดจะทำง่ายเราข้ามภพข้ามชาติ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนเรื่อง อภัยทาน

ไทยเรามีประเพณีอย่างหนึ่งคือ เมื่อจุดเทียนขอขมาศพก็จะขออโหสิกรรมต่อกัน คืออย่าได้มีเวรต่อกันในภพหน้าให้ทุกอย่างจบลงที่ภพชาตินี้ แม้ศัตรูคู่อาฆาตก็ต้องอโหสิกรรมต่อกัน

บางครั้ง พิธีสำคัญในชีวิต เรามักจะไปขอพรผู้ใหญ่ และกล่าวว่ากรรมใดที่เราได่ล่วงเกิน ขอให้ท่านยกโทษให้ คือสิ่งที่เราทำเป็นอโหสิกรรม ทำให้ใจเราว่างเพียงพอเพื่อรองรับความดี ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ เช่น พิธีบวช เป็นต้น

การแสดงอภัยทาน เป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยากมาก หากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติ เพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ ขอให้เรามาพิจารณาเหตุผล ถึงความต่อเนื่องของผลกรรมที่ข้ามภพข้าชาติว่า ให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใด ละยังเป็นผลที่หนีไม่ได้อีกด้วย..

เราต้องการยุติการเผล็ดผลของกรรมกับคนๆนั้นเพียงภพนี้ หรือต้องการจะพบเขา จะเจอเขาอีกต่อไป เราต้องการจะยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพชาตินี้ หรือต้องการลากยาวไปถึงภพข้างหน้า เรามีสิทธิเสรีในตัวเรา
บางคน รักมาก หลงมาก เพราะเขาดีมาก ก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติ บางคนอธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทาง แต่ไม่ยอมยกโทษในที่สุดผลของการยกโทษ คือไม่ยอมให้อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบเอาไว้ที่เอวตนเองตลอดเวลา

การให้อภัย จำทำให้เราสามารถยุติปัญหาต่างๆ ได้ เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่ เหมืนอการโยนของเราไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย

การให้อภัยคือการแสดงกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อภัยทานเวลาที่จะให้ต้องไปขอใคร ไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา เราต้องควักกะเป๋าให้แต่ให้อภัยเราไม่ต้องหาจากไหน และไม่รู่สุกว่าเป็นหารสูญเสีย

ขอให้เราภูมิใจ เมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเรา หรือสำนึกได้ว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขอโทษกัน การขอโทษหรือการให้อภัย มิใช่การเสียหน้า หรือเสียรู้ มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบ แต่อย่างใด หากแต่เป็นการชำระจิตใจให้สะอาด เหมือนภาชนะสกปรก ก็ชำระล้างให้สะอาด

ใครจะคิดอย่างไรไม่ใช่ประเด็นแต่สำหรับเราผู้แสดงออกว่าเราให้อภัยในเรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้ว นั่นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งนั้นจะถูกบรรจุลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์คือจิตของเราทันที

การผูกอาฆาต ความพยาบาท ความอิจฉา โกรธ เกลียด ความคิดแก้แค้น ทิฐิมานะ เป็นต้น เป็นเสมือนเชื้อไวรัส อภัยทาน คือเครื่องมือแอนตี้ไวรัส ส่วนจิตของเรา เหมือนคอมพิวเตอร์

ในชีวิตที่เหลือ อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหน เราต้องการความทรงจำทีเลวร้ายหรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต

เราต้องการนั่งนอนอย่างมีความสุขมีชีวิตด้วยความอิ่มเอิบหรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอนหายใจ ด้วยความทุกข์และกังวลใจ สิ่งเหล่านี้กำหนดที่ตัวเราเอง กำหนดชีวิตให้ถูกต้อง

ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิด คิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็น แม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้
ขอให้เรามาคิดดูว่า ในชีวิตเราของเราคนหนึ่ง อย่างเก่งก็อยู่ได้ ๙๐ ปี เกินนี้ ไปถือว่ากำไรชีวิต ทำไมเราต้องมาเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระ ทำไมเราจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์

การยอมกันเสียบ้างก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก บางกครั้งการยอมแพ้ อาจเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ข้ามภพข้ามชาติ การยกโทษ อาจดูเหมือนเรายอมไม่ติดใจ ไม่เอาเรื่อง แล้วเขาจะได้กำเริบ ส่วนเราเสียเปรียบ ความจริงไม่ใช่ เรากำลังบำเพ็ญบารมีขั้นสูง คือ อภัยทาน อันเป็น ทานบารมี ที่สูงส่ง

ขอให้สังเกตความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เวลาเราโกรธ เกลียด พยาบาท สีหน้าของเราจะเปลี่ยนแปลง เลือดในร่างกายจะผิดระบบ เช่น เวลาโกรธจัด จิตที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ร้าย ก็มีลักษณะเช่นเดียว คือหนักใจ ทำอะไรก็กังวลเป็นทุกข์ แต่พอยกโทษให้ ก็จะรู้สึกทันทีว่า ยิ้มได้ มีความเบาสบายใจ

เราอาจคิดว่า การให้อภัยบ่อยๆ แก่บางคน เขาอาจจะไม่ปรับตัว ยังก่อเหตุอยู่เหมือนเดิม นั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงาน แต่สำหรับเหตุผลของใจนั่น เมื่อเราให้อภัยแล้ว ใจเราก็เบา เพราะหมดห่วง หมดทุกข์ หมดสนิมที่จะมากินใจให้ผุกร่อน

วิธีคิด มึความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคน เรามักได้ยินเสมอๆหรือชนะ อยู่ที่กำลังใจ แท้จริงแล้วคำว่า กำลังใจ ก็คือ วิธีคิดนั่นเอง พลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์คือ การที่ใจมีกำลัง

มนุษย์เราจึงต้องสร้างกำลังใจให้แก่กันและกัน กำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมด ยิ่งคนเราให้คนอื่นได้มากเท่าไน กำลังใจก็ยิ่งเพอกพูน ยิ่งหวงไว้เฉพาะตัว ก็ยิ่งหดหาย

การให้อภัย อาจพูดง่าย แต่ทำยาก แม้จะเป็นเรื่องยาก เพราะใจไม่อยากทำ แต่ก็สามารถทำได้เมื่อเราเมื่อเราฝืนใจทำ และจะเป็นความสุขใจในภายหลัง เมื่อครวญคำนึง

มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เป็นเรื่องที่มีอุทาหรณ์และคติน่าฟังมาก เกี่ยวกับเรื่องของคนที่ไม่ยอมให้อภัยใคร และเป็นคนผูกเกลียด ผูกอาฆาต พยาบาท มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรู คู่ต่อสู้ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่งตายไปพร้อมกับจิตใจที่ขุ่นมัวและผูกอาฆาต
ท่านเล่าว่า เขาอธิษฐานไปเกิดลูกของศัตรู เพื่อจะได้ทำร้ายจิตใจอย่างใกล้ชิดแนบเนียนที่สุดให้ทุกข์ที่สุด ให้สาละวนอยู่กับเรื่องทุกข์ตลอดเวลา เขาเป็นลูกเกเรผลาญทรัพย์ ทำลายวงค์ตระกูล นำความทุกข์เดือดร้อนชาวบ้านทุกวัน

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้เป็นหลักใจว่า คนที่ตายขณะจิตเศร้าหมอง ย่อมไปสู่อบาย กม้นพวกนี้ จะไม่เชื่อเรื่องอบาย ย่อมไปสู่อบายเรื่องนรกที่เป็นภพภูมิ แต่เขาก็ปฎิเสธไม่ได้ถึงนรกคือความเร่าร้อนรุนแรงที่คุกกรุ่นภายในใจ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนที่ตายขณะจิตใจผ่องใส จะได้ไปสู่สวรรค์ คือสภาพที่ใจปลอดโปร่งโล่งเบาก็จะมีแก่ผู้นั้น



สิ่งที่น่าคิดก็คือ ข้าพเจ้าทราบจากนักปราชญ์บัณฑิตโยราณท่านพูดเอาไว้ว่า การเที่เราโกรธใคร เราไม่ให้อภัยเขา หรือเราไม่ไปขออโหสิกรรม ความโกรธนั้นจะเป้ฯกรรมติดตัว คือติดใจเราไปยาวนานข้ามภพข้ามชาติ แปลว่า ไม่ว่าเราจะเกิดภพใดชาติใดกรรมนั้นก็จะตามไปไม่สิ้นสุด

