ไปที่เนื้อหา


เนื้อหาจาก kuna

ค้นพบทั้งสิ้น 36 รายการโดย kuna (จำกัดการค้นหาจาก 12-August 23)



#123379 " ​พุทธศาสนา​ใน​สายตา​แม่ชีฝรั่ง​ "

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 17 September 2008 - 05:46 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

ศาสนาพุทธ​ใน​สายตาของฉัน​นั้น​ไม่​ใช่​เป็น​เพียงแค่ศาสนา​ ​แต่​ยัง​เป็น​ปรัชญาชีวิต​ ​เรา​ไม่​จำ​เป็น​ที่​จะ​ต้อง​เชื่อทุกสิ่ง​ ​ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส​ไว้​ ​ชีวิตของเรา​ไม่​ได้​ขึ้น​อยู่​กับ​พระผู้เป็น​เจ้าดลบันดาล​ให้​เป็น​ไป​ ​แต่ชีวิต​เป็น​ของเรา​ ​เรา​สามารถ​ที่​จะ​มีชีวิตที่ดี​ได้​ ​หรือ​ไม่​ดีก็​ได้​
อยู่​ที่การทำ​ตัวของเรา​เอง เรา​เท่า​นั้น​ที่​เป็น​ที่พึ่งของตัวเรา​ ​พระพุทธเจ้า​ ​ไม่​เคยทรงตรัสว่า​ให้​เชื่อ​ ​แต่ท่านสอน​ให้​เราหา​ความ​จริง​ด้วย​การปฎิบัติ​เอง​ ​พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัส​ไว้​ ​ด้วย​การปฎิบัติ​ให้​รู้จริง​ ​ด้วย​ตัวเอง
​ ​คำ​นี้​เองที่ทำ​ให้​ฉันสนใจพุทธศาสนา​ ​ที่ฉัน​ไม่​ต้อง​ทำ​ตัวเหมือน​เป็น​ลูกแกะ​ ​ที่​เอา​แต่​เดินตามคนเลี้ยง​
​ด้วย​คำ​สอนของครูบาอาจารย์​เราก็​สามารถ​นำ​มา​เป็น​วิถีทางแห่งการปฎิบัติ​ ​แต่ทุกคนก็​ยัง​คง​ต้อง​ปฎิบัติ​ ​ด้วย​ตนเอง​ ​ไม่​มี​ใครมาทำ​แทน​ให้​ได้​ ​เราควรดี​ใจที่วันนี้​ยัง​มีครูบาอาจารย์ที่พอ​จะ​มี​ความ​รู้​จาก​ประสบการณ์มา​ถ่ายทอด​ให้​ด้วย​ตัวเอง​ ​สอน​ใน​วิถีทางที่ถูก​ต้อง​ซึ่ง​สำ​คัญมาก​ ​เรา​ไม่​สามารถ​เข้า​ใจ​ได้​ ​ถ้า​เราฟังธรรมะ​แต่​เพียง​อย่างเดียว​ ​เรา​จะ​ได้​ความ​รู้​จาก​การอ่าน​ ​แต่​ถ้า​เรา​ต้อง​การ​จะ​รู้จริง​ให้​ลึกซึ้ง​ ​ต้อง​ปฎิบัติ​ด้วย​ตนเอง​ ​เป็น​ทาง​ ​เดียวที่​จะ​รู้​ได้​ ​บางครั้งมีคนมาถามฉันเกี่ยว​กับ​พระ​เจ้าว่า​ ​พระ​เจ้ามีจริง​หรือ​ไม่​ ​ฉันก็ตอบว่า​"พระ​เจ้ามีจริง​ ​แต่​ ​ฉันเชื่อ​ใน​แนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน​ ​พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่าง​ใน​โลกนี้​ ​รู้​ทั้ง​จักรวาล​ ​พระองค์​ยัง​คงรู้​เรื่อง​ ​พระ​เจ้า​ด้วย​ ​และ​ท่าน​ยัง​คงรู้ว่า​ใครสร้างเรา​ ​นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเรา​เอง"

วิบากกรรม


​มีทุกข์​และ​การดับทุกข์​อยู่​ที่​ใจเรานี้​เอง​ ​ไม่​มี​ใครมาลงโทษเรา​เว้นตัวเรา​เองที่​จะ​ได้​รับผลแห่งการกระทำ​ของเรา​ ​ไม่​มี​ใคร​ให้​รางวัลเรา​โดย​ที่​เรา​ไม่​ได้​ทำ​ความ​ดีอะ​ไร​ ​ทำ​ดี​ได้​ดี​ ​ทำ​ชั่ว​ได้​ชั่ว​ ​นั่นคือสิ่ง​ทั้ง​หมดที่​เป็น​ไป​ ​ไม่​มีพระ​เจ้าสร้าง​ ​เราสร้างทุกอย่างเอง​ ​
เรา​เห็นวิบากกรรมอย่างนี้​ ​เรา​จะ​ระมัดระวังการกระทำ​ของเรา​ ​บาปที่​ ​เราทำ​มัน​จะ​ย้อนกลับมามีผล​กับ​ตัวเรา​เอง​ ​จาก​การที่​เข้า​ใจอย่างนี้​ ​ความ​กลัว​ใน​การทำ​บาป​ ​ความ​ละอายต่อบาป​ ​จะ​เกิดขึ้น​ใน​ใจ​ ​ไม่​ใช่​กลัวว่าพระ​เจ้า​จะ​ลงโทษ​ ​เรา​เข้า​ใจ​ใน​บาปที่​เราทำ​ไปว่ามัน​จะ​มามีผล​กับ​เรา​อยู่​ใน​ใจเรา​ ​ตลอดเวลา​ ​เมื่อมากๆ​ขึ้น​ ​ผลมันก็ก่อ​ให้​เกิดทุกข์​ให้​กับ​เรา​ ​และ​ทุกอย่างที่​เราทำ​ดีมันก็​จะ​เป็น​วิบากกรรมที่ก่อ​ให้​ ​เกิด​ความ​สุข​ ​ทุกอย่าง​อยู่​ที่​เรา​เลือก​ ​ทุกข์​หรือ​สุขเรา​เลือกเอง​
ความ​ดับทุกข์


​สิ่งหนึ่งที่สำ​คัญ​ใน​คำ​สอนของพระพุทธเจ้าคือ​ ​ความ​ดับทุกข์​ ​ไม่​มี​เกิด​ ​ไม่​มี​แก่​ ​ไม่​มี​เจ็บ​ ​ไม่​มีตาย​ ​มันมีผล​ ​ทำ​ให้​เรา​ไม่​ติดสุข​ไม่​ติดทุกข์​ ​มีอุ​เบกขา​ ​ที่​เรียกว่านิพพาน​
​ไม่​มีคำ​สอน​ใน​ศาสนา​อื่น​ใด​ ​สอนทางออก​ ​ทางแก้ทุกข์​ ​ใน​เรื่องของการเกิด​ ​การแก่​ ​การเจ็บ​ ​และ​การตาย​ ​ที่​เรียกว่า​ " ​สังสารวัฎ" ​แน่นอนว่าทุกศาสนา​นั้น​ดี​ ​อยาก​ให้​ทุกคน​เป็น​คนดี​ ​เค้าสอนเรื่องศีล​จะ​ได้​ไม่​มีบาป​ ไม่​ไป​​เกิด​ใน​นรก​ ​หรือ​ไปเกิด​เป็น​เปรต​ ​เป็น​สัตว์​เดรัจฉาน​ ​สอน​ให้​คนทำ​ดี​ ​เกิดมาอีกที อย่างน้อยก็ขอ​ให้​ได้​เป็น​คน​ ​
ที่​ไหนมีการสอนทางออก​จาก​สังสารวัฎ​ ​เป็น​ไม่​มี​ ​และ​ด้วย​พระกรุณาอันยิ่ง​ใหญ่​ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนศิษย์​ ​ที่​เรียกว่า​ ​มรรคมีองค์​แปด​ ​ธรรมะที่พระพุทธเจ้า​ได้​ตรัสรู้​ไว้​ ​ให้​เราดูทุกข์​ ​สมุทัย​ ​นิ​โรธ​ ​มรรค​ ​และ​ทางดับทุกข์​ ​โดย​ดับสมุทัย​ ​เรา​สามารถ​ทำ​ได้​โดย​ปฎิบัติตามคำ​สั่งสอนของพระพุทธเจ้า​ ​และ​นี่คือคำ​สั่งสอนของพระพุทธเจ้า​เมื่อ​ 2500 ​ปีมา​แล้ว​ ​จนทุกวันนี้มีลูกศิษย์สำ​เร็จมรรคผล​เป็น​ล้านคน​ได้​ ​เรา​โชคดีที่​เรา​ยัง​มีพระอริยเจ้าคอยสั่งสอน​ ​เรา​จึง​ไม่​ควร​จะ​เสียเวลา​ ​มาดับทุกข์ของตัวเรา​เองเลย​ ​และ​มาสำ​รวจดู​ความ​สงบสุข​และ​การหลุดพ้น​กัน​
​ความ​กรุณา


