- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → เนื้อหาจาก kuna
เนื้อหาจาก kuna
ค้นพบทั้งสิ้น 36 รายการโดย kuna (จำกัดการค้นหาจาก 12-August 23)
โดยประเภทของเนื้อหา
ดูสมาชิกนี้'s
#123379 " พุทธศาสนาในสายตาแม่ชีฝรั่ง "
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 17 September 2008 - 05:46 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
อยู่ที่การทำตัวของเราเอง เราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตัวเรา พระพุทธเจ้า ไม่เคยทรงตรัสว่าให้เชื่อ แต่ท่านสอนให้เราหาความจริงด้วยการปฎิบัติเอง พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัสไว้ ด้วยการปฎิบัติให้รู้จริง ด้วยตัวเอง คำนี้เองที่ทำให้ฉันสนใจพุทธศาสนา ที่ฉันไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะ ที่เอาแต่เดินตามคนเลี้ยง
ด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์เราก็สามารถนำมาเป็นวิถีทางแห่งการปฎิบัติ แต่ทุกคนก็ยังคงต้องปฎิบัติ ด้วยตนเอง ไม่มีใครมาทำแทนให้ได้ เราควรดีใจที่วันนี้ยังมีครูบาอาจารย์ที่พอจะมีความรู้จากประสบการณ์มาถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง สอนในวิถีทางที่ถูกต้องซึ่งสำคัญมาก เราไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าเราฟังธรรมะแต่เพียงอย่างเดียว เราจะได้ความรู้จากการอ่าน แต่ถ้าเราต้องการจะรู้จริงให้ลึกซึ้ง ต้องปฎิบัติด้วยตนเอง เป็นทาง เดียวที่จะรู้ได้ บางครั้งมีคนมาถามฉันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ ฉันก็ตอบว่า"พระเจ้ามีจริง แต่ ฉันเชื่อในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างในโลกนี้ รู้ทั้งจักรวาล พระองค์ยังคงรู้เรื่อง พระเจ้าด้วย และท่านยังคงรู้ว่าใครสร้างเรา นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเราเอง"
วิบากกรรม
มีทุกข์และการดับทุกข์อยู่ที่ใจเรานี้เอง ไม่มีใครมาลงโทษเราเว้นตัวเราเองที่จะได้รับผลแห่งการกระทำของเรา ไม่มีใครให้รางวัลเราโดยที่เราไม่ได้ทำความดีอะไร ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั่นคือสิ่งทั้งหมดที่เป็นไป ไม่มีพระเจ้าสร้าง เราสร้างทุกอย่างเอง
เราเห็นวิบากกรรมอย่างนี้ เราจะระมัดระวังการกระทำของเรา บาปที่ เราทำมันจะย้อนกลับมามีผลกับตัวเราเอง จากการที่เข้าใจอย่างนี้ ความกลัวในการทำบาป ความละอายต่อบาป จะเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ เราเข้าใจในบาปที่เราทำไปว่ามันจะมามีผลกับเราอยู่ในใจเรา ตลอดเวลา เมื่อมากๆขึ้น ผลมันก็ก่อให้เกิดทุกข์ให้กับเรา และทุกอย่างที่เราทำดีมันก็จะเป็นวิบากกรรมที่ก่อให้ เกิดความสุข ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือก ทุกข์หรือสุขเราเลือกเอง
ความดับทุกข์
สิ่งหนึ่งที่สำคัญในคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ความดับทุกข์ ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย มันมีผล ทำให้เราไม่ติดสุขไม่ติดทุกข์ มีอุเบกขา ที่เรียกว่านิพพาน
ไม่มีคำสอนในศาสนาอื่นใด สอนทางออก ทางแก้ทุกข์ ในเรื่องของการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ที่เรียกว่า " สังสารวัฎ" แน่นอนว่าทุกศาสนานั้นดี อยากให้ทุกคนเป็นคนดี เค้าสอนเรื่องศีลจะได้ไม่มีบาป ไม่ไปเกิดในนรก หรือไปเกิดเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน สอนให้คนทำดี เกิดมาอีกที อย่างน้อยก็ขอให้ได้เป็นคน
ที่ไหนมีการสอนทางออกจากสังสารวัฎ เป็นไม่มี และด้วยพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนศิษย์ ที่เรียกว่า มรรคมีองค์แปด ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ ให้เราดูทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และทางดับทุกข์ โดยดับสมุทัย เราสามารถทำได้โดยปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และนี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว จนทุกวันนี้มีลูกศิษย์สำเร็จมรรคผลเป็นล้านคนได้ เราโชคดีที่เรายังมีพระอริยเจ้าคอยสั่งสอน เราจึงไม่ควรจะเสียเวลา มาดับทุกข์ของตัวเราเองเลย และมาสำรวจดูความสงบสุขและการหลุดพ้นกัน
ความกรุณา
บางครั้งคนเรามักจะพูดถึงพระและแม่ชี รวมถึงผู้ปฎิบัติธรรมอื่นๆ ตามแนวทางการปฎิบัติพุทธศาสนา แบบเถรวาท ว่าเป็นการปฎิบัติเพื่อตัวเองเท่านั้น พวกเค้าต้องการหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์และสังสารวัฎ โดยไม่เอาใจใส่ต่อผู้อื่น แต่สำหรับฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นกับแนวทางการปฎิบัติเพื่อพัฒนาสติปัญญา แต่ถ้า ปราศจากความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น พวกเค้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะบรรลุถึงปัญญาได้
ฉันเห็นว่าบางเวลา ฉันก็สามารถทำให้บางคนมีความสุขได้ และฉันก็มีความสุขใจยิ่งกว่า และ ความสุขใจนั้นทำให้การปฎิบัตินั้นง่ายขึ้น ถ้าใจเราไม่มีความสุขก็ยากที่จะปฎิบัติให้ได้ผลดี ดังนั้นการที่ฉันช่วยให้ผู้คนมีความสุขนั้นก็เท่ากับช่วยตัวฉันเองด้วย ถ้าเราพบว่าเรายังมีความความทุกข์อยู่ ซึ่งเป็นธรรมดา ของมนุษย์ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด เราก็จะรู้ได้ว่าไม่ใช่แต่เราเท่านั้นที่ยังมีความทุกข์แต่มนุษย์ทุกคนที่ยัง เวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่างก็เผชิญกับความทุกข์ทั้งนั้น
การที่ได้พบกับอาจารย์ที่สามารถชี้ทางออกจากทุกข์ให้กับเราได้นั้นนับว่าโชคดีที่สุดแล้ว เราจะสามารถปฎิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยตัวของเราเองหรือ สำหรับฉันแล้วมันไม่เพียงพอ การมีครูบาอาจารย์นั้นสำคัญมาก ถ้าเรายังคงเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฎ ดังนั้นจะดูเหมือนว่าเป็นเหตุเป็นผลกันกับที่เราทำกรรมไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าเราจะจำไม่ได้แล้วก็ตามว่าทำอะไรไปบ้าง กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราสามารถระลึกได่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรานี้เคยเป็นแม่ของเราเมื่ออดีตชาติใดชาติหนึ่ง และเขากำลังเผชิญความทุกข์อยู่ เขาอาจจะไม่เชื่อว่าทำอย่างไรจะพ้นทุกข์ได้ แต่ทำไมเราจะไม่ช่วยเค้าคนนั้นหรือ
นี้เป็นสิ่งที่สำคัญส่วนหนึ่งในการปฎิบัติ เพื่อนนักปฎิบัติธรรมในคอร์สเข้มข้นของฉันบางคน ยังคงไม่ลืมสิ่งต่างๆ บางครั้งที่ปฎิบัติเสร็จแล้วพวกเขาก็ได้แผ่เมตตาให้กับครูบาอาจารย์ พ่อแม่ บุคคลอันเป็นที่รักและ สรรพสัตว์ทั้งหลาย และบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตใจและจิตวิทยา การให้ความช่วยเหลือกับ บุคคลที่แตกต่างกันก็ต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างกันไป และทางใดที่พวกเค้าสามารถจะช่วยเหลือให้กับผู้อื่น มีความสุขได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นวิถีทางที่แตกต่างออกไปก็จะทำ สิ่งนี้คือธรรม บางครั้งอาจจะมาก บางครั้งอาจจะน้อยแต่ถ้าปราศจากความเมตตากรุณา ปัญญาก็จะไม่เกิด
ฉันเองก็ต้องการที่จะแผ่เมตตาของฉันที่มีให้กับผู้อื่นและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้บังเกิดความสุขทั้ง ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และสิ่งใดก็ตามที่จะพัฒนาการการให้และสติปัญญาอันจะนำไปสู่นิพพาน
(บริจิต สล็อตเทนเบเชอร์)
ที่มา-http://www.budpage.com/forum/view.php?id=3978
#120960 สู้โว้ย!! มะเร็งไม่ร้ายอย่างที่คิด
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 31 August 2008 - 03:57 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
![](http://www.thairath.co.th/2551/society/Aug/library/31/soc4.jpg)
“เมื่อ 14 ปีก่อน ผมคลำเจอก้อนเนื้อขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสง ที่ราวนมด้านขวา ตอนนั้นไปทำวิจัยด้านโบราณคดีที่ประเทศอังกฤษ 3 เดือน เป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะปกติชอบอาบน้ำจาก ตุ่ม ไม่ใช้ฝักบัวเลย แต่พอไปอยู่อังกฤษต้องอาบฝักบัว ทำให้คลำพบความผิดปกติ ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ เพียงแต่สังเกตว่าขนาดก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อยๆจนใหญ่เท่าไข่เป็ด!! พอกลับเมืองไทยต้องขึ้นเหนือไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลยแวะไปหาเพื่อนที่ เป็นหมอประจำโรงพยาบาลสวนดอก เล่าอาการให้ฟัง และวินิจฉัยตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ!! ปรากฏว่าเพื่อนหน้าเสียเลย รีบเรียกหมอเฉพาะทางมาตรวจ ถ้าถึงขั้นกดแรงๆยังไม่เจ็บ แสดงว่าอาการหนัก!! ตอนนั้นคุณหมอ (พญ. บุญสม ชัยมงคล) สั่งให้เข้าห้องผ่าตัดทันที เพื่อตัดก้อนเนื้อออกมาตรวจ เข้าไปตั้งแต่บ่ายโมง จนถึง 6 โมงเย็น
...คุณหมอ บอกว่า คุณต้องทำใจนะ เพราะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขั้นที่ 4 คงมีชีวิตอยู่ได้แค่ 3 เดือน!! ตอนนั้นปล่อยโฮเลย เหมือนถูกพิพากษา ไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัว คิดแต่ว่า ยังไม่อยากตาย และไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราอายุแค่ 37 กำลังมีหน้าที่การงานรุ่งโรจน์ จะมาตายตอนนี้ไม่ได้ แล้วแม่จะอยู่ ยังไง มีลูกแค่คนเดียว แม่เคยพูดตลอดว่า ความทุกข์ที่สุดของแม่ คือเห็นลูกตายก่อนแม่ นึกถึงคำพูดนี้แล้ว ทำให้ฮึดสู้ คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อแม่ เราจะตายก่อนแม่ไม่ได้!!
...ถ้าไม่อยากตายก็ต้องมารักษากัน คุณหมอกระตุ้นให้สู้!! แล้วบอกให้ลองรักษาด้วยการให้คีโมดับเบิลโดส โดยหมอจะอัดเข้าไปที่เส้นเลือดโดยตรง ถ้ารอดก็รอดไปเลย เราอยากรอดเพื่อแม่ เลยตอบตกลง แต่ยังไม่กล้าบอกแม่ว่าเป็นมะเร็ง เพราะยังทำใจไม่ได้!! ปรากฏว่าพอหมอฉีดยาดับเบิลโดส ร่างกายเราทนไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นและไม่รู้สึกตัว ปั๊มหัวใจยังไงก็ไม่ขึ้น จนทางโรงพยาบาลเข็นร่างไปไว้ที่ห้องซีซียู มีคนไข้นอนตายอยู่แล้ว 1 คน ตอนนั้นสลบไป 7 วัน จนวันสุดท้ายคุณหมอลองใช้ไฟฟ้าช็อต ทำให้ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยังลืมตาไม่ขึ้น จำได้แม่นเลยว่า มีนักศึกษาแพทย์เข้ามาดู และได้ยินเสียงพูดว่าศพนี้ซวยมากเลย เป็นทั้งโรคหัวใจและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผมตะโกนเถียงสุดแรงว่า ไม่ซวยๆๆ
...หลังรอดจากการให้คีโมดับเบิลโดสมาได้ หมอก็เริ่มให้คีโมปกติ ให้ไปทั้งหมด 40 เข็ม ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ 40 อาทิตย์ ทรมานมาก ทั้งอาเจียน, ไข้ขึ้น เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันทุก 3 ชม. หมอบอกว่า ให้คีโมแล้วผมจะร่วง พอเข็มแรกผ่านไป ก็ร่วงจริงๆ เรียกว่าไม่มีขนเหลือสักเส้นบนร่างกาย ช่วงนั้นเริ่มมีข่าวลือว่า “เผ่าทอง” เป็นเอดส์!! แต่คุณแม่ก็ให้กำลังใจ บอกว่า ขอให้ลูกหายเร็วๆนะ ตั้งใจรักษาตามหมอ แม่อยู่ กรุงเทพฯคนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง ระหว่างที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล วันไหนที่ทนไม่ไหว รู้สึกท้อแท้ ก็จะโทรศัพท์หาแม่ แต่จะพยายามทำเสียงเข้มแข็ง บอกแม่ว่าลูกสบายดี”
แม้การรักษาในช่วงปีแรกจะได้ผลเกินคาด แต่มะเร็งร้ายกลับลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่รักแร้, ต้นคอทั้งสองข้าง, ตับ, ขาหนีบ และต่อมลูกหมาก ทำให้ “อ.เผ่าทอง” ต้องทนทุกข์ทรมานกับการให้คีโมอย่าง ต่อเนื่องถึง 6 ปีเต็ม พร้อมกับการผ่าตัด 9 ครั้ง!! กว่าจะมายืนยิ้มได้ อย่างทุกวันนี้ นอกจากกำลังใจที่ดีแล้ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ก็เป็นกุญแจสำคัญในการพิชิตมะเร็ง
“กูตายมึงก็ตาย!! จะตะโกนขู่มะเร็งทุกเช้า เพื่อปลุกใจตัวเอง และคิดตลอดว่า เราต้องอยู่เพื่อแม่!! ถึงแม้ท่านจะเสียชีวิตไปได้ หลายปีแล้ว ตั้งแต่เป็นมะเร็งได้ปรับเปลี่ยนชีวิตการกินอยู่ทุกอย่าง เพราะค้นพบว่า การกินมีผลต่อโรคภัยไข้เจ็บมาก เวลาเป็นอะไรต้องแก้ด้วยอาหาร อย่าไปพึ่งยา คุณหมอแนะนำให้ทานอาหารย่อยง่ายๆ ไม่เผ็ดไม่มัน เลิกทานไก่และหมู เพราะมีฮอร์โมนกระตุ้นมะเร็ง ควรทานเนื้อวัวเสริมโปรตีน แต่เราไม่ทานตั้งแต่เด็ก เลยเปลี่ยนมาทานปลาย่างปลาลวกแทน และเน้นทานผักผลไม้เยอะๆ หลังจากเป็น มะเร็งยังค้นพบสัจธรรมหลายอย่าง รู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน เริ่มมีความพอเพียงมากขึ้น ไม่โลภมากอยากมีอยากได้แบบสมัยก่อน ทุกวันนี้คิดแต่ว่า เราโชคดีได้เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม”
![](http://www.thairath.co.th/2551/society/Aug/library/31/soc1.jpg)
“หมอเจอมะเร็งที่แรกบริเวณไทรอยด์ ในปี 2542 ตอนอายุ 41 ย่าง 42 ปี จู่ๆยืนแล้วเหมือนโลกหมุนติ้ว เลยกังวลว่า ตัวเองจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า เพราะคุณแม่ก็เป็นมะเร็งที่ไทรอยด์และปอด เลยไปตรวจเช็กแต่ไม่พบอะไร จนกระทั่งขอตรวจที่ต่อมน้ำเหลือง แล้วใช้เครื่องมือตรวจเผื่อไปที่ ไทรอยด์ เจอติ่งเนื้อขนาด 0.6 ซม. ที่ส่อเค้าเป็นเนื้อร้าย แต่ยังเป็นอาการเริ่มต้น เลยผ่าตัดออก ไม่ถึงขั้นต้องให้คีโม
...ช่วงปลายปีเดียวกันก็เกิดอาการปวดท้องอย่างแรง มีอาการหน่วงๆ ปวดท้องแต่ไม่ถ่าย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราเป็นหมออยู่แล้ว เลยตรวจตัวเองซะเลย โดยคลำทางทวารหนักจนเจอติ่งเนื้อ ซึ่งถ้าเป็นเนื้อลำไส้จะเป็นพื้นเรียบ แต่ตรวจคลำแล้วมีลักษณะคล้ายพรม จึงไปหาหมอตรวจอย่างละเอียด ทีแรกคุณหมอตรวจไม่เห็น แต่ก็ยืนยันกับคุณหมอว่าเป็นมะเร็ง!! จึงตรวจซ้ำจนพบว่า ตอนแรกที่ไม่เจอเพราะมันลอยสูง บริเวณลำไส้ที่เจอ ก้อนเนื้อมีขนาดถึง 7 ซม. ต้องตัดลำไส้ทิ้งไปฟุตกว่า แต่มะเร็งลำไส้ของเราต่าง จากคนอื่น เพราะเราเป็นนักกินผักตัวยง และเป็นคนดูแลตัวเองมาก เลยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ ผ่าตัดมะเร็งทั้ง 2 ที่ห่างกันแค่ปีเดียว”
ถึงแม้จะเป็นหมอมีความรู้มาก แต่เมื่อป่วยเป็นมะเร็ง ก็ต้องอาศัยธรรมะเข้าช่วยเพื่อต่อสู้กับโรคร้าย และเตือนสติตัวเอง
“ตอนนั้นใจเสียเหมือนกัน แต่พยายามใช้ธรรมะเข้าข่ม บอกตัวเองว่า มะเร็งอยู่กับตัวเรา ต้องมองไปข้างหน้า พยายามคิดมุมบวก บอกตัวเองว่า เราต้องใช้ชีวิตที่เหลือสร้างความดีให้มากขึ้น ใครทำร้ายมาก็พยายามไม่พยาบาท โชคดีที่เป็นหมอผ่าศพ ได้เห็นได้ปลงมนุษย์มาเยอะ หมอเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพราะยังไม่หมดกรรม จะหลุดจากวงจรเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็ต้องรักษาความดี หลีกเลี่ยงการทำชั่ว เรื่องมะเร็งอยู่ที่ใจอย่างเดียว หมอยึดถือคุณแม่เป็นตัวอย่าง ตอนนั้นท่านเป็นมะเร็งปอด แล้วลุกลามไปที่สมองด้วย ซึ่งทรมานสุดๆ แต่ท่านก็ดูแลตัวเองดีมาก หมออยากเป็นคนไข้แบบคุณแม่ ท่านไม่ยอมให้ใครเดือดร้อนเพราะท่าน
...การดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้มะเร็งกลับมาเยือนอีก ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างมะเร็งไทรอยด์ ผ่าตัดแล้วหายเลย เพราะหมอเป็นในช่วงอายุยังไม่มาก แต่มะเร็งลำไส้ ทิ้งไม่ได้เลย หลังจากผ่าตัดแล้ว เว้นไป 4 ปี หมอกลับไปตรวจซ้ำก็พบว่ามะเร็งกลับมาอีก ทำให้ต้องผ่าตัดครั้งที่ 2 คนที่เคยเป็นมะเร็งต้องคอยตรวจร่างกายประจำทุกปี ขณะเดียวกัน ก็ควรระวังเรื่อง อาหารการกินให้มาก หมอใช้ชีวิตแบบชีวจิต หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ใหญ่ ทั้งเนื้อวัว, หมู และไก่ เน้นทานปลา หันมาออกกำลังกาย และตัดปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง โดยเฉพาะการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า ส่วนเรื่องจิตใจ ต้องพยายามไม่เครียด เพราะถ้าเครียดมะเร็งจะกลับมาง่าย”
![](http://www.thairath.co.th/2551/society/Aug/library/31/soc2.jpg)
“รู้ว่าเป็นมะเร็งตอนปี 2540 คือมีอาการอาเจียน นอนไม่หลับ ทานข้าวไม่ได้ มีเลือดออกทางจมูก ออกๆหยุดๆ น้ำหนักลดฮวบ เลยไปหาหมอหลายโรงพยาบาลมาก กว่าจะเจอว่าเป็นมะเร็ง กินเวลาเป็นปี!! ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมะเร็ง เพราะตรวจร่างกายทุก 6 เดือน และครอบครัวไม่มีประวัติเป็นมะเร็งเลย จนกระทั่งได้ดูรายการทีวี ที่พูดถึงโรคลูคีเมีย อาการเหมือนเราเลย จึงขอให้คุณหมอตรวจดูความหนาแน่นของเลือด ปรากฏว่ามีแต่เม็ดเลือดขาว แทบไม่มีเม็ดเลือดแดงเลย พอคุณหมอบอกว่า คุณเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดระยะสุดท้าย มีเวลาอยู่ไม่ถึง 1 ปี ก็ช็อกเลย!! ตอนนั้นกำลังมีปัญหาครอบครัวด้วย เหลือลูกอยู่คนเดียว คุณพ่อก็ป่วย ปัญหารุมเร้าทำให้เราสติแตก จู่ๆก็หมดสติไปเลย จำใครไม่ได้ แม้แต่ลูกก็จำไม่ได้ ต้องนอนโรงพยาบาลนาน 3 เดือน สติถึงฟื้น จากนั้นก็เริ่มให้คีโมรักษามะเร็งอยู่เป็นปี
...ตอนหลังอาการยังไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกไขสันหลังที่อเมริกา โดยพักรักษาตัวอยู่นาน 3 เดือน เมื่อกลับมาก็มีปัญหาอีก เพราะยีนไม่เข้ากัน เลยต้องกลับมารักษาด้วยคีโม ซึ่งทรมานมาก โชคดีที่ได้สเต็มเซลล์จากหลานแท้ๆ มาใช้ผ่าตัดปรับเปลี่ยนไขกระดูกสันหลังอีกครั้งที่เมืองไทย ครั้งนี้ได้ผลดีทำให้หายจากโรคร้าย หลังจากเข้าๆออกๆโรงพยาบาลกว่า 3 ปี และต้องหมดเงินไปถึง 10 ล้านบาท”
แม้จะหายจากมะเร็งในเม็ดเลือด แต่ “นงค์พงา” ก็ยังเคร่งครัดกับการดูแลสุขภาพร่างกายมาก ไม่แตกต่างจากเมื่อครั้งถูกคุมคามด้วยมะเร็ง เพราะไม่อยากกลับไปเผชิญกับฝันร้ายอีกแล้ว
“ทุกวันนี้ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง อาศัยใจสู้ และดูแลตัวเองดีๆ อย่างเรื่องอาหาร จะทานผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษจริงๆ ไม่ซื้อของสดที่ตลาด ถ้าไม่มีจริงๆ ต้องกินผักในตลาดก็จะแช่น้ำเกลือ หรือด่างทับทิม แล้วนำไปลวกก่อนปรุง ส่วนเนื้อหมู, ไก่, ปลาน้ำจืด ตัดทิ้งหมด จะไม่กินเลย เพราะมีสารเร่งโต แต่จะกินเนื้อวัวแทน เพื่อให้โปรตีนกับร่างกาย เนื้อวัวที่กินก็ต้องคัดแบบโคขุน โดยนำมาปรุงง่ายๆ เอาไปย่างในกระทะพอให้สุก และจิ้มน้ำปลามะนาว อาหารหลักของตัวเองคือมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็น จะเน้นผักผลไม้ หรือนมถั่วเหลืองเท่านั้น การออกกำลังกายก็ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว ทุกวันนี้จะตื่นตี 4 ครึ่ง ทำบุญใส่บาตร แล้วออกไปวิ่ง จนสายๆค่อยกลับบ้านเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่น ส่วนเรื่องทางใจ ต้องไม่เครียด ถ้าเราสู้ซะอย่าง ก็ต้องผ่านพ้นไปได้ เคยคิดในใจพูดกับโรคมะเร็งว่าอยากอยู่กับฉันใช่ไหม อยากอยู่ก็อยู่ไป เราแบ่งๆกันอยู่ แต่อย่าเบียดเบียนกัน แบ่งที่ให้ฉันบ้างแล้วกัน สุดท้ายก็อยู่ได้มาถึงปัจจุบัน”
#120374 คนสำคัญที่สุดในชีวิต... คือใคร
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 26 August 2008 - 05:08 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
.. ชีวิตคุณจะได้สักกี่น้ำ ขึ้นอยู่กับความเอ็นดูที่คุณมีต่อผู้อ่อนเยาว์ ขึ้นกับน้ำจิตที่เผื่อแผ่แด่ผู้สูงอายุ
ขึ้นกับความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ทุกข์ร้อน
รวมถึงใจเสมอภาคระหว่างบุคคลที่อ่อนแอและแข็งแรง
เพราะชีวิตในวันหนึ่งของคุณ
จักต้องกลายเป็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด ... จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์
ในอาชีพการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ผมได้มีโอกาสสังเกตเห็นบุคคลสองประเภท กลุ่มแรกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในอาชีพการงาน ชีวิตส่วนตัว และสัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง
กลุ่มที่สอง มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากสุขภาพร่างกายที่เจ็บป่วยเกินธรรมดา การทำงานและสัมพันธภาพที่มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีความสามารถในการทำงานและมีประสบการณ์มานานชนิดหาตัวจับยาก แต่ยิ่งทำยิ่งไม่ประสบความสำเร็จ
สาเหตุสำคัญ คือ ทัศนคติและมุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อตนเองและโลกนี้ เท่านั้นเองจริงๆ!
บุคคลที่ไม่สามารถให้ความรัก ความเมตตา ให้ความชื่นชมในตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้าออก อวัยวะน้อยใหญ่ รวมทั้งเซลล์ทั้งหลายในร่างกาย บุคคลนั้นจะไม่สามารถหยิบยื่นความรัก และให้ความชื่นชมต่อคนรอบข้างได้เป็นอันขาด การเริ่มต้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี คือ การรู้จักรักและเมตตาตนเอง รู้จักใส่ใจ ทะนุถนอมและดูแลอวัยวะต่างๆ ของร่างกายและจิตใจด้วยความอ่อนโยน ละมุนละม่อม
ให้หมั่นขอบคุณลมหายใจของเรา ทั้งหายใจเข้า หายใจออก ให้รู้สึกขอบคุณที่เรายังมีลมหายใจ เป็นลมหายใจที่ทำให้เรายังคงสภาพเป็นมนุษย์ สามารถประกอบกรรมดี ทั้งกาย วาจา ใจ ได้ต่อไป
จากมุมมองที่รัก เมตตา และชื่นชมตัวเองได้อย่างจริงใจแล้ว เราจึงสามารถรัก เมตตา และชื่นชมคนรอบข้างได้อย่างจริงใจ จุดนี้จะทำให้เราเริ่มประสบความ
สำเร็จมากขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวเดินไป
![](http://www.posttoday.com/medias/20080826/2514.jpg)
การใช้ชีวิตของคนเราจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมาย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่เมื่อใดที่เราได้พบปะเจอะเจอผู้คน คนเหล่านั้นผู้ซึ่งอยู่เฉพาะหน้าเรา ในรัศมี 1-5 เมตร คนเหล่านั้นคือ บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็นคนกวาดถนน พนักงานทำความสะอาด เด็กปั๊ม เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง ตำรวจจราจร หรือใครก็ตาม
เราเคยได้ส่งรอยยิ้ม ได้ทักทาย ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับคนเหล่านี้ที่ได้ผ่านพานพบในชีวิตประจำวันบ้างรึเปล่า ลองทำดูสิครับ แล้วจะพบว่า ชีวิตนี้ช่างมีความหมายมากมายกว่าที่เราเคยรู้จัก
ธีโอดอร์ รูสต์เวลต์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า “ส่วนผสมสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในสูตรแห่งความสำเร็จของชีวิต คือ การรู้ว่าจะทำตัวกลมกลืนกับ
ผู้คนได้อย่างไร” ตรงนี้เป็นมุมมองของฝรั่งที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทักษะเรื่องคน
แต่มุมมองทางพระพุทธศาสนามีความละเอียดลึกซึ้งมากกว่าหลายเท่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรามีความเมตตาโดยเสมอภาคกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งแยก ไม่มีอคติ ไม่มีญาติพี่น้องพวกพ้อง เพราะเรามักจะให้ความสำคัญและความเมตตากับคนที่เป็น “พ่อแม่พี่น้อง” เรา “เพื่อน” เรา เมื่อใดที่มีคำว่า “เรา” เข้ามากำกับ ความเมตตาจะมากขึ้นมาโดยธรรมชาติ เท่ากับการปล่อยให้ใจติดสินบน ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม
ลองฝึกดูสิครับ ฝึกให้ใจมีความเป็นธรรม ให้ความสำคัญและความเมตตาต่อบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเราในขณะนี้ ให้ตระหนักรู้ว่า เขาคือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา หากทำได้เช่นนี้ นอกจากเราจะได้เดินตามรอยบาทพระศาสดาแล้ว เรายังจะเป็นผู้ที่มีความสุข ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและที่ทำงาน
เลิกปล่อยใจให้ติดสินบน ตกจากทำนองคลองธรรม โดยการเลือกที่รักมักที่ชังกันได้แล้วครับ!
รายงานโดย :เรื่อง : ดนัย จันทร์เจ้าฉาย:
#120221 โสดสนุก สุขถึงบั้นปลาย
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 25 August 2008 - 05:47 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
แต่แหม! การใช้ชีวิตเป็นโสด ใช่ว่าจะเป็นเรื่องน่ากลัว หรือเสียหายประการใด ตรงกันข้าม หากรู้จักและเข้าใจกับชีวิต มีการจัดการบริหารชีวิตที่ดี บางที “คานทองนิเวศน์” ก็ไม่ใช่เคหสถานที่น่ากลัวอีกต่อไป ในมุมกลับอาจจะน่าพิสมัยของบรรดาคนโสดทั้งหลายเสียด้วยซ้ำ ถึงขั้นจะเปลี่ยนเป็นคานเพชร คานแพลทินัมกันเลยเชียว
** รัก-ดูแลตัวเอง และต้องมีความสุข
![](http://www.posttoday.com/medias/20080825/2495.jpg)
เป็นเจ้าของบ้านสาวโสดมาได้ 2 เดือนกว่าๆ สำหรับ เสาวรส ศรีชาติ หรือที่รู้จักกันดีในฐานะนักร้องเสียงดี โอ๋ ลำดวน เธอประกาศตัวเป็นโสดสนิทพร้อมกับการเปิดตัว http://www.baansaosoad.com ล่าสุดมีลูกบ้านสาวโสดประมาณ 3,000 คน และเพื่อนบ้านที่ไม่จำกัดสถานภาพอีกประมาณ 4,000 คน
“ตอนนี้โสดสนิท ไหนๆ เป็นแล้ว เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ทำไมต้องเสียใจกับมัน แทนที่จะรู้สึกอย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาทำงาน เปิดเว็บไซต์ดีกว่า ในความรู้สึกเราถ้าเลือกได้ ไม่โสดก็ได้นะ แต่ถ้าต้องโสดไปตลอดก็ไม่เป็นไร เพราะเข้าใจตัวเองดีว่าเวลาคบใครเราค่อนข้างซีเรียส คบเล่นๆ ทำไม่เป็น กว่าจะเลือกใครสักคนเรื่องเยอะพอสมควร
สำหรับโอ๋การจะมีคู่คิดต้องมากับความไม่ยุ่งยากไม่เดือดร้อน คู่คิดบางคนไม่ตรงกับเรา ขัดแย้งกัน ต้องอยู่กันแบบทนๆ โอ๋ก็ไม่เอา เพราะเราดูแลตัวเองได้ มีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง จะต้องมาเจียดเวลาให้ใครอีก ถ้าเขาไม่คู่ควรก็ไม่อยากเสียเวลาให้”
ด้วยหน้าที่การงาน ยิ่งตอนนี้มีร้องเพลงกลางคืนทุกวันจันทร์-เสาร์ ทำให้ได้พบผู้คนมากหน้าหลายตาที่เทียวมาแจกขนมจีบ แต่เธอก็เซย์โนไปทุกราย
“ถึงเราจะบอกไปว่า อยากอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีใครเข้ามาแล้วถูกใจ โอ๋ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ต้องใจอ่อน ผู้หญิงถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากอยู่เป็นโสดหรอก แต่ถ้าคนที่เข้ามาไม่ดีพอ การอยู่เป็นโสดน่าจะดีกว่า คนที่จะเข้ามาต้องเพอร์เฟกต์ คุ้มค่ากับ
ความรักของเราหน่อย เราต้องเลือกสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง ไม่จำเป็นต้องง้อผู้ชาย แต่ไม่ได้หมายถึงเราเกลียดผู้ชายนะ สมัยนี้ผู้หญิงทำงานหาเงิน ดูแลตัวเอง ไม่ต้องเป็นช้างเท้าหลัง พอสังคมเราเปลี่ยนไป วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไป คนหันมารักตัวเองมากขึ้น ตอนนี้ผู้หญิงลุกขึ้นมาดูแลตัวเองได้ มีสิทธิเลือกมากขึ้น”
ใครเคยพบตัวจริงเสียงจริงของเสาวรส น่าจะลงความเห็นว่า เธอเป็นสาวสวยรวยเสน่ห์ ยิ่งไม่น่าเชื่อว่า เธอโสดสนิทและมีแววว่าอยากโสดไปอีกนาน สาวโสดยังฝากถึงเพื่อนๆ ที่รักษาสถานภาพเดียวกันว่า
“ถ้าเราจะใช้ชีวิตโสดควรมีความสุขกับมันที่สุด อย่างน้อยถือเสียว่าเราได้มีเวลาทำอะไรให้กับตัวเองได้มากที่สุด ดูแลพ่อแม่ อย่างโอ๋การทำบ้านสาวโสดขึ้นมาก็เป็นการคลายเหงาได้ เราได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ในกลุ่มก็โสดกันทั้งนั้นอายุมากกว่าเราอีก โอ๋มีกิจกรรมทำมากมายแทบไม่มีเวลาเหงาด้วยซ้ำ
ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธ เรื่องธรรมะก็ช่วยได้นะ ช่วยให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ยึดติดกับอะไร วันนี้เรามีแฟนวันต่อไปไม่มีก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หากต้องใช้ชีวิตในแบบที่เป็นโสด ผู้หญิงก็จะต้องเรียนรู้การเป็นโสดของตัวเองให้ได้ ควรที่จะมีความสุข มีเวลาให้กับตัวเอง ในแต่ละวันสามารถที่จะนอนได้มากกว่า 8-10 ชั่วโมง ตรงนี้คือโอกาสที่จะทำได้เพื่อตัวเอง”
** ถามตัวเองว่า...อยู่คนเดียวได้ (จริง) ไหม
ใครเลยจะคิดว่าผู้ชายมาดดี หน้าที่การงานก็เด่น แถมยังร่ำรวยอารมณ์ขัน และเพิ่งอายุ 37 ปีเอง อย่าง วิญญลักษณ์ โสรัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส อินสโตร์ มีเดีย จะมองอนาคตไกลถึงขนาดจะลงขันกับเพื่อนๆ ทำธุรกิจเกี่ยวกับ รีไทร์ แอท โฮม เจาะกลุ่มเป้าหมายคนใช้ชีวิตโสดหลังเกษียณ
“ผมคิดว่าบั้นปลายชีวิตก็คงเข้าไปอยู่ในที่มีคนกลุ่มเดียวกันถ้าเรายังเป็นโสด อนาคตเป็นไปได้อยากทำธุรกิจเกี่ยวกับตรงนี้ เป็นคอมเพล็กซ์ คิดกับเพื่อนๆ ที่มีวิชันเหมือนกัน ทำเองแล้วเข้าไปอยู่ด้วย มีกิจกรรมสำหรับคนกลุ่มนี้ ปัจจุบันมีหลายๆ คนเทรนด์เดียวกับเรา มองการใช้ชีวิตเหมือนกันกับเรา คนไม่แต่งงานเยอะมาก สังคมต่างคนต่างอยู่มากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะโหยหาสิ่งเหล่านี้ เพราะในอนาคตเราอยู่คนเดียวเป็นอะไรไปไม่มีใครรู้”
วิญญลักษณ์ ยังคิดจะครองตัวอยู่เป็นโสด เล่นเอาสาวๆ อกเดาะกันระนาว “ผมยังสนุกกับการทำงาน มีใครเข้ามาไม่มีเวลาให้เขา ก็คงจะเกิดปัญหา ถ้าไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเลยผมก็ไม่กังวล เป็นความเคยชินที่เราอยู่คนเดียวมานานแล้ว ในสังคมเพื่อนๆ ที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ยังเกาะกลุ่มกันอยู่เป็นโสดก็เยอะ แต่ก็ไม่ได้ตั้งกฎว่าเราต้องโสด มันไม่พร้อมด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง คิดว่าอยู่คนเดียวน่าจะเหมาะในปัจจุบัน
จริงๆ ผมมีมุมมองค่อนข้างแปลกในเรื่องครอบครัว เพราะผมโตมากับเพื่อนตลอด เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก ไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย มีแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีคู่หรือไม่มีไม่ใช่ประเด็น ไม่มีอิเมจินถึงตรงนั้น ไม่ใช่แพตเทิร์นของชีวิตเรา พ่อแม่ไม่คาดหวัง แล้วแต่เราให้คิดเอง แต่ลึกๆ เขาคงแอบคาดหวังให้เราเป็นฝั่งเป็นฝา