ยิ่งไปกว่านั้น การที่กรรมส่งผลข้ามภพข้ามชาตินั้น เป็นสิ่งที่น่าสะพรีงกลัวยิ่งนักเพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเราได้ทำอะไรกับใครไว้บ้างในอดีต
คนบางคนเกิดมามักถูกใส่ร้ายตลอดเวลา ไม่ว่าจะหันหน้าไปทำอะไร จะมีแต่คนคอยจ้องจับผิด คิดร้าย นินทาลับหลงให้ต้องเสียใจอยู่เสมอ บางคนคิดทำอะไรขึ้นมา พอจะสมหวังกับต้องมีอันต้องเป็นไปให้ผิดหวัง พลาดหวังอยู่บ่อยๆ เราคิดว่าเป็นเรื่องของโชควาสนาไป แต่ความจริงคือเรื่องอดีตกรรมเราไม่ยอมแก้ไข ทั้งๆ ที่แก้ไขได้

ยิ่งไปกว่านั้นบางคนต้องทุกข์เพราะคนใกล้ตัวทุกข์เพราะคนที่รัก ที่เป็นตัวชีวิตของเราเอง เช่น มีลูกไม่อยู่ในโอวาท มีลูกอกตัญญู มีลูกทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล พ่อแม่คิดถึงลูกเมื่อไร ก็มีแต่เรื่องร้อนใจตลอดเวลา

เราจะเห็นว่าบางครอบครัวญาติพี่น้องต้องทะเลาะกันเหมือนเป็นข้าศึกศัตรูมาหลายภพหลายชาติ บางทีต้องฆ่ากันเป็นทอดๆ ถามว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ปัญญาธรรมดาของมนุษย์อย่างพวกเราพอจะทำความเข้าใจได้หรือไม่ กฎหมายที่มีอยู่สามารถคลี่คลายปมปัญหาได้ไหม คำตอบคือยาก เพราะนี่ของเศษกรรมที่ยังไม่ได้รับ “อโหสิ” ระหว่างเราและเขา

ฉะนั้น ถ้าไม่ต้องเสวยวิบากกรรมอันเลวร้ายข้ามภพ ข้ามชาติ ท่านต้องหัดให้อภัยแก่ทุกคน แก่สัตว์ทุกชนิด ให้อภัยแม้ศัตรูที่จะคิดร้ายหมายปองชีวิตเรา อภัยต่อทุกอย่างที่เขาทำไม่ดีกับเรา ให้ทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมทั้งหมด เพื่อเราจะได้ไม่ต้องมีปัญหาในอนาคต

บางครั้งเราก็เห็นเรื่องจริงในชีวิต หรือแม้ที่ปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ หากเรามองย้อนให้ดีสักนิด นิ่งคิดให้ละเอียดลึกซึ้งสักหน่อย เราก็จะเข้าใจได้ว่า การไม่ให้อภัยกันนั้น มีผลร้ายข้ามภพข้ามชาติได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

บางคนเราไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พอเห็นหน้าก็รู้สึกไม่ชอบทันทีเลย จะพูด จะคุย จะทำอะไร ดูเกะกะลูกตาของเราไปหมด แม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเราเช่นกัน นั่นเป็นเพราะอดีต เราไม่ยอมให้อภัยกัน

สิ่งที่มนุษย์เรารักมากที่สุด คือ สามี ภรรยา ลูก แต่ทำไมบางที เมื่อเราแต่งงานกันแล้ว สามีสามารถฆ่าภรรยาได้ หรือภรรยาก็สามารถฆ่าสามีทิ้งได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะอะไร ไม่มีสิ่งใดที่จะอธิบายได้ดีเท่ากับบอกว่านั่นคือผลกรรมที่เกิดจาการไม่ยอมให้อภัยกันในอดีตชาติ และส่งผลมาถึงภพนี้ จีงต้องมาแก้แค้นชำระโทษกัน
การที่เราไม่ยอมให้อภัย เหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเรา แม้เราไปที่ไหน สวมใส่เสื้อผ้าชิ้นใด งามเพียงไร ร่างกายเรายังคงสกปรก และตามไปทุกหนทุกแห่งความงามของเรือนร่างที่ประดับด้วยเครื่องเพชร ด้วยเสื้อผ้า ก็ไม่อาจทำร่างกายให้สะอาดได้ การให้อภัย
เปรียบเหมือน การอาบน้ำชำระร่างกาย

ข้อนี้ เปรียบเสมือนเมื่อเราไม่ให้อภัยใคร ใจเราย่อมดิ่งอยู่กับคนนั้นคนนี้ และตัวเขาก็จะถูกผูกไว้กับความรู้สึกของเรา เหมือนความสกปรกของร่างกายที่ตามเราไปตลอดราไปตลอดเวลา เพราะไม่ยอมชำระล้างให้สะอาด






ท่านทั้งหลายอาจลืมคิดไปว่า ลูกหลานที่เกิดมาแล้วล้างผลาญทรัพย์ ทำลายชื่อเสียง ทำให้
พ่อแม่ต้องเดือดร้อนนอนทุกข์นั้น แท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่เรามิได้อโหสิกรรมไห้เขา เราไม่ได้ยกโทษให้เขา คือเราไม่ได้แปมที่เคยผูกไว้ให้หลุดออกไป กรรมระหว่างเรากัยเขาจึงตดตามกันมาเผล็ดผลถึงวันนี้

บางที คนที่เขาโกรธเรา หากเราโกรธตอบ ก็จะเป็นการตอบรับกระแสกัน เหมือนเราโทรศัทพ์หากัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับ ฝ่ายที่โทรถึงก็หมดสิทธิที่จะคุยเพราะกระแสไม่ถึงกัน

การตอบรับซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นความดี เป็นความรัก ความอบอุ่นก็ดีไป แต่ถ้าความเกลียด ความโกรธ สิ่งที่จะตามมาคือการรับรู้และเก็บอารมณ์โกรธและเกลียดนั้นไว้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราเองก่อน เพื่อป้องกันจิตเรามิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ เราอาจคิดเสมือนหนึ่งเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้เลยก็ได้ การให้อภัยเขา คือคิดถึงเขาในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ไม่สมควรจะไปยึดเป็นรักเป็นชัง

ก็เมื่อแม้แต่รัก ท่านยังสอนให้เราละทิ้ง เพื่อมิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะต้องยังมองเห็นโกรธเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้

การที่เราเห็นสิ่งผิดปกติในชีวิตเราบางครั้ง เช่น มีแต่เรื่องให้เกิดทุกข์ มีแต่คนทำให้ใจขุ่นมัว มีลูกไม่ดี มีหลานไม่สมประสงค์ทำให้เราต้องเก็บมาคิดเสมอ ขอให้เราถือว่า นี่คือเศษเสี้ยวแห่งผลกรรมที่ติดอยู่ในความคิดตั้งแต่อดีตชาติ ซึ่งบัดนี้เผล็ดผล งอกงามออกมาอยู่ใกล้ตัวเราที่สุด

บางครั้งศัตรูยอมอธิษฐานจิตแห่งความพยาบาทให้มาเกิดเป็นลูกของรา เป็นหลานของเราเป็นญาติของเรา เป็นผู้บังคับบัญชาของเราก็มี เพื่อเขาจะได้ทำลายน้ำใจ ชื่อเสียงวงศ์สกุลของเราให้ถึงที่สุด นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้อโหสิกรรมต่อเรา หรือไม่ได้แสดงอภัยทานต่อเขาจากชาติที่แล้ว
นั่นเอง



ฉะนั้น ทุกครั้งที่เราเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับชีวิตใครหรือแม้แต่เกิดขึ้นกับเราเอง และเราเองไม่สามารถจะวอเคราะห์ได้ด้วยปัญญาธรรมดา ขอให้ลองมองผ่านกฎเกณฑ์แห่งกฎแห่งกรรมดูบ้างก็จะช่วยให้จิตใจของเราโปร่งเบาขึ้นมาได้