​บางครั้งคนเรามัก​จะ​พูด​ถึง​พระ​และ​แม่ชี​ ​รวม​ถึง​ผู้​ปฎิบัติธรรม​อื่นๆ​ ​ตามแนวทางการปฎิบัติพุทธศาสนา​ ​แบบเถรวาท​ ​ว่า​เป็น​การปฎิบัติ​เพื่อตัวเอง​เท่า​นั้น​ ​พวกเค้า​ต้อง​การหาทางหลุดพ้น​จาก​ความ​ทุกข์​และ​สังสารวัฎ​ ​โดย​ไม่​เอา​ใจ​ใส่​ต่อ​ผู้​อื่น​ ​แต่สำ​หรับฉัน​ไม่​ได้​คิดเช่น​นั้น​กับ​แนวทางการปฎิบัติ​เพื่อพัฒนาสติปัญญา​ ​แต่​ถ้า​ ​ปราศ​จาก​ความ​เมตตากรุณาต่อ​ผู้​อื่น​ ​พวกเค้า​เหล่า​นั้น​ก็​ไม่​สามารถ​จะ​บรรลุ​ถึง​ปัญญา​ได้

​ฉันเห็นว่าบางเวลา​ ​ฉันก็​สามารถ​ทำ​ให้​บางคนมี​ความ​สุข​ได้​ ​และ​ฉันก็มี​ความ​สุขใจยิ่งกว่า​ ​และ​ ​ความ​สุขใจ​นั้น​ทำ​ให้​การปฎิบัติ​นั้น​ง่ายขึ้น​ ​ถ้า​ใจเรา​ไม่​มี​ความ​สุขก็ยากที่​จะ​ปฎิบัติ​ให้​ได้​ผลดี​ ​ดัง​นั้น​การที่ฉัน​ช่วย​ให้​ผู้​คนมี​ความ​สุข​นั้น​ก็​เท่า​กับ​ช่วย​ตัวฉันเอง​ด้วย​ ​ถ้า​เราพบว่า​เรา​ยัง​มี​ความ​ความ​ทุกข์​อยู่​ ​ซึ่ง​เป็น​ธรรมดา​ ​ของมนุษย์​ผู้​ที่​ยัง​เวียนว่ายตายเกิด​ ​เราก็​จะ​รู้​ได้​ว่า​ไม่​ใช่​แต่​เรา​เท่า​นั้น​ที่​ยัง​มี​ความ​ทุกข์​แต่มนุษย์ทุกคนที่​ยัง​ ​เวียนว่ายตายเกิด​อยู่​ต่างก็​เผชิญ​กับ​ความ​ทุกข์​ทั้ง​นั้น

​การที่​ได้​พบ​กับ​อาจารย์ที่​สามารถ​ชี้ทางออก​จาก​ทุกข์​ให้​กับ​เรา​ได้​นั้น​นับว่า​โชคดีที่สุด​แล้ว​ ​เรา​จะ​สามารถ​ปฎิบัติ​เพื่อหลุดพ้น​จาก​ทุกข์​ด้วย​ตัวของเรา​เอง​หรือ​ ​สำ​หรับฉัน​แล้ว​มัน​ไม่​เพียงพอ​ ​การมีครูบาอาจารย์​นั้น​สำ​คัญมาก​ ​ถ้า​เรา​ยัง​คงเวียนว่ายตายเกิด​ ​อยู่​ใน​สังสารวัฎ​ ​ดัง​นั้น​จะ​ดู​เหมือนว่า​เป็น​เหตุ​เป็น​ผล​กัน​กับ​ที่​เราทำ​กรรม​ไว้​ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่า​เรา​จะ​จำ​ไม่​ได้​แล้ว​ก็ตามว่าทำ​อะ​ไรไปบ้าง​ ​กรรมดี​ ​กรรมชั่ว​ ​ถ้า​เรา​สามารถ​ระลึกได่ว่าคนที่ยืน​อยู่​ตรงหน้า​เรานี้​เคย​เป็น​แม่ของเรา​เมื่ออดีตชาติ​ใด​ชาติหนึ่ง​ ​และ​เขากำ​ลังเผชิญ​ความ​ทุกข์​อยู่​ ​เขาอาจ​จะ​ไม่​เชื่อว่าทำ​อย่างไร​จะ​พ้นทุกข์​ได้​ ​แต่ทำ​ไมเรา​จะ​ไม่​ช่วย​เค้าคน​นั้น​หรือ

​นี้​เป็น​สิ่งที่สำ​คัญ​ส่วน​หนึ่ง​ใน​การปฎิบัติ​ ​เพื่อนนักปฎิบัติธรรม​ใน​คอร์สเข้มข้นของฉันบางคน​ ​ยัง​คง​ไม่​ลืมสิ่งต่างๆ​ ​บางครั้งที่ปฎิบัติ​เสร็จ​แล้ว​พวกเขาก็​ได้​แผ่​เมตตา​ให้​กับ​ครูบาอาจารย์​ ​พ่อแม่​ ​บุคคลอัน​เป็น​ที่รัก​และ​ ​สรรพสัตว์​ทั้ง​หลาย​ ​และ​บุคคลที่​ต้อง​การ​ความ​ช่วย​เหลือทางด้านจิตใจ​และ​จิตวิทยา​ ​การ​ให้​ความ​ช่วย​เหลือ​กับ​ ​บุคคลที่​แตกต่าง​กัน​ก็​ต้อง​ใช้​ความ​สามารถ​ที่​แตกต่าง​กัน​ไป​ ​และ​ทาง​ใด​ที่พวกเค้า​สามารถ​จะ​ช่วย​เหลือ​ให้​กับ​ผู้​อื่น​ ​มี​ความ​สุข​ได้​ ​ถึง​แม้ว่า​จะ​เป็น​วิถีทางที่​แตกต่างออกไปก็​จะ​ทำ​ ​สิ่งนี้คือธรรม​ ​บางครั้งอาจ​จะ​มาก​ ​บางครั้งอาจ​จะ​น้อยแต่​ถ้า​ปราศ​จาก​ความ​เมตตากรุณา​ ​ปัญญาก็​จะ​ไม่​เกิด

​ฉันเองก็​ต้อง​การที่​จะ​แผ่​เมตตาของฉันที่มี​ให้​กับ​ผู้​อื่น​และ​สรรพสัตว์​ทั้ง​หลาย​ ​ให้​บังเกิด​ความ​สุข​ทั้ง​ ​ใน​อดีต​ ​ปัจจุบัน​ ​และ​อนาคต​ ​และ​สิ่ง​ใด​ก็ตามที่​จะ​พัฒนาการการ​ให้​และ​สติปัญญาอัน​จะ​นำ​ไปสู่นิพพาน
(บริจิต​ ​สล็อตเทนเบเชอร์)

ที่มา-http://www.budpage.com/forum/view.php?id=3978



#120960 สู้​โว้ย​!! ​มะ​เร็ง​ไม่​ร้ายอย่างที่คิด​

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 31 August 2008 - 03:57 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

มะ​เร็งอาจ​เป็น​เพชฌฆาตร้ายอันดับหนึ่ง​ ​ที่คร่าชีวิต​ผู้​คน​ทั่ว​โลกอย่าง​ไม่​มี​เยื่อใย​ ​แต่​ใช่​ว่าคน​เป็น​มะ​เร็ง​จะ​ต้อง​นอนรอ​ความ​ตายสถานเดียว​ ​ยัง​มีคนอีก​ไม่​น้อยที่​โชคดีรอด​จาก​การ​เป็น​เหยื่อมัจจุราช​ได้​อย่างอัศจรรย์​ ​พวก​เขา​มีคาถาอะ​ไรดี​ใน​การพิชิตมะ​เร็ง​ ​และ​มะ​เร็งทำ​ให้​ชีวิตของพวก​เขา​เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง​ ​ทีมข่าวสตรี​ไทยรัฐตาม​ค้น​หาคำ​ตอบ​ ​เพื่อจุดประกาย​ความ​หวัง​ให้​ผู้​ป่วยมะ​เร็ง​ได้​มีกำ​ลังใจต่อสู้​ ​กับ​โรคร้ายต่อไป

“​อ​.​เผ่าทอง​ ​ทองเจือ​” อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์​ ​มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์​ ​ตรวจพบว่า​เป็น​มะ​เร็งต่อมน้ำ​เหลืองขั้นที่​ 4 ​เมื่อ​ 14 ​ปีก่อน​ ​และ​จะ​มีชีวิต​อยู่​ได้​เพียง​ 3 ​เดือน​ ​วินาที​แรกที่รู้ตัวว่า​เป็น​มะ​เร็ง​ ​โลก​ทั้ง​โลกแทบดับลงตรงหน้า​ ​เขา​นอนซมหมดกำ​ลังใจ​อยู่​หลายวัน​ ​จนกระทั่งนึก​ถึง​คำ​พูดของแม่​ ​ทำ​ให้​มีสติฮึดสู้อีกครั้ง​