ที่ผ่านมาทุกอย่างคิดเองทำเองมาตลอด ซึ่งผมอาจคิดผิดก็ได้ ปัจจุบันผมอยู่ได้ด้วยตัวเอง กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยว สนุกกับงานและกับชีวิต พอไม่มีภาระเราอยากทำอะไรก็ทำ มันเคยชินกับตรงนี้ แล้วมีความสุข แต่ถ้ามีคู่เข้ามาผมถือว่านั้นเป็นโบนัส”
การใช้ชีวิตโสดสนุกกว่าการมีคู่ครองเป็นไหนๆ ทว่าวิญญลักษณ์ก็ไม่ได้ประมาทต่อการใช้ชีวิต เพราะตระหนักดีว่าคนเราไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพไหนก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน ดังนั้นควรมีการบริหารจัดการชีวิตที่ดี
“ผมว่าเป็นประเด็นสำคัญมาก คนแต่งงานมีครอบครัวมักคิดว่าแก่มาลูกหลานจะเลี้ยง เราสร้างความคาดหวัง ถ้าเขาไม่เลี้ยงเราก็ผิดหวัง ไม่มีการวางแผน ผมคิดว่าในชีวิตเราไม่อยากพึ่งใคร เราสร้างฐานะให้เรามั่นคง ถ้ามีครอบครัวเรื่องเงินเราต้องมีเยอะกว่า ส่วนคนโสดในวันนี้เราอยากใช้ไปหมดก็เรื่องของเรา แต่ว่าโดยหลักๆ ต้องมีการวางแผน อย่างอายุ 20-30 ก็ใช้ได้ แต่ถ้าใกล้ 40 แล้ว ไปเสี่ยงมากก็ไม่ได้ เราอยู่คนเดียวก็จริงแต่ไม่ใช่ต้องเผาพลาญทุอย่าง ต้องมีการวางแผนไว้พอสมควร เวลาเราเจ็บไข้ใครไม่มีใครต้องมีเงินสำรอง”
โสดมีข้อดีอีกตั้งหลายอย่าง หากเราจะเลือกมองในมุมบวก “คนจะอยู่เป็นโสดต้องถามตัวเองก่อนว่าอยู่ได้ไหม เพราะเพื่อนจะอยู่กับเราตลอดไม่ได้ หลักๆ ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง รักตัวเอง ใช้ชีวิตได้ มีความสุข คนโสดต้องหาอะไรทำ แรกๆ เราอาจจะมีเพื่อนฝูงเฮไหนเฮกัน แต่สักระยะเราจะสนใจในกิจกรรมที่เราอยากทำมากกว่า ซึ่งผมเองทุกวันนี้รู้สึกว่ามีความสุข สนุกกับงาน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดถูกหรือผิด วันหนึ่งอาจเสียดายที่ไม่หาคู่ครองหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ ณ วันนี้ผมมีความสุข”
** เศรษฐกิจ-สังคมบีบให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ศ.ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยตัวเลขของคนที่ครองตัวเป็นโสดเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 40 ปีก่อน จากผู้หญิงกลุ่มคนอายุ 15-54 ปี เป็นโสด 21-22 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปี 2551 กลุ่มคนในวัยเดียวกันอยู่เป็นโสด 35 เปอร์เซ็นต์ และในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก เพราะจำนวนนี้น่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ส่วนผู้ชายในวัยเดียวกัน เมื่อปี 2503 เป็นโสดอยู่ 30 เปอร์เซ็นต์ ปี 2543 เพิ่มเป็น 36-37 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์
ศ.ดร.ปราโมทย์ ยังบอกอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโสดเพิ่มขึ้น เพราะสถานภาพสตรีสูงขึ้น มีการศึกษาสูงขึ้น โดยวัดจากตัวเลขผู้หญิงในวัย 20-24 ปี ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา เมื่อปี 2503 มีอยู่แค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ ปี 2523 ขึ้นมาถึง 7 เปอร์เซ็นต์ และปี 2543 มีมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์
“อีกปัจจัยที่คนเป็นโสดทั้งหญิงและชาย คือ การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การครองชีพ ทำให้ทุกคนมุ่งสนใจการหารายได้ เพื่อยกฐานะทางเศรษฐกิจตัวเองให้สูงขึ้น ทำให้ความสนใจที่จะมีคู่แต่งงานลดน้อยลง ทั้งผู้ชายผู้หญิงเอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาคิดเรื่องสร้างครอบครัว
ทัศนคติต่อการครองคู่ลดน้อยลง สมัยก่อนคนอยากแต่งงานมีครอบครัว แต่สมัยนี้อาจจะมองว่าไม่สำคัญ ทำงานดีกว่า การเป็นอิสระอยู่ด้วยตัวของตัวเองน่าจะดีกว่า น่าจะสบายกว่า ซึ่งแนวโน้มตรงนี้ในอนาคตผู้สูงอายุเป็นภาระของตัวเอง ของครอบครัว ของชุมชนจะมีมากขึ้น ดังนั้นคนที่คิดจะอยู่เป็นโสดจะต้องมีระบบที่จะเก็บออม มีหลักประกันของตัวเองไว้”
*** ออมเงินไว้ใช้ยาม (แก่) ลำพัง
นวพร เรืองสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และเจ้าของหนังสือ ออมก่อนรวยกว่า ได้ให้ข้อคิดเรื่องการใช้ชีวิตและเงินของคนในวัย 35 ปีขึ้นไปว่า “ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ต้องคิดเรื่องพึ่งตัวเอง แต่งงานแล้วแน่ใจหรือว่าจะอยู่กันไปตลอดรอดฝั่ง เขาจะไม่ล้มหายตายจากไปก่อน
สถิติทั่วโลกมีว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและต้องดูแลตัวเอง มักจะอยู่ในฐานะทางการเงินที่ยากลำบากกว่าคนที่ไม่ได้แต่ง ยิ่งสังคมตะวันตกคนที่แต่งงานไปแล้วมักเลิกทำงานมาดูแลบ้าน โอกาสที่จะพัฒนาตัวเองทำให้ก้าวหน้าหยุดชะงักไป ดังนั้นเป็นผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่วัยใด แต่งงานหรือไม่ ต้องนึกว่าเราต้องพึ่งตัวเองต้องรู้จักวางแผนเอาไว้ ระยะเวลาที่เราทำงานสั้นกว่าที่เราจะต้องใช้เงิน เราจะเก็บเงินไว้ใช้ในช่วงนั้นอย่างไร”
การใช้ชีวิตเป็นโสดไม่ต้องมีภาระใดๆ มากเท่ากับคนที่แต่งงานแล้ว แต่ในบั้นปลายชีวิตต้องระมัดระวังเหมือนกัน “โสดเบื้องต้นอาจจะสะดวกสบาย ไม่มีภาระดูแลลูก แต่ต้องเก็บเงินเพื่อตัวเอง เป้าหมายหลัก คือ ไม่เป็นภาระกับใคร ต้องเรียนรู้เรื่องลงทุน สิ่งเหล่านี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก ธนาคารเองก็มีบริการแนะนำเรื่องพวกนี้ ลองศึกษาดูระหว่างที่ยังมีแรงทำงาน มองโครงการต่างๆ สำหรับการเกษียณอายุ เช่น กองทุนเลี้ยงชีพ เงินบำนาญ ประกันชีวิต การซื้อก็เป็นการลงทุนโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่การซื้อต้องเป็นการซื้อของที่ให้รายได้ในอนาคตได้
“การออมไม่มีสูตรสำเร็จควรจะเก็บอย่างไร สไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อนาคตต้องการอะไร ช่วงอายุ 30 ขึ้นไปต้องใช้เงินเพื่อการใดบ้าง แต่ทุกคนต้องมีสูตรสำเร็จเหมือนกันคือ ตอนที่หาเงินไม่ได้แล้วก็ยังต้องใช้เงิน ดังนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามคุณต้องเก็บเงิน
ที่สำคัญอย่าก่อหนี้ เพราะไม่อย่างนั้นบั้นปลายแทนที่จะสบายได้ใช้เงินที่เก็บออมมา กลายเป็นว่าต้องหาเงินใช้หนี้ตอนแก่ การจัดการเงินเป็นเรื่องสำคัญมาก”
นอกจากการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ การช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นการออมเพื่อนฝูงอีกแบบหนึ่ง
“คนโสดคิดว่า เราสบายไม่มีภาระ บางคนไม่คาดหวังอะไร แต่เราควรมีเพื่อน เอื้อเฟื้อดูแลใครต่อใครไว้บ้าง พอบั้นปลายจะได้ดูแลกันเองได้ ถ้าเราเอื้อเฟื้อเราก็จะมีสังคมที่อบอุ่น เพราะคนเราเกิดมาต้องมีสังคม ไม่ใช่มุ่งทำงานจนลืมส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตไป
คนที่คิดว่าจะอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต ลองไปทำงานอาสากับผู้สูงอายุสัก 1 เดือน จะทำให้เราเข้าใจและรู้ว่าเราต้องเตรียมตัวยังไงก่อนถึงอนาคต และสุขภาพเราก็ต้องออมเหมือนกัน ถ้าเรายังใช้ชีวิตหักโหม พอแก่มาป่วยต้องใช้เงินของเรานี่ล่ะรักษา ต้องดูแลสุขภาพไม่อย่างนั้นแก่มาต้องซ่อมบำรุงมันอย่างเดียว”
การจะ “เป็นโสด” ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะใช้ “ชีวิตโสด” ให้มีความสุข ไม่เดือดร้อนผู้อื่นนั่นต่างหาก คือ “ศิลปะของการใช้ชีวิต (โสด)” อย่างแท้จริง
//////////////
#117485 สังเกต, สังเกต และสังเกต 'Observe, observe and observe'
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 03 August 2008 - 06:02 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
สมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ผมจะชอบวิชาวิทยาศาสตร์มากเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณครูประกอบ นวลละออง ซึ่งท่านเป็นครูวิชาวิทยาศาสตร์ของผมในสมัยนั้นชอบเล่าเรื่อง คุณครูประกอบจะเล่าเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ดังๆ หลายท่าน ที่ผมจำได้อย่างแม่นยำที่สุดก็คือคุณครูเล่าเรื่องของโทมัส อัลวา เอดิสัน การคิดค้นการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ของเขากว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าสำเร็จ เอดิสันก็ต้องทดลองอะไรต่างๆ มากมายแสนสาหัส
ฟังดูเหมือนแสนสาหัส แต่ถ้าเอดิสันรู้สึกว่า "สาหัส" เขาก็คงไม่ทำ การที่เขายังสนุกสนานอยู่กับการค้นคว้าสิ่งต่างๆ นั้น แสดงว่า "เขาน่าจะไม่ได้รู้สึกว่าหนักหนาสาหัส" กับการกระทำของเขากระมัง
และสิ่งที่ผมฝังใจมากสำหรับการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คุณประกอบสอนไว้ก็คือ "ต้องช่างสังเกต" แต่ในทางปฏิบัติ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่ทราบ ผมกลับไม่สามารถนำพาให้ชีวิตจริงๆ มี "การสังเกต" อย่างจริงๆ จังๆ ได้ เพียงคิดและรู้และก็เข้าใจว่า "นักวิทยาศาสตร์ต้องเป็นคนช่างสังเกต" และผมเพิ่งกลับมานึกถึงคำว่า "สังเกต" ของคุณครูประกอบได้อีกครั้งหนึ่งเมื่อสามสี่ปีนี้เอง
ในครั้งนั้นท่าน อ.หมอประเวศ วะสี ได้พูดถึง "ทฤษฎีตัวยู" (อักษร U ในภาษาอังกฤษ) ในการประชุมจิตวิวัฒน์ครั้งหนึ่ง เป็น "ทฤษฎี U" ที่เขียนอยู่ในหนังสือที่ชื่อ "Presence" ซึ่งเขียนโดยนักปรัชญาทางสังคมดังๆ หลายท่าน เช่น ปีเตอร์ เซ็งเก, โจเซฟ จาวอสกี้, ออตโต ชาร์มเมอร์ และเบตตี้ ชูว์
ในหนังสือเล่มนี้พูดถึง "ทฤษฎี U" ว่าเป็นกลไกการเรียนรู้ที่สำคัญของมนุษย์ในการที่จะ "ไม่เลือกใช้" สิ่งที่รู้อยู่เดิมๆ เก่าๆ แบบปฏิกิริยา เช่น ถ้าเราได้รับรู้อะไรบางอย่างเข้ามามนุษย์ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกสิ่งเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ ในการมีปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้น สมมุติว่าเห็นคนแต่งตัวโทรมๆ ไว้หนวดเครารุงรังและหน้าดุร้ายเดินเข้ามาหาเรา เราก็มักจะต้องกลัวว่าเขาจะมาทำร้ายไว้ก่อน เป็นต้น
ในทฤษฎียูนั้นบอกว่า ถ้าเราไม่ตัดสินเรื่องราวแบบรวดเร็วเกินไปนัก เฝ้ารอและลองดำดิ่งลงไปที่ "ก้นตัวยู" เราอาจจะได้ "ทางเลือก" อะไร "ใหม่" ที่ก่อเกิดขึ้นมาในความคิดของเราได้
ที่ "ก้นตัวยู" นั้นจะมี "การก่อเกิด" ของสิ่งใหม่ที่ อ.หมอประเวศใช้คำว่า "ผุดบังเกิด" หรือ "โผล่ปรากฏ" เกิดขึ้นมาเหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์อย่างเอดิสันเกิดปิ๊งแว้บในงานทดลองของเขาอยู่เนืองๆ เหมือนอย่างที่อาคิมิดิสร้องคำว่ายูเรก้า เมื่อล้มตัวลงไปในอ่างน้ำ หรืออื่นๆ
และขั้นตอนสำคัญที่สุดที่จะเดินลงไปสู่ "ก้นตัว U" ได้ก็คือ ต้องไต่ไปตาม "ขาลงของตัว U" และขาลงของตัวยูนั้น จะต้องเริ่มต้นด้วย "การสังเกต สังเกต และสังเกต" ซึ่งออตโต ชาร์มเมอร์ ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎียูได้เขียนไว้ที่ขาลงตัวยูด้วยคำว่า "observe, observe and observe" ย้ำสามครั้งตามสไตล์เยอรมันของแท้
ตรงนี้เองที่คำว่า "สังเกต" ได้กลับเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่งว่า "การสังเกต" นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตของมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างผมและท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านด้วย อาจจะไม่ต้องรอให้เป็น "นักวิทยาศาสตร์" เท่านั้นที่จะต้องมีทักษะของการสังเกต
ถึงตรงนี้ก็อาจจะมีคำถามนะครับว่า "สังเกตอะไรหรือ?" ก็คงจะตอบว่า "สังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง" ที่เกิดขึ้นจริงๆ ณ เวลานี้เดี๋ยวนี้ว่ามีอะไรบ้าง
สังเกตเพื่อการรับรู้เต็มร้อยกับสถานการณ์หนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเราและรอบๆ ตัวเรา เช่น
สังเกตว่าขณะนี้ร่างกายของเราเป็นอย่างไร ส่วนไหนตึง ส่วนไหนปวดเมื่อย ส่วนไหนสบายๆ ลมหายใจของเราเป็นอย่างไร ช้าหรือเร็ว ลึกหรือตื้น เรากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เรากำลังรู้สึกอย่างไร อารมณ์ของเราเป็นอย่างไร
จากนั้นก็อาจจะสังเกตสิ่งรอบๆ ตัว อากาศเป็นอย่างไร ร้อนหรือหนาวหรือพอดีๆ มีลมพัดหรือไม่อย่างไร มองเห็นอะไรอยู่ ได้ยินเสียงอะไรอยู่ กำลังได้กลิ่นอะไรอยู่ รับรู้สิ่งที่เห็นพร้อมๆ กับสังเกตปฏิกิริยาที่ร่างกายของเราที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที
ลองสังเกตทุกอย่างในทุกกิจกรรมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การนั่ง การกินอาหาร การขับรถ การประชุม หรืออื่นๆ เพราะ "การสังเกต" จะช่วยให้เรา "มองเห็น" สิ่งที่ "เราเคยมองไม่เห็น" มาก่อน ทำให้เราได้ "รับรู้" สิ่งที่เราไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ช่วยทำให้ "จุดบอด" ในชีวิตของเราหายไป ผมมีสมมติฐานอยู่ว่า ปัญหาต่างๆ ของพวกเราแต่ละคนก็มักจะอยู่ใน "จุดบอด" ที่เรามองไม่เห็นนั่นเอง
"การสังเกต" ยังจะช่วยทำให้เราได้ "รับรู้ถึงความสดใหม่เสมอ" ของการมีชีวิตเพราะแต่ละวินาทีแต่ละนาที ร่างกายของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ต่อเมื่อเราสังเกตเราจึงจะมองเห็น
ในเบื้องต้นนั้น เราเพียงฝึกสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นตามที่เป็นไปเท่านั้น ยังไม่ต้องพยายามที่จะไปทำอะไร เพราะการสังเกตเป็นเหมือนประตูเข้าไปสู่ก้นตัวยู เราจะสามารถคิดอะไรดีๆ ออก ต่อเมื่อเราสามารถดำดิ่งลงไปถึงก้นตัวยูได้เท่านั้น นอกจากนั้นที่ก้นตัวยู เราจะยังได้พบกับ "ความหมายที่แท้จริงของชีวิต" ของเราอีกด้วย
ทิม กัลเวย์ ผู้เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญอีกท่านหนึ่งพูดถึง "การตื่นรู้เมื่อเราสังเกต" ไว้ว่า เหมือนกับการที่เราฉายแสงส่องไฟไปยังส่วนที่มืดของชีวิตของเรา
และเมื่อเรามองเห็นเราจึงจะสามารถเกิดความสนุก ความสุข และความเบาสบาย อย่างที่ควรจะเป็น อย่างที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถสัมผัสได้
ต่อเมื่อเรา "สังเกตเป็น" เท่านั้นเราจึงจะสามารถ "ใช้ชีวิตได้เต็มร้อยจริงๆ"
ก่อนที่สิ่งต่างๆ รอบตัวของยุคสมัยใหม่จะทำให้เรากลายไปเป็นหุ่นยนต์ "ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในตัวและรอบๆ ตัวเรา
ซึ่งจะค่อยๆ ทำให้เรากลายไปเป็น "สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีชีวิต" ไปได้อย่างน่าเสียดาย
***ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11103 , หน้า 6
#116103 ให้ปลาหมึกเล่นรูบิก ดูความถนัด-ช่วยลดเครียด
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 22 July 2008 - 07:19 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
![](http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/07/tec01220751p1.jpg)