การคิดถึงกฎแห่งกรรม หาใช่การคิดแบบทดธุระ หรือโยนบาป โดยไม่คิดแก้ปัญหาไม่ การคิดเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นหลักการสำคัญข้อหนึ่งในการแก้ปัญหาจิตใจตามหลักพระพุทธศาสนา หลักกรรม เป็นกฏเกณฑ์ที่ให้ผลได้แยบยลทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตก ที่สลัดไม่ออก ที่ไม่มีทางจะหลบลี้หนีได้ เป็นสิ่งที่เราต้องแบกรับด้วยชีวิต เราต้องพิจารณาความจริงย้อนหลัง และยอมรับเหตุการณ์ณ์นั้นให้ได้

สิ่งที่ควรคิดคือ เรื่องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากกรรมในอดีตที่เราไม่ได้ทำเป็นอโหสิกรรม คือไม่ยอมให้อภัยในภพชาติที่แล้ว และวันนี้สิ่งที่เกิดกับเรา จึงเป็นสิ่งสมควร สมเหตุมผล

วิธีแก้คือ เราต้องยอมรับความจริงของสิ่งที่เกิดกับตัวเรานั้นให้ได้หากคิดได้เช่นนี้ก็จะทำให้จิตใจเราเยือกเย็นและอ่อนโยนลงได้

ความทุกข์ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยแปลงไม่ได้ ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมาก มักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลงแต่เปลี่ยนไม่ได หรือไม่ตต้องการเปลี่ยนแปลง แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

ถามว่าการให้อภัยในความผิดพลาดของคนๆหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำยากง่าย คำตอบคือ ทำง่าย หากเราฝึกหัดทำเป็นประจำ

ขอให้เราฝึกเสมอๆ ว่า ไม่ว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอะไรกับเรา ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้งทำทุกวินาที ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่

เมื่อเราสร้าง อภัยทาน ให้เป็นลักษณะนิสัยตลอดเวลาได้แล้วเรารู้สึกว่า การให้อภัยแก่ใครนั้น เป็นเรื่องง่ายดายเป็นเรื่องธรรมดาๆคือทำได้โยไม่ต้องฝืนใจทำ
ขอให้เราทราบไว้ว่า เมื่อเราหัดสร้าง อภัยทาน เป็นปกติแล้ว เศษกรรมต่างๆ แทนที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติ ก็จะถูกสลัดออก คือตามไปไม่ได้ เพราะมิได้เป็นกรรมอีกต่อไป หากแต่เป็นแต่เพียงกิริยาที่แสดงออก เพราะเราให้อภัยเสียแล้ว

จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาฝึกปฎิบัติ อภัยทาน และอโหสิกรรม ตั้งแต่บัตนี้กันเถิด
เพื่อยุติสนิมในใจ คือความอาฆาตพยาบาท เพื่อยุติแรงส่งของกรรม ที่ตามไปเผล็ดผลอันเผ็ดร้อน
ข้ามภพข้ามชาติ


พึงหลับตาให้ใจสงบครู่หนึ่งก่อน แล้วตั้งใจกล่าวคำแผ่เมตตาเบาๆ ดังนี้

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

อเวรา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุข เถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย

อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียน ซึ่งกันและ กันเลย

อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุข อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

สุขึ อัตตานัง ปริหรันตุ จงเป็นสุข รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยเทอญฯ</font>


</style>
<font color=blue>
อภัยทาน
โดย ปิยโสภณ
วัดพระรามเก้า
ทุกชีวิตล้วนมีภัยของชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที ภัยที่อาจเกิดขี้น ภัยเกิดจากภายนอก ไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยภายใน

ภัยที่ผู้อื่นสร้างขึ้นกระทบเราน้อยกกว่าภัยที่เราสร้างขึ้นเอง บางคนทำผิดแล้ว กลับมานั่งเสียใจในภายหลังก็บ่อย ภัยทั้งหลายล้วนเป็นยาพิษ ที่ปลิดจิตใจเราได้ทั้งสิ้น

มนุษย์อื่นทำลายเรา ก็ทำได้เพียงขณะหนึ่ง แต่จิตที่ตั้งไว้ผิดจะทำง่ายเราข้ามภพข้ามชาติ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนเรื่อง อภัยทาน

ไทยเรามีประเพณีอย่างหนึ่งคือ เมื่อจุดเทียนขอขมาศพก็จะขออโหสิกรรมต่อกัน คืออย่าได้มีเวรต่อกันในภพหน้าให้ทุกอย่างจบลงที่ภพชาตินี้ แม้ศัตรูคู่อาฆาตก็ต้องอโหสิกรรมต่อกัน

บางครั้ง พิธีสำคัญในชีวิต เรามักจะไปขอพรผู้ใหญ่ และกล่าวว่ากรรมใดที่เราได่ล่วงเกิน ขอให้ท่านยกโทษให้ คือสิ่งที่เราทำเป็นอโหสิกรรม ทำให้ใจเราว่างเพียงพอเพื่อรองรับความดี ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ เช่น พิธีบวช เป็นต้น

การแสดงอภัยทาน เป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยากมาก หากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติ เพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ ขอให้เรามาพิจารณาเหตุผล ถึงความต่อเนื่องของผลกรรมที่ข้ามภพข้าชาติว่า ให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใด ละยังเป็นผลที่หนีไม่ได้อีกด้วย..

เราต้องการยุติการเผล็ดผลของกรรมกับคนๆนั้นเพียงภพนี้ หรือต้องการจะพบเขา จะเจอเขาอีกต่อไป เราต้องการจะยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพชาตินี้ หรือต้องการลากยาวไปถึงภพข้างหน้า เรามีสิทธิเสรีในตัวเรา
บางคน รักมาก หลงมาก เพราะเขาดีมาก ก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติ บางคนอธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทาง แต่ไม่ยอมยกโทษในที่สุดผลของการยกโทษ คือไม่ยอมให้อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบเอาไว้ที่เอวตนเองตลอดเวลา

การให้อภัย จำทำให้เราสามารถยุติปัญหาต่างๆ ได้ เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่ เหมืนอการโยนของเราไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย

การให้อภัยคือการแสดงกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อภัยทานเวลาที่จะให้ต้องไปขอใคร ไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา เราต้องควักกะเป๋าให้แต่ให้อภัยเราไม่ต้องหาจากไหน และไม่รู่สุกว่าเป็นหารสูญเสีย

ขอให้เราภูมิใจ เมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเรา หรือสำนึกได้ว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขอโทษกัน การขอโทษหรือการให้อภัย มิใช่การเสียหน้า หรือเสียรู้ มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบ แต่อย่างใด หากแต่เป็นการชำระจิตใจให้สะอาด เหมือนภาชนะสกปรก ก็ชำระล้างให้สะอาด

ใครจะคิดอย่างไรไม่ใช่ประเด็นแต่สำหรับเราผู้แสดงออกว่าเราให้อภัยในเรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้ว นั่นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งนั้นจะถูกบรรจุลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์คือจิตของเราทันที

การผูกอาฆาต ความพยาบาท ความอิจฉา โกรธ เกลียด ความคิดแก้แค้น ทิฐิมานะ เป็นต้น เป็นเสมือนเชื้อไวรัส อภัยทาน คือเครื่องมือแอนตี้ไวรัส ส่วนจิตของเรา เหมือนคอมพิวเตอร์

ในชีวิตที่เหลือ อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหน เราต้องการความทรงจำทีเลวร้ายหรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต

เราต้องการนั่งนอนอย่างมีความสุขมีชีวิตด้วยความอิ่มเอิบหรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอนหายใจ ด้วยความทุกข์และกังวลใจ สิ่งเหล่านี้กำหนดที่ตัวเราเอง กำหนดชีวิตให้ถูกต้อง

ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิด คิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็น แม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้
ขอให้เรามาคิดดูว่า ในชีวิตเราของเราคนหนึ่ง อย่างเก่งก็อยู่ได้ ๙๐ ปี เกินนี้ ไปถือว่ากำไรชีวิต ทำไมเราต้องมาเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระ ทำไมเราจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์

การยอมกันเสียบ้างก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก บางกครั้งการยอมแพ้ อาจเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ข้ามภพข้ามชาติ การยกโทษ อาจดูเหมือนเรายอมไม่ติดใจ ไม่เอาเรื่อง แล้วเขาจะได้กำเริบ ส่วนเราเสียเปรียบ ความจริงไม่ใช่ เรากำลังบำเพ็ญบารมีขั้นสูง คือ อภัยทาน อันเป็น ทานบารมี ที่สูงส่ง