“​เมื่อ​ 14 ​ปีก่อน​ ​ผมคลำ​เจอก้อนเนื้อขนาด​เท่า​เม็ดถั่วลิสง​ ​ที่ราวนมด้านขวา​ ​ตอน​นั้น​ไปทำ​วิจัยด้านโบราณคดีที่ประ​เทศอังกฤษ​ 3 ​เดือน​ ​เป็น​เรื่องบังเอิญมาก​ ​เพราะ​ปกติชอบอาบน้ำ​จาก​ ​ตุ่ม​ ​ไม่​ใช้​ฝักบัวเลย​ ​แต่พอไป​อยู่​อังกฤษ​ต้อง​อาบฝักบัว​ ​ทำ​ให้​คลำ​พบ​ความ​ผิดปกติ​ ​ตอน​นั้น​คิดว่า​ไม่​เป็น​อะ​ไร​ ​เพราะ​กด​ยัง​ไงก็​ไม่​เจ็บ​ ​เพียงแต่สังเกตว่าขนาดก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อยๆ​จน​ใหญ่​เท่า​ไข่​เป็ด​!! ​พอกลับเมืองไทย​ต้อง​ขึ้นเหนือไปทำ​ธุระที่มหาวิทยาลัยเชียง​ใหม่​ ​เลยแวะ​ไปหา​เพื่อนที่​ ​เป็น​หมอประจำ​โรงพยาบาลสวนดอก​ ​เล่าอาการ​ให้​ฟัง​ ​และ​วินิจฉัยตัวเองว่าคง​ไม่​เป็น​อะ​ไร​ ​เพราะ​กด​ยัง​ไงก็​ไม่​เจ็บ​!! ​ปรากฏว่า​เพื่อนหน้า​เสียเลย​ ​รีบเรียกหมอเฉพาะทางมาตรวจ​ ​ถ้า​ถึง​ขั้นกดแรงๆ​ยัง​ไม่​เจ็บ​ ​แสดงว่าอาการหนัก​!! ​ตอน​นั้น​คุณหมอ​ (พญ​. ​บุญสม​ ​ชัยมงคล) ​สั่ง​ให้​เข้า​ห้องผ่าตัดทันที​ ​เพื่อตัดก้อนเนื้อออกมาตรวจ​ ​เข้า​ไปตั้งแต่บ่ายโมง​ ​จน​ถึง​ 6 ​โมงเย็น​

...​คุณหมอ​ ​บอกว่า​ ​คุณ​ต้อง​ทำ​ใจนะ​ ​เพราะ​เป็น​มะ​เร็งต่อมน้ำ​เหลือง​ ​ขั้นที่​ 4 ​คงมีชีวิต​อยู่​ได้​แค่​ 3 ​เดือน​!! ​ตอน​นั้น​ปล่อยโฮเลย​ ​เหมือนถูกพิพากษา​ ​ไม่​มี​เรี่ยวแรงขยับตัว​ ​คิดแต่ว่า​ ​ยัง​ไม่​อยากตาย​ ​และ​ไม่​เชื่อว่าตัวเอง​เป็น​มะ​เร็ง​ ​เราอายุ​แค่​ 37 ​กำ​ลังมีหน้าที่การงานรุ่งโรจน์​ ​จะ​มาตายตอนนี้​ไม่​ได้​ ​แล้ว​แม่​จะ​อยู่​ ​ยัง​ไง​ ​มีลูกแค่คนเดียว​ ​แม่​เคยพูดตลอดว่า​ ​ความ​ทุกข์ที่สุดของแม่​ ​คือเห็นลูกตายก่อนแม่​ ​นึก​ถึง​คำ​พูดนี้​แล้ว​ ​ทำ​ให้​ฮึดสู้​ ​คิดว่า​เรา​ต้อง​มีชีวิต​อยู่​เพื่อแม่​ ​เรา​จะ​ตายก่อนแม่​ไม่​ได้​!!

...​ถ้า​ไม่​อยากตายก็​ต้อง​มารักษา​กัน​ ​คุณหมอกระตุ้น​ให้​สู้​!! ​แล้ว​บอก​ให้​ลองรักษา​ด้วย​การ​ให้​คี​โมดับเบิลโดส​ ​โดย​หมอ​จะ​อัด​เข้า​ไปที่​เส้นเลือด​โดย​ตรง​ ​ถ้า​รอดก็รอดไปเลย​ ​เราอยากรอดเพื่อแม่​ ​เลยตอบตกลง​ ​แต่​ยัง​ไม่​กล้าบอกแม่ว่า​เป็น​มะ​เร็ง​ ​เพราะ​ยัง​ทำ​ใจ​ไม่​ได้​!! ​ปรากฏว่าพอหมอฉีดยาดับเบิลโดส​ ​ร่างกายเราทน​ไม่​ไหว​ ​หัวใจหยุดเต้น​และ​ไม่​รู้สึกตัว​ ​ปั๊มหัวใจ​ยัง​ไงก็​ไม่​ขึ้น​ ​จนทางโรงพยาบาลเข็นร่างไป​ไว้​ที่ห้องซีซียู​ ​มีคนไข้นอนตาย​อยู่​แล้ว​ 1 ​คน​ ​ตอน​นั้น​สลบไป​ 7 ​วัน​ ​จนวันสุดท้ายคุณหมอลอง​ใช้​ไฟฟ้าช็อต​ ​ทำ​ให้​ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์​ ​แต่​ยัง​ลืมตา​ไม่​ขึ้น​ ​จำ​ได้​แม่นเลยว่า​ ​มีนักศึกษา​แพทย์​เข้า​มาดู​ ​และ​ได้​ยินเสียงพูดว่าศพนี้ซวยมากเลย​ ​เป็น​ทั้ง​โรคหัวใจ​และ​มะ​เร็งต่อมน้ำ​เหลือง​ ​ผมตะ​โกนเถียงสุดแรงว่า​ ​ไม่​ซวยๆ​ๆ

...​หลังรอด​จาก​การ​ให้​คี​โมดับเบิลโดสมา​ได้​ ​หมอก็​เริ่ม​ให้​คี​โมปกติ​ ​ให้​ไป​ทั้ง​หมด​ 40 ​เข็ม​ ​ต้อง​นอนโรงพยาบาล​อยู่​ 40 ​อาทิตย์​ ​ทรมานมาก​ ​ทั้ง​อา​เจียน​, ​ไข้ขึ้น​ ​เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับ​กัน​ทุก​ 3 ​ชม​. ​หมอบอกว่า​ ​ให้​คี​โม​แล้ว​ผม​จะ​ร่วง​ ​พอเข็มแรกผ่านไป​ ​ก็ร่วงจริงๆ​ ​เรียกว่า​ไม่​มีขนเหลือสักเส้นบนร่างกาย​ ​ช่วง​นั้น​เริ่มมีข่าวลือว่า​ “​เผ่าทอง​” ​เป็น​เอดส์​!! ​แต่คุณแม่ก็​ให้​กำ​ลังใจ​ ​บอกว่า​ ​ขอ​ให้​ลูกหาย​เร็วๆ​นะ​ ​ตั้งใจรักษาตามหมอ​ ​แม่​อยู่​ ​กรุงเทพฯคนเดียว​ได้​ ​ไม่​ต้อง​ห่วง​ ​ระหว่างที่นอนรักษาตัวที่​โรงพยาบาล​ ​วันไหนที่ทน​ไม่​ไหว​ ​รู้สึกท้อแท้​ ​ก็​จะ​โทรศัพท์หา​แม่​ ​แต่​จะ​พยายามทำ​เสียงเข้มแข็ง​ ​บอกแม่ว่าลูกสบายดี​”

แม้การรักษา​ใน​ช่วงปี​แรก​จะ​ได้​ผลเกินคาด​ ​แต่มะ​เร็งร้ายกลับลุกลามไป​ยัง​ส่วน​อื่นๆ​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ที่รักแร้​, ​ต้นคอ​ทั้ง​สองข้าง​, ​ตับ​, ​ขาหนีบ​ ​และ​ต่อมลูกหมาก​ ​ทำ​ให้​ “​อ​.​เผ่าทอง​” ​ต้อง​ทนทุกข์ทรมาน​กับ​การ​ให้​คี​โมอย่าง​ ​ต่อ​เนื่อง​ถึง​ 6 ​ปี​เต็ม​ ​พร้อม​กับ​การผ่าตัด​ 9 ​ครั้ง​!! ​กว่า​จะ​มายืนยิ้ม​ได้​ ​อย่างทุกวันนี้​ ​นอก​จาก​กำ​ลังใจที่ดี​แล้ว​ ​การปรับเปลี่ยนรูปแบบการ​ใช้​ชีวิต​ ​ก็​เป็น​กุญแจสำ​คัญ​ใน​การพิชิตมะ​เร็ง

“​กูตายมึงก็ตาย​!! ​จะ​ตะ​โกนขู่มะ​เร็งทุก​เช้า​ ​เพื่อปลุกใจตัวเอง​ ​และ​คิดตลอดว่า​ ​เรา​ต้อง​อยู่​เพื่อแม่​!! ​ถึง​แม้ท่าน​จะ​เสียชีวิตไป​ได้​ ​หลายปี​แล้ว​ ​ตั้งแต่​เป็น​มะ​เร็ง​ได้​ปรับเปลี่ยนชีวิตการกิน​อยู่​ทุกอย่าง​ ​เพราะ​ค้น​พบว่า​ ​การกินมีผลต่อโรคภัยไข้​เจ็บมาก​ ​เวลา​เป็น​อะ​ไร​ต้อง​แก้​ด้วย​อาหาร​ ​อย่า​ไปพึ่งยา​ ​คุณหมอแนะนำ​ให้​ทานอาหารย่อยง่ายๆ​ ​ไม่​เผ็ด​ไม่​มัน​ ​เลิกทานไก่​และ​หมู​ ​เพราะ​มีฮอร์​โมนกระตุ้นมะ​เร็ง​ ​ควรทานเนื้อวัวเสริมโปรตีน​ ​แต่​เรา​ไม่​ทานตั้งแต่​เด็ก​ ​เลยเปลี่ยนมาทานปลาย่างปลาลวกแทน​ ​และ​เน้นทานผักผลไม้​เยอะๆ​ ​หลัง​จาก​เป็น​ ​มะ​เร็ง​ยัง​ค้น​พบสัจธรรมหลายอย่าง​ ​รู้สึกว่าชีวิตคนเรา​ไม่​แน่นอน​ ​เริ่มมี​ความ​พอเพียงมากขึ้น​ ​ไม่​โลภมากอยากมีอยาก​ได้​แบบสมัยก่อน​ ​ทุกวันนี้คิดแต่ว่า​ ​เรา​โชคดี​ได้​เกิด​ใหม่​อีกครั้ง​ ​ต้อง​ทำ​ตัว​ให้​เป็น​ประ​โยชน์ต่อสังคม​”