ผู้เชี่ยวชาญทางทะเลจากซีไลฟ์เซ็นเตอร์ เมืองดอร์เส็ตต์ ประเทศอังกฤษ ทำการทดลองลดความเครียดในปลาหมึก 25 ตัว ที่ถูกจับอยู่ในศูนย์ ด้วยการให้มันเล่นรูบิก
นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า แม้ปลาหมึกจะมี 8 หนวด แต่จะต้องมีหนวดใดหนวดหนึ่งที่มันชอบใช้มากที่สุด เช่น การหยิบจับอาหาร นางแคลร์ ลิตเติ้ล จากซีไลฟ์เซ็นเตอร์จึงทดลองให้ปลาหมึกเล่นรูบิก 1 เดือน เพื่อดูว่า มันใช้หนวดไหนมากที่สุด หรืออาจเป็นไปได้ว่ามันใช้ทั้ง 8 หนวดเท่าๆ กัน ซึ่งการศึกษานี้ ลิตเติ้ลหวังว่า จะช่วยให้เราเข้าใจสัตว์ที่มีแขนขามากๆ ได้ดีขึ้น ทั้งอาจช่วยลดความเครียดในปลาหมึกด้วย
ลิตเติ้ลอธิบาย ว่า "ปลาหมึกแตกต่างจากสัตว์ทั่วๆ ไป เส้นประสาทกว่าครึ่งหนึ่งของมันอยู่ที่หนวด สำหรับการทดลองให้ปลาหมึกเล่นรูบิกจะมีขึ้นในซีไลฟ์เซ็นเตอร์ 23 แห่ง ทั่วอังกฤษและยุโรป ในการทดลองนั้นได้กำหนดให้หนวดซีกขวาจากด้านหน้าไปหลังมีชื่อว่า R1, R2, R3 และ R4 ตามลำดับ ส่วนหนวดซีกซ้ายจากหน้าไปหลัง กำหนดชื่อว่า L1, L2, L3 และ L4 ตามลำดับเช่นกัน"
นอกจากนี้ จะมีการโยนลูกบอล ขวดแยม ชิ้นส่วนเลโก้เข้าไปในบ่อปลาหมึกเพื่อให้มันเล่น พร้อมสังเกตว่า เมื่อของตกลงไป มันใช้หนวดที่อยู่ใกล้ของที่สุดเก็บหรือเปล่า หรือมันใช้หนวดอื่น หรือใช้หลายๆ หนวดหยิบพร้อมกัน ส่วนผลการทดลองคาดว่าจะประกาศให้ทราบได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้
#115834 The Animation Team
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 20 July 2008 - 12:48 PM
ใน
เว็บบอร์ด DMC
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
#115760 “พล.ท.ฤกษ์ดี ชาติอุทิศ”กับภารกิจขับเคลื่อนวงล้อธรรม
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 19 July 2008 - 07:42 PM
ใน
ธรรมกถึก
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
เพื่อเป็นการร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ไว้ พล.ท.ฤกษ์ดี ชาติอุทิศ ในวัย 70 เศษ อดีตนายทหารใหญ่หัวหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ขอเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวงล้อของพระธรรมจักรให้คงอยู่ต่อไป ด้วยการบริจาคที่ดินเพื่อสร้าง “ธุดงคสถาน” สถานที่ที่ใช้ในการปฏิบัติธรรมและเจริญวิปัสสนาของพระสงฆ์ในช่วงเทศกาลออกพรรษา
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีหลังจากที่เกษียณอายุราชการ ที่ พล.ท.ฤกษ์ดี ได้อุทิศตนในการสืบทอดพระพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ และก็เป็นผู้หนึ่งที่ริเริ่มให้มีการสร้างสถานที่ “ธุดงคสถาน” จำนวน 77 แห่งทั่วประเทศไทย เพื่อให้พระสงฆ์ได้ใช้ประโยชน์จากสถานที่นั้นๆ ในการออกแสวงหารสพระธรรม
พล.ท.ฤกษ์ดี เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้ว่า เกิดจากการออกไปศึกษาและท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ จึงเห็นภาพของพระสงฆ์บางรูป ที่ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ที่จะออกไปแสวงหาธรรม หรือออกไปปฏิบัติธรรมนอกวัดที่ตนเองจำวัดอยู่ เพื่อถ่ายทอดหลักธรรมคำสอนของพระศาสดาให้กับประชาชนได้รับรู้ แต่พระสงฆ์หลายรูปกลับต้องพบเจอกับปัญหาหลักคือไม่สามารถหาที่จำวัดได้
“เดี๋ยวนี้ปัญหาที่เราพบจากการออกไปธุดงค์ของพระสงฆ์ คือ ท่านไม่มีที่จำวัด เพราะสถานที่บางแห่งก็มีเจ้าของ หรือบางพื้นที่ก็เป็นเขตป่าสงวนห้ามไม่ให้ใครแม้แต่กระทั่งพระสงฆ์เข้าไปในพื้นที่ และบางที่ ซ้ำร้ายหนักกว่านั้นคือถ้าอยู่กันคนละศาสนาถึงกับไล่พระออกจากพื้นที่นั้นทันที”
เมื่อเริ่มตระหนักเห็นถึงความยากลำบากของพระสงฆ์ในการเดินทางออกไปจำวัดนอกสถานที่ อดีตนายพลทหารกล้าแห่งกองทัพไทย จึงเริ่มมีแนวคิดที่จะหาที่ดินเพื่อใช้สำหรับในการสร้างสถานที่ธุดงคสถาน จำนวน 77 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้พระสงฆ์ในเมืองไทยได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการสร้างไปแล้วจำนวน 10 กว่าแห่ง โดยกระจัดกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งแต่ละแห่งได้มีการพิจารณาถึงระยะทางและความเงียบสงบ
“ผมเริ่มทำโครงการนี้มาตั้งแต่อายุ 50 ปี จนตอนนี้ผมมีอายุตั้ง 70 กว่าแล้ว และผมได้บริจาคที่ดินสำหรับใช้ในการธุดงค์ของพระสงฆ์จำนวน 10 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะมีพื้นที่ประมาณ 2-3 ไร่ โดยแต่ละแห่งจะต้องอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 5 กิโลเมตรเพื่อให้พระสงฆ์ได้ออกบิณฑบาตในช่วงเช้า ซึ่งคิดว่าระยะห่างตรงนี้กำลังพอดี เพราะถ้าอยู่ใกล้เกินไปก็จะมีเสียงดังรบกวนการวิปัสสนาของท่าน หรือถ้าอยู่ไกลเกินไปพระสงฆ์ก็จะไม่สามารถออกมาบิณฑบาตได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดสถานที่แห่งนั้นจะต้องมีความเงียบสงัดด้วย เพราะท่านจะได้เข้าถึงแก่นแท้ของพระธรรมอย่างลึกซึ้ง”
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
“ผมคิดว่าสาเหตุ ที่มีพระสงฆ์เข้าไปใช้ประโยชน์จากสถานที่ตรงนั้นน้อยเพราะว่า พระบางรูปไม่รู้ว่ามีสถานที่ใดบ้างที่ท่านจะสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น ผมจึงอยากที่จะวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาประชาสัมพันธ์หรือบอกให้พระสงฆ์ท่านทราบว่า ขณะนี้เรามีสถานที่ที่ท่านสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในการปักกรดสำหรับการออกธุดงค์ได้”
เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างสุดกำลังความสามารถ จึงทำให้อดีตนายพลวัย 70 ปีคนนี้ ยังคงมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงดีจนคนหนุ่มต้องอิจฉากันเลยทีเดียว อะไรคือเคล็ดลับของนายพลท่านนี้ ?
“ผมเป็นคนที่มักคิดอะไรในแง่บวกอยู่เสมอ ในยามที่รับราชการทหารอยู่เราก็ปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ไม่ว่างานนั้นจะมีปัญหาเข้ามาให้ต้องสะสางมากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเรานำหลักธรรมทางศาสนามายึดถือปฏิบัติแล้วเรื่องราวต่างๆ ก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี”
สำหรับหลักธรรมที่อดีตนายพลผู้นี้นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตนั้นคือ ทางสายกลาง คือทุกอย่างจะต้องมีความพอดี ไม่มากไปและไม่น้อยไป เพราะถ้าเมื่อไรก็ตามที่มนุษย์ทำอะไรที่มันเกินตัวความวุ่นวายก็จะบังเกิดขึ้นทันที
“ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ล้วนอยากได้อยากมีและอยากเป็นในสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ทั้งนั้น แต่ขณะเดียวกัน เราก็ต้องรู้จักพอประมาณตัวเองว่าเรามีขีดความสามารถอยู่ในระดับใด ต้องทำอะไรให้เกิดความพอดี สมมุติว่าทำงานหาเงินมากเราก็ต้องแบ่งเงินไปทำบุญบ้าง เพื่อที่ผลบุญที่เราทำนั้นจะได้ส่งผลให้เราสามารถใช้เงินทองและสิ่งของที่มีอยู่อย่างมีความสุข”
พล.ท.ฤกษ์ดี อธิบายต่ออีกว่า ทุกวันนี้ภารกิจของเขานอกเหนือจากการเข้าวัดเข้าวาไปทำบุญและไปดูแลธุรกิจส่วนตัวเป็นครั้งคราวแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้ยึดถือและทำเป็นประจำคือ การศึกษาหลักคำสอนของพระศาสดาจากคัมภีร์พระไตรปิฎกจนเกือบครบทุกเล่ม
“บางครั้งผมอาจไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าไปทำบุญที่วัด แต่สิ่งที่ผมทำและปฏิบัติเกือบทุกวันคือ การศึกษาพระไตรปิฎกเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในบางเรื่องที่เรายังสงสัยอยู่ เพราะผมมีความเชื่อว่า การที่เราจะเรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างกระจ่างชัดในรสพระธรรมนั้น จะต้องเรียนรู้ในหลักทฤษฎีเสียก่อน เพราะถ้าเราไม่รู้หลักทฤษฏีเราก็จะปฏิบัติไม่ได้”
นอกจากนี้ เขายังได้ให้มุมมองการใช้ชีวิตสำหรับคนทั่วไปอย่างน่าสนใจอีกด้วยว่า
“การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ผมเชื่อกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า กฎแห่งกรรม ใครทำกรรมอะไรไว้ย่อมได้รับผลกรรมเช่นนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำกรรมดี สิ่งดีๆ ก็จะบังเกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กระทำสิ่งไม่ดีไม่ถูกต้อง ผลกรรมนั้นก็ย่อมที่จะมาคืนสนองผู้กระทำอย่างหลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าคนๆ นั้นจะรวยล้นฟ้าสักเพียงใดก็ตาม” พล.ท.ฤกษ์ดี สรุปทิ้งท้าย
ที่มา-น.ส.พ.ผู้จัดการ
#115357 วิธีประหยัดค่าโทรศัพท์สุดคุ้ม! โปรโมชั่นไม่อั้น
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 16 July 2008 - 03:53 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
เทคนิคง่ายๆ ในการช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์มือถือโทรหาแฟนแบบไม่อั้นแต่เซฟเงินในกระเป๋า ไว้ดินเนอร์สุดหรูแทน พร้อมทั้งวิธีงดรับโทรศัพท์'ภรรยา'หมั่นโทรตามกับเหตุผลสุดโหล
1. Save เลขหมายโทรศัพท์ของแฟน ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า ' คิดถึงเหมือนกัน ' แทนชื่อแฟนของคุณ
2. Save เลขหมายโทรศัพท์ของคุณในมือถือของแฟนโดย SaveName ว่า ' คิดถึงนะ ' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อถึงเวลาที่จะต้องโทรหากัน คุณก็โทรหาแฟนสัก 1 - 2 ตู๊ดแล้ววางสาย ที่เครื่องของแฟนก็จะ Show Miss Call เมื่อ List ดูก็จะพบข้อความว่า ' คิดถึงนะ '
4. เช่นเดียวกัน เมื่อแฟนต้องการจะตอบว่า คิดถึงเหมือนกันก็ให้โทรหาคุณ แล้ววางสาย Show Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า ' คิดถึงเหมือนกัน '
เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท เก็บเงินไว้พาแฟนไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนดีกว่า
นั่นมันสำหรับแฟนกัน ถ้าแต่งแล้วต้องตามนี้เลย
1. Save เลขหมายโทรศัพท์ของเมียในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า ' เองอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน ' แทนชื่อเมีย
2. Save เลขหมายโทรศัพท์ของคุณในมือถือของเมียโดย SaveName ว่า ' ติดประชุม(โว้ย) ' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อถึงเวลาเมียตามกลับบ้าน จะต้องโทรหาคุณคุณไม่ได้รับเพราะ....ก็จะ Show Miss Call เมื่อ List ดูก็จะพบข้อความว่า ' เองอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน '
4. เช่นเดียวกัน คุณก็โทรหาเมียคุณ 1-2 ตู๊ด แล้ววางสาย เมียคุณก็จะเห็น Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า ' ติดประชุม(โว้ย) '
เท่านี้คุณก็สามารถประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท แต่อาจต้องนอนนอกบ้าน
![laugh.gif](style_emoticons/default/laugh.gif)
ที่มา : Forward mail
#114429 แบบทดสอบ 49 ข้อที่บอกว่าคุณแก่แล้ว!
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 08 July 2008 - 04:40 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
คำถาม 49 ข้อ ที่มี หากคุณอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วคุณรู้จักมักคุ้น เคยได้เห็น ได้สัมผัสกะสิ่งที่เรากล่าวขึ้นมาประมาณสัก 30 ข้อ... เราก็ขอแสดงความยินดีด้วย....เพราะคุณแก่แล้ว
1 เคยไปเมโทร บิ๊กเบล ไดมารูราชดำริ
2 เคยเล่นถ้วยหมุนบนเซนทรัลชิดลม
3 เคยเล่นสวนสนุกบนมาบุญครอง
4 รู้จักแมคโดนัลที่แรกที่โซโก้
5 รู้ว่ามีฟู้ดคอร์ทที่แรกที่มาบุญครอง
6 ยังเรียกสถานที่ต่อไปนี้ว่า เวิลด์เทรด รีเจนท์ ฮิลตัน (โดยที่ไม่ยอมจำว่ามันเปลี่ยนเป็น เซ็นทรัลเวิลด์ โฟร์ซีซั่น ราฟเฟิล ส่วนฮิลตันก็ไปเปิดใหม่ตรงแม่น้ำแล้ว)
7 เคยกินฟาสต์ฟู้ดเหล่านี้ซึ่งไม่มีแล้ว ทาโก้ ป๊อบอาย เวนดี้ โฮเบอร์เกอร์ เชคกี้ส์พิซซ่า
8 คิดว่า แฮปปี้แลนด์ แดนเนรมิต ถ้าไม่เคยไป เสียชาติเกิดเป็นที่สุด
9 เคยดูหนังแบบที่มันมีราคาตามผังที่นั่ง
10 เคยเล่นไอซ์บนเวิลด์เทรด
11 เคยรู้ว่า ค่าทางด่วนราคา 10 บาทแล้วเปลี่ยนเป็น 15 แล้วเป็น 30 จนถึง 40 ในตอนนี้
12 รู้ว่า ดอนเมืองมีแค่ 1 เทอร์มินัล
13 เคยเติมน้ำมันทีละ 200
14 เคยใช้ floppy disk แผ่นเท่าจาน
15 เคยใช้ คอมไม่มีเมาส์
16 เคยใส่แบรนด์ต่อไปนี้ NEXT, Dr.Martin, Banana Republic (เคยใส่กางเกงยีนส์สีต่างๆ ผู้หญิงเคยผูกโบว์ใหญ่เท่าผ้าสไบ ผู้ชายเคยห้อยกระดิ่งที่รองเท้า)
17 เคยมีเพจ ถ้าจะให้ดีต้องรุ่น advisor
18 รู้ว่า แต่ก่อนมือถือไม่มี 01 เบอร์บ้านไม่มี 02
19 รู้ว่าแต่ก่อนไม่มีชื่อถนนหรือชื่อย่าน แบบนี้...คือ รัชวิภา รัชโยธิน เลียบทางด่วน
20 เคยติด IBC แล้วเปลี่ยนเป็น UTV แล้วมันก็มารวมกันเป็น UBC
21 เคยดู เฮนเบะ บุนบู เมียมนิทานชีวิต แคสเปอร์ผีน้อย บาบ้าปาร์ป้า
22 เคยเรียนดรุณศึกษา หนูมาลีหนูมาลัย หรือมานะมานี
23 สอบเอ็นระบบเก่า วัดใจทีเดียวไม่มีลุ้น
24 ชอบของแถมที่มากับรองเท้าบาจา เช่นโจรสลัดที่อยู่ในถัง
25 คอนเสิร์ตไมเคิลแจ๊กสัน คอนเสิร์ต gun n roses คอนเสิร์ตบอนโจวี่ นีล่ะของชอบ
26 เคยมีเกมกดและพัฒนาเป็นนินเทนโด
27 เคยอ่านนิตยสาร ลลนา สตรีสาร สกุลไทย และรู้ว่าสตรีสารจะมีภาคพิเศษสำหรับเด็กด้วย ซึ่งมีการ์ตูนน่ารักๆ หลายเรื่อง เช่น ต๋อมจอมยุ่ง เจ้าขนฟู คนพิลึก
28 เกิดทันหนังสือเด็กแนวสมัยก่อน เช่น ปลื้ม ไปยาลใหญ่
29 ชอบกินไอติมโฟร์โมสต์
30 เกิดทันโฆษณายุคหวานใส เช่น ขอเสื้อคืนด้วยค่ะ, อุ๊ยส้มหล่น , จะให้เธอน่ารักน้อยกว่านี้หรือให้ผมกล้ามากกว่านี้ดีนะ, รักเจรักช็อคโกบาร์
31 เกิดทันยุคหนังวัยรุ่น สะแด่วแห้ว กลิ้งไว้ก่อน มีดารานำจำพวก มอส เต๋า โมทย์ จอห์น ดีแลนด์ ศรราม นุ๊ก ต๊ะ ฯลฯ
33 ถ้าแก่มากจะทัน พาเลซ โรม ถ้าแก่ไม่มากนักจะทันไวเบรชั่น ชาร์กกี้ ทอรัส ดิสคัฟเวอรี่
34 สามารถบอกชื่อศิลปินค่ายคีตา ได้มากกว่า 3 คน เช่น อ้อม สุนิสา นีโน่ ฝันดีฝันเด่น เอ็มสุรศักดิ์ แจ็กจิล เคดีรอม ยูโฟ ต่อนันทวัฒน์ พงพัฒน์ ยุ้ย ทีสะเกิ๊ต โก้นฤเบศร์
35 นอกจากสามหนุ่มสามมุมแล้วยังทัน ตะกายดาว คนค้นคน นางฟ้าสีรุ้ง
36 รู้ว่าจะมีการฺ์ตูนโผล่มาเวลา ช่องทีวีมีปัญหา เช่น นกหัวขวาน
37 เคยอยู่ในช่วง ดอลล่าร์ละ 25 บาท ปอนด์ละ 40 (โอ้แม่เจ้า เคยมีในสมัยนั้นจริงๆ)
38 เกิดทัน การดูเลเซอร์ มีร้านให้เช่าดูที่สยามด้วย
39 เกิดทันยุคที่นักร้องแกรมมี่ต้องมีเพลงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่ในอัลบั้ม
40 รู้ว่าสยามเซ็นเตอร์และชิดลม ไฟไหม้ในเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ช่วงนั้นไม่มีห้างจะเดิน
41 คนข่าวสมัยนั้นที่ดัง คือ สมเกียรติ์ อรุณโรจน์ วิทวัส
42 ยุทธการขยับเหงือก เทปแรกๆ มีเสนาปัญญา เสนากิ๊ก และก็มีเสนาโค้ก อรุณ ติ๊กกลิ่นสี แหม่มสุริวิภา ส่วนโน้ตอุดม หอย ส่วนวิทย์มาทีหลัง