ขอให้สังเกตความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เวลาเราโกรธ เกลียด พยาบาท สีหน้าของเราจะเปลี่ยนแปลง เลือดในร่างกายจะผิดระบบ เช่น เวลาโกรธจัด จิตที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ร้าย ก็มีลักษณะเช่นเดียว คือหนักใจ ทำอะไรก็กังวลเป็นทุกข์ แต่พอยกโทษให้ ก็จะรู้สึกทันทีว่า ยิ้มได้ มีความเบาสบายใจ

เราอาจคิดว่า การให้อภัยบ่อยๆ แก่บางคน เขาอาจจะไม่ปรับตัว ยังก่อเหตุอยู่เหมือนเดิม นั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงาน แต่สำหรับเหตุผลของใจนั่น เมื่อเราให้อภัยแล้ว ใจเราก็เบา เพราะหมดห่วง หมดทุกข์ หมดสนิมที่จะมากินใจให้ผุกร่อน

วิธีคิด มึความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคน เรามักได้ยินเสมอๆหรือชนะ อยู่ที่กำลังใจ แท้จริงแล้วคำว่า กำลังใจ ก็คือ วิธีคิดนั่นเอง พลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์คือ การที่ใจมีกำลัง

มนุษย์เราจึงต้องสร้างกำลังใจให้แก่กันและกัน กำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมด ยิ่งคนเราให้คนอื่นได้มากเท่าไน กำลังใจก็ยิ่งเพอกพูน ยิ่งหวงไว้เฉพาะตัว ก็ยิ่งหดหาย

การให้อภัย อาจพูดง่าย แต่ทำยาก แม้จะเป็นเรื่องยาก เพราะใจไม่อยากทำ แต่ก็สามารถทำได้เมื่อเราเมื่อเราฝืนใจทำ และจะเป็นความสุขใจในภายหลัง เมื่อครวญคำนึง

มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เป็นเรื่องที่มีอุทาหรณ์และคติน่าฟังมาก เกี่ยวกับเรื่องของคนที่ไม่ยอมให้อภัยใคร และเป็นคนผูกเกลียด ผูกอาฆาต พยาบาท มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรู คู่ต่อสู้ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่งตายไปพร้อมกับจิตใจที่ขุ่นมัวและผูกอาฆาต
ท่านเล่าว่า เขาอธิษฐานไปเกิดลูกของศัตรู เพื่อจะได้ทำร้ายจิตใจอย่างใกล้ชิดแนบเนียนที่สุดให้ทุกข์ที่สุด ให้สาละวนอยู่กับเรื่องทุกข์ตลอดเวลา เขาเป็นลูกเกเรผลาญทรัพย์ ทำลายวงค์ตระกูล นำความทุกข์เดือดร้อนชาวบ้านทุกวัน

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้เป็นหลักใจว่า คนที่ตายขณะจิตเศร้าหมอง ย่อมไปสู่อบาย กม้นพวกนี้ จะไม่เชื่อเรื่องอบาย ย่อมไปสู่อบายเรื่องนรกที่เป็นภพภูมิ แต่เขาก็ปฎิเสธไม่ได้ถึงนรกคือความเร่าร้อนรุนแรงที่คุกกรุ่นภายในใจ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนที่ตายขณะจิตใจผ่องใส จะได้ไปสู่สวรรค์ คือสภาพที่ใจปลอดโปร่งโล่งเบาก็จะมีแก่ผู้นั้น



สิ่งที่น่าคิดก็คือ ข้าพเจ้าทราบจากนักปราชญ์บัณฑิตโยราณท่านพูดเอาไว้ว่า การเที่เราโกรธใคร เราไม่ให้อภัยเขา หรือเราไม่ไปขออโหสิกรรม ความโกรธนั้นจะเป้ฯกรรมติดตัว คือติดใจเราไปยาวนานข้ามภพข้ามชาติ แปลว่า ไม่ว่าเราจะเกิดภพใดชาติใดกรรมนั้นก็จะตามไปไม่สิ้นสุด

ยิ่งไปกว่านั้น การที่กรรมส่งผลข้ามภพข้ามชาตินั้น เป็นสิ่งที่น่าสะพรีงกลัวยิ่งนักเพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเราได้ทำอะไรกับใครไว้บ้างในอดีต
คนบางคนเกิดมามักถูกใส่ร้ายตลอดเวลา ไม่ว่าจะหันหน้าไปทำอะไร จะมีแต่คนคอยจ้องจับผิด คิดร้าย นินทาลับหลงให้ต้องเสียใจอยู่เสมอ บางคนคิดทำอะไรขึ้นมา พอจะสมหวังกับต้องมีอันต้องเป็นไปให้ผิดหวัง พลาดหวังอยู่บ่อยๆ เราคิดว่าเป็นเรื่องของโชควาสนาไป แต่ความจริงคือเรื่องอดีตกรรมเราไม่ยอมแก้ไข ทั้งๆ ที่แก้ไขได้

ยิ่งไปกว่านั้นบางคนต้องทุกข์เพราะคนใกล้ตัวทุกข์เพราะคนที่รัก ที่เป็นตัวชีวิตของเราเอง เช่น มีลูกไม่อยู่ในโอวาท มีลูกอกตัญญู มีลูกทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล พ่อแม่คิดถึงลูกเมื่อไร ก็มีแต่เรื่องร้อนใจตลอดเวลา

เราจะเห็นว่าบางครอบครัวญาติพี่น้องต้องทะเลาะกันเหมือนเป็นข้าศึกศัตรูมาหลายภพหลายชาติ บางทีต้องฆ่ากันเป็นทอดๆ ถามว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ปัญญาธรรมดาของมนุษย์อย่างพวกเราพอจะทำความเข้าใจได้หรือไม่ กฎหมายที่มีอยู่สามารถคลี่คลายปมปัญหาได้ไหม คำตอบคือยาก เพราะนี่ของเศษกรรมที่ยังไม่ได้รับ “อโหสิ” ระหว่างเราและเขา

ฉะนั้น ถ้าไม่ต้องเสวยวิบากกรรมอันเลวร้ายข้ามภพ ข้ามชาติ ท่านต้องหัดให้อภัยแก่ทุกคน แก่สัตว์ทุกชนิด ให้อภัยแม้ศัตรูที่จะคิดร้ายหมายปองชีวิตเรา อภัยต่อทุกอย่างที่เขาทำไม่ดีกับเรา ให้ทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมทั้งหมด เพื่อเราจะได้ไม่ต้องมีปัญหาในอนาคต

บางครั้งเราก็เห็นเรื่องจริงในชีวิต หรือแม้ที่ปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ หากเรามองย้อนให้ดีสักนิด นิ่งคิดให้ละเอียดลึกซึ้งสักหน่อย เราก็จะเข้าใจได้ว่า การไม่ให้อภัยกันนั้น มีผลร้ายข้ามภพข้ามชาติได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

บางคนเราไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พอเห็นหน้าก็รู้สึกไม่ชอบทันทีเลย จะพูด จะคุย จะทำอะไร ดูเกะกะลูกตาของเราไปหมด แม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเราเช่นกัน นั่นเป็นเพราะอดีต เราไม่ยอมให้อภัยกัน

สิ่งที่มนุษย์เรารักมากที่สุด คือ สามี ภรรยา ลูก แต่ทำไมบางที เมื่อเราแต่งงานกันแล้ว สามีสามารถฆ่าภรรยาได้ หรือภรรยาก็สามารถฆ่าสามีทิ้งได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะอะไร ไม่มีสิ่งใดที่จะอธิบายได้ดีเท่ากับบอกว่านั่นคือผลกรรมที่เกิดจาการไม่ยอมให้อภัยกันในอดีตชาติ และส่งผลมาถึงภพนี้ จีงต้องมาแก้แค้นชำระโทษกัน
การที่เราไม่ยอมให้อภัย เหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเรา แม้เราไปที่ไหน สวมใส่เสื้อผ้าชิ้นใด งามเพียงไร ร่างกายเรายังคงสกปรก และตามไปทุกหนทุกแห่งความงามของเรือนร่างที่ประดับด้วยเครื่องเพชร ด้วยเสื้อผ้า ก็ไม่อาจทำร่างกายให้สะอาดได้ การให้อภัย
เปรียบเหมือน การอาบน้ำชำระร่างกาย