อีกหนึ่งคนดังที่​เป็น​ตัวอย่างของคนสู้มะ​เร็ง​ ​ยัง​รวม​ถึง “​คุณหญิงพญ​.​พรทิพย์​ ​โรจนสุนันท์​” ผอ​.​สถาบันนิติวิทยาศาสตร์​ ​ซึ่ง​ถูกคุกคาม​ด้วย​มะ​เร็ง​ถึง​ 2 ​ครั้ง​ ​เริ่ม​จาก​มะ​เร็งที่​ไทรอยด์​ ​ลามไป​ถึง​ลำ​ไส้​ใหญ่​

“​หมอเจอมะ​เร็งที่​แรกบริ​เวณไทรอยด์​ ​ใน​ปี​ 2542 ​ตอนอายุ​ 41 ​ย่าง​ 42 ​ปี​ ​จู่ๆ​ยืน​แล้ว​เหมือนโลกหมุนติ้ว​ ​เลยกังวลว่า​ ​ตัวเอง​จะ​เป็น​มะ​เร็ง​หรือ​เปล่า​ ​เพราะ​คุณแม่ก็​เป็น​มะ​เร็งที่​ไทรอยด์​และ​ปอด​ ​เลยไปตรวจเช็กแต่​ไม่​พบอะ​ไร​ ​จนกระทั่งขอตรวจที่ต่อมน้ำ​เหลือง​ ​แล้ว​ใช้​เครื่องมือตรวจเผื่อไปที่​ ​ไทรอยด์​ ​เจอติ่งเนื้อขนาด​ 0.6 ​ซม​. ​ที่ส่อเค้า​เป็น​เนื้อร้าย​ ​แต่​ยัง​เป็น​อาการเริ่มต้น​ ​เลยผ่าตัดออก​ ​ไม่​ถึง​ขั้น​ต้อง​ให้​คี​โม

...​ช่วงปลายปี​เดียว​กัน​ก็​เกิดอาการปวดท้องอย่างแรง​ ​มีอาการหน่วงๆ​ ​ปวดท้องแต่​ไม่​ถ่าย​ ​ไม่​รู้ว่า​เป็น​อะ​ไร​ ​เรา​เป็น​หมอ​อยู่​แล้ว​ ​เลยตรวจตัวเองซะ​เลย​ ​โดย​คลำ​ทางทวารหนักจนเจอติ่งเนื้อ​ ​ซึ่ง​ถ้า​เป็น​เนื้อลำ​ไส้​จะ​เป็น​พื้นเรียบ​ ​แต่ตรวจคลำ​แล้ว​มีลักษณะคล้ายพรม​ ​จึง​ไปหาหมอตรวจอย่างละ​เอียด​ ​ที​แรกคุณหมอตรวจ​ไม่​เห็น​ ​แต่ก็ยืนยัน​กับ​คุณหมอว่า​เป็น​มะ​เร็ง​!! ​จึง​ตรวจ​ซ้ำ​จนพบว่า​ ​ตอนแรกที่​ไม่​เจอ​เพราะ​มันลอยสูง​ ​บริ​เวณลำ​ไส้ที่​เจอ​ ​ก้อนเนื้อมีขนาด​ถึง​ 7 ​ซม​. ​ต้อง​ตัดลำ​ไส้ทิ้งไปฟุตกว่า​ ​แต่มะ​เร็งลำ​ไส้ของเราต่าง​ ​จาก​คน​อื่น​ ​เพราะ​เรา​เป็น​นักกินผักตัวยง​ ​และ​เป็น​คนดู​แลตัวเองมาก​ ​เลยสันนิษฐานว่า​ ​น่า​จะ​เป็น​เพราะ​กรรมพันธุ์​ ​ผ่าตัดมะ​เร็ง​ทั้ง​ 2 ​ที่ห่าง​กัน​แค่ปี​เดียว​”

ถึง​แม้​จะ​เป็น​หมอมี​ความ​รู้มาก​ ​แต่​เมื่อป่วย​เป็น​มะ​เร็ง​ ​ก็​ต้อง​อาศัยธรรมะ​เข้า​ช่วย​เพื่อต่อสู้​กับ​โรคร้าย​ ​และ​เตือนสติตัวเอง

“​ตอน​นั้น​ใจเสียเหมือน​กัน​ ​แต่พยายาม​ใช้​ธรรมะ​เข้า​ข่ม​ ​บอกตัวเองว่า​ ​มะ​เร็ง​อยู่​กับ​ตัวเรา​ ​ต้อง​มองไปข้างหน้า​ ​พยายามคิดมุมบวก​ ​บอกตัวเองว่า​ ​เรา​ต้อง​ใช้​ชีวิตที่​เหลือสร้าง​ความ​ดี​ให้​มากขึ้น​ ​ใครทำ​ร้ายมาก็พยายาม​ไม่​พยาบาท​ ​โชคดีที่​เป็น​หมอผ่าศพ​ ​ได้​เห็น​ได้​ปลงมนุษย์มา​เยอะ​ ​หมอเชื่อว่าคนเรา​เกิดมา​เพราะ​ยัง​ไม่​หมดกรรม​ ​จะ​หลุด​จาก​วงจรเวียนว่ายตายเกิด​ได้​ ​ก็​ต้อง​รักษา​ความ​ดี​ ​หลีกเลี่ยงการทำ​ชั่ว​ ​เรื่องมะ​เร็ง​อยู่​ที่​ใจอย่างเดียว​ ​หมอยึดถือคุณแม่​เป็น​ตัวอย่าง​ ​ตอน​นั้น​ท่าน​เป็น​มะ​เร็งปอด​ ​แล้ว​ลุกลามไปที่สมอง​ด้วย​ ​ซึ่ง​ทรมานสุดๆ​ ​แต่ท่านก็ดู​แลตัวเองดีมาก​ ​หมออยาก​เป็น​คนไข้​แบบคุณแม่​ ​ท่าน​ไม่​ยอม​ให้​ใครเดือดร้อน​เพราะ​ท่าน

...​การดู​แลตัวเองเพื่อ​ไม่​ให้​มะ​เร็งกลับมา​เยือนอีก​ ​ก็​เป็น​เรื่องสำ​คัญมาก​ ​อย่างมะ​เร็งไทรอยด์​ ​ผ่าตัด​แล้ว​หายเลย​ ​เพราะ​หมอ​เป็น​ใน​ช่วงอายุ​ยัง​ไม่​มาก​ ​แต่มะ​เร็งลำ​ไส้​ ​ทิ้ง​ไม่​ได้​เลย​ ​หลัง​จาก​ผ่าตัด​แล้ว​ ​เว้นไป​ 4 ​ปี​ ​หมอกลับไปตรวจ​ซ้ำ​ก็พบว่ามะ​เร็งกลับมาอีก​ ​ทำ​ให้​ต้อง​ผ่าตัดครั้งที่​ 2 ​คนที่​เคย​เป็น​มะ​เร็ง​ต้อง​คอยตรวจร่างกายประจำ​ทุกปี​ ​ขณะ​เดียว​กัน​ ​ก็ควรระวังเรื่อง​ ​อาหารการกิน​ให้​มาก​ ​หมอ​ใช้​ชีวิตแบบชีวจิต​ ​หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์​ใหญ่​ ​ทั้ง​เนื้อวัว​, ​หมู​ ​และ​ไก่​ ​เน้นทานปลา​ ​หันมาออกกำ​ลังกาย​ ​และ​ตัดปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง​ ​โดย​เฉพาะการสูบบุหรี่​และ​ดื่มเหล้า​ ​ส่วน​เรื่องจิตใจ​ ​ต้อง​พยายาม​ไม่​เครียด​ ​เพราะ​ถ้า​เครียดมะ​เร็ง​จะ​กลับมาง่าย​”

สำ​หรับ “​นงค์พงา​ ​เวียงสมุทร์​” อดีตแอร์​โฮสเตส​ ​สายการบินคา​เธ่ย์​ ​แปซิฟิก​ ​ต้อง​ต่อสู้​กับ​มะ​เร็ง​ใน​เม็ดเลือด​ ​หรือ​ลูคี​เมีย​ ​ระยะสุดท้าย​ ​เป็น​เวลา​ 3 ​ปี​ ​แม้​จะ​ต้อง​ขายทรัพย์สมบัติ​แทบหมดตัว​ ​แต่​เธอก็​ไม่​เคยยอมแพ้สักวินาที​เดียว​!!