43 เคยรู้ว่าถ้าท่านใดสามารถตอบได้ว่า วันนี้พี่เบิร์ดร้องเพลงกี่เพลง/ ติ๊นาเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดกี่ชุด
จะได้รับนาฬิกาคาเรร่าสำหรับสุภาพบุรุษ 1 เรือนและสุภาพสตรี 1 เรือน
สำหรับเงินค่าเข้าประตูในวันนี้ จะนำไปซื้อตู้ยาพร้อมเครื่องเวชภัณฑ์ให้โรงเรียนวัดไผ่อีเห็น
44 ชอบพูดว่าตัวเองยังไม่แก่ แต่ที่แท้เวลาได้ยินเพลงสมัยก่อนจำพวกเจ นูโว ยูเอชที จะยิ้มแป้น
แถมยังชอบไปดูคอนเสิร์ตย้อนยุคทั้งหลาย และชอบไปที่เที่ยวที่เปิดเพลงเก่า
45 เคยคิดว่า โบ-จ๊อยซ์โป๊มาก (สมัยนี้เจอเจอเกิร์ลลี่เบอรี่เข้าไป หึ หึ)
46 ยังไม่มี airport tax
47 ฮิตเสื้อนักศึกษาตัวใหญ่ หรือพอดีๆ ไม่ใช่รัดติ้วเป็นแหนมมัดเหมือนสมัยนี้
48 รู้ว่าซูกัส ทรีบอล์ เคยห่อเป็นแบบท็อฟฟี่ คอร์นพัฟเป็นถาดดึงออกมา ป๊อกกี้แกะกล่องจากด้านบนไม่ใช่ตรงกลางแบบนี้ และยังมี มั้นมัน ทวิสตี้ จิ๊กกะดี้ ริงโก้ กาก้า
49 เคยดูเขาทราย เขาค้อ สามารถ ซึ่งเวลาต่อยแข่ง ถนนโล่งไปหมดไม่มีคนออกจากบ้าน
ที่มา : Forward mail. :'(
#114418 นศ.จบใหม่แบบไหน ที่บ.เอกชนต้องการ
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 08 July 2008 - 03:55 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
“ช่วยแนะนำงานที่เหมาะให้ที จบมา 3 เดือนแล้วยังไม่มีงานทำเลย”
“เรียกไปสัมภาษณ์ แล้วบอกว่าจะติดต่อกลับมา จนป่านนี้แล้วก็ยังเงียบ”
....ฯลฯ
นั่นคือเสียงที่เหล่าบัณฑิตที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคน บอกกับคนใกล้ชิดหรือคนสนิท เหตุเพราะหลังจบการศึกษามาหลายเดือน เดินทางไปสมัครงานก็หลายที่ สมัครผ่านระบบอินเตอร์เน็ตหลายครั้ง ก็ยังไม่มีสถานประกอบการใดเรียกตัวไปเริ่มต้นชีวิตคนทำงานสักที อย่างดีก็แค่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ แล้วก็ได้ยินประโยคยอดฮิตจากผู้สัมภาษณ์ “เเล้วเราจะติดต่อกลับไป”
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด
ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงสาเหตุที่บัณฑิตที่เพิ่งจะจบการศึกษาส่วนใหญ่จะหางานทำได้ยากเป็น เพราะสภาพตลาดแรงงานไทยในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง กล่าวคือ จำนวนผู้หางานมีมากกว่าตำแหน่งงานที่เปิดรับ อีกทั้งบริษัทส่วนใหญ่ต้องการพนักงานที่มีประสบการณ์การทำงานเพื่อสามารถเริ่มงานได้ทันที ทำให้นักศึกษาจบใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์การทำงาน ขาดโอกาสในการแข่งขันในตลาดแรงงาน ทั้งที่นักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาอาจมีศักยภาพและความสามารถที่ดีได้
“ความเข้าใจที่ว่านักศึกษาที่จบใหม่อาจจะยังมีความต้านทานหรือความอดทนต่อแรงกดดันต่างๆ ของสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กรการทำงานจริงค่อนข้างน้อย ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การลาออกและเปลี่ยนงานบ่อย”
กรรมการผู้จัดการกล่าวต่อไปว่าบริษัท ไมโครซอฟท์ฯ เองเห็นคุณค่าของนักศึกษาจบใหม่และต้องการส่งเสริมให้มีประสบการณ์ และมีโอกาสได้เรียนรู้การทำงานจริงกับองค์กรข้ามชาติ และเข้าใจความต้องการในการทำงานและศักยภาพของตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งอาจแตกต่างจากสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือศึกษาจากมหาวิทยาลัย จึงได้จัด โครงการ Microsoft Executive Trainee ขึ้นเพื่อให้นักศึกษาไทยมีโอกาสเข้าร่วมทำงานกับบริษัทฯ เป็นระยะเวลา 1 ปีเต็ม โดยหมุนเวียนไปตามแผนกต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงาน และให้นักศึกษาได้ค้นหางานที่ตัวเองชอบถนัดจริงๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดทั้งแก่องค์กรและต่อตัวนักศีกษาเอง
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
พอฤทัย ณรงค์เดช กรรมการบริหาร กล่าวถึงสาเหตุที่หลายบริษัทไม่นิยมรับนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่และยังไม่มีประสบการณ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า นักศึกษาที่จบใหม่ส่วนมากจะมีจุดอ่อนในเรื่องความรับผิดชอบ และไม่รู้ว่างานที่ตัวเองต้องการทำจริงๆ นั้นคืองานอะไร
“เรื่องความสามารถเป็นเรื่องที่ฝึกกันได้แน่นอนถ้าเด็กเขายอมรับและ มีการปรับตัวในการทำงานหลังจากเข้ามาร่วมงานกันแล้ว ดังนั้นเวลาที่เราสัมภาษณ์รับเด็กจบใหม่เข้ามาทำงานกับเรา เราก็จะดูจากการพูดคุยและทัศนคติที่ตัวเขามี ว่าเขารู้เรื่ององค์กรของเราที่เขาอยากจะทำงานกับเรามากน้อยขนาดไหน เพราะถ้าเขาได้รับการพิจารณาเลือกให้เข้ามาทำงานกับเราแล้วเขาจะต้องมาอยู่กับวัฒนธรรมองค์กรของเรา”
ส่วนเรื่องเกรดเฉลี่ยจบการศึกษานั้นกรรมการบริหารบริษัทเคพีเอ็นฯ กล่าวว่าไม่จำเป็นจะต้องจบการศึกษาระดับเกียรตินิยม ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่เรียนเก่งเสมอไป ขอเพียงนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่มานั้นเข้าใจในธุรกิจที่ตัวเองอยากจะทำงานบ้างเท่านั้น ซึ่งจะสังเกตเเละพิจารณาได้ขณะที่ทำการสัมภาษณ์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดทั้งเรื่องของทัศนคติ เรื่องของความเข้าใจในธุรกิจ เรื่องของความพร้อมในการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมในองค์กร
“การแต่งกายมาสมัครงานมาสัมภาษณ์งานเป็นเรื่องหนึ่งที่พิจารณาแต่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด เพราะเรื่องของบุคลิกการแต่งกายสามารถที่จะปรับตัวกันได้หลังจากการรับเข้ามาร่วมงานแล้ว”
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
ศรันยา เทียนถาวร รองประธานอาวุโส ฝ่ายการพนักงานและบริหารสำนักงาน กล่าวว่า สำหรับบริษัทฯ แล้วถ้าตำแหน่งใดไม่จำเป็นต้องใช้คนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน ก็อยากจะรับเด็กที่เพิ่งจบใหม่มาร่วมทำงานด้วย เพราะเด็กจบใหม่เหมือนผ้าขาวที่สามารถมาฝึกการทำงานให้เป็นคนของบริษัทได้อย่างแท้จริง แต่ส่วนใหญ่เมื่อได้รับโอกาสแล้วมักจะมาทำงานได้ไม่นานก็จะลาออกไปเริ่มต้นงานใหม่ที่คนละสายงานกับที่เขาทำ
“คุณสมบัติเด็กจบใหม่ที่ต้องการ เป็นเรื่องค่อนข้างง่ายในการค้นหาเขาจากการสัมภาษณ์ เราดูจากภาพรวมของเขา เราแยกออกเป็นสองส่วน
เรื่องแรกก็คือเรื่องความสามารถซึ่งก็ใช่ว่าจะสามารถ ตรวจสอบอะไรได้มากนัก ซึ่งเราก็คงดูได้แต่เพียงผลการเรียนของเขา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะดูและรับมาทำงานเกรดเฉลี่ยต้อง 2.5 ขึ้นไปนะถึงจะรับ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราต้องดูด้วยเหตุเเละผลที่เขาเรียนมากกว่า แล้วก็ดูคุณสมบัติที่ลึกลงไปในแต่ละแผนกว่า ต้องการคุณสมบัติเเบบไหน เรื่องที่สองก็คือการอยู่ร่วมกับคนอื่น การเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรของเรา ก็คือทัศนคติของเด็กว่าเป็นอย่างไร”
รองประธานอาวุโส ฝ่ายการพนักงานและบริหารสำนักงานกล่าวต่อไปว่า เรื่องความสามารถในการปรับตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญในการพิจารณา หากเด็กเรียนเก่งแต่ชอบอยู่กับตัวเองมีส่วนร่วมกับสังคมน้อยก็ต้องดูด้วย ว่าเขาจะทำงานสายอาชีพอะไร หากเป็นสายไอทีซึ่งต้องทำงานกับเทคโนโลยีนั้นทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ความสามารถในการปรับตัวจะถูกประเมินขณะที่ทำการสัมภาษณ์ เพราะเมื่อเข้ามาทำงานกับองค์กรเเล้วเขาจะต้องไปอยู่กับแผนกที่รับเข้าไปทำงาน ซึ่งต้องทำงานเป็นทีม ดังนั้นการที่บริษัทจะรับคนเข้ามาทำงานกับบริษัทก็ต้องดูหลายองค์ประกอบในตัวเด็กประกอบกันในการพิจารณา อย่างการใช้ชีวิตในการเรียนเป็นอย่างไร มีทำกิจกรรมหรือเปล่า แต่ไม่ได้หมายความว่าทำกิจกรรมแล้วจะได้รับความสนใจมากกว่าคนอื่น แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นมาประกอบการพิจารณาด้วย
ไม่อยากให้เด็กจบใหม่สมัยนี้ที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ แล้วไปลองทำงานที่ี่นั่นนิดนึงไปที่นู่นนิดนึง มันไม่ใช่แค่การเสียเวลาของบริษัท มันเป็นการเสียเวลาของตัวเขาเองด้วย เขาควรจะเตรียมตัวเองให้ดีเลือกให้ดีว่าอยากจะทำงานอะไร เขาต้องศึกษาก่อนว่าเขาอยากทำอะไรจริงๆ จนเขารู้แล้วว่าเขาอยากทำงานแบบไหน และก็ควรจะมองด้วยว่าบริษัทที่เขากำลังจะเข้าไปสัมภาษณ์ เป็นบริษัทที่เขาอยากทำหรือเปล่า เดี๋ยวนี้มันมีข้อมูลเยอะเเยะให้ค้นหา ทั้งอินเทอร์เน็ต มันมีหลายช่องทางให้เข้าถึง ก็ควรจะเลือกให้ดีเสียก่อน”
สุดท้ายรองประธานอาวุโส ฝ่ายการพนักงานและบริหารสำนักงานมีคำแนะนำเรื่องการแต่งกายเข้ามาสมัครงาน และสัมภาษณ์งานว่า หลายครั้งที่มีคนพูดกันว่าเรื่องมาสายเวลาเชิญมาสัมภาษณ์งานนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ต้องบอกว่าลึกๆ แล้วผู้สัมภาษณ์เองก็มองภาพความประทับใจครั้งแรกเหมือนกัน
เพราะครั้งแรกที่เจอกันคุณยังมาสายกว่าเวลาที่นัดหมาย คุณยังคุมบทบาทเล็กๆ ของตัวคุณเองไม่ได้ คุณก็จะถูกมองอีกแบบหนึ่ง ส่วนเรื่องการแต่งกายก็อยู่ที่ว่าคุณสมัครงานตำแหน่งอะไร แต่ถ้าให้ปลอดภัยไว้ก่อน สำหรับเด็กที่จบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์เพื่อภาพความประทับใจครั้งแรกสำหรับ
ผู้ชายควรเป็นเสื้อเชิร์ต กางเกงสแล็ค รองเท้าหนัง ผู้หญิงก็ชุดที่ดูเรียบร้อย สุภาพไม่ใช่ชุดแบบแฟชั่น
#113357 ฝึก Drawing คือ ฝึกจิต
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 29 June 2008 - 04:55 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
![](http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/06/fun05290651p1.jpg)
ได้สิ่งที่ศิลปินท่านหนึ่งสรุป หากมีใครสงสัยว่า การนั่งหลังขดหลังแข็ง ลากปลายดินสอ ปลายปากกา ปลายพู่กัน ไป-มา ซ้ำๆ เดิมๆ จนก่อเกิดภาพเขียนนั้นมันเพื่ออะไร
ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีก็พัฒนาไปไกล อยากได้รูปภาพชนิดไหน ก็สามารถเสกสรรค์ปั้นแต่งได้ไม่ยาก ถ่ายภาพเสร็จ โหลดลงเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมโฟโต้ช็อป ลากเม้าส์ไปมา 2-3 ที คลิกโน่นคลิกนี่ก็ได้ภาพดั่งใจแล้ว
ทว่า เราหลงลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า? สิ่งที่เทคโนโลยีไม่สามารถตอบสนองเราได้ทั้งหมดคือ ความเป็นมนุษย์
มนุษย์ ผู้มีใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่การเขียนภาพด้วยมือ สามารถเป็นพาหนะ พาเราให้เดินทางไปถึงปลายทางของความเป็นมนุษย์ที่แท้ได้ ด้วยการจดจ่ออยู่กับมัน
ผมมีโอกาสได้ไปชมงานศิลปะของ 4 พี่น้องตระกูลเถาทอง ซึ่งจัดแสดงที่หอศิลป์สิริกิติ์ เดินชื่นชมผลงานของศิลปินแต่ละท่านเนิ่นนาน เพ่งมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า เขาต้องการสื่ออะไร คาดเดาเอาเองจากประสบการณ์ส่วนตนที่พอมี ผิดบ้างถูกบ้างคิดว่าคงไม่เป็นไร
"แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือความอิ่มอกอิ่มใจ จากพลังของภาพเขียนแต่ละภาพ หรือผลงานแต่ละชิ้น"
ตรงมุมหนึ่งของการจัดแสดง สุวิชาญ เถาทอง ได้สรุปบทเรียนซึ่งมาจากประสบการณ์การทำงานศิลปะของเขาออกมาเป็นข้อๆ ประมวลจากสิ่งที่เขาค้นพบโดยบังเอิญ และทดลองฝึกทำมาตลอด จนเกิดผลดีกับจิตใจตน ตั้งแต่ปี 2516-ปัจจุบัน โดยพูดถึงประโยชน์ของการเขียนภาพแบบลายเส้น (Drawing) ซึ่งเป็นงานที่เขาถนัด
เขาบอกว่า การฝึกฝน Drawing ด้วยปากกา ดินสอบนกระดาษ มีผลทำให้เกิดประโยชน์ใน 2 รูปแบบ คือ 1.ประโยชน์ขณะฝึก และ 2.เมื่อฝึกฝนไปแล้วนานๆ
ขณะฝึก Drawing นั้น สุวิชาญบอกว่าจะให้ประโยชน์ 1.จิตจะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ 2.จิตจะลืมเวลาในช่วงขณะนั้น 3.จิตจะลืมเหตุการณ์รอบข้างในช่วงขณะนั้น 4.จิตจะเกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งของตนเองและคนอื่น 5.จิตจะเกิดความเข้าใจในปัญหาและวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ได้ 6.จิตจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในแนวทางการสร้างสรรค์งานศิลปะของตนและคนอื่น และ 7.(ข้อสุดท้าย ผู้เขียนของดคำเฉลยเพื่อความเหมาะสมบางประการ)
เข้าใจว่า ในข้อสุดท้ายนี้แต่ละคนอาจค้นพบอะไรที่แตกต่างกันออกไป
และสำหรับประโยชน์เมื่อฝึกฝน Drawing ไปนานๆ แล้ว สุวิชาญสรุปเอาไว้ว่าจะทำให้ "จิตจะเกิดพลัง" ดังนี้
1.สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้เป็นเวลานาน 2.สามารถเพ่งพิจารณา หรือมองดู วัตถุสิ่งของต่างๆ ได้เป็นเวลานาน 3.สามารถนั่งทำงาน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน (เหมาะสำหรับคนที่มีสมาธิสั้น ซึ่งต่อไปในอนาคตจะมีคนสมาธิสั้น เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เนื่องจากผลของความเจริญทางเทคโนโลยีสูงขึ้น) 4.เป็นคนช่างสังเกต ละเอียด พิถีพิถัน รอบคอบมากขึ้น 5.(ข้อสุดท้าย ผู้เขียนของดคำเฉลย เพื่อความเหมาะสมบางประการ)
เข้าใจว่า ความเหมาะสมบางประการนี้ บางทีอาจเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปคิดว่า "เป็นไปไม่ได้" เช่น เช่นการใช้พลังจิตทำโน่นทำนี่ (ตรงนี้ผมสรุปเอาเอง)
ได้ลองนำเอาสิ่งที่ท่านศิลปินแนะนำไปปรับใช้
ผมลองหยิบปากกาขึ้นมาแล้วลองพล็อตจุด อย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างเชื่องช้า ทีละจุดๆ กระทั่งก่อรูปร่างมาเป็นภาพภาพหนึ่งซึ่งอยู่ในหัวผมอยู่ก่อนแล้วว่าควรจะ เป็นภาพอะไร หากแต่กว่าจะไปถึงปลายทาง (การได้ภาพมา) นี่สิ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน เปรียบไปก็ไม่ต่างกับการเข็นครกเหล็กขึ้นภูเขา
แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ในขณะที่กำลังพล็อตจุดอย่างเชื่องช้านั้น คือการที่สภาวะจิตไม่วอกแวก คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ คล้ายตัดขาดจากโลกภายนอก คล้ายหลงลืมสิ่งรอบข้าง ประตูใจไม่เปิดรับรู้ ความทุกข์ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้
มีแต่ความสุขขณะที่ใจจดจ่ออยู่กับภาพที่กำลังค่อยๆ ก่อตัว ถูกกักขังอยู่ในจิต จนปลาบปลื้ม ปีติสุข
คงจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปหากผมไม่นำสภาวะที่ผมประสบพบเจอมาบอกกล่าวต่อ
และผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หากฝึกไปนานๆ สภาวะ "ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ" จะดำรงอยู่กับเราอย่างคงทน
"บางที ประโยชน์ข้อสุดท้ายที่ สุวิชาญ ของดคำเฉลยนั้น อาจเป็นสิ่งมีค่าที่สุดที่เราคิดไม่ถึงเลยก็เป็นได้"
#112519 กิ่ง สุภัทรา รอดตายสึนามิ ซึ้งสัจธรรมชีวิต
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 20 June 2008 - 04:31 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
- ทำไมถึงเลือกไปใช้ชีวิตที่อเมริกา ?
