Jump to content


krittiya's Content

There have been 50 items by krittiya (Search limited from 14-July 23)



Sort by                Order  

#121007 วันนี้วันเกิด ไปตักบาตรที่สิงห์บุรีมา เอาบุญมาฝากกครับ

Posted by krittiya on 31 August 2008 - 09:02 PM in เว็บบอร์ด DMC




#112510 Easy life in Africa เรียบง่ายในอาฟริกา‏

Posted by krittiya on 20 June 2008 - 03:18 PM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

จาก: p.dontana dmc

Walkman


*******************************************************************************
Hot water system


***************************************************************************************
Transportation - 1 - Toyota Co(w)rolla



***************************************************************************************

Transportation - 2 - pick-up truck !!! (Australian 'ute' !!!)





***************************************************************************************
Ambulance

[img ]http://i275.photobuc...175E71C8700.jpg[/img]

***************************************************************************************

I just love Africa simple and not complicated.
We are just who we are.
No stress.
I am proud to be African.




This vehicle was seen near Makerere , Zimbabwe




This was photographed in Buru Buru, Nairobi. Kenya




These guys must have smoked weed!
Look at the goat.





Human ingenuity?
Painting the swimming pool


.




Must be Zimbabwe ???




Listen - English is only a 2 nd language !!!
You've got to make allowances.
'Nuff said !!!



#105630 กับดักหนู

Posted by krittiya on 05 April 2008 - 09:10 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ขอบคุณค่ะ ที่มาให้กำลังใจ



#105267 กับดักหนู

Posted by krittiya on 01 April 2008 - 10:03 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก














#100676 ยิ่งบอกรัก ยิ่งมั่นคง

Posted by krittiya on 13 February 2008 - 11:15 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

เว็บกัลฯ



ธรรมะ Mail



ยิ่งบอกรัก ยิ่งมั่นคง



การบอกรักกันแต่ละครั้ง

ใช้ได้แค่…วันต่อวัน…เท่านั้น

เหมือนทานอาหารมื้อต่อมื้อ

เราต้องบอกบ่อย ๆ

มิใช้ว่าทานอาหารมื้อเช้านี้แล้ว

จะใช้ไปได้อีก 7 วัน หรือ 15 วัน

เราต้องบอกกันอยู่เรื่อย ๆ ว่า..

รักและห่วงใย

นี่เป็นการแสดงความรักระหว่างคน ฉันสามีภรรยา

แม้อยู่ด้วยกันมานาน..ก็ต้องบอกกันบ่อย ๆ

ไม่ใช่ว่าบอกทีเดียวแล้ว…ใช้ได้ไปตลอดชาติ

แล้วมาบอกว่า…

นี่เธอไม่รักฉันเหมือนเดิมเลย

ก็ค้านว่า..เคยบอกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว น่าจะใช้ได้ตลอด

แต่ความจริงแล้ว

ความรักที่มีต้องบอกกันทุกวัน

เพราะยิ่งบอกยิ่งเพิ่มพูน

ยิ่งบอกยิ่งมั่นคง

เพลงมันเป็นของรักนะ http://www.dmc.tv/pr...s/precious1.wmv

(ที่มา: หนังสือ lovely love ความรักที่น่ารัก)





#99205 รักษาใจไว้ดีกว่า

Posted by krittiya on 25 January 2008 - 09:48 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

[/color] รักษาใจไว้ดีกว่า


เหตุการณ์ต่าง ๆ มีดี มีเสีย โลกเราก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว
บางช่วงก็ยินดี ร่าเริง บางช่วงทุกข์ เครียด กังวล สับสน
โลกจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด อย่าไปกังวลกับมันนักเลย
รักษาใจเราไว้ดีกว่า อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ดี
แม้เป็นเรื่องของคนอื่น ถ้าขืนไปคิดมีแต่จะเข้าตัว
เสียอะไร เสียได้ เสียไป แต่อย่าให้ใจเสีย
17 กุมภาพันธ์ 2525
(ที่มา: หนังสือคำสอนของยาย 2 www.webkal.org)