ข้อนี้ เปรียบเสมือนเมื่อเราไม่ให้อภัยใคร ใจเราย่อมดิ่งอยู่กับคนนั้นคนนี้ และตัวเขาก็จะถูกผูกไว้กับความรู้สึกของเรา เหมือนความสกปรกของร่างกายที่ตามเราไปตลอดราไปตลอดเวลา เพราะไม่ยอมชำระล้างให้สะอาด






ท่านทั้งหลายอาจลืมคิดไปว่า ลูกหลานที่เกิดมาแล้วล้างผลาญทรัพย์ ทำลายชื่อเสียง ทำให้
พ่อแม่ต้องเดือดร้อนนอนทุกข์นั้น แท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่เรามิได้อโหสิกรรมไห้เขา เราไม่ได้ยกโทษให้เขา คือเราไม่ได้แปมที่เคยผูกไว้ให้หลุดออกไป กรรมระหว่างเรากัยเขาจึงตดตามกันมาเผล็ดผลถึงวันนี้

บางที คนที่เขาโกรธเรา หากเราโกรธตอบ ก็จะเป็นการตอบรับกระแสกัน เหมือนเราโทรศัทพ์หากัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับ ฝ่ายที่โทรถึงก็หมดสิทธิที่จะคุยเพราะกระแสไม่ถึงกัน

การตอบรับซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นความดี เป็นความรัก ความอบอุ่นก็ดีไป แต่ถ้าความเกลียด ความโกรธ สิ่งที่จะตามมาคือการรับรู้และเก็บอารมณ์โกรธและเกลียดนั้นไว้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราเองก่อน เพื่อป้องกันจิตเรามิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ เราอาจคิดเสมือนหนึ่งเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้เลยก็ได้ การให้อภัยเขา คือคิดถึงเขาในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ไม่สมควรจะไปยึดเป็นรักเป็นชัง

ก็เมื่อแม้แต่รัก ท่านยังสอนให้เราละทิ้ง เพื่อมิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะต้องยังมองเห็นโกรธเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้

การที่เราเห็นสิ่งผิดปกติในชีวิตเราบางครั้ง เช่น มีแต่เรื่องให้เกิดทุกข์ มีแต่คนทำให้ใจขุ่นมัว มีลูกไม่ดี มีหลานไม่สมประสงค์ทำให้เราต้องเก็บมาคิดเสมอ ขอให้เราถือว่า นี่คือเศษเสี้ยวแห่งผลกรรมที่ติดอยู่ในความคิดตั้งแต่อดีตชาติ ซึ่งบัดนี้เผล็ดผล งอกงามออกมาอยู่ใกล้ตัวเราที่สุด

บางครั้งศัตรูยอมอธิษฐานจิตแห่งความพยาบาทให้มาเกิดเป็นลูกของรา เป็นหลานของเราเป็นญาติของเรา เป็นผู้บังคับบัญชาของเราก็มี เพื่อเขาจะได้ทำลายน้ำใจ ชื่อเสียงวงศ์สกุลของเราให้ถึงที่สุด นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้อโหสิกรรมต่อเรา หรือไม่ได้แสดงอภัยทานต่อเขาจากชาติที่แล้ว
นั่นเอง



ฉะนั้น ทุกครั้งที่เราเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับชีวิตใครหรือแม้แต่เกิดขึ้นกับเราเอง และเราเองไม่สามารถจะวอเคราะห์ได้ด้วยปัญญาธรรมดา ขอให้ลองมองผ่านกฎเกณฑ์แห่งกฎแห่งกรรมดูบ้างก็จะช่วยให้จิตใจของเราโปร่งเบาขึ้นมาได้

การคิดถึงกฎแห่งกรรม หาใช่การคิดแบบทดธุระ หรือโยนบาป โดยไม่คิดแก้ปัญหาไม่ การคิดเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นหลักการสำคัญข้อหนึ่งในการแก้ปัญหาจิตใจตามหลักพระพุทธศาสนา หลักกรรม เป็นกฏเกณฑ์ที่ให้ผลได้แยบยลทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตก ที่สลัดไม่ออก ที่ไม่มีทางจะหลบลี้หนีได้ เป็นสิ่งที่เราต้องแบกรับด้วยชีวิต เราต้องพิจารณาความจริงย้อนหลัง และยอมรับเหตุการณ์ณ์นั้นให้ได้

สิ่งที่ควรคิดคือ เรื่องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากกรรมในอดีตที่เราไม่ได้ทำเป็นอโหสิกรรม คือไม่ยอมให้อภัยในภพชาติที่แล้ว และวันนี้สิ่งที่เกิดกับเรา จึงเป็นสิ่งสมควร สมเหตุมผล

วิธีแก้คือ เราต้องยอมรับความจริงของสิ่งที่เกิดกับตัวเรานั้นให้ได้หากคิดได้เช่นนี้ก็จะทำให้จิตใจเราเยือกเย็นและอ่อนโยนลงได้

ความทุกข์ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยแปลงไม่ได้ ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมาก มักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลงแต่เปลี่ยนไม่ได หรือไม่ตต้องการเปลี่ยนแปลง แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

ถามว่าการให้อภัยในความผิดพลาดของคนๆหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำยากง่าย คำตอบคือ ทำง่าย หากเราฝึกหัดทำเป็นประจำ

ขอให้เราฝึกเสมอๆ ว่า ไม่ว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอะไรกับเรา ขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวัน ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้งทำทุกวินาที ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่

เมื่อเราสร้าง อภัยทาน ให้เป็นลักษณะนิสัยตลอดเวลาได้แล้วเรารู้สึกว่า การให้อภัยแก่ใครนั้น เป็นเรื่องง่ายดายเป็นเรื่องธรรมดาๆคือทำได้โยไม่ต้องฝืนใจทำ
ขอให้เราทราบไว้ว่า เมื่อเราหัดสร้าง อภัยทาน เป็นปกติแล้ว เศษกรรมต่างๆ แทนที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติ ก็จะถูกสลัดออก คือตามไปไม่ได้ เพราะมิได้เป็นกรรมอีกต่อไป หากแต่เป็นแต่เพียงกิริยาที่แสดงออก เพราะเราให้อภัยเสียแล้ว

จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาฝึกปฎิบัติ อภัยทาน และอโหสิกรรม ตั้งแต่บัตนี้กันเถิด
เพื่อยุติสนิมในใจ คือความอาฆาตพยาบาท เพื่อยุติแรงส่งของกรรม ที่ตามไปเผล็ดผลอันเผ็ดร้อน
ข้ามภพข้ามชาติ


พึงหลับตาให้ใจสงบครู่หนึ่งก่อน แล้วตั้งใจกล่าวคำแผ่เมตตาเบาๆ ดังนี้

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

อเวรา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุข เถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย

อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียน ซึ่งกันและ กันเลย

อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุข อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

สุขึ อัตตานัง ปริหรันตุ จงเป็นสุข รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยเทอญฯ



#112510 Easy life in Africa เรียบง่ายในอาฟริกา‏

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 20 June 2008 - 03:18 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

จาก: p.dontana dmc

Walkman


*******************************************************************************
Hot water system


***************************************************************************************
Transportation - 1 - Toyota Co(w)rolla



***************************************************************************************

Transportation - 2 - pick-up truck !!! (Australian 'ute' !!!)





***************************************************************************************
Ambulance

[img ]http://i275.photobuc...175E71C8700.jpg[/img]

***************************************************************************************

I just love Africa simple and not complicated.
We are just who we are.
No stress.
I am proud to be African.




This vehicle was seen near Makerere , Zimbabwe




This was photographed in Buru Buru, Nairobi. Kenya




These guys must have smoked weed!
Look at the goat.





Human ingenuity?
Painting the swimming pool


.




Must be Zimbabwe ???




Listen - English is only a 2 nd language !!!
You've got to make allowances.
'Nuff said !!!