"กิ่งอยู่ที่นั่นตั้งแต่อายุ 10 ขวบพร้อมครอบครัว พออายุ 19 มีโอกาสกลับมา
เมืองไทย และได้ทำงานในวงการบันเทิง กิ่งจึงต้องเดินทางไปๆ กลับๆ อยู่นานพอสมควร
แต่ปัจจุบันชีวิตส่วนใหญ่ จะอยู่ที่อเมริกา"
- อยู่ที่อเมริกากิ่งทำอะไร?
"กิ่งทำงานที่โรงพยาบาล เป็นผู้ช่วยพยาบาล ดูแลผู้บาดเจ็บ เช่นในห้องฉุกเฉิน กิ่งรู้สึกดีกับงานแบบนี้เพราะหน้าที่ของกิ่งช่วยให้ร่างกายและจิตใจผู้ป่วยดีฃึ้น ส่วนหนึ่งที่เลือกทำอาชีพนี้อาจเป็นเพราะว่า ตอนอยู่เมืองไทยกิ่งเคย ช่วยงานมูลนิธิร่วมกตัญญู เราได้อะไรมากมายจากการทำงาน ไม่ใช่เพราะเพียงหน้าที่เท่านั้นค่ะ"
- อะไรคือสาเหตุที่ทำให้กิ่งหันมาสนใจเรื่อง ไพ่ยิปซี ?
"วันหนึ่งกิ่งมีปัญหาที่ไม่สามารถปรึกษาคนรอบข้างได้ เหตุผลเพราะไม่อยากให้ใครกังวล จึงไปพบกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านไพ่ยิปซี และวันนั้นเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของกิ่ง เมื่อไพ่เปิดขึ้น อาจารย์เริ่มอ่าน กิ่งบอกกับตัวเองว่า เป็นไปได้อย่างไร เพราะไพ่บอกทุกอย่างได้อย่างลึกซึ้ง บอกความคิด การกระทำ และการวางแผนชีวิต กิ่งรู้สึกว่าไพ่ยิปซีเป็นเป็นศาสตร์ที่น่าค้นหา และน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง จากที่ได้สัมผัสในครั้งนั้น เป็นเหตุทำให้กิ่งหันมาศึกษาอย่างจริงจัง และต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้"
- แนวทางการทำนายของไพ่ยิปซีเป็นอย่างไร ?
"ไพ่ยิปซี เป็นเหมือนเข็มทิศชีวิต แนะแนวทาง หรือทางเลือก บอกถึงการกระทำในวันนี้ว่าจะส่งผลอะไรในอนาคต แต่ทุกอย่างฃึ้นอยู่ที่คุณจะเลือกเส้นทางไหน นั้นแหละสำคัญ การดูไพ่ยิปซีสิ่งสำคัญ คือ ผู้ที่ต้องการดูจะต้องมีสมาธิที่สงบ นั่นสำคัญที่สุดเพราะต้องเป็นผู้สื่อสารกับไพ่ คนที่มีสมาธิจริงๆ ไพ่จะตรงมาก กิ่งเป็นผู้อ่านไพ่ว่าไพ่บอกอะไรกับเขามีอยู่ครั้งหนึ่ง สามี ภรรยาต่างชาติคู่หนึ่ง มาดูด้วยกัน สามีดูก่อน พอเปิดไพ่ กิ่งต้องขออนุญาตอยู่ตามลำพัง โชคดีที่ภรรยาของเขาทำตามคำขอของกิ่ง เหตุผลเพราะไพ่บอกว่าเขามีผู้หญิงอื่นอีกคน เขาตกใจมาก เมื่อกิ่งอ่านไพ่ และยอมรับในที่สุด ถึงตอนนี้กิ่งก็ยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้ และสนุกไปกับการศึกษา ศาสตร์แขนงนี้"
- กิ่งเคยรู้สึกไหมว่ามี ซิกส์เซ้นท์ หรือ สัมผัสดวงวิญญาณ มีเหตุการณ์แบบนี้บ้าง
ไหม ?
"ตอนเด็กๆ ไม่เคยเลย พอโตขึ้น หลายครั้งที่เราเห็นเป็นคน แต่เรารู้ว่าไม่ใช่คน ตัวเราเองก็ไม่อยากเชื่อ บางครั้งอยากจะบอกให้ใครๆ ฟัง ว่าเราเจอผีบ่อยๆ แต่ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ความอยากรู้ กิ่งจึงลองมาศึกษาศาสนาพุทธ (กิ่ง นับถือ ศาสนาคริสต์) เพื่อหาเหตุผลว่าสิ่งที่เราเจอคืออะไร ทำไมต้องเป็นเราที่เห็น หรือในอดีตชาติเคยผูกพันกันมา เคยไปบวชชีพราหมณ์ที่ปากน้ำ ได้คุยกับผู้ปฏิบัติธรรม ที่สุดก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่พบ"
- มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถลืมได้ในชีวิต ?
"เหตุการณ์เมื่อครั้ง สึนามิ ผู้ปฏิบัติธรรม ที่สามารถมองเห็นอดีตชาติได้โทรมาเตือนกิ่ง สี่วันก่อนเดินทางไปพักผ่อนทางใต้ ท่านบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรตามกิ่งพบแล้วเตือนกิ่งว่าอย่าไปทางน้ำนะ กิ่งก็ฟัง แต่ทุกอย่างถูกวางแผนไว้หมดแล้ว พร้อมทั้งจ่ายเงินเรียบร้อย ครอบครัวกิ่งรวมหกชีวิตที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน กิ่งไม่ตัดสินใจยกเลิก ทุกอย่างจึง ดำเนินไปและวันนั้น วันที่เกิดเหตุกิ่งจมอยู่ใต้น้ำกระดูกซี่โครงหัก แต่ต้องโหนต้นไม้อีกห้าชั่วโมง จากนั้นร่างกิ่งก็ถูกดูดไป ใต้น้ำไม่สามารถหายใจได้ จนกระทั่งรู้สึกว่ากำลังจะฃาดใจ ความรู้สึกตอนนั้นทรมานมาก จนไม่สามารถบอกเล่าเป็นคำพูดได้
ความตายคือทางออกเดียวในความคิด ที่จะสามารถพ้นจากความทุกข์ทรมาน"
"และวินาทีนั้นสมองของกิ่ง แว่วเสียงคำเตือนฃองผู้ปฏิบัติธรรม สำนึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ กิ่งพยายามรวบรวมสมาธิเท่าที่ทำได้ จึงตั้งใจสื่อสารถึงใครบางคนที่มองไม่เห็น จากใจ ด้วยความรู้สึกว่าอดีตชาติถ้ากิ่งเคยทำอะไรกับคุณไว้ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ทำให้คุณทุกฃ์ทรมานจากการจมน้ำ กิ่งขอโทษ ไม่ได้ขอให้เขายกโทษหรือร้องขอชีวิต แต่เป็นความรู้สึกสำนึกจากส่วนลึกของจิตใจจริงๆ จากนั้นร่างของกิ่งก็ทะยานขึ้นจากน้ำ รอดพ้นจากความตาย"
"แต่กิ่งก็ยังต้องทรมานจากร่างกายที่บาดเจ็บและต้องรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่มีเจตนาให้คิดว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่ แต่อยากจะบอกว่า คนเราทำอะไรสุดท้ายก็ต้องได้รับอย่างนั้นเช่นกัน และนี่คือเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเป็นช่วงชีวิตที่อยู่ระหว่างความเป็นกับความตายและกิ่งไม่มีวันลืมตลอดไป"
- สิ่งที่กิ่งอยากบอกทุกๆ คนคืออะไร ?
"อย่าได้ทำร้ายใคร เพราะเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน สุดท้ายมนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลของการกระทำทั้งสิ้น เพียงแต่วันใดเท่านั้น และสิ่งที่กิ่งอยากบอกอีกอย่างคือ จงมองปัญหาในวันนี้ จัดการกับปัญหาในวันนี้ ก่อนอย่ากังวลกับปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้น จงอยู่กับปัจจุบัน"
ที่มา-น.ส.พ.สยามรัฐ
#111735 แก้พิษรักนอกซีรีส์ เจ้าสาวต่างด้าวแดนโสม
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 12 June 2008 - 03:48 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
![](http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/06/lad01120651p1.jpg)
ด้วยสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จากการที่สาวๆ เกาหลีใต้มีสถานะและหน้าที่การงานดีขึ้นจนเมินหนุ่มในชาติตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำอาชีพใช้แรงงาน ผลกระทบข้างเคียงทำให้หนุ่มๆ แดนโสมมากมายขาดแคลน "เจ้าสาว"
ต้องอาศัยอิมพอร์ตเจ้าสาวจากต่างแดนมาทดแทน ซึ่งปีที่แล้วตกราว 30,000 คน
อันดับหนึ่งมาจากจีน มีทั้งสาวจีนในชนบทและสาวเกาหลีที่เป็นชนกลุ่มน้อยในจีน 14,526 คน อันดับสองคือเวียดนาม 6,611 คน
กระแสที่สาวเวียดนามเข้ามาแต่งงานกับหนุ่มเกาหลีหลายต่อหลายคู่ ทำให้เกิดเป็นกระแสสังคม มีละครทีวีของเกาหลีที่นางเอกเป็นสาวเวียดนาม เช่น Bride form Hanoi และ Golden Bride
แต่ในชีวิตจริง เรื่องราวโรแมนติกระหว่างหนุ่มโสมกับสาวเวียดนามไม่ได้หวานซึ้งหรือขำขันแบบในละคร
จาก รายงานล่าสุดของสำนักข่าวเอเอฟพี ทางการเกาหลีใต้เริ่มวิตกกับปัญหาการหย่าร้างระหว่างหนุ่มเกาหลีกับสาวเวียดนามและสาวต่างแดนอื่นๆ ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
รวมไปถึงกรณีที่ฝ่ายหญิงถูกทำร้ายร่างกาย และบางรายถึงกับฆ่าตัวตายหนีปัญหา
ผลการศึกษาในปี 2548 ของทางการเกาหลีใต้ ร้อยละ 14 ของภรรยาต่างด้าว 945 คน ถูกสามีชาวเกาหลีใต้ซ้อม
![](http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/06/lad01120651p2.jpg)
กระทรวงสวัสดิการสังคมประกาศว่าจะเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างเอเยนต์เถื่อนจัดหาเจ้าสาวเหล่านี้ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2551
ภายใต้กฎหมายใหม่ว่าด้วยการแต่งงานกับคนต่างชาติ ผู้ละเมิดกฎหมายจะมีโทษสูงสุดคือจำคุก 2 ปี พร้อมปรับเงิน 10 ล้านวอน หรือราว 322,000 บาท
บริษัทที่จะรับจัดหาคู่ที่เชื่อว่ามีมากกว่า 1,000 แห่งจะต้องลงทะเบียนกับรัฐบาล รวมทั้งต้องฝึกอบรมพนักงาน และเคารพกฎหมายของชาติที่ติดต่อด้วย
เจ้าหน้าที่กระทรวงสวัสดิการสังคม กล่าวว่า
ที่ผ่านมามีเอเยนต์จัดหาคู่ให้ข้อมูลผิดๆ กับคู่บ่าวสาวเกี่ยวกับชีวิตสมรสในเกาหลีใต้ จนทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
มีการโฆษณาอย่างเลิศหรู ว่าสาวๆ เหล่านี้จะได้อยู่กับหนุ่มเกาหลีอย่างมีความสุข แต่ความจริงที่ได้เจอ คือคนที่มีความเป็นอยู่ลำบาก ป่วย เมาเหล้าทุกคน หรือไม่ก็มีบุคลิกแปลกประหลาด
ส่วนฝ่ายชายก็ถูกจูงใจด้วยโฆษณาว่า "สาวเวียดนามจะอุทิศตนเพื่อคู่ชีวิตหลังจากแต่งงานแล้ว"
ระหว่าง การจับคู่ บริษัทเถื่อนเหล่านี้มักโกหกคู่ของอีกฝ่าย เช่น คนที่เป็นพนักงานเสิร์ฟก็บอกว่าเป็นเจ้าของร้านอาหาร คนที่เป็นชาวนาก็บอกว่าเป็นเจ้าของที่ดิน
![](http://www.matichon.co.th/news-photo/khaosod/2008/06/lad01120651p3.jpg)
การโกหกเล็กๆ น้อยๆ มักทำให้การจับคู่ได้ผล แต่เป็นอนาคตที่มืดมนสำหรับสองฝ่าย
"ความเชื่อใจระหว่างคู่สมรสล่มสลายลงก็เพราะข้อมูลโกหกเหล่านี้ และเมื่อคนเราไม่เชื่อใจกันแล้ว สถานการณ์อื่นๆ ก็เลวร้ายลง" คิม ยีซอน จากสถาบันพัฒนาสตรีกล่าว
ฮอตไลน์สายด่วนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วย เหลือหญิงต่างชาติที่มาแต่งงานกับหนุ่มเกาหลี ได้รับสายระบายความทุกข์ร้อนตกเดือนละ 1,000 สาย ส่วนใหญ่เป็นปัญหาครอบครัว
กวอน มี-คยุง ผู้จัดการสายฮอตไลน์นี้ กล่าวว่า ภรรยามือใหม่มีปัญหาถูกทำร้ายร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลมาจากช่องว่างทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน
"พวกเขามักแต่งงานกันภาย ใน 2-3 วัน อาศัยแค่ดูหน้าดูตาของฝ่ายหญิง จากนั้นเมื่อเริ่มต้นชีวิตคู่ก็มีปัญหาเรื่องภาษาที่สื่อสารกันไม่ได้"
หนุ่มเกาหลีส่วนใหญ่มีอายุ 20-30 ปีขึ้นไปซึ่งมักมีอายุแก่กว่าเจ้าสาวต่างแดน จ่ายเงินราว 3-4 แสนบาทเพื่อหาเจ้าสาว
ลี กึมซุน เจ้าหน้าที่สวัสดิการ กล่าวว่า กฎหมายใหม่จะช่วยให้คู่ต่างชาติได้รับข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตทั้งก่อนและหลัง ในเกาหลีใต้ได้ดีขึ้น
นอกเหนือจากปฏิบัติการกวาดล้างเอเยนต์จัดหา คู่เถื่อนแล้ว ทางกระทรวงยังมีโครงการช่วยเหลือเจ้าสาวต่างแดนให้ปรับตัวเข้ากับสังคม เกาหลีใต้ให้ดีขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมามีการแต่งงานข้ามเชื้อชาติร้อยละ 11 โดยเป็นกลุ่มเกษตรกรและชาวประมงสูงถึงร้อยละ 40
รัฐบาลเกาหลีใต้จะจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือแม่บ้านต่างด้าวนี้อย่างรวดเร็วให้ได้ 80 ศูนย์ทั่วประเทศ
เน้นให้ความรู้ด้านภาษาเกาหลี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตครอบครัว รวมถึงเทคนิคการเกษตร คอมพิว เตอร์ และอบรมวิชาชีพเสริม
ใน แผนยังจะอบรมเจ้าหน้าที่ 126 คนให้สอนด้านวัฒนธรรมตามเนิร์สเซอรี่และโรงเรียนชั้นประถมศึกษา อีก 240 คนจะให้ช่วยสอนภาษาอังกฤษในชั้นเรียน
ส่วนสามีฝ่ายเกาหลีเองก็จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาติเจ้าสาวตนเองอีกด้วย
ขณะ เดียวกัน เกาหลีใต้ส่งเจ้าหน้าที่ไปฟิลิปปินส์และเวียดนามเพื่อให้คำแนะนำกับสาวๆ ที่จะแต่งงานกับหนุ่มเกาหลี นอกจากนี้จะส่งเจ้าหน้าที่ไปกัมพูชาและมองโกเลีย ซึ่งเป็นชาติที่ส่งเจ้าสาวมาเกาหลีใต้อีกด้วย
#111671 มีศีล...ก่อนจะสาย
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 11 June 2008 - 06:27 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
หนังสือ ธรรมของคนไกลวัดเล่มนี้ เธอถ่ายทอดให้เห็นว่า เป็นธรรมของคนเดินดิน กินข้าวห้างและข้าวแกง ซึ่งต่างก็ดิ้นรนและแสวงหาด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญ การเรียงร้อยภาษาเพื่อบอกกล่าวกับผู้อ่าน เธอยังเน้นให้ทุกคนเห็นด้วยว่า ศีล 5 ไม่ใช่เป็นเพียงรากฐานของชีวิต แต่เป็นหลักปฏิบัติศักดิ์สิทธิ์ใกล้ตัวที่ไม่ควรละเมิด เพราะเมื่อใดก็ตามที่ละเมิดศีล 5 เสียแล้ว ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้นแน่นอน
ด้าน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเป็นประธานเปิดงานและให้โอวาท ก็สร้างบรรยากาศในงานให้ สงบ เยือกเย็น เต็มไปด้วยธรรมมะประจำใจ แถมยังออกตัวว่า ที่รับเป็นประธานเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ ทั้งที่ก็มีหนังสือหลายเล่มติดต่อเข้ามานั้น เพราะการมีศีล เป็นประเด็นที่น่าสนใจ และทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่องของการมีสติ
“สิ่งสำคัญที่ผมเน้นคือ การมีสติ ผมบวชมา 4 ครั้ง กำลังหาโอกาสบวชครั้งที่ 5 เคยบอกกับเพื่อนๆ ว่า บวชมา 4 ครั้ง ได้มาคำเดียว คือ “สติ” ถ้าไม่มีสติทุกอย่างไปหมด ศีลก็ไม่มี ทำอะไรก็ผิดพลาดหมด” นอกจากนี้ ดร.สุเมธ ยังย้ำกับทุกคนด้วยว่า “ที่ผ่านมาสังคมบอบช้ำมามากแล้ว เราทุกคนต้องช่วยประเทศของเรา หากเราไม่ช่วยแล้วจะรอให้ใครมาช่วย”
#111666 เป็น"นางสาว"ดีตรงไหน
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 11 June 2008 - 05:10 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
![](http://www.naewna.com/images/space.gif)
สุพัตรา สุภาพ
#111042 หยุดทำตัวเป็น"แม่มด"สัก 1 วัน!!!