เมื่อท่านอ่านธรรมะ Mail แล้วอยากสร้างปัญญาบารมี
โดยการแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน สามารถสมัครได้ที่
หรือทุกวันอาทิตย์ที่ชมรม MIT เสา C6 สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.webkal.org
กรณีที่ไม่ต้องการรับ Email สามารถยกเลิกได้ที่
[color="black"]





#98989 ผ้าขี้ริ้ว

Posted by krittiya on 22 January 2008 - 09:10 PM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก


ธรรมะ Mail



ผ้าขี้ริ้ว




คนที่มีใจใสสะอาดบริสุทธิ์

ย่อมทำสิ่งรอบข้างให้สะอาดหมดจดได้เสมอ

แม้กระทั่งผ้าขี้ริ้ว


“ความสะอาดภายนอกใคร ๆ ก็อาจมองเห็นได้

แต่ความสะอาดภายในจิตใจ ตัวเราเองเท่านั้นที่มองเห็น






(ที่มา: หนังสือดวงจันทร์กลางดวงใจ www.webkal.org)

sleep.gif sleep.gif sleep.gif




#98064 พระธรรมกายประจำตัว

Posted by krittiya on 12 January 2008 - 04:11 PM in เว็บบอร์ด DMC

ขอบคุณค่ะ

Attached Images

  • 5fc0f220.gif



#98063 อยากได้รูปพระธรรมกายแบบในโบสถ์ค่ะ ใครมีบ้าง

Posted by krittiya on 12 January 2008 - 04:08 PM in เว็บบอร์ด DMC

ขอบคุณค่ะ



#97846 จงทำชีวิตให้เหมือนแบงค์ 1000

Posted by krittiya on 10 January 2008 - 10:04 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

เห็นด้วยกับคหที่ 8 ค่ะ สาธุ



#97834 ศีล ๘ และ อุโบสถศีล

Posted by krittiya on 10 January 2008 - 08:56 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ธรรมะ Mail

ศีล 8 และ อุโบสถศีล




ศีล 8 หรือ อุโบสถศีล เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นมาอีกขึ้นหนึ่ง จากศีล 5

ทั้งยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก เป็นการปูพื้นฐานที่มั่นคงของการปฎิบัติธรรมต่อไป

โดยทั่วไป เราจะใช้คำว่าศีล 8 เมื่อสมาทานรักษาในวาระพิเศษหรือรักษาอยู่เป็นประจำ

และจะใช้คำว่า อุโบสถศีล เมื่อสมาทานรักษาในวันพระ

การรักษาศีล 8 มุ่งเน้นในเรื่องที่สำคัญ คือการประพฤติพรหมจรรย์ให้มีความบริสุทธิ์

บริบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยข้อปฎิบัติของศีลที่เพิ่มขึ้นมาล้วนสนับสนุนไม่ให้กามกำเริบ

ซึ่งเป็นบทฝึกเพื่อลดละตัณหาหรือความอยาก ตามลำดับขึ้นของการพัฒนาระดับจิตใจ

ซึ่งได้พัฒนามาจากการรักษาศีล 5 มามากพอสมควร จนเกิดความเคยชินเป็นปกติวิสัยแล้ว

พร้อมที่จะยกระดับการรักษาศีลให้สูงขึ้น


ดังนั้นการรักษาศีล 8 จึงเป็นตัวช่วยปรับใจให้ละเอียดประณีตสูงขึ้น เพื่อน้อมนำใจ

สู่การประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ให้ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ ซึ่งถือว่า

เป็นจริยธรรมที่อยู่เหนือกว่าแนวทางการปฎิบัติโดยทั่วไปของมนุษย์ทั้งหลาย

คือ มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเยี่ยงพรหมซึ่งอยู่ในภพภูมิที่ใกล้ความหมดกิเลสใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น

(ที่มา: วิถีชาวพุทธ, Dhammakaya Open University)




#97833 แก้นิสัยอิจฉา

Posted by krittiya on 10 January 2008 - 08:49 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