#88389 การทำงานไม่มีโทษ

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 06 September 2007 - 01:07 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

โรงงานที่ดีมีประสิทธิภาพ

ไม่ใช่เพียงเพราะผลิตผลงานได้มากเท่านั้น

แต่จะต้องผลิตผลงานที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ด้วย

เช่นกัน คนเราจะเจริญก้าวหน้า

ทำประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้

ไม่ใช่เพียงเพราะทำงานได้มากเท่านั้น

แต่จะต้องเลือกทำเฉพาะงานที่ไม่มีโทษด้วย



อาชีพต้องห้ามต่อไปนี้ พุทธศาสนิกชนไม่ควรทำ

1. การค้าอาวุธ

2. การค้ามนุษย์

3. การค้ายาพิษ

4. การค้ายาเสพย์ติด

5. การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า



ใครก็ตามที่ประกอบอาชีพ 5 ประการข้างต้นนี้ ได้ชื่อว่าทำงานมีโทษและก่อให้เกิดโทษแก่ตนเองมากมายสุดประมาณ แม้จะร่ำรวยเร็วก็ไม่คุ้มกับบาปกรรมที่ก่อไว้



(ที่มา: พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ, หนังสือ มงคลชีวิต ฉบับทางก้าวหน้า



#88557 การทำงานไม่มีโทษ

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 08 September 2007 - 07:12 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

สาธุ



#99205 รักษาใจไว้ดีกว่า

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 25 January 2008 - 09:48 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

[/color] รักษาใจไว้ดีกว่า


เหตุการณ์ต่าง ๆ มีดี มีเสีย โลกเราก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว
บางช่วงก็ยินดี ร่าเริง บางช่วงทุกข์ เครียด กังวล สับสน
โลกจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด อย่าไปกังวลกับมันนักเลย
รักษาใจเราไว้ดีกว่า อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ดี
แม้เป็นเรื่องของคนอื่น ถ้าขืนไปคิดมีแต่จะเข้าตัว
เสียอะไร เสียได้ เสียไป แต่อย่าให้ใจเสีย
17 กุมภาพันธ์ 2525
(ที่มา: หนังสือคำสอนของยาย 2 www.webkal.org)


เมื่อท่านอ่านธรรมะ Mail แล้วอยากสร้างปัญญาบารมี
โดยการแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน สามารถสมัครได้ที่
หรือทุกวันอาทิตย์ที่ชมรม MIT เสา C6 สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.webkal.org
กรณีที่ไม่ต้องการรับ Email สามารถยกเลิกได้ที่
[color="black"]





#93392 ธรรมะจะเป็นเพื่อนตายสำหรับเรา

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 10 November 2007 - 09:48 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ธรรมะ จะเป็นเพื่อนตายสำหรับเรา









อยู่เคียงข้างเราตลอดไป

ไม่ว่าเราจะอยู่ตามลำพัง

ในป่า เขา ห้วย หนองคลอง บึง

ไม่มีเหงา ไม่มีเศร้าสร้อย

ซึม เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม ไม่มีเลย

มีแต่ความสบาย

เป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริง สิ่งอื่นไม่ใช่



วันที่ 30 กันยายน 2545



(ที่มา: เลิศล้ำถ้อยคำครู ปี 2549)



#98989 ผ้าขี้ริ้ว

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 22 January 2008 - 09:10 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก


ธรรมะ Mail



ผ้าขี้ริ้ว




คนที่มีใจใสสะอาดบริสุทธิ์

ย่อมทำสิ่งรอบข้างให้สะอาดหมดจดได้เสมอ

แม้กระทั่งผ้าขี้ริ้ว


“ความสะอาดภายนอกใคร ๆ ก็อาจมองเห็นได้

แต่ความสะอาดภายในจิตใจ ตัวเราเองเท่านั้นที่มองเห็น






(ที่มา: หนังสือดวงจันทร์กลางดวงใจ www.webkal.org)

sleep.gif sleep.gif sleep.gif




#88430 ศีลเป็นเครื่องจำแนกคนออกจากสัตว์

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 06 September 2007 - 08:15 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

การกินเจไม่ได้บุญจ๊ะ
อันนี้ขอร่วมศึกษา เพราะเราก็กินเจอยู่เหมือนกัน

การกินเจมีจุดประสงค์หลัก 3 อย่าง
- เพื่อสุขภาพ (ไม่อธิบายละนะ เอาเป็นว่าลองศึกษาแนวทางชีวจิตที่กินผักก็ได้ จุดประสงค์ข้อนี้คล้ายกัน)
- เพื่อฟื้นฟูจิตเมตตา เมื่อไม่กินเขา ย่อมห่างจากการฆ่า หรือซื้อ หรือสั่งให้ฆ่า นับเป้นการเพิ่มพูนจิตเมตตา
- เพื่อตัดหนทางการสร้างกรรม เมื่อไม่กินและไม่ฆ่า กรรมในส่วนปาณาติบาตก็จะไม่ถูกสร้าง


จาก ท่าน

<a set="yes" linkindex="136" href="http://www.com-th.ne...=profile;u=577" title="ดูรายละเอียดของ เซียวเหล่งนึ่ง แห่งสำนักสุสานโบราณ">เซียวเหล่งนึ่ง แห่งสำนักสุสานโบราณ


อยากทรายเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ค่ะ



#93389 บล็อกธรรมะดีดี มีสาระ

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 10 November 2007 - 09:29 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

อนุโทนาบุญด้วยค่ะ



#93386 หลุมรักที่แท้จริง

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 10 November 2007 - 08:58 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



หลุมรักที่แท้จริง




ผู้มีหัวใจที่งดงามได้กล่าวไว้ว่า

เอาความรักออกมาแบ่งปันให้กันเถิดหนา

แล้วเราจะมีความสุข มีแต่ความพึงพอใจ

ไม่มีอะไรเทียบได้ เป็นความดีง่าย ๆ

ที่ใครก็ทำได้ แต่ต้องทำให้ถูกวิธี

แล้วเราจะมีความสุขตลอดไป

ความรักที่แท้จริงจะเกิดขึ้น เมื่อเราหลับตาเบา ๆ

ผ่อนคลายสบาย หยุดใจที่ศูนย์กลางกาย

จนดวงตะวันสว่างภายใน

ความสุขไม่มีใดปานจะเกิดขึ้นมา

แล้วเราจะตกหลุมรักตัวเอง เป็นหลุมรักภายใน

เป็นหลุมรักใส ๆ ไม่ตกหลุมรักใคร

หมดปัญหาใด ๆ มีแต่ความรักใส ๆ ให้ทุกคน



(ที่มา: หนังสือความรักที่น่ารัก โดยตะวันธรรม)



#97832 หัวใจครอบครัว

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 10 January 2008 - 08:42 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ธรรมะหมวดหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักการวางรากฐานชีวิตและครอบครัวให้มั่นคงนั่นคือ ฆราวาสธรรม ซึ่งประกอบด้วย หลักการ 4 ข้อ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ ทั้งสี่ข้อนี้เป็น หัวใจครอบครัว



1.สัจจะ แก้ปัญหาความหวาดระแวงกันและกัน

สัจจะ แปลว่า ความจริงใจ ความจริงจัง ตลอดจนความซื่อตรงต่อกันและกัน

2.ทมะ แก้ปัญหาความโง่เขลา ไม่ทันคน ทันโลก ทันกิเลส

ทมะ แปลว่ารู้จักข่มจิตข่มใจตัวเอง

3.ขันติ แก้ปัญหาความเบื่อหน่ายกันเอง

ขันติ แปลว่า ความอดทน

4.จาคะ แก้ปัญหาความเห็นแก่ตัว

จาคะ แปลว่า ความเสียสละ



(ที่มา: ครอบครัวอบอุ่น ส.ผ่องสวัสดิ์)




#94122 เรื่องดีดี

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 20 November 2007 - 01:25 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแ กจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย คุณหัวขโมย" คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
.
.
.
.
.
.
หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า

"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

" แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงา นเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ........"

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...




หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง เดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....


ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"


และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์

โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค

บู มิง ฮอง เล่าเรื่อง







100 สิ่งดีดี...