“​รู้ว่า​เป็น​มะ​เร็งตอนปี​ 2540 ​คือมีอาการอา​เจียน​ ​นอน​ไม่​หลับ​ ​ทานข้าว​ไม่​ได้​ ​มี​เลือดออกทางจมูก​ ​ออกๆ​หยุดๆ​ ​น้ำ​หนักลดฮวบ​ ​เลยไปหาหมอหลายโรงพยาบาลมาก​ ​กว่า​จะ​เจอว่า​เป็น​มะ​เร็ง​ ​กินเวลา​เป็น​ปี​!! ​ไม่​เคยคิดว่า​จะ​เป็น​มะ​เร็ง​ ​เพราะ​ตรวจร่างกายทุก​ 6 ​เดือน​ ​และ​ครอบครัว​ไม่​มีประวัติ​เป็น​มะ​เร็งเลย​ ​จนกระทั่ง​ได้​ดูรายการทีวี​ ​ที่พูด​ถึง​โรคลูคี​เมีย​ ​อาการเหมือนเรา​เลย​ ​จึง​ขอ​ให้​คุณหมอตรวจดู​ความ​หนา​แน่นของเลือด​ ​ปรากฏว่ามี​แต่​เม็ดเลือดขาว​ ​แทบ​ไม่​มี​เม็ดเลือดแดงเลย​ ​พอคุณหมอบอกว่า​ ​คุณ​เป็น​มะ​เร็ง​ใน​เม็ดเลือดระยะสุดท้าย​ ​มี​เวลา​อยู่​ไม่​ถึง​ 1 ​ปี​ ​ก็ช็อกเลย​!! ​ตอน​นั้น​กำ​ลังมีปัญหาครอบครัว​ด้วย​ ​เหลือลูก​อยู่​คนเดียว​ ​คุณพ่อก็ป่วย​ ​ปัญหารุมเร้าทำ​ให้​เราสติ​แตก​ ​จู่ๆ​ก็หมดสติ​ไปเลย​ ​จำ​ใคร​ไม่​ได้​ ​แม้​แต่ลูกก็จำ​ไม่​ได้​ ​ต้อง​นอนโรงพยาบาลนาน​ 3 ​เดือน​ ​สติ​ถึง​ฟื้น​ ​จาก​นั้น​ก็​เริ่ม​ให้​คี​โมรักษามะ​เร็ง​อยู่​เป็น​ปี

...​ตอนหลังอาการ​ยัง​ไม่​ดีขึ้น​ ​จึง​ตัดสินใจเดินทางไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกไขสันหลังที่อเมริกา​ ​โดย​พักรักษาตัว​อยู่​นาน​ 3 ​เดือน​ ​เมื่อกลับมาก็มีปัญหาอีก​ ​เพราะ​ยีน​ไม่​เข้า​กัน​ ​เลย​ต้อง​กลับมารักษา​ด้วย​คี​โม​ ​ซึ่ง​ทรมานมาก​ ​โชคดีที่​ได้​สเต็มเซลล์​จาก​หลานแท้ๆ​ ​มา​ใช้​ผ่าตัดปรับเปลี่ยนไขกระดูกสันหลังอีกครั้งที่​เมืองไทย​ ​ครั้งนี้​ได้​ผลดีทำ​ให้​หาย​จาก​โรคร้าย​ ​หลัง​จาก​เข้าๆ​ออกๆ​โรงพยาบาลกว่า​ 3 ​ปี​ ​และ​ต้อง​หมดเงินไป​ถึง​ 10 ​ล้านบาท​”

แม้​จะ​หาย​จาก​มะ​เร็ง​ใน​เม็ดเลือด​ ​แต่​ “​นงค์พงา​” ​ก็​ยัง​เคร่งครัด​กับ​การดู​แลสุขภาพร่างกายมาก​ ​ไม่​แตกต่าง​จาก​เมื่อครั้งถูกคุมคาม​ด้วย​มะ​เร็ง​ ​เพราะ​ไม่​อยากกลับไปเผชิญ​กับ​ฝันร้ายอีก​แล้ว

“​ทุกวันนี้​ต้อง​ยืนหยัด​ด้วย​ตัวเอง​ ​อาศัยใจสู้​ ​และ​ดู​แลตัวเองดีๆ​ ​อย่างเรื่องอาหาร​ ​จะ​ทานผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษจริงๆ​ ​ไม่​ซื้อของสดที่ตลาด​ ​ถ้า​ไม่​มีจริงๆ​ ​ต้อง​กินผัก​ใน​ตลาดก็​จะ​แช่น้ำ​เกลือ​ ​หรือ​ด่างทับทิม​ ​แล้ว​นำ​ไปลวกก่อนปรุง​ ​ส่วน​เนื้อหมู​, ​ไก่​, ​ปลาน้ำ​จืด​ ​ตัดทิ้งหมด​ ​จะ​ไม่​กินเลย​ ​เพราะ​มีสารเร่งโต​ ​แต่​จะ​กินเนื้อวัวแทน​ ​เพื่อ​ให้​โปรตีน​กับ​ร่างกาย​ ​เนื้อวัวที่กินก็​ต้อง​คัดแบบโคขุน​ ​โดย​นำ​มาปรุงง่ายๆ​ ​เอา​ไปย่าง​ใน​กระทะพอ​ให้​สุก​ ​และ​จิ้มน้ำ​ปลามะนาว​ ​อาหารหลักของตัวเองคือมื้อ​เช้า​ ​ส่วน​มื้อกลางวัน​และ​เย็น​ ​จะ​เน้นผักผลไม้​ ​หรือ​นมถั่วเหลือง​เท่า​นั้น​ ​การออกกำ​ลังกายก็​ช่วย​ให้​ฟื้นตัว​ได้​เร็ว​ ​ทุกวันนี้​จะ​ตื่นตี​ 4 ​ครึ่ง​ ​ทำ​บุญ​ใส่​บาตร​ ​แล้ว​ออกไปวิ่ง​ ​จนสายๆ​ค่อยกลับบ้านเพื่อทำ​กิจกรรมอย่าง​อื่น​ ​ส่วน​เรื่องทางใจ​ ​ต้อง​ไม่​เครียด​ ​ถ้า​เราสู้ซะอย่าง​ ​ก็​ต้อง​ผ่านพ้นไป​ได้​ ​เคยคิด​ใน​ใจพูด​กับ​โรคมะ​เร็งว่าอยาก​อยู่​กับ​ฉัน​ใช่​ไหม​ ​อยาก​อยู่​ก็​อยู่​ไป​ ​เรา​แบ่งๆ​กัน​อยู่​ ​แต่อย่า​เบียดเบียน​กัน​ ​แบ่งที่​ให้​ฉันบ้าง​แล้ว​กัน​ ​สุดท้ายก็​อยู่​ได้​มา​ถึง​ปัจจุบัน​”




#120374 คนสำ​คัญที่สุด​ใน​ชีวิต​... ​คือใคร

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 26 August 2008 - 05:08 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

จอห์น​ ​ดอนเน​ ​นักเขียนชาว​อังกฤษกล่าว​ไว้​ว่า​ “​ไม่​มีมนุษย์หน้า​ไหน​ ​อยู่​ได้​อย่างโดดเดี่ยว​”

.. ​ชีวิตคุณ​จะ​ได้​สักกี่น้ำ​ ​ขึ้น​อยู่​กับ​ความ​เอ็นดูที่คุณมีต่อ​ผู้​อ่อนเยาว์​ ขึ้น​กับ​น้ำ​จิตที่​เผื่อแผ่​แด่​ผู้​สูงอายุ​

ขึ้น​กับ​ความ​เห็นอกเห็นใจต่อ​ผู้​ทุกข์ร้อน​

รวม​ถึง​ใจเสมอภาคระหว่างบุคคลที่อ่อนแอ​และ​แข็งแรง​

เพราะ​ชีวิต​ใน​วันหนึ่งของคุณ​

จัก​ต้อง​กลาย​เป็น​บุคคลเหล่านี้​ทั้ง​หมด​ ... ​จอร์จ​ ​วอชิงตัน​ ​คาร์​เวอร์​

ใน​อาชีพการทำ​งานที่​เกี่ยวข้อง​กับ​ผู้​คน​ ​ผม​ได้​มี​โอกาสสังเกตเห็นบุคคลสองประ​เภท​ ​กลุ่มแรกประสบ​ความ​สำ​เร็จอย่างยิ่งยวด​ใน​อาชีพการงาน​ ​ชีวิต​ส่วน​ตัว​ ​และ​สัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง​ ​

กลุ่มที่สอง​ ​มีปัญหาอย่างต่อ​เนื่อง​ ​เริ่ม​จาก​สุขภาพร่างกายที่​เจ็บป่วยเกินธรรมดา​ ​การทำ​งาน​และ​สัมพันธภาพที่มีปัญหาอย่างต่อ​เนื่อง​ ​ทั้ง​ที่มี​ความ​สามารถ​ใน​การทำ​งาน​และ​มีประสบการณ์มานานชนิดหาตัวจับยาก​ ​แต่ยิ่งทำ​ยิ่ง​ไม่​ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ ​

สา​เหตุสำ​คัญ​ ​คือ​ ​ทัศนคติ​และ​มุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อตนเอง​และ​โลกนี้​ ​เท่า​นั้น​เองจริงๆ​!