แก้ไขนิสัยอิจฉา





นิสัยอิจฉาริษยานี้ จะเกิดขึ้นกับคนที่มีความดีในตัวน้อยกว่าคนอื่น เนื่องจากมีคุณงามความดี มีความรู้ มีความสามารถน้อยกว่าคนอื่น แล้วอยากจะให้ได้ดีเท่ากับเขา แทนที่จะยกตัวเองขึ้นมาด้วยการทำ ความดีให้ยิ่งขึ้นไป กลายเป็นว่าความดีก็ไม่ทำ แถมยังคิดจะเหยียบคนอื่นลงไปด้วยฤทธิ์แห่งความเข้าใจผิด จนกลายเป็นความอิจฉาริษยา ไม่อยากให้ใครได้ดีเสียอีก

เพราะฉะนั้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยา จึงเป็นคนที่ใจเศร้าหมองทั้งวัน เพิ่มความบาปเข้าไปทุกวันๆ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเผาผลาญ เป็นการทำลายล้างตัวเองไปทุกวันๆ นั่นเอง นี่คือผลเสียต่อตัวเองของความที่เป็นคนขี้อิจฉาริษยา

ดังนั้นเราจึงต้องต้องมองและตั้งคำถามใหม่ให้เป็น คือ แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไม เขาไม่รักเรา ก็ตั้งคำถามเสียใหม่ว่าเราไม่น่ารัก

วิชาเจ้าเสน่ห์ ซึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้นั้น มีอยู่ 4 ข้อ ด้วยกัน คือ

1. หมั่นให้ทาน คำว่า "ทาน" ในที่นี้ ทานในที่นี้ หมายถึง มีอะไรก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมทั้งปันกันดังด้วย

2. ปิยวาจา เวลาพูดจากับใครก็พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ เพราะสิ่งที่จะให้กำลังใจคนได้ดีนั้น ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่เพราะๆ ในทำนองเดียวกันสิ่งที่จะทอนกำลังใจคน ก็ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่ระคายหูเช่นกัน

3. อัตถจริยา คือ ความรู้ความสามารถ ที่เรามีอยู่ ถ้าเอาไปช่วยใครได้ ก็ช่วยๆ กันไป อย่าไปหวงเลย

4. สมานัตตตา คือ ไม่ว่าคบกับใครก็มีแต่ความจริงใจให้เขา ไม่แทงใครข้างหลัง ไม่ว่าร้ายใครลับหลัง มีแต่ความจริงใจ มีแต่ความปลอดภัยให้เขาเสมอ

ทั้ง 4 ประการนี้แหละจะเป็นที่มาแห่งเสน่ห์ของเรา พูดง่าย ๆ โปรยเสน่ห์ด้วยการให้ ทั้งสิ่งของ ทั้งคำพูด ทั้งกำลังอกกำลังใจ ทั้งความปลอดภัยแก่เขา

(ที่มา: ธรรมะประจำวัน www.webkal.org)



#97832 หัวใจครอบครัว

Posted by krittiya on 10 January 2008 - 08:42 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ธรรมะหมวดหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักการวางรากฐานชีวิตและครอบครัวให้มั่นคงนั่นคือ ฆราวาสธรรม ซึ่งประกอบด้วย หลักการ 4 ข้อ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ ทั้งสี่ข้อนี้เป็น หัวใจครอบครัว



1.สัจจะ แก้ปัญหาความหวาดระแวงกันและกัน

สัจจะ แปลว่า ความจริงใจ ความจริงจัง ตลอดจนความซื่อตรงต่อกันและกัน

2.ทมะ แก้ปัญหาความโง่เขลา ไม่ทันคน ทันโลก ทันกิเลส

ทมะ แปลว่ารู้จักข่มจิตข่มใจตัวเอง

3.ขันติ แก้ปัญหาความเบื่อหน่ายกันเอง

ขันติ แปลว่า ความอดทน

4.จาคะ แก้ปัญหาความเห็นแก่ตัว

จาคะ แปลว่า ความเสียสละ



(ที่มา: ครอบครัวอบอุ่น ส.ผ่องสวัสดิ์)




#94784 สันติภาพภายนอก เริ่มจากสันติสุขภายใน

Posted by krittiya on 28 November 2007 - 08:52 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ธรรมะ Mail[/color]
สันติภาพภายนอก เริ่มจากสันติสุขภายใน