- เอาใจเขามาใส่ใจเรา

- เชื่อมั่นตัวเอง

- อย่ามองคนที่หน้าตา

- กล้าคิด พูด และทำ

- เมื่อมีเรื่องจงหมั่นปรึกษาผู้อื่น และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย

- อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด

- ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ

- เปิดใจให้กว้าง

- มองการณ์ไกล

- วางแผนอนาคต

- อย่าโทษตัวเอง

- มีความรับผิดชอบ

- ตอบแทนเมื่อได้รับ

- ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้หรือไม่มี

- อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด

- คิดถึงส่วนรวมให้มาก

- ดูแลตัวเองให้เป็น

- รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี

- อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า

- อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียมันไปแล้ว

- จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร

- ที่ทำอยู่มีผลดี / เสีย มีประโยชน์ / ไร้ประโยชน์

- อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก

- ให้อภัยแก่ตนเอง และ ผู้อื่น

- อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน

- คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร

- ได้หน้าอย่าลืมหลัง

- คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึกที่เสียไปแล้ว แต่จงวางแผนที่จะดูแลไม่ให้มันเสีย

- อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ

- อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง

- รู้จักแบ่งเวลาและหน้าที่

- ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง

- อย่าเห็นแก่ตัว

- อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

- อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้ หรือ เปลี่ยนแปลงมันได้

- กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง

- เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก็คุยกันได้

- อย่าคิดว่าเขาไม่โทรมา ถ้าคุณก็ไม่เคยโทรหาเขาเช่นกัน

- จงเป็นฝ่ายให้มากกว่าฝ่ายรับ

- ดูแลบิดา มารดาให้ดี คุณมีโอกาสรีบทำซะก่อนจะไม่มี

- อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมาแต่คุณสามารถทำมันใหม่ หรือเรียนรู้จากมันได้

- คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับได้ ดังนั้นคิดก่อนพูด

- อย่าทุ่มเทกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์

- คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด

- ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้

- หาจุดหมายให้กับชีวิต

- เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น

- ถ้างง เขียนหนังสือได้แต่เขียนให้เป็นภาษา

- วันๆหนึ่งคุณทำอะไรไปบ้างที่ไม่ใช่กิน นอน เล่น

- ไม่มีหมอคนไหน รอให้คนไข้จะตาย แล้วค่อยช่วยหรอกนะ เพื่อนคุณก็เช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตาย แล้วถึงไปถามหรือดูแล

- ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง

- คุณซื้อนาฬิกาได้แต่คุณซื้อเวลาไม่ได้

- ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า? ถ้ามีกลับไปหาซะ

- ตอนนี้คุณคอยใครอยู่รึเปล่า? จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่? ทำอะไรซะบ้าง

- อย่ากล่าวคำว่าขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามขอโทษ

- ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร? คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ?

- ตอนนี้คุณสบายอยู่? แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ? หมดประโยชน์? ไม่ใช่? แล้วไง?? ต้องให้บอกต่อมั้ย???

- ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของผู้อื่น

- ตอนที่คุณกำลังอ่านประโยคนี้ จงรู้ไว้ซะว่าคุณเป็นมนุษย์และยังมีชีวิตอยู่

- ใครเป็นคนทำให้คุณมีชีวิต? ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง?

- ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกว่ารักเขาก็เพียงพอแล้ว

- อย่ารอให้ถึงวันเกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน

- ไม่มีกฎหมายใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา

- ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆ มีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีไหม? หรือว่าดูที่ราคาขนม?

- เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต

- อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีผู้เขียนอีกคน

- อย่าคิดว่าตนเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด

- อย่าพูดคำว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้าคุณก็ไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน

- เหนื่อยแล้วพักซะเถอะ อย่าฝืนอ่านต่อเลย คนเขียนดีใจมากแล้วที่คุณอ่านถึงตรงนี้

- อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุณก็เป็นคนเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง

- ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปก็อยู่ในตัวคุณ?

- คุณมองเพชรมองที่ความงามภายใน หรือป้ายราคาข้างนอก?

- ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน

- มีเรื่องราวอีกมากมาย ที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือลองค้นคว้าดูจะรู้

- ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง

- การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด

- ทำยังไง?? ต้องขโมยขึ้นบ้านก่อนถึงไปดูแลรั้วบ้านใช่มั้ย??

- ทำใจกับสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี

- จะยกตัวอย่างให้ สมมุติคนที่คุณรักจากไปตอนนี้ คุณคิดว่าคุณทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง??

- อย่าตอบว่าทำยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำรึยัง? ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?

- คุณทำใจได้แล้วหรือ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้น? คุณไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก็ไม่ฟื้นหรือได้ยินหรอกนะ?

- ตัวคุณมีคุณค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า??

- หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากที่คุณไม่รู้?

- ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า? หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิตย์

- การใส่เสื้อสวยๆ ไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก

- หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้

- ลองทำอะไรบ้าๆดูบ้างก็ดี อย่ายึดติดกับอะไรนักเลย

- ผู้เขียนไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รู้อะไรไว้บ้างก็ดี

- สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆไปในชีวิต หรือ เรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ กลับมาดูแลตรงนั้นบ้างก็ดี

- อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก็ดี

- อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว

- ยาเสพย์ติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด

- อย่าทำตามเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากะร่างกายเราคนละร่างกายกัน แน่นอนจิตใจก็เหมือนกัน

- ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชาย ผู้หญิงก็คือผู้หญิง

- บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป

- ไม่มีมิตรถาวร และ ศัตรูที่แท้จริง

- จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

Ps. หาเวลาทําอะไรดีเพื่อตัวเอง อย่างน้อยซัก 20 ข้อ นะคะ



#94121 แต่งตามเทรนด์ ถ้าคิดเป็นก็ OK

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 20 November 2007 - 01:24 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



แต่งตามเทรนด์ ถ้าคิดเป็นก็ OK



ในช่วงนี้ ข่าวเด่น ประเด็นฮอต ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในสังคมเรื่องหนึ่งก็คือ การแต่งกายล่อแหลมของเด็กสาวๆ ซึ่งเลียนแบบมาจากดาราต่างประเทศ

สำหรับในทางพระพุทธศาสนา การแต่งกายทำนองนี้ เข้าข่าย"นุ่งชั่ว ห่มชั่ว"

นุ่งชั่ว คือ การนุ่งที่ชายผ้าสูงเกินกว่าครึ่งหน้าแข้ง
ห่มชั่ว คือ การที่ห่มข้างบนแล้วเปิดไหล่ให้เห็นทั้ง 2 ข้าง



การเลียนแบบแฟชั่นโดยไม่ได้พิจารณาความควร ไม่ควร ในกรณีนี้เป็นเพราะส่วนหนึ่งขาดความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการนุ่งห่มเสื้อผ้า ว่า ที่แท้จริงเป็นไปเพื่อบำบัดความร้อนหนาว เพื่อกันแดด กันลม กันฝน กันสัตว์ทั้งหลายมา ไต่ตอม และเพื่อปกปิดอวัยวะที่น่าละอาย

นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะขาดคุณธรรม เรื่อง หิริ โอตตัปปะ คือ ความละอาย และความกลัวต่อบาป

หิริ แปลว่า ความละอายแก่ใจ หิริจะเกิดขึ้นได้ด้วยการคิดถึงการศึกษา ฐานะ ยศศักดิ์ ชาติตระกูลของตน ทำให้เกิดความละอายไม่กล้าทำบาป
โอตตัปปะ แปลว่า ความเกรงกลัว หมายถึง สะดุ้งกลัวต่อผลของบาป โอตตัปปะ จะเกิดขึ้นได้เพราะคิดถึงโทษหรือทุกข์ที่เกิดจากการทำบาป เช่น ทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน ถูกตำหนิติเตียน ถูกสังคมรังเกียจ เป็นต้น

แต่ก่อนที่หิริ โอตตัปปะ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้อง มีสัมมาทิฐิก่อน ต้องรักบุญกลัวบาปก่อน ซึ่งทั้งสัมมาทิฐิ และความเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ในการนุ่งห่มเสื้อผ้านี้ เป็นเรื่องที่พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นในใจของเด็กซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้น การทำตามแฟชั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตาจะไม่เกิดขึ้น

ถ้าจะถามว่า การแต่งกาย เกี่ยวอะไรกับเรื่องบาป ก็ต้องตอบว่า มันเป็นการยั่วยุทางเพศ ทำให้คนใจขุ่นมัว และจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ แม้บางครั้งตัวคนที่แต่งกายล่อแหลมอาจไม่ได้รับอันตรายใดๆ เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย แต่อันตรายอาจไปตกกับผู้หญิงคนอื่นโดยมีจุดเริ่มมาจากการแต่งกายยั่วยุของคนที่แต่งตัวโป๊ และเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วซึ่งเท่ากับผู้แต่งตัวโป๊ มีส่วนยั่วยุให้คนอื่นทำบาปกรรม และมีส่วนในการสร้างความทุกข์ให้กับผู้หญิงด้วยกันอย่างแสนสาหัส