บุคคลที่​ไม่​สามารถ​ให้​ความ​รัก​ ​ความ​เมตตา​ ​ให้​ความ​ชื่นชม​ใน​ตนเอง​ได้​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ลมหายใจ​เข้า​ออก​ ​อวัยวะน้อย​ใหญ่​ ​รวม​ทั้ง​เซลล์​ทั้ง​หลาย​ใน​ร่างกาย​ ​บุคคล​นั้น​จะ​ไม่​สามารถ​หยิบยื่น​ความ​รัก​ ​และ​ให้​ความ​ชื่นชมต่อคนรอบข้าง​ได้​เป็น​อันขาด​ ​การเริ่มต้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี​ ​คือ​ ​การรู้จักรัก​และ​เมตตาตนเอง​ ​รู้จัก​ใส่​ใจ​ ​ทะนุถนอม​และ​ดู​แลอวัยวะต่างๆ​ ​ของร่างกาย​และ​จิตใจ​ด้วย​ความ​อ่อนโยน​ ​ละมุนละม่อม​

ให้​หมั่นขอบคุณลมหายใจของเรา​ ​ทั้ง​หายใจ​เข้า​ ​หายใจออก​ ​ให้​รู้สึกขอบคุณที่​เรา​ยัง​มีลมหายใจ​ ​เป็น​ลมหายใจที่ทำ​ให้​เรา​ยัง​คงสภาพ​เป็น​มนุษย์​ ​สามารถ​ประกอบกรรมดี​ ​ทั้ง​กาย​ ​วาจา​ ​ใจ​ ​ได้​ต่อไป​

จาก​มุมมองที่รัก​ ​เมตตา​ ​และ​ชื่นชมตัวเอง​ได้​อย่างจริงใจ​แล้ว​ ​เรา​จึง​สามารถ​รัก​ ​เมตตา​ ​และ​ชื่นชมคนรอบข้าง​ได้​อย่างจริงใจ​ ​จุดนี้​จะ​ทำ​ให้​เรา​เริ่มประสบ​ความ​

สำ​เร็จมากขึ้น​ใน​ทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวเดินไป​

การ​ใช้​ชีวิตของคนเราจำ​เป็น​ต้อง​มีปฏิสัมพันธ์​กับ​คนมากมาย​ ​ทั้ง​โดย​ตั้งใจ​และ​ไม่​ตั้งใจ​ ​แต่​เมื่อ​ใด​ที่​เรา​ได้​พบปะ​เจอะ​เจอ​ผู้​คน​ ​คนเหล่า​นั้น​ผู้​ซึ่ง​อยู่​เฉพาะหน้า​เรา​ ​ใน​รัศมี​ 1-5 ​เมตร​ ​คนเหล่า​นั้น​คือ​ ​บุคคลที่สำ​คัญที่สุด​ใน​ชีวิต​ ​ไม่​ว่า​เขา​จะ​เป็น​คนกวาดถนน​ ​พนักงานทำ​ความ​สะอาด​ ​เด็กปั๊ม​ ​เพื่อนร่วมงาน​ ​เจ้านาย​ ​ลูกน้อง​ ​ตำ​รวจจราจร​ ​หรือ​ใครก็ตาม​

เรา​เคย​ได้​ส่งรอยยิ้ม​ ​ได้​ทักทาย​ ​ได้​ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ​กับ​คนเหล่านี้ที่​ได้​ผ่านพานพบ​ใน​ชีวิตประจำ​วันบ้างรึ​เปล่า​ ​ลองทำ​ดูสิครับ​ ​แล้ว​จะ​พบว่า​ ​ชีวิตนี้ช่างมี​ความ​หมายมากมายกว่าที่​เรา​เคยรู้จัก​

ธี​โอดอร์​ ​รูสต์​เวลต์​ ​อดีตประธานาธิบดี​แห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า​ “​ส่วน​ผสมสำ​คัญเพียงหนึ่งเดียว​ใน​สูตรแห่ง​ความ​สำ​เร็จของชีวิต​ ​คือ​ ​การรู้ว่า​จะ​ทำ​ตัวกลมกลืน​กับ​

ผู้​คน​ได้​อย่างไร​” ​ตรงนี้​เป็น​มุมมองของฝรั่งที่ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ใน​การพัฒนาทักษะ​เรื่องคน​

แต่มุมมองทางพระพุทธศาสนามี​ความ​ละ​เอียดลึกซึ้งมากกว่าหลาย​เท่า​ ​พระพุทธองค์ทรงสอน​ให้​เรามี​ความ​เมตตา​โดย​เสมอภาค​กับ​สรรพสัตว์​ทั้ง​หลาย​ ​โดย​ไม่​เลือกที่รักมักที่ชัง​ ​ไม่​แบ่งแยก​ ​ไม่​มีอคติ​ ​ไม่​มีญาติพี่น้องพวกพ้อง​ ​เพราะ​เรามัก​จะ​ให้​ความ​สำ​คัญ​และ​ความ​เมตตา​กับ​คนที่​เป็น​ “​พ่อแม่พี่น้อง​” ​เรา​ “​เพื่อน​” ​เรา​ ​เมื่อ​ใด​ที่มีคำ​ว่า​ “​เรา​” ​เข้า​มากำ​กับ​ ​ความ​เมตตา​จะ​มากขึ้นมา​โดย​ธรรมชาติ​ ​เท่า​กับ​การปล่อย​ให้​ใจติดสินบน​ ​ไม่​เป็น​ธรรม​ ​ไม่​เสมอภาค​ ​ไม่​เท่า​เทียม​

ลองฝึกดูสิครับ​ ​ฝึก​ให้​ใจมี​ความ​เป็น​ธรรม​ ​ให้​ความ​สำ​คัญ​และ​ความ​เมตตาต่อบุคคลที่​อยู่​ข้างหน้า​เรา​ใน​ขณะนี้​ ​ให้​ตระหนักรู้ว่า​ ​เขา​คือบุคคลที่สำ​คัญที่สุด​ใน​ชีวิตเรา​ ​หากทำ​ได้​เช่นนี้​ ​นอก​จาก​เรา​จะ​ได้​เดินตามรอยบาทพระศาสดา​แล้ว​ ​เรา​ยัง​จะ​เป็น​ผู้​ที่มี​ความ​สุข​ ​ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ทั้ง​ใน​ชีวิต​ส่วน​ตัว​และ​ที่ทำ​งาน​

เลิกปล่อยใจ​ให้​ติดสินบน​ ​ตก​จาก​ทำ​นองคลองธรรม​ ​โดย​การเลือกที่รักมักที่ชัง​กัน​ได้​แล้ว​ครับ​!





รายงาน​โดย​ :​เรื่อง​ : ​ดนัย​ ​จันทร์​เจ้าฉาย​:




#120221 โสดสนุก​ ​สุข​ถึง​บั้นปลาย

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 25 August 2008 - 05:47 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ใครที่​ใช้​ชีวิต​ “​โสด​” ​สนุกเพลิดเพลินจนรู้ตัวอีกทีอายุก็ขึ้นต้น​ด้วย​เลข​ 3 เล่นเอาตกใจเหมือน​กัน​นะนั่น​ ​แต่ก็​แค่ประ​เดี๋ยว​แล้ว​กลับมาสราญใจ​กับ​การ​ใช้​ชีวิตโสด​กัน​ต่อไป​ ​จนเลข​ 4 ​กำ​ลัง​จะ​ทักทายนั่นล่ะ​ ​ถึง​สะดุ้งโหยง​กัน​อีกครั้ง​

แต่​แหม​! ​การ​ใช้​ชีวิต​เป็น​โสด​ ​ใช่​ว่า​จะ​เป็น​เรื่องน่ากลัว​ ​หรือ​เสียหายประการ​ใด​ ​ตรง​กัน​ข้าม​ ​หากรู้จัก​และ​เข้า​ใจ​กับ​ชีวิต​ ​มีการจัดการบริหารชีวิตที่ดี​ ​บางที​ “​คานทองนิ​เวศน์​” ​ก็​ไม่​ใช่​เคหสถานที่น่ากลัวอีกต่อไป​ ​ใน​มุมกลับอาจ​จะ​น่าพิสมัยของบรรดาคนโสด​ทั้ง​หลายเสีย​ด้วย​ซ้ำ​ ​ถึง​ขั้น​จะ​เปลี่ยน​เป็น​คานเพชร​ ​คานแพลทินัม​กัน​เลยเชียว​

** ​รัก​-​ดู​แลตัวเอง​ ​และ​ต้อง​มี​ความ​สุข​

เป็น​เจ้าของบ้านสาวโสดมา​ได้​ 2 ​เดือนกว่าๆ​ ​สำ​หรับ​ เสาวรส​ ​ศรีชาติ ​หรือ​ที่รู้จัก​กัน​ดี​ใน​ฐานะนักร้องเสียงดี​ โอ๋​ ​ลำ​ดวน ​เธอประกาศตัว​เป็น​โสดสนิทพร้อม​กับ​การเปิดตัว​ http://www.baansaosoad.com ​ล่าสุดมีลูกบ้านสาวโสดประมาณ​ 3,000 ​คน​ ​และ​เพื่อนบ้านที่​ไม่​จำ​กัดสถานภาพอีกประมาณ​ 4,000 ​คน​