จะดีกว่าไหม..? หากโลกนี้ยังมีความเชื่อที่แตกต่าง
แต่ทุกคนก็อยู่ร่วมกันได้ อย่างมีความสุข...
สมานฉันท์ และมีความเอื้ออาทรต่อกันตลอดไป
รากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ใจเป็นเหตุ
เมื่อเกิดตรงไหน ก็ต้องแก้ตรงนั้น
เมื่อปัญหาเริ่มที่ใจ ก็ต้องไปแก้ที่ใจ
ต้องแก้ด้วยวิธีที่ลัด ตรง และเร็วที่สุด ก็คือ การทำสมาธิ
สิ่งที่ยากที่สุด แก้ได้ด้วยวิธีง่ายที่สุด
“สันติภาพภายนอกเริ่มจากสันติสุขภายใน
(ที่มา:อะไร ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนใจ? และ สุขดีที่หนึงเลย)


เมื่อท่านอ่านธรรมะ Mail แล้วอยากสร้างปัญญาบารมี
โดยการแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน สามารถสมัครได้ที่

Attached Images

  • image001.jpg



#94284 มีพ่อจนๆมันน่าอายนักหรือ !!

Posted by krittiya on 22 November 2007 - 09:25 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

น่าสงสารจริงๆๆๆๆๆแต่มีใครเคยคิดบ้างไหมถ้าเกิดกับตัวเองจะเป็นอย่างไร



#94122 เรื่องดีดี

Posted by krittiya on 20 November 2007 - 01:25 PM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแ กจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย คุณหัวขโมย" คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
.
.
.
.
.
.
หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า

"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

" แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงา นเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ........"

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...




หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง เดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....


ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"


และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์

โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค

บู มิง ฮอง เล่าเรื่อง







100 สิ่งดีดี...

- เอาใจเขามาใส่ใจเรา

- เชื่อมั่นตัวเอง

- อย่ามองคนที่หน้าตา

- กล้าคิด พูด และทำ

- เมื่อมีเรื่องจงหมั่นปรึกษาผู้อื่น และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย

- อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด

- ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ

- เปิดใจให้กว้าง

- มองการณ์ไกล

- วางแผนอนาคต

- อย่าโทษตัวเอง

- มีความรับผิดชอบ

- ตอบแทนเมื่อได้รับ

- ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้หรือไม่มี

- อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด

- คิดถึงส่วนรวมให้มาก

- ดูแลตัวเองให้เป็น

- รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี

- อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า

- อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียมันไปแล้ว

- จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร

- ที่ทำอยู่มีผลดี / เสีย มีประโยชน์ / ไร้ประโยชน์

- อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก

- ให้อภัยแก่ตนเอง และ ผู้อื่น

- อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน

- คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร

- ได้หน้าอย่าลืมหลัง

- คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึกที่เสียไปแล้ว แต่จงวางแผนที่จะดูแลไม่ให้มันเสีย

- อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ

- อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง

- รู้จักแบ่งเวลาและหน้าที่

- ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง

- อย่าเห็นแก่ตัว

- อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

- อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้ หรือ เปลี่ยนแปลงมันได้

- กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง

- เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก็คุยกันได้

- อย่าคิดว่าเขาไม่โทรมา ถ้าคุณก็ไม่เคยโทรหาเขาเช่นกัน

- จงเป็นฝ่ายให้มากกว่าฝ่ายรับ

- ดูแลบิดา มารดาให้ดี คุณมีโอกาสรีบทำซะก่อนจะไม่มี

- อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมาแต่คุณสามารถทำมันใหม่ หรือเรียนรู้จากมันได้

- คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับได้ ดังนั้นคิดก่อนพูด

- อย่าทุ่มเทกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์

- คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด

- ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้

- หาจุดหมายให้กับชีวิต

- เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น

- ถ้างง เขียนหนังสือได้แต่เขียนให้เป็นภาษา

- วันๆหนึ่งคุณทำอะไรไปบ้างที่ไม่ใช่กิน นอน เล่น

- ไม่มีหมอคนไหน รอให้คนไข้จะตาย แล้วค่อยช่วยหรอกนะ เพื่อนคุณก็เช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตาย แล้วถึงไปถามหรือดูแล

- ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง

- คุณซื้อนาฬิกาได้แต่คุณซื้อเวลาไม่ได้

- ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า? ถ้ามีกลับไปหาซะ

- ตอนนี้คุณคอยใครอยู่รึเปล่า? จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่? ทำอะไรซะบ้าง

- อย่ากล่าวคำว่าขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามขอโทษ

- ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร? คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ?

- ตอนนี้คุณสบายอยู่? แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ? หมดประโยชน์? ไม่ใช่? แล้วไง?? ต้องให้บอกต่อมั้ย???

- ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของผู้อื่น

- ตอนที่คุณกำลังอ่านประโยคนี้ จงรู้ไว้ซะว่าคุณเป็นมนุษย์และยังมีชีวิตอยู่

- ใครเป็นคนทำให้คุณมีชีวิต? ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง?

- ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกว่ารักเขาก็เพียงพอแล้ว

- อย่ารอให้ถึงวันเกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน

- ไม่มีกฎหมายใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา

- ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆ มีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีไหม? หรือว่าดูที่ราคาขนม?

- เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต

- อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีผู้เขียนอีกคน

- อย่าคิดว่าตนเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด

- อย่าพูดคำว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้าคุณก็ไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน

- เหนื่อยแล้วพักซะเถอะ อย่าฝืนอ่านต่อเลย คนเขียนดีใจมากแล้วที่คุณอ่านถึงตรงนี้

- อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุณก็เป็นคนเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง

- ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปก็อยู่ในตัวคุณ?

- คุณมองเพชรมองที่ความงามภายใน หรือป้ายราคาข้างนอก?

- ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน

- มีเรื่องราวอีกมากมาย ที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือลองค้นคว้าดูจะรู้

- ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง

- การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด

- ทำยังไง?? ต้องขโมยขึ้นบ้านก่อนถึงไปดูแลรั้วบ้านใช่มั้ย??

- ทำใจกับสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี

- จะยกตัวอย่างให้ สมมุติคนที่คุณรักจากไปตอนนี้ คุณคิดว่าคุณทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง??

- อย่าตอบว่าทำยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำรึยัง? ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?

- คุณทำใจได้แล้วหรือ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้น? คุณไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก็ไม่ฟื้นหรือได้ยินหรอกนะ?

- ตัวคุณมีคุณค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า??

- หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากที่คุณไม่รู้?

- ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า? หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิตย์

- การใส่เสื้อสวยๆ ไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก

- หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้

- ลองทำอะไรบ้าๆดูบ้างก็ดี อย่ายึดติดกับอะไรนักเลย

- ผู้เขียนไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รู้อะไรไว้บ้างก็ดี

- สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆไปในชีวิต หรือ เรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ กลับมาดูแลตรงนั้นบ้างก็ดี

- อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก็ดี

- อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว

- ยาเสพย์ติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด

- อย่าทำตามเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากะร่างกายเราคนละร่างกายกัน แน่นอนจิตใจก็เหมือนกัน

- ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชาย ผู้หญิงก็คือผู้หญิง

- บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป

- ไม่มีมิตรถาวร และ ศัตรูที่แท้จริง

- จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

Ps. หาเวลาทําอะไรดีเพื่อตัวเอง อย่างน้อยซัก 20 ข้อ นะคะ



#94121 แต่งตามเทรนด์ ถ้าคิดเป็นก็ OK

Posted by krittiya on 20 November 2007 - 01:24 PM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



แต่งตามเทรนด์ ถ้าคิดเป็นก็ OK



ในช่วงนี้ ข่าวเด่น ประเด็นฮอต ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในสังคมเรื่องหนึ่งก็คือ การแต่งกายล่อแหลมของเด็กสาวๆ ซึ่งเลียนแบบมาจากดาราต่างประเทศ