การแต่งตัวตามเทรนด์หรือล้ำเทรนด์ ไม่ใช่ว่าจะได้เกิดเสมอไป ดับมาก็เยอะแล้ว คนดังบางคน ไม่เคยตามเทรนด์เลยจะใส่เฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเท่านั้น ซึ่งจะทำให้รู้สึกมั่นใจ ดูดีมีสไตล์ และอยู่เหนือคำว่าแฟชั่น ดังคำพูดที่ว่า "คนบางคนปรับตัวเองตามโลก แต่คน บางคนปรับโลกให้เข้ากับตัวเองและโลกก็หมุนได้ด้วยคนประเภทหลัง”



(ที่มา:วารสารอยู่ในบุญ ฉบับเดือน ตุลาคม 2550)




#94784 สันติภาพภายนอก เริ่มจากสันติสุขภายใน

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 28 November 2007 - 08:52 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ธรรมะ Mail[/color]
สันติภาพภายนอก เริ่มจากสันติสุขภายใน

จะดีกว่าไหม..? หากโลกนี้ยังมีความเชื่อที่แตกต่าง
แต่ทุกคนก็อยู่ร่วมกันได้ อย่างมีความสุข...
สมานฉันท์ และมีความเอื้ออาทรต่อกันตลอดไป
รากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ใจเป็นเหตุ
เมื่อเกิดตรงไหน ก็ต้องแก้ตรงนั้น
เมื่อปัญหาเริ่มที่ใจ ก็ต้องไปแก้ที่ใจ
ต้องแก้ด้วยวิธีที่ลัด ตรง และเร็วที่สุด ก็คือ การทำสมาธิ
สิ่งที่ยากที่สุด แก้ได้ด้วยวิธีง่ายที่สุด
“สันติภาพภายนอกเริ่มจากสันติสุขภายใน
(ที่มา:อะไร ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนใจ? และ สุขดีที่หนึงเลย)


เมื่อท่านอ่านธรรมะ Mail แล้วอยากสร้างปัญญาบารมี
โดยการแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน สามารถสมัครได้ที่

รูปภาพแนบ

  • image001.jpg



#91394 +++กฎแห่งกรรม มีจริงหรือ?+++

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 17 October 2007 - 07:38 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
M2M

+++กฎแห่งกรรม มีจริงหรือ?+++


เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใครสนใจลองอ่านดู






บทสัมภาษณ์ริชชี่ในเรื่องของสัมผัสที่ 6




รายการ“วีไอพี” เผยโฉม Super Richy หนุ่มพลังจิตช่วยชีวิตมาแล้ว 2,000 คน!




Download คำแก้กรรม





#100676 ยิ่งบอกรัก ยิ่งมั่นคง

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 13 February 2008 - 11:15 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

เว็บกัลฯ



ธรรมะ Mail



ยิ่งบอกรัก ยิ่งมั่นคง



การบอกรักกันแต่ละครั้ง

ใช้ได้แค่…วันต่อวัน…เท่านั้น

เหมือนทานอาหารมื้อต่อมื้อ

เราต้องบอกบ่อย ๆ

มิใช้ว่าทานอาหารมื้อเช้านี้แล้ว

จะใช้ไปได้อีก 7 วัน หรือ 15 วัน

เราต้องบอกกันอยู่เรื่อย ๆ ว่า..

รักและห่วงใย

นี่เป็นการแสดงความรักระหว่างคน ฉันสามีภรรยา

แม้อยู่ด้วยกันมานาน..ก็ต้องบอกกันบ่อย ๆ

ไม่ใช่ว่าบอกทีเดียวแล้ว…ใช้ได้ไปตลอดชาติ

แล้วมาบอกว่า…

นี่เธอไม่รักฉันเหมือนเดิมเลย

ก็ค้านว่า..เคยบอกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว น่าจะใช้ได้ตลอด

แต่ความจริงแล้ว

ความรักที่มีต้องบอกกันทุกวัน

เพราะยิ่งบอกยิ่งเพิ่มพูน

ยิ่งบอกยิ่งมั่นคง

เพลงมันเป็นของรักนะ http://www.dmc.tv/pr...s/precious1.wmv

(ที่มา: หนังสือ lovely love ความรักที่น่ารัก)





#94284 มีพ่อจนๆมันน่าอายนักหรือ !!

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 22 November 2007 - 09:25 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

น่าสงสารจริงๆๆๆๆๆแต่มีใครเคยคิดบ้างไหมถ้าเกิดกับตัวเองจะเป็นอย่างไร



#92570 อยู่กันด้วยความรัก

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 02 November 2007 - 02:04 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

สาธุค่ะ



#97846 จงทำชีวิตให้เหมือนแบงค์ 1000

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 10 January 2008 - 10:04 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

เห็นด้วยกับคหที่ 8 ค่ะ สาธุ



#88521 อยากทราบเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ค่ะ

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 08 September 2007 - 10:30 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

สาธุ



#88531 อยากทราบเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ค่ะ

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 08 September 2007 - 01:32 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ขอเพิ่มเติมความคิดเห็นที่ 3 นินึงค่ะ

สำหรับพระภิกษุขอรับทราบไว้ด้วยว่าเนื้อสัตว์ที่มีผู้ทำอาหารถวายพระนั้น มีพระวินัยอยู่ว่า ถ้าเนื้อนั้น พระได้เห็นหรือได้ยิน ว่า เขาเฉพาะเจาะจงฆ่าสัตว์สำหรับท่านละก็ท่านฉันไม่ได้
แม้ไม่เห็นการฆ่า ไม่ได้ยินตอนเขาฆ่ามาเฉพาะเพื่อท่าน แต่สงสัยว่าเขาเฉพาะเจาะจงฆ่าสัตว์สำหรับท่านละก็ท่านฉันไม่ได้ แม้อย่างนั้นในพระวินัย ก็กำหนดว่าฉันไม่ได้



เนื้อ ๑๐ ประเภทต่อไปนี้ในพระวินัย ห้ามพระภิกษุฉัน คือ

๑.เนื้อมนุษย์
๒.เนื้อช้าง
๓.เนิื้อม้า
๔.เนื้อสุนัข
๕.เนิ้องู
๖.เนิ้อราชสีห์
๗.เนื้อเสือโคร่ง
๘.เนื้อเสือเหลือง
๙.เนื้อหมี
๑๐.เนื้อเสือดาว

เนื้อเหล่านี้ห้ามพระภิกษุฉันเ็ด็ดขาด รูปใดฉัน ถือว่าผิดพระวินัย ต้องอาบัติ


หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา โดยพระภาวนาวิริยคุณ

พระไตรปิฏก หน้า ๙๗ ฉบับมหามกุฎฯ





#88558 อยากทราบเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ค่ะ

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 08 September 2007 - 07:12 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

สาธุค่ะ



#88512 อยากทราบเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ค่ะ

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 08 September 2007 - 04:08 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

การกินเจไม่ได้บุญจ๊ะ
อันนี้ขอร่วมศึกษา เพราะเราก็กินเจอยู่เหมือนกัน

การกินเจมีจุดประสงค์หลัก 3 อย่าง
- เพื่อสุขภาพ (ไม่อธิบายละนะ เอาเป็นว่าลองศึกษาแนวทางชีวจิตที่กินผักก็ได้ จุดประสงค์ข้อนี้คล้ายกัน)
- เพื่อฟื้นฟูจิตเมตตา เมื่อไม่กินเขา ย่อมห่างจากการฆ่า หรือซื้อ หรือสั่งให้ฆ่า นับเป้นการเพิ่มพูนจิตเมตตา
- เพื่อตัดหนทางการสร้างกรรม เมื่อไม่กินและไม่ฆ่า กรรมในส่วนปาณาติบาตก็จะไม่ถูกสร้าง


จาก ท่าน
เซียวเหล่งนึ่ง แห่งสำนักสุสานโบราณ


อยากทราบเกี่ยวกับความคิดเห็นนี้ค่ะ



#88854 วัดริมผา ดูเพลินๆครับ

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 12 September 2007 - 07:37 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

http://www.dmc.tv/fo...showtopic=13658



#98064 พระธรรมกายประจำตัว

โพสต์เมื่อ โดย krittiya บน 12 January 2008 - 04:11 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ขอบคุณค่ะ

รูปภาพแนบ

  • 5fc0f220.gif