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 04 June 2008 - 05:40 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
![](http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/06/lad02040651p1.jpg)
นับเป็นโครงการที่น่าชื่นชมของ นิตยสารวัยรุ่นชื่อ เกิร์ลเฟรนด์ ของนิวซีแลนด์ ที่ประกาศตั้งวันชื่อว่า เนชั่นแนล คอมพลิเมนท์ เดย์ (National Compliments Day) เพื่อขอให้ผู้อ่านหยุดทำตัวร้ายกาจสัก 1 วันทุก "วันศุกร์" แล้วหันมาทำดีต่อตัวเอง และผู้อื่น ด้วยการพูดชม พูดแต่สิ่งดีๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ทั้งนี้ ดร.นิกิ ฮาร์เร่ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยามหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ บอกว่า จากการศึกษาพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับคนรอบข้างนั้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อการสร้างสม ความมั่นใจในตัวเอง
"ความประทับใจที่เกิดจากการที่เรารู้ว่า คนอื่นเขารู้สึกต่อเราอย่างไร เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเกิดความรู้สึกดีต่อตัวเราเอง" ดร.นิกิกล่าว ด้าน คิมเบอร์ลี่ย์ ครอสแมน ดาราสาววัย 20 จากละครทีวีเรื่อง ชอร์ตแลนด์ สตรีท เล่าว่า เธอรู้ดีว่า คำพูดชมมีผลต่อความรู้สึกของผู้ฟังเพียงใด เพราะที่เธอเองประสบความสำเร็จในอาชีพการแสดงในทุกวันนี้ ก็เป็นผลพวงมาจากคำชมที่เธอได้รับทั้งจากครอบครัว และเพื่อนๆ เสมอมา
"ฉัน รู้เลยว่า คงไม่มีวันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ถ้าหากไม่ได้กำลังใจจากเสียงชม และการให้กำลังใจจากคนรอบข้างที่ฉันได้รับตลอดมา และฉันก็คิดว่า มันเป็นสิ่งสำคัญที่เมื่อเราเห็นใครทำอะไรที่น่าภูมิใจ เราควรจะบอกให้เขารู้ว่า เรารู้สึกภูมิใจเขาขนาดไหน และนี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับวัยรุ่น และคนที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่"
#110176 รถไฟซามูไรพึ่ง“แมว”เป็นนายสถานี
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 26 May 2008 - 05:06 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
ทามะเป็นแมวสีกระดองกระ ถือกำเนิดและเติบโตอยู่ที่สถานีรถไฟคิชิ ซึ่งอยู่ในเส้นทางรถไฟสายคิชิกาวา อันมีสถานีอยู่ 10 สถานีตลอดระยะทาง 14.3 กิโลเมตร ทุกวันทามะจะสวมหมวกเครื่องแบบของวากายามา อิเล็กทริก เรลเวย์ แล้วมาคอยยืนต้อนรับบรรดาผู้โดยสารที่เดินทางไปมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง
สถานีไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้กับทามะ แต่ให้อาหารมันเป็นการตอบแทน
“ทามะเป็นนายสถานีเพียงคนเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ เพราะเราต้องลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรลง คุณบอกว่าคุณขอพรจากแมวได้ แต่ที่นี่แมวกำลังให้โชคเราจริงๆ” เคอิโกะ ยามากิ โฆษกหญิงของวากายามา อิเล็กทริก เรลเวย์ บอก
ทามะเป็นแมวจรจัดที่พนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งของสถานีเป็นผู้นำมา โดยมีโตชิโกะ โกยามา เจ้าของร้านขายของชำใกล้กับสถานี เลี้ยงดูมันจนเติบใหญ่
ส่วนสถานีคิชินั้นต้องไร้นายสถานีคอยดูแลมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2006 หลังจากที่เส้นทางรถไฟสายนี้ประสบขาดทุน
ทามะเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว เมื่อมันได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายสถานีอย่างเป็นทางการ และส่งผลตอบรับทางบวกในทันที โดยเห็นได้จากการที่ในเดือนมกราคมปีนี้มีผู้โดยสารในเส้นทางสายนี้เพิ่ม ขึ้นจากช่วงหนึ่งปีก่อนหน้าถึง 17 เปอร์เซ็นต์ และหากนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้วจนถึงมีนาคมปีนี้ ก็มีจำนวนผู้โดยสารในเส้นทางนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์
จากผลงานอันโดดเด่น บริษัทจึงยกย่องทามะเป็น “ซูเปอร์นายสถานี” เมื่อต้นปีนี้ และทามะเป็น “ผู้หญิงเพียงรายเดียวที่อยู่ในตำแหน่งระดับบริหาร” ในหมู่พนักงานที่เข้มแข็งทั้งหมด 36 คน
“เป็นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในลำดับที่ 5 เสียด้วย” ยามากิเล่าติดตลก
รางวัลตอบแทนตำแหน่งใหม่ของทามะก็คือห้องทำงานของนายสถานี ซึ่งปรับปรุงจากช่องขายตั๋วเก่า อีกทั้งยังมีงานเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมีนายกเทศมนตรีของเมืองคิโนกาวาและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของวากายามา อิเล็กทริก ให้เกียรติมาร่วมงานด้วย
ตอนนี้ทามะทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หยุดพักผ่อนวันอาทิตย์ โดยในวันทำงานนั้น เจ้าของร้านชำที่เลี้ยงดูทามะมาแต่เล็ก จะเป็นผู้นำทามะมาที่สถานี โดยบอกมันเพียงประโยคเดียวว่า “คุณนายสถานีคะ ถึงเวลาทำงานแล้วค่ะ” แล้วทามะก็จะเดินตามเธอไปที่สถานีอย่างว่าง่าย
#109605 สร้างสุขให้ชีวิตด้วยเสียงหัวเราะ
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 20 May 2008 - 06:14 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
ในงานเสวนาเรื่อง “มาร่วมหัวเราะ เพาะสุขภาพชีวิต” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อเร็วๆ นี้ “ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ” ประธานชมรมหัวเราะแห่งประเทศไทย ตีแผ่ความจริงอันน่าตกใจว่า ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดูเผินๆ เหมือนกับว่าชีวิตของคนเราจะสะดวกสบายขึ้น แต่ผลพวงที่ตามมาจากความทันสมัย ก็คือ ความทุกข์ ความเครียด และโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากความเครียด ซึ่งจากการศึกษาวิจัยทางการแพทย์บ่งชี้ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า คนเราอาจต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่เกิดจากความเครียด และภาวะซึมเศร้าสูงเป็นอันดับสอง รองจากโรคหัวใจ ถ้าไม่อยากเสี่ยงชีวิตเพราะโรคเครียด ทางที่ดีควรป้องกันไว้ก่อน หรือหาทางเยียวยาล่วงหน้า ด้วยการสร้างเสียงหัวเราะดักความเครียด
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การหัวเราะบำบัด “ดร.วัลลภ” แจกแจงว่า การหัวเราะของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ หัวเราะแบบธรรมชาติ เมื่อได้ยินหรือพบเห็นเรื่องที่ตลกขำขัน ก็จะหัวเราะออกมา กับอีกประเภทคือ การหัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นศาสตร์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาในเรื่องการหัวเราะ หรือมีโรคภัยอันเกิดจากภาวะเครียด และซึมเศร้า การบำบัดด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ยังส่งผลดีต่อระบบการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายด้วย
เทคนิคบำบัดด้วยการหัวเราะ เป็นการฝึกโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการกระตุ้นใดๆ เหมือนการออกกำลังกายภายใน โดยทุกครั้งเมื่อมีการหัวเราะ กล้ามเนื้อที่เคยตึงเครียดจะผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล และมีความสุข เนื่องจากเวลาที่เราหัวเราะร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข หรือเอ็นโดฟิน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด และเกิดความอิ่มอกอิ่มใจ
ขณะเดียวกัน การฝึกหัวเราะบำบัดยังส่งผลดีอีกหลายด้าน เช่น บางคนที่มีอาการท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะระบบย่อยไม่ดี การหัวเราะบำบัดก็ช่วยให้ทุเลาลงได้ เพราะว่าทุกครั้งที่เกิดความเครียด กล้ามเนื้อทุกส่วนจะเกร็ง แต่เมื่อได้หัวเราะ จะช่วยทำให้ระบบกล้ามเนื้อต่างๆ ผ่อนคลายลง
“ดร.วัลลภ” ยังย้ำด้วยว่า การหัวเราะบำบัดถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายภายใน เช่น ถ้าเต้นแอโรบิกครึ่งชั่วโมง จะเท่ากับการหัวเราะอย่างต่อเนื่อง 5 นาที จากสถิติยังพบว่า คนอ้วนที่เคยเข้าคอร์สหัวเราะบำบัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 สัปดาห์ น้ำหนักจะลดลง 3-4 กิโลกรัม โดยไม่ต้องอดหรือลดอาหาร
อย่ามัวแต่เครียดให้โรคถามหาเลยค่ะ มาเริ่มหัวเราะบำบัดแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยการอ้าปากกว้างๆ แล้วเปล่งเสียง “โอ” หรือ “อา” ออกมาหลายๆ ครั้งอย่างต่อเนื่อง แค่นี้ต่อมความสุขก็กระดี้กระด้าแล้ว
จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 58 ฉบับที่ 18193 11/13/2007 -- http://www.bangkokhe...sp?Number=16903
#109071 ที่มาของ “ลอดช่องสิงคโปร์”ตำนานความอร่อยยาวนาน 60 ปี
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 14 May 2008 - 03:55 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
ส่วนยอดขายในปัจจุบัน นายณรงค์ บอกว่า ตนเองไม่เคยคำนวณกำไร และต้นทุน เพราะเมื่อจะเอาเงินไปซื้อวัตถุดิบ ก็จะหยิบเอามาจากถัง ที่ถูกชักลอกด้วยเชือก ที่อยู่ในร้าน แต่ก็ถือว่าไม่เคยขาดทุน มีเงินหมุนเวียนใช้ในร้านตลอดเวลา รวมถึงจำนวนแก้วของลอดช่องสิงคโปร์ที่ขายได้ในปัจจุบัน ก็ไม่เคยนับด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่เปิดร้านเวลา 11.00 -21.00 น. เมื่อลอดช่องสิงคโปร์ให้โถแก้วหมด ก็จะทำเติมอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งร้านปิด ซึ่งขณะนี้ขายในราคาแก้วละ 15 บาท โดยยังไม่มีโครงการขึ้นราคาตามราคาของแป้ง น้ำตาล และมะพร้าว ที่ปรับราคาขึ้นไปแล้ว
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
ร้านลอดช่องสิงคโปร์ โภชนานั้น ปัจจุบันได้กลายเป็นตำนานบนถนนเยาวราช เพราะไม่เพียงแต่ความเก่าแก่ที่ครองใจผู้บริโภคมานานกว่า 60 ปีแล้ว ร้านนี้ยังถูกทางสำนักงานเขตสัมพันธ์วงศ์ ได้ขอให้คงอยู่ไว้ เพราะถือว่าร้านนี้กลายเป็นตำนานและเป็นส่วนหนึ่งของเยาวราชที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว
***สนใจติดต่อ 02-221-5794 เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. ***
![](http://www.manager.co.th/images/blank.gif)
#108859 รบกวนช่วยแนะนำการปรับแต่งหน้าจอ PC.
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 12 May 2008 - 02:47 PM
ใน
เว็บบอร์ด DMC
#107382 เจอแล้ว...คนแฮปปี้
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 26 April 2008 - 06:22 PM
ใน
วิทยาศาสตร์ทางใจ
![](http://www.bangkokbiznews.com/2008/04/22/thumb/250442_3thumb3.jpg)
ในที่สุด แดนลอดช่องก็ได้ค้นพบบุคคลที่ได้ชื่อว่า มีความสุขที่สุดในประเทศ หลังจากแข่งขันกันมาตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้วกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
เขาผู้นั้นคือ แอนดี โกะ ผู้จัดการบริษัทวิศวกรรม วัย 35 ปี ฟิลิป เมอร์รี ซีอีโอของโกลบัล ลีดเดอร์ชิป อะคาเดมี เป็นผู้จัดการแข่งขันนี้ขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากเกรย์ กรุ๊ป บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง สำรวจพบว่าประชาชน 9 ใน 10 คนของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ รู้สึกว่าชีวิตตนเองเคร่งเครียดเสียเหลือเกิน กฎกติกา คือ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเขียนอธิบายประมาณ 300 ถึง 1,000 คำ ว่าทำไมพวกเขาสมควรเป็นตัวอย่างแห่งความสุข โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งในท้ายที่สุด มีผู้เข้าร่วมการประกวดถึง 207 ราย "ผมเคยคิดในตอนแรกว่าจะมีใครมาเข้าร่วมกับเราไหม แต่เราไม่เพียงได้ผู้เข้าแข่งขันถึง 207 ราย เรายังได้รับเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมอีกหลายๆ เรื่องด้วย ยังมีผู้คนที่มีความสุขอีกมากที่เราไม่ได้พูดถึง" เมอร์รีระบุ ไซบุน สิราช เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมวิทยาลัยช่าง วัย 61 ปี ติด 1 ในผู้เข้ารอบ 4 คนสุดท้าย เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้ตีพิมพ์หนังสือ "Zany, Zeal, Zest and Zing : The Z way to happiness" แต่สูตรของเธอดูจะแพ้แนวทางง่ายๆ ของหนุ่มโกะที่มีเคล็ดลับในการสร้างความสุข ว่า ไม่ได้เกิดจากเงินหรือสิ่งของ แต่เกิดจากสุขภาพที่ดี ครอบครัว เพื่อน รวมถึงการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งนี้ โกะจะได้รับเงิน 148 ดอลลาร์ พร้อมแพ็คเกจท่องเที่ยวที่เกาะภูเก็ตเป็นของรางวัล "ไม่ต้องมองไปไกลหรอก ความสุขอยู่ใกล้ๆ คุณนั่นแหละ" คนที่มีความสุขที่สุดในสิงคโปร์กล่าวทิ้งท้าย
#107127 วิกฤตศรัทธาอาชีพ ‘แพทย์’
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 24 April 2008 - 03:24 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
![](http://www.posttoday.com/images_pt/20080424/240408_c04.jpg)
เป็นครั้งแรกที่วิกฤตศรัทธาในอาชีพแพทย์บ้านเราเริ่มมีปัญหา ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต้องแย่แน่ๆ เพราะปัจจุบันอาชีพแพทย์ก็ขาดแคลนไม่เพียงพออยู่แล้ว จำนวนแพทย์ต่อประชากรในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยมองผ่านตัวเลขจีดีพี พบว่าอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก เมื่อเปรียบเทียบกับแพทยสภาที่มีประมาณ 3.3 หมื่นคนนั้น เมื่อพิจารณาแนวโน้มพบว่าเกือบคงที่ ในขณะที่ความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลการสำรวจเกี่ยวกับอนามัยและสวัสดิการของประชาชนคนไทย พบว่า ในช่วงปี 2547 อัตราการใช้บริการแบบผู้ป่วยนอก (โอพีดี) เพิ่มขึ้นจาก 247 ล้านครั้ง เป็น 309 ล้านครั้ง หรือเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 25% ภายใน 3 ปี ขณะที่อัตราการใช้บริการแบบผู้ป่วยในก็เพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงกัน คือประมาณ 20%
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกสมาคมแพทยสภา ให้ความเห็นว่า คงเป็นเรื่องของเด็กส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่เด็กที่เรียนดีก็ยังคงเลือกแพทย์อยู่ ได้สอบเข้าโดยตรงกับคณะแพทย์ไปแล้ว มีเป็นเพียงส่วนน้อยมากๆ ที่ได้แพทย์แล้วสละสิทธิ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะหากไม่มีใจรักจะมีปัญหาในการทำงานต่อไปในอนาคต เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ต้องทำงานหนัก ต้องทุ่มเททั้งกายและใจ ถ้าไม่มีใจรักเสียแต่เริ่มต้นอยู่ต่อไปก็จะมีปัญหา ถ้าไม่ชอบก็ไปเรียนในสิ่งที่เขาสนใจจริงๆ ดีกว่า หากมาเรียนเพราะพ่อแม่ขอร้องจะไม่เกิดผลดีกับใครเลย
“หมอต้องทำงานหนัก บางครั้งทำงานติดต่อกัน 24-36 ชั่วโมง มันล้าแล้ว ในอเมริกามีกฎออกมาแล้วว่าให้แพทย์ทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงต่อวัน ในออสเตรเลียประมาณ 16 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเสี่ยงมาก ล่าสุดมีสถิติพบว่า แพทย์มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เพราะการนอนไม่พอถึง 6 เท่า ซึ่งการเสียชีวิตของแพทย์อันดับ 3 คือ อุบัติเหตุรถชน รถคว่ำ”