“​ตอนนี้​โสดสนิท​ ​ไหนๆ​ ​เป็น​แล้ว​ ​เปลี่ยนวิกฤต​เป็น​โอกาส​ ​ทำ​ไม​ต้อง​เสียใจ​กับ​มัน​ ​แทนที่​จะ​รู้สึกอย่าง​นั้น​ก็ลุกขึ้นมาทำ​งาน​ ​เปิดเว็บไซต์ดีกว่า​ ​ใน​ความ​รู้สึกเรา​ถ้า​เลือก​ได้​ ​ไม่​โสดก็​ได้​นะ​ ​แต่​ถ้า​ต้อง​โสดไปตลอดก็​ไม่​เป็น​ไร​ ​เพราะ​เข้า​ใจตัวเองดีว่า​เวลาคบใครเราค่อนข้างซี​เรียส​ ​คบเล่นๆ​ ​ทำ​ไม่​เป็น​ ​กว่า​จะ​เลือกใครสักคนเรื่องเยอะพอสมควร​

สำ​หรับโอ๋การ​จะ​มีคู่คิด​ต้อง​มา​กับ​ความ​ไม่​ยุ่งยาก​ไม่​เดือดร้อน​ ​คู่คิดบางคน​ไม่​ตรง​กับ​เรา​ ​ขัดแย้ง​กัน​ ​ต้อง​อยู่​กัน​แบบทนๆ​ ​โอ๋ก็​ไม่​เอา​ ​เพราะ​เราดู​แลตัวเอง​ได้​ ​มีงานที่​ต้อง​รับผิดชอบหลายอย่าง​ ​จะ​ต้อง​มา​เจียดเวลา​ให้​ใครอีก​ ​ถ้า​เขา​ไม่​คู่ควรก็​ไม่​อยากเสียเวลา​ให้​”

ด้วย​หน้าที่การงาน​ ​ยิ่งตอนนี้มีร้องเพลงกลางคืนทุกวันจันทร์​-​เสาร์​ ​ทำ​ให้​ได้​พบ​ผู้​คนมากหน้าหลายตาที่​เทียวมา​แจกขนมจีบ​ ​แต่​เธอก็​เซย์​โนไปทุกราย​

“​ถึง​เรา​จะ​บอกไปว่า​ ​อยาก​อยู่​เป็น​โสดไปตลอดชีวิต​ ​แต่​ถ้า​มี​ใคร​เข้า​มา​แล้ว​ถูกใจ​ ​โอ๋ว่า​ผู้​หญิง​ส่วน​ใหญ่​ก็​ต้อง​ใจอ่อน​ ​ผู้​หญิง​ถ้า​เลือก​ได้​ก็คง​ไม่​มี​ใครอยาก​อยู่​เป็น​โสดหรอก​ ​แต่​ถ้า​คนที่​เข้า​มา​ไม่​ดีพอ​ ​การ​อยู่​เป็น​โสดน่า​จะ​ดีกว่า​ ​คนที่​จะ​เข้า​มา​ต้อง​เพอร์​เฟกต์​ ​คุ้มค่า​กับ

​ความ​รักของเราหน่อย​ ​เรา​ต้อง​เลือกสิ่งดีๆ​ ​ให้​ตัวเอง​ ​ไม่​จำ​เป็น​ต้อง​ง้อ​ผู้​ชาย​ ​แต่​ไม่​ได้​หมาย​ถึง​เรา​เกลียด​ผู้​ชายนะ​ ​สมัยนี้​ผู้​หญิงทำ​งานหา​เงิน​ ​ดู​แลตัวเอง​ ​ไม่​ต้อง​เป็น​ช้างเท้าหลัง​ ​พอสังคมเรา​เปลี่ยนไป​ ​วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไป​ ​คนหันมารักตัวเองมากขึ้น​ ​ตอนนี้​ผู้​หญิงลุกขึ้นมาดู​แลตัวเอง​ได้​ ​มีสิทธิ​เลือกมากขึ้น​”

ใครเคยพบตัวจริงเสียงจริงของเสาวรส​ ​น่า​จะ​ลง​ความ​เห็นว่า​ ​เธอ​เป็น​สาวสวยรวยเสน่ห์​ ​ยิ่ง​ไม่​น่า​เชื่อว่า​ ​เธอโสดสนิท​และ​มี​แววว่าอยากโสดไปอีกนาน​ ​สาวโสด​ยัง​ฝาก​ถึง​เพื่อนๆ​ ​ที่รักษาสถานภาพเดียว​กัน​ว่า​

“​ถ้า​เรา​จะ​ใช้​ชีวิตโสดควรมี​ความ​สุข​กับ​มันที่สุด​ ​อย่างน้อยถือเสียว่า​เรา​ได้​มี​เวลาทำ​อะ​ไร​ให้​กับ​ตัวเอง​ได้​มากที่สุด​ ​ดู​แลพ่อแม่​ ​อย่างโอ๋การทำ​บ้านสาวโสดขึ้นมาก็​เป็น​การคลายเหงา​ได้​ ​เรา​ได้​พูดคุย​กับ​เพื่อนๆ​ ​ใน​กลุ่มก็​โสด​กัน​ทั้ง​นั้น​อายุมากกว่า​เราอีก​ ​โอ๋มีกิจกรรมทำ​มากมายแทบ​ไม่​มี​เวลา​เหงา​ด้วย​ซ้ำ​

ถ้า​เรานับถือศาสนาพุทธ​ ​เรื่องธรรมะก็​ช่วย​ได้​นะ​ ​ช่วย​ให้​เรามี​ความ​สุขอย่างแท้จริง​ ​ไม่​ยึดติด​กับ​อะ​ไร​ ​วันนี้​เรามี​แฟนวันต่อไป​ไม่​มีก็​ได้​ ​ไม่​ว่า​จะ​ด้วย​เหตุผล​ใด​ ​หาก​ต้อง​ใช้​ชีวิต​ใน​แบบที่​เป็น​โสด​ ​ผู้​หญิงก็​จะ​ต้อง​เรียนรู้การ​เป็น​โสดของตัวเอง​ให้​ได้​ ​ควรที่​จะ​มี​ความ​สุข​ ​มี​เวลา​ให้​กับ​ตัวเอง​ ​ใน​แต่ละวัน​สามารถ​ที่​จะ​นอน​ได้​มากกว่า​ 8-10 ​ชั่วโมง​ ​ตรงนี้คือโอกาสที่​จะ​ทำ​ได้​เพื่อตัวเอง​”

** ​ถามตัวเองว่า​...​อยู่​คนเดียว​ได้​ (จริง) ​ไหม

ใครเลย​จะ​คิดว่า​ผู้​ชายมาดดี​ ​หน้าที่การงานก็​เด่น​ ​แถม​ยัง​ร่ำ​รวยอารมณ์ขัน​ ​และ​เพิ่งอายุ​ 37 ​ปี​เอง​ ​อย่าง​ วิญญลักษณ์​ ​โสรัต​ กรรมการ​ผู้​จัดการ​ ​บริษัท​ ​อาร์​เอส​ ​อินสโตร์​ ​มี​เดีย​ ​จะ​มองอนาคต​ไกล​ถึง​ขนาด​จะ​ลงขัน​กับ​เพื่อนๆ​ ​ทำ​ธุรกิจเกี่ยว​กับ​ ​รี​ไทร์​ ​แอท​ ​โฮม​ ​เจาะกลุ่มเป้าหมายคน​ใช้​ชีวิตโสดหลังเกษียณ​

“​ผมคิดว่าบั้นปลายชีวิตก็คง​เข้า​ไป​อยู่​ใน​ที่มีคนกลุ่มเดียว​กัน​ถ้า​เรา​ยัง​เป็น​โสด​ ​อนาคต​เป็น​ไป​ได้​อยากทำ​ธุรกิจเกี่ยว​กับ​ตรงนี้​ ​เป็น​คอมเพล็กซ์​ ​คิด​กับ​เพื่อนๆ​ ​ที่มีวิชันเหมือน​กัน​ ​ทำ​เอง​แล้ว​เข้า​ไป​อยู่​ด้วย​ ​มีกิจกรรมสำ​หรับคนกลุ่มนี้​ ​ปัจจุบันมีหลายๆ​ ​คนเทรนด์​เดียว​กับ​เรา​ ​มองการ​ใช้​ชีวิตเหมือน​กัน​กับ​เรา​ ​คน​ไม่​แต่งงานเยอะมาก​ ​สังคมต่างคนต่าง​อยู่​มากขึ้น​ ​ซึ่ง​คนกลุ่มนี้​จะ​โหยหาสิ่งเหล่านี้​ ​เพราะ​ใน​อนาคตเรา​อยู่​คนเดียว​เป็น​อะ​ไรไป​ไม่​มี​ใครรู้​”