สำหรับในทางพระพุทธศาสนา การแต่งกายทำนองนี้ เข้าข่าย"นุ่งชั่ว ห่มชั่ว"

นุ่งชั่ว คือ การนุ่งที่ชายผ้าสูงเกินกว่าครึ่งหน้าแข้ง
ห่มชั่ว คือ การที่ห่มข้างบนแล้วเปิดไหล่ให้เห็นทั้ง 2 ข้าง



การเลียนแบบแฟชั่นโดยไม่ได้พิจารณาความควร ไม่ควร ในกรณีนี้เป็นเพราะส่วนหนึ่งขาดความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการนุ่งห่มเสื้อผ้า ว่า ที่แท้จริงเป็นไปเพื่อบำบัดความร้อนหนาว เพื่อกันแดด กันลม กันฝน กันสัตว์ทั้งหลายมา ไต่ตอม และเพื่อปกปิดอวัยวะที่น่าละอาย

นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะขาดคุณธรรม เรื่อง หิริ โอตตัปปะ คือ ความละอาย และความกลัวต่อบาป

หิริ แปลว่า ความละอายแก่ใจ หิริจะเกิดขึ้นได้ด้วยการคิดถึงการศึกษา ฐานะ ยศศักดิ์ ชาติตระกูลของตน ทำให้เกิดความละอายไม่กล้าทำบาป
โอตตัปปะ แปลว่า ความเกรงกลัว หมายถึง สะดุ้งกลัวต่อผลของบาป โอตตัปปะ จะเกิดขึ้นได้เพราะคิดถึงโทษหรือทุกข์ที่เกิดจากการทำบาป เช่น ทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน ถูกตำหนิติเตียน ถูกสังคมรังเกียจ เป็นต้น

แต่ก่อนที่หิริ โอตตัปปะ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้อง มีสัมมาทิฐิก่อน ต้องรักบุญกลัวบาปก่อน ซึ่งทั้งสัมมาทิฐิ และความเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ในการนุ่งห่มเสื้อผ้านี้ เป็นเรื่องที่พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นในใจของเด็กซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้น การทำตามแฟชั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตาจะไม่เกิดขึ้น

ถ้าจะถามว่า การแต่งกาย เกี่ยวอะไรกับเรื่องบาป ก็ต้องตอบว่า มันเป็นการยั่วยุทางเพศ ทำให้คนใจขุ่นมัว และจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ แม้บางครั้งตัวคนที่แต่งกายล่อแหลมอาจไม่ได้รับอันตรายใดๆ เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัย แต่อันตรายอาจไปตกกับผู้หญิงคนอื่นโดยมีจุดเริ่มมาจากการแต่งกายยั่วยุของคนที่แต่งตัวโป๊ และเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วซึ่งเท่ากับผู้แต่งตัวโป๊ มีส่วนยั่วยุให้คนอื่นทำบาปกรรม และมีส่วนในการสร้างความทุกข์ให้กับผู้หญิงด้วยกันอย่างแสนสาหัส

การแต่งตัวตามเทรนด์หรือล้ำเทรนด์ ไม่ใช่ว่าจะได้เกิดเสมอไป ดับมาก็เยอะแล้ว คนดังบางคน ไม่เคยตามเทรนด์เลยจะใส่เฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเท่านั้น ซึ่งจะทำให้รู้สึกมั่นใจ ดูดีมีสไตล์ และอยู่เหนือคำว่าแฟชั่น ดังคำพูดที่ว่า "คนบางคนปรับตัวเองตามโลก แต่คน บางคนปรับโลกให้เข้ากับตัวเองและโลกก็หมุนได้ด้วยคนประเภทหลัง”



(ที่มา:วารสารอยู่ในบุญ ฉบับเดือน ตุลาคม 2550)




#93392 ธรรมะจะเป็นเพื่อนตายสำหรับเรา

Posted by krittiya on 10 November 2007 - 09:48 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ธรรมะ จะเป็นเพื่อนตายสำหรับเรา