![](http://www.posttoday.com/images_pt/20080424/240408_c05.jpg)
สำหรับที่หลายคนมองว่าเป็นประเด็นหลักที่ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งสละสิทธิ์ ก็คือ เรื่องการฟ้องร้องแพทย์ ซึ่งนายกสมาคมแพทยสภา บอกว่า ขณะนี้ปัญหาการฟ้องร้องก็เริ่มน้อยลงจากเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว มีปีละ 300 กว่าคดี ปัจจุบันนี้เหลือเพียง 100 กว่าคดี เพราะแพทย์เองก็มีการปรับตัว เรียนรู้ และระมัดระวังมากขึ้นในการทำงาน และการสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงคนไข้ ในขณะที่แพทยสภาเองก็ถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงในการพูดคุยกับคณบดีคณะแพทยศาสตร์
ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้บรรจุหลักสูตรการสอนเรื่องปัญหาการฟ้องร้องไว้โดยเฉพาะ เพื่อมีขบวนการแก้ไข เฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัญหา และเมื่อมีปัญหาแล้วจะมีการรับมืออย่างไรให้เกิดการประนีประนอมกันให้มากที่สุด โรงพยาบาลต่างๆ ก็มีการปรับตัวเรื่องปัญหาเวชระเบียน การเปิดเผยข้อมูลคนไข้ การสื่อสารพูดคุยกับคนไข้ต้องมีมากขึ้น ในการรักษาต่างๆ ต้องแจ้งให้คนไข้ทราบอย่างละเอียดว่า แนวทางการรักษามีอะไรบ้าง ถ้าเลือกทางที่ 1 จะเป็นอย่างไร ถ้าเลือกทางที่ 2 จะได้ผลอย่างไร ในแต่ละกรณีจะมีปัจจัยเสี่ยงอย่างไรบ้าง ผลดี ผลเสีย แตกต่างกันอย่างไร แล้วตัดสินใจเลือกร่วมกันกับคนไข้ ต่างจากสมัยก่อนแพทย์จะไม่ค่อยอธิบายแล้วตัดสินใจให้คนไข้เลยว่าทางนี้ดีกว่า แต่เดี๋ยวนี้ให้แพทย์ให้ข้อมูลการตัดสินใจ คนไข้จะเลือกเอง
เรียกว่าดูแลทั้งทางร่างกายและจิตใจ การพูดจาสื่อสารจะดีขึ้นให้เวลากับคนไข้ให้มากขึ้น
“แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจว่า ในโรงพยาบาลรัฐหมอต้องตรวจคนไข้วันละเกือบร้อยคน ซึ่งคนไข้จะมีเวลาคุยกับหมอเพียง 1-2 นาที ตอนนี้พยายามให้หมอมีเวลาคุยกับคนไข้ให้ได้ 5-10 นาทีต่อคนก็ยังยาก แต่ก็พยายามจะทำให้ได้ ในประเทศที่เจริญแล้วหมอมีเวลาคุยกับคนไข้ถึง 30 นาที แต่บ้านเราหมอไม่เพียงพอจริงๆ เราเห็นถึงปัญหาและพยายามแก้ไขอยู่ มิได้นิ่งนอนใจ” ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยความหนักใจ
ทางด้านหมอหน้าใหม่หน้าตาสวยหล่อ ที่มีงานอดิเรกในวงการบันเทิง เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เขาและเธอเหล่านั้น กลับรู้สึกสบายๆ ไม่กังวล เพราะเชื่อว่าการทำงานให้เต็มที่ด้วยความรักความเข้าใจ ทุกอย่างจะเป็นเครื่องป้องกันที่ดีที่สุด
หมอเบิร์ท พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลศรีธัญญา ให้ความเห็นว่า สำหรับตัวเองอาชีพแพทย์ยังเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีประโยชน์ เป็นที่น่าภาคภูมิใจ เรื่องการถูกฟ้องร้องเสียหายนั้นคงเป็นเพียงส่วนน้อย เพราะแพทย์โดยส่วนใหญ่ก็ยังตั้งใจทำงานและทำงานหนักกัน โดยเฉพาะแพทย์ชนบท หากทำงานด้วยความทุ่มเทระมัดระวังก็คงช่วยแก้ปัญหาเรื่องการฟ้องร้องได้ระดับหนึ่ง สำหรับตัวเองทุกครั้งที่รักษาคนไข้ก็มุ่งหวังให้คนไข้หายป่วยอาการดีขึ้น ทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท ก็ช่วยให้ปัญหาลดน้อยลงไป
“ที่ศรีธัญญาเบิร์ทตรวจคนไข้วันละ 50 คน พอนอกเหนือเวลางาน หมอคนอื่นอาจจะไปทำงานที่คลินิกต่อ แต่เบิร์ทอยากทำอย่างอื่นบ้าง โชคดีที่เบิร์ทได้ไปอ่านข่าว ถ้าไม่ได้อ่านข่าวก็อาจจะไปเปิดร้านขายต้นไม้ ร้านขายรูปภาพ ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เบิร์ทรัก แล้วทำให้รู้สึกว่าชีวิตเรามีสมดุลมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ชีวิตที่มีความสุข ไม่เครียด ไม่กดดันเกินไป ก็จะได้งานที่มีคุณภาพ”
น้องเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์ นางสาวไทยประจำปี 2549 และนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รู้ว่าแพทย์เป็นอาชีพที่งานหนัก เสี่ยงต่อการติดโรค เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง เวลาเรียนก็หนักเพราะต้องสอบอยู่ตลอดเวลา เมื่อจบแล้วก็ต้องเรียนรู้เพิ่มอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่เธอก็ยังอยากเรียน เพราะคิดว่าเป็นอาชีพที่มีประโยชน์ มีเกียรติ
“เวลาสอบบ่อยๆ ก็มีท้อบ้าง เดี๋ยวสอบอีกแล้ว ต้องดูหนังสือหนักตลอดเวลา แต่ไม่ถอย ถ้ารู้สึกเครียดก็ไปเล่นโยคะ เลี้ยงสัตว์ ดูการ์ตูน หางานอดิเรกที่ชอบทำ เดินหน้าต่อไป พร้อมที่จะทำงานภายใต้ความกดดันเสมอ อาจารย์หมอสอนไว้เสมอว่าให้รักษาทั้งคน รักษาทั้งไข้ ให้ดูแลทั้งกายและดูแลทั้งใจ ถ้าทำดีจริงเราจะผ่านอุปสรรคปัญหาไปได้ โชคดีที่บ้านเจี๊ยบมีธุรกิจทั้งคุณพ่อคุณแม่ เจี๊ยบไม่ต้องกดดันเรื่องการสร้างเนื้อสร้างตัว เพราะพ่อแม่เตรียมไว้ให้พร้อม เจี๊ยบจึงทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีข้อกังวลใดๆ”
ส่วนจิตแพทย์น้องใหม่ อย่าง หมอเอิ้น พญ.พิยะดา หาชัยภูมิ จิตแพทย์ฝึกหัดโรงพยาบาลรามาธิบดี และนักแต่งเพลงให้หนังดังหลายเรื่อง และกำลังจะออกผลงานเพลงในช่วงปลายปีนี้ ทุกวันนี้หมอเอิ้นเริ่มรักษาคนไข้แล้ว และแน่นอนว่าอาชีพหลักก็คือการเป็นจิตแพทย์ ส่วนงานเพลงนั้นเป็นยามว่างในชีวิตที่ชอบไม่แพ้กัน
“สมัยก่อนเด็กเรียนเก่งมีทางเลือกน้อย ต้องเป็นหมอเป็นวิศวกรเท่านั้น แล้วพ่อแม่ก็จะอยากให้ลูกเป็นหมอ ลูกก็เรียนเพื่อเอาใจพ่อแม่โดยที่ตัวเองไม่ได้ชอบจริงๆ แต่สมัยนี้เด็กที่เรียนเก่งมีทางเลือกมากขึ้น ไปเรียนอย่างอื่นที่ทำรายได้ดีและมั่นคงอย่างด้านคอมพิวเตอร์ เป็นเชฟ เป็นผู้เขียนบท หรือเข้าวงการบันเทิง แล้วพ่อแม่ก็ไม่ฝืนใจลูก ให้เลือกทำในสิ่งที่ลูกชอบจริงๆ เด็กตอนนี้จึงมีโอกาสเลือกมากขึ้น
อย่างเอิ้นพ่อแม่ไม่บังคับ เอิ้นเลือกเองเพราะอยากเป็นหมอ แต่อยากเป็นคนแต่งเพลงด้วย เอิ้นแบ่งเวลาได้จึงเลือกทำทั้งสองอย่าง แต่งานหลักคือหมอ จึงมีความสุขในทั้งสองอย่าง และเชื่อว่าอะไรที่ทำด้วยความสุขเราจะทำได้ดี”
ร.ต.นพ.สุริยา สุบุญ หรือ หมอก้อง แพทย์ทั่วไปประจำโรงพยาบาลปราจีนบุรี พระเอกละครเรื่องดาวจรัสฟ้า และพริกไทยกับใบข้าว และผู้ประกาศข่าวบันเทิงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 กล่าวว่า เรื่องโดนฟ้องไม่กังวล เนื่องจากหากเราทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจและเต็มใจก็ยากที่ปัญหาจะเกิดขึ้น ที่สำคัญก็คือต้องทำงานด้วยความเอาใจคนไข้มาใส่ใจเรา ดูด้วยว่าคนไข้เขาคิดอย่างไร ถ้าเป็นเราๆ จะคิดอย่างนั้นทำอย่างนั้นไหม พยายามมีความเห็นอกเห็นใจและมีเมตตาธรรม
“สำหรับผมงานในวงการบันเทิงถือว่าเป็นงานอดิเรก แต่อาชีพหลักก็คือการเป็นหมอ เพราะเป็นอาชีพที่ผมรักและผมเลือกเอง และภูมิใจในการตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ว่าอาชีพใดก็ตามหากทำด้วยความรักความเข้าใจทุ่มเท ก็เชื่อว่าผลจะออกมาดี หากจะมีการผิดพลาดบ้างคงน้อยมาก”
ธัญชนก ธารีบุตร ผู้สอบติดคณะแพทยศาสตร์อันดับ 1 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไม่ห่วงกังวลในเรื่องนี้ เพราะคิดว่าถ้าจบไปเป็นแพทย์จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
“จริงๆ แล้ว คงไม่มีใครอยากฟ้องหมอ และหมอก็ไม่อยากถูกฟ้อง ถ้าทำงานด้วยความรักความเข้าใจ เปิดใจให้ข้อมูลกับคนไข้อย่างเต็มที่ เชื่อว่าปัญหาต่างๆ คงไม่เกิดขึ้น”
#104216 "ภุชงค์" เขาว่า...โลกนี้ไม่มีเพอร์เฟคต์
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 17 March 2008 - 08:03 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
![](http://matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/03/lad02170351p1.jpg)
"ไม่มีใครเพอร์เฟคต์"
คำง่ายๆ แต่ "ล้ำลึก" คำนี้เป็น "คติ" ประจำใจของ "ภุชงค์ วิบุญวิริยะวงศ์" ชายหนุ่มที่เคยเรียกตัวเองว่าเป็น "เพอร์เฟคชั่นนิสต์" หรือ "ผู้พอใจแต่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ!!" หากประสบการณ์จากการทำงานให้เขาเรียนรู้ว่า "ไม่มีอะไรดีที่สุด!!!"
"เมื่อก่อนผมเป็นพวกเพอร์เฟคชั่นนิสต์ ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ แต่สัจธรรมของโลกมันไม่มีอะไรดีที่สุด แม้กระทั่งตัวผม แล้วจะหวังอะไรกับคนอื่น ถ้าเรามองแต่ข้อเสียจนไม่สนใจมองข้อดีเลย คนที่ทุกข์ที่สุดก็คือตัวเรา" ภุชงค์เริ่มเล่า
ด้วยวัยเพียง 29 ปี เขาเป็น "มือขวา" ของ วินิจ เลิศรัตนชัย บอสใหญ่ของบริษัท อาร์เอส เฟรสแอร์ จำกัด นอกจากนี้ยังรั้งตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด เคยเป็นโต้โผจัดงานคอนเสิร์ตดังๆ มาแล้วหลายงาน อาทิ คอนเสิร์ตของนักร้องต่างชาติ เติ้ล ลี จิน จากจีน, เชอร์เบต จากออสเตรเลีย ส่วนนักร้องไทยได้แก่ คาราบาว บอย โกสิยพงษ์ เป็นต้น
![](http://matichon.co.th/news-photo/matichon/2008/03/lad02170351p2.jpg)
เรียกว่าเป็น "คนหนุ่มไฟแรง" ทีเดียว
"หน้าที่ของผมส่วนใหญ่จะเป็นผู้ช่วยคุณวินิตในการวางแผนและประสานงานต่างๆ ว่าจะทำอย่างไรให้งานงานหนึ่งที่บริษัทรับจัดกิจกรรมให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เรื่องหินที่สุดในการทำงานนี้คือ การไม่รู้ข้อมูล เพราะเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ ดังนั้นการเข้าถึงข้อมูลเป็นพื้นฐานสำคัญมาก แม้จะไม่รู้ลึกซึ้ง แต่มันก็ช่วยทำให้เปอร์เซ็นต์การทำงานผิดพลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม แม้จะพยายามปิดช่องโหว่แล้ว ในทุกงานเราก็ต้องเผื่อใจไว้รับกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงที่จะเกิดขึ้นด้วย เพราะในการทำงานทุกชนิดไม่มีคำว่าเพอร์เฟคต์"
แต่กว่าที่ภุชงค์จะเข้าใจคำว่า "ไม่เพอร์เฟคต์" เขาก็ต้องเหนื่อยกับ "อัตตา" ที่เขายึดติดมากทีเดียว
"ช่วงแรกๆ ที่ทำงาน ผมยึดติดความสมบูรณ์แบบมาก อะไรไม่ตรงตามแผนที่วางไว้ ผมจะซีเรียส ยอมไม่ได้ แต่เชื่อไหม ในขณะที่ผมเครียด ทุกคนกลับบอกว่า สุดความสามารถแค่นี้ กลายเป็นว่าผมเครียดอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งพอทุกข์มากๆ มันไปกระทบกับครอบครัวถึงขั้นทะเลาะกันหลายหน แย่มากๆ เป็นอย่างนี้ มันทำให้ผมกลับมาทบทวนตัวเอง จริงๆ ผมก็ไม่สมบูรณ์แบบ มีข้อเสียในตัวเองมากมาย พอคิดได้ ผมจึงพยายามเปลี่ยนมุมมองใหม่ มองโลกในแง่ดี พยายามเข้าใจผู้อื่นมากกว่าเอาแต่ใจตัวเอง เรียนรู้ที่จะยอมรับผลที่ออกมาโดยไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น และมองทุกเรื่องให้เป็นกลางๆ พอคิดได้อย่างนี้ โอ้โห!!! มีความสุขขึ้นเยอะเลย"
ปิดท้าย ภุชงค์บอกว่า จากประสบการณ์ที่เคยเป็นพวกผู้นิยมความสมบูรณ์แบบ สอนเขาว่า
"พวกเพอร์เฟคต์เยอะ ไม่เข้าใจโลก และโลกนี้ไม่มีคำว่าเพอร์เฟคต์ครับ"
ที่มา-น.ส.พ.มติชน
#104093 มองโลกในแง่ฮา
โพสต์เมื่อ โดย
kuna
บน 16 March 2008 - 02:56 PM
ใน
บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก
เรื่องที่ 1
คนไข้ทางจิตผู้หนึ่งได้แสดงความกล้าหาญกระโดดลงไปช่วยผู้ป่วยอีกคนหนึ่ง
ให้รอดพ้นจากการจมน้ำตาย หมอเรียกคนไข้มาพบและบอกเขาว่า
หมอ : ยินดีด้วยนะครับ การกระทำอันกล้าหาญของคุณ แสดงว่าคุณหายเป็นปกติแล้ว คุณจะได้กลับบ้านแล้วครับ
คนไข้ : (ตื่นเต้น) จริงๆ นะครับ โอ้...วิเศษที่สุด...
หมอ : แต่...ผมเสียใจด้วยเรื่องหนึ่งนะครับ
คนไข้ : (สีหน้างง) เรื่องอะไรเหรอครับ คุณหมอ
หมอ : คนไข้ที่คุณเสี่ยงชีวิตลงไปช่วยนั้น เขาผูกคอตายเสียแล้ว !
คนไข้ : (ยิ้ม ถอนหายใจโล่งอก) โธ่! นึกว่าอะไร เขาไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเห็นเขาตัวเปียกน้ำ ก็เลยจับแขวนกับขื่อผึ่งลมให้แห้งน่ะครับ
หมอ : !?!?!?!?
เรื่องที่ 2
ผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่งไปพบแพทย์โดยใส่ถุงเท้า 2 ข้าง ไม่เหมือนกัน
หมอ : (เสียงอ่อนโยน) ทำไมใส่ถุงเท้าแบบนี้ล่ะครับ
คนไข้ : ก็มันมีแต่แบบนี้นี่ครับคุณหมอ
หมอ : คุณมีถุงเท้าคู่เดียวหรือครับ
คนไข้ : ปล่าว...ที่บ้านก็มียังงี้อีกคู่ เหมือนกันเปี๊ยบเลย
หมอ : ?!?!?!
เรื่องที่ 3
จิตแพทย์ร้อนวิชาออกเดินเยี่ยมผู้ป่วยในตึก เพื่อหาทางจับผิดการรักษาของแพทย์อื่น เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวดี นั่งอยู่ที่ระเบียงจึงเดินเข้าไปชวนคุย
หมอ : วันนี้อากาศน่าสบายนะครับ
คนไข้ : ผมก็สบายของผมทุกวันแหละ พวกคุณมาบอกผมไม่สบาย ผมผิดตรงไหนนะ กะอีแค่ชอบรองเท้าหนังหุ้มส้นมากกว่ารองเท้าแตะฟองน้ำ
หมอ : (ตาลุก มองเห็นช่องทางจับผิด) นั่นน่ะสิ ! เกิดเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ใครเป็นเจ้าของไข้ของคุณ ผมไม่เห็นว่าจะผิดปกติตรงไหนเลยหากคุณจะชอบรองเท้าหนังหุ้มส้น ผมเองก็ชอบรองเท้าหนังหุ้มส้นครับ
ผู้ป่วย : (ตื่นเต้นดีใจ) โอ...จริงนะครับคุณหมอ ผมอยากพบมานานแล้วคนที่ชอบอะไรเหมือนกันเนี่ย
หมอ : จริงครับ สบายใจได้
ผู้ป่วย : ถ้างั้นคุณหมอชอบแบบปิ้งหรือต้มล่ะครับ
หมอ : ?!?!?!
ผู้ป่วยทางจิตนั้นเป็นผู้ที่ใช้เหตุผลคนละชุด และมีมิติเวลาไม่เหมือนกับคนปกติ การพยายามพูดคุยสนทนากับผู้ป่วยทางจิต เราจึงถือสาไม่ได้ ดังนั้น เวลาที่อ่านหรือฟังข่าวการให้สัมภาษณ์ที่ชวนเครียด โกรธเกลียดกับความไร้เหตุผล หรือการใช้เหตุผลแบบดันทุรัง เอาสีข้างเข้าถู เราก็ใช้จินตนาการ คิดเสียว่า เขาเป็นเหมือนคนไข้ในเรื่องที่เล่ามา ไม่สามารถคาดหวังให้เขาใช้เหตุผลแบบคนปกติได้ โบราณก็บอกอยู่แล้วว่า "อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา" นั่นคือการสนทนาหรือสื่อสารกับคนบ้าและคนเมานั้น มีประโยชน์น้อย ไม่ควรเอามาถือเป็นอารมณ์
เรื่องที่ 4
ครู : ด.ช.ปื้ดเธอมาสายบ่อยมาก เธอจะแก้ตัวว่ายังไง กับการไม่มีวินัยของเธอ
ปื๊ด : ครูครับ ผมไม่ได้อยากมาสายเลย แต่ที่สายเพราะต้องทำตามป้ายที่ปักอยู่ใกล้ๆ โรงเรียนครับ
ครู : ป้ายอะไรของเธอ ?
ปื๊ด : ป้ายจราจรที่เขียนบอกว่า "โรงเรียนอยู่ข้างหน้า ให้ไปช้าๆ"
ครู : ?!?!?!
ถ้าเขาที่ทำให้เราเครียดเซ็งไม่ใช่ผู้ป่วยทางจิต เขาก็อาจจะเป็นเด็กกลมกลิ้ง ที่พยายามหาทางแก้ตัวด้วยการหยิบฉวยเอาอะไรบางอย่างของสังคมมาใช้ประโยชน์แบบข้างๆ คูๆ เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ
เรื่องที่ 5 : ในชั่วโมงวิชาภูมิศาสตร์
ครู : จิมมี่ ออกมาชี้แผนที่ให้เพื่อนดูซิว่า ทวีปอเมริกาอยู่ตรงไหน
จิมมี่ : (ออกมาชี้แผนที่) ตรงนี้ครับครู
ครู : ดีมากจ้ะ (หันมาถามนักเรียนทั้งห้อง) นักเรียนใครเป็นคนค้นพบทวีปอเมริกาจ้ะ
นักเรียนทั้งชั้น : (ตอบพร้อมเพรียง) จิมมี่ครับคุณครู !
ครู : ?!?!?!
นี่ก็เป็นเรื่องของการเข้าใจคำถามผิด เพราะระดับความสามารถของเขายังน้อยอยู่ จึงตอบไปเรื่อยโดยไม่รู้ว่าคนถามต้องการคำตอบอะไร (น่าเอ็นดู)
ในวันที่อะไรๆ ก็ใช้เหตุผลไม่ได้ จนดูเหมือนไม่มีทางออก มองโลกแง่ขันไว้ก่อน จะได้ไม่เครียด เพราะความเครียดทำลายปัญญา ใครก็ไม่รู้บอกว่า "สติดี จะมีรอยยิ้ม สติถูกทิ่มรอยยิ้มจะไม่มี" และ "สติมีผีจะหลบ สติถูกตบจะพบกับผี" ไม่อยากพบกับผี ต้องมีอารมณ์ขันไว้บ้าง...