อยู่เคียงข้างเราตลอดไป

ไม่ว่าเราจะอยู่ตามลำพัง

ในป่า เขา ห้วย หนองคลอง บึง

ไม่มีเหงา ไม่มีเศร้าสร้อย

ซึม เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม ไม่มีเลย

มีแต่ความสบาย

เป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริง สิ่งอื่นไม่ใช่



วันที่ 30 กันยายน 2545



(ที่มา: เลิศล้ำถ้อยคำครู ปี 2549)



#93389 บล็อกธรรมะดีดี มีสาระ

Posted by krittiya on 10 November 2007 - 09:29 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

อนุโทนาบุญด้วยค่ะ



#93387 “กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ”

Posted by krittiya on 10 November 2007 - 09:15 AM in ธรรมกถึก

“กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ”

การกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นของยาก








“มนุษย์”

เมื่ออุบัติขึ้นแล้วในชาตินี้ จะมีสิ่งใดอีกเล่าที่จะมีค่ายิ่งใหญ่ไปกว่า “การสร้างบารมี”

ที่จะนำไปสู่ความสุขแท้จริงของชีวิต ที่มิเพียงแต่จะนำความสว่างไสว ให้เกิดแก่ดวงใจ

ของตนเอง และครอบครัวรอบข้างเท่านั้น

แต่ยังเป็นการสร้างสันติสุข ให้บังเกิดแก่โลกด้วย



(ที่มา: วารสารอยู่ในบุญ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2550)



#93386 หลุมรักที่แท้จริง

Posted by krittiya on 10 November 2007 - 08:58 AM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



หลุมรักที่แท้จริง




ผู้มีหัวใจที่งดงามได้กล่าวไว้ว่า

เอาความรักออกมาแบ่งปันให้กันเถิดหนา

แล้วเราจะมีความสุข มีแต่ความพึงพอใจ

ไม่มีอะไรเทียบได้ เป็นความดีง่าย ๆ

ที่ใครก็ทำได้ แต่ต้องทำให้ถูกวิธี

แล้วเราจะมีความสุขตลอดไป

ความรักที่แท้จริงจะเกิดขึ้น เมื่อเราหลับตาเบา ๆ

ผ่อนคลายสบาย หยุดใจที่ศูนย์กลางกาย

จนดวงตะวันสว่างภายใน

ความสุขไม่มีใดปานจะเกิดขึ้นมา

แล้วเราจะตกหลุมรักตัวเอง เป็นหลุมรักภายใน

เป็นหลุมรักใส ๆ ไม่ตกหลุมรักใคร

หมดปัญหาใด ๆ มีแต่ความรักใส ๆ ให้ทุกคน



(ที่มา: หนังสือความรักที่น่ารัก โดยตะวันธรรม)



#93053 ..ยิ้ม..ยิ้ม..ยิ้ม..

Posted by krittiya on 06 November 2007 - 09:32 PM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ขอบคุณค่ะ ขออณุญาติไปเผยแผ่ต่อน่ะค่ะ



#92571 รู้จักความรักสักนิด...ก่อนคิดจะ “รัก” สักครั้ง (จบ)

Posted by krittiya on 02 November 2007 - 02:40 PM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

สาธุค่ะ



#92570 อยู่กันด้วยความรัก

Posted by krittiya on 02 November 2007 - 02:04 PM in บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

สาธุค่ะ



#91562 เขตหวงห้ามเกี่ยวกับเรื่องพญานาค

Posted by krittiya on 19 October 2007 - 02:38 PM in วิทยาศาสตร์ทางใจ

QUOTE
พญานาคชอบปฏิบัติธรรม ถ้าลองสร้างเป็นที่ปฏิบัติธรรม น่าจะไปได้ดี



ก็ว่างั้นแหละ ถ้าพญานาคอยู่แถวนั้นคงไม่ทำปาณาติบาตพรำ่เพรื่อหรอก ค่ะหรือแกล้งคนเป็นว่าเล่นอาจไป็นอย่างอื่นก็ได้ เพราะลูกไปที่ว่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นพญานาคเสมอไปค่ะ