วิญญลักษณ์​ ​ยัง​คิด​จะ​ครองตัว​อยู่​เป็น​โสด​ ​เล่นเอาสาวๆ​ ​อกเดาะ​กัน​ระนาว​ “​ผม​ยัง​สนุก​กับ​การทำ​งาน​ ​มี​ใคร​เข้า​มา​ไม่​มี​เวลา​ให้​เขา​ ​ก็คง​จะ​เกิดปัญหา​ ​ถ้า​ไม่​มี​ใคร​เข้า​มา​ใน​ชีวิตเลยผมก็​ไม่​กังวล​ ​เป็น​ความ​เคยชินที่​เรา​อยู่​คนเดียวมานาน​แล้ว​ ​ใน​สังคมเพื่อนๆ​ ​ที่คบ​กัน​มาตั้งแต่​เด็กๆ​ ​ยัง​เกาะกลุ่ม​กัน​อยู่​เป็น​โสดก็​เยอะ​ ​แต่ก็​ไม่​ได้​ตั้งกฎว่า​เรา​ต้อง​โสด​ ​มัน​ไม่​พร้อม​ด้วย​เหตุผลหลายๆ​ ​อย่าง​ ​คิดว่า​อยู่​คนเดียวน่า​จะ​เหมาะ​ใน​ปัจจุบัน​

จริงๆ​ ​ผมมีมุมมองค่อนข้างแปลก​ใน​เรื่องครอบครัว​ ​เพราะ​ผมโตมา​กับ​เพื่อนตลอด​ ​เรียนจบ​ ​ทำ​งาน​ ​แต่งงาน​ ​มีลูก​ ​ไม่​มี​ความ​คิดนี้​อยู่​ใน​หัวเลย​ ​มี​แต่ทำ​วันนี้​ให้​ดีที่สุด​ ​มีคู่​หรือ​ไม่​มี​ไม่​ใช่​ประ​เด็น​ ​ไม่​มีอิ​เมจิน​ถึง​ตรง​นั้น​ ​ไม่​ใช่​แพตเทิร์นของชีวิตเรา​ ​พ่อแม่​ไม่​คาดหวัง​ ​แล้ว​แต่​เรา​ให้​คิดเอง​ ​แต่ลึกๆ​ ​เขา​คงแอบคาดหวัง​ให้​เรา​เป็น​ฝั่ง​เป็น​ฝา​

ที่ผ่านมาทุกอย่างคิดเองทำ​เองมาตลอด​ ​ซึ่ง​ผมอาจคิดผิดก็​ได้​ ​ปัจจุบันผม​อยู่​ได้​ด้วย​ตัวเอง​ ​กินข้าว​ ​ดูหนัง​ ​ฟังเพลง​ ​ท่องเที่ยว​ ​สนุก​กับ​งาน​และ​กับ​ชีวิต​ ​พอ​ไม่​มีภาระ​เราอยากทำ​อะ​ไรก็ทำ​ ​มันเคยชิน​กับ​ตรงนี้​ ​แล้ว​มี​ความ​สุข​ ​แต่​ถ้า​มีคู่​เข้า​มาผมถือว่า​นั้น​เป็น​โบนัส​”

การ​ใช้​ชีวิตโสดสนุกกว่าการมีคู่ครอง​เป็น​ไหนๆ​ ​ทว่าวิญญลักษณ์ก็​ไม่​ได้​ประมาทต่อการ​ใช้​ชีวิต​ ​เพราะ​ตระหนักดีว่าคนเรา​ไม่​ว่า​จะ​อยู่​ใน​สถานภาพไหนก็มี​ความ​เสี่ยงเหมือน​กัน​ ​ดัง​นั้น​ควรมีการบริหารจัดการชีวิตที่ดี​

“​ผมว่า​เป็น​ประ​เด็นสำ​คัญมาก​ ​คนแต่งงานมีครอบครัวมักคิดว่า​แก่มาลูกหลาน​จะ​เลี้ยง​ ​เราสร้าง​ความ​คาดหวัง​ ​ถ้า​เขา​ไม่​เลี้ยงเราก็ผิดหวัง​ ​ไม่​มีการวางแผน​ ​ผมคิดว่า​ใน​ชีวิตเรา​ไม่​อยากพึ่งใคร​ ​เราสร้างฐานะ​ให้​เรามั่นคง​ ​ถ้า​มีครอบครัวเรื่องเงินเรา​ต้อง​มี​เยอะกว่า​ ​ส่วน​คนโสด​ใน​วันนี้​เราอยาก​ใช้​ไปหมดก็​เรื่องของเรา​ ​แต่ว่า​โดย​หลักๆ​ ​ต้อง​มีการวางแผน​ ​อย่างอายุ​ 20-30 ​ก็​ใช้​ได้​ ​แต่​ถ้า​ใกล้​ 40 ​แล้ว​ ​ไปเสี่ยงมากก็​ไม่​ได้​ ​เรา​อยู่​คนเดียวก็จริงแต่​ไม่​ใช่​ต้อง​เผาพลาญทุอย่าง​ ​ต้อง​มีการวางแผน​ไว้​พอสมควร​ ​เวลา​เรา​เจ็บไข้​ใคร​ไม่​มี​ใคร​ต้อง​มี​เงินสำ​รอง​”

โสดมีข้อดีอีกตั้งหลายอย่าง​ ​หากเรา​จะ​เลือกมอง​ใน​มุมบวก​ “​คน​จะ​อยู่​เป็น​โสด​ต้อง​ถามตัวเองก่อนว่า​อยู่​ได้​ไหม​ ​เพราะ​เพื่อน​จะ​อยู่​กับ​เราตลอด​ไม่​ได้​ ​หลักๆ​ ​ต้อง​อยู่​ได้​ด้วย​ตัวเอง​ ​รักตัวเอง​ ​ใช้​ชีวิต​ได้​ ​มี​ความ​สุข​ ​คนโสด​ต้อง​หาอะ​ไรทำ​ ​แรกๆ​ ​เราอาจ​จะ​มี​เพื่อนฝูงเฮไหนเฮ​กัน​ ​แต่สักระยะ​เรา​จะ​สนใจ​ใน​กิจกรรมที่​เราอยากทำ​มากกว่า​ ​ซึ่ง​ผมเองทุกวันนี้รู้สึกว่ามี​ความ​สุข​ ​สนุก​กับ​งาน​ ​ผมก็​ไม่​รู้​เหมือน​กัน​ว่าคิดถูก​หรือ​ผิด​ ​วันหนึ่งอาจเสียดายที่​ไม่​หาคู่ครอง​หรือ​ไม่​ก็​ไม่​รู้​ ​แต่​ ​ณ​ ​วันนี้ผมมี​ความ​สุข​”

** ​เศรษฐกิจ​-​สังคมบีบ​ให้​อยู่​ได้​ด้วย​ตัวเอง ศ​.​ดร​.​ปรา​โมทย์​ ​ประสาทกุล ​อาจารย์ประจำ​สถาบันวิจัยประชากร​และ​สังคม​ ​มหาวิทยาลัยมหิดล​ ​เปิดเผยตัวเลขของคนที่ครองตัว​เป็น​โสดเพิ่มขึ้น​จาก​เมื่อ​ 40 ​ปีก่อน​ ​จาก​ผู้​หญิงกลุ่มคนอายุ​ 15-54 ​ปี​ ​เป็น​โสด​ 21-22 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ​ ​จนปี​ 2551 ​กลุ่มคน​ใน​วัยเดียว​กัน​อยู่​เป็น​โสด​ 35 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​และ​ใน​อนาคตมี​แนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่​ไม่​มาก​ ​เพราะ​จำ​นวนนี้น่า​จะ​ถึง​จุดอิ่มตัว​แล้ว​ ​ส่วน​ผู้​ชาย​ใน​วัยเดียว​กัน​ ​เมื่อปี​ 2503 ​เป็น​โสด​อยู่​ 30 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​ปี​ 2543 ​เพิ่ม​เป็น​ 36-37 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเกือบ​ 40 ​เปอร์​เซ็นต์​

ศ​.​ดร​.​ปรา​โมทย์​ ​ยัง​บอกอีกว่า​ ​ปัจจัยที่ทำ​ให้​ผู้​หญิงมี​แนวโน้ม​เป็น​โสดเพิ่มขึ้น​ ​เพราะ​สถานภาพสตรีสูงขึ้น​ ​มีการศึกษาสูงขึ้น​ ​โดย​วัด​จาก​ตัวเลข​ผู้​หญิง​ใน​วัย​ 20-24 ​ปี​ ​ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา​ ​เมื่อปี​ 2503 ​มี​อยู่​แค่​ 2-3 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​ปี​ 2523 ​ขึ้นมา​ถึง​ 7 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​และ​ปี​ 2543 ​มีมาก​ถึง​ 20 ​เปอร์​เซ็นต์​

“​อีกปัจจัยที่คน​เป็น​โสด​ทั้ง​หญิง​และ​ชาย​ ​คือ​ ​การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ​ ​การครองชีพ​ ​ทำ​ให้​ทุกคนมุ่งสนใจการหาราย​ได้​ ​เพื่อยกฐานะทางเศรษฐกิจตัวเอง​ให้​สูงขึ้น​ ​ทำ​ให้​ความ​สนใจที่​จะ​มีคู่​แต่งงานลดน้อยลง​ ​ทั้ง​ผู้​ชาย​ผู้​หญิงเอา​แต่ทำ​งาน​ ​ไม่​มี​เวลาคิดเรื่องสร้างครอบครัว​

ทัศนคติต่อการครองคู่ลดน้อยลง​ ​สมัยก่อนคนอยากแต่งงานมีครอบครัว​ ​แต่สมัยนี้อาจ​จะ​มองว่า​ไม่​สำ​คัญ​ ​ทำ​งานดีกว่า​ ​การ​เป็น​อิสระ​อยู่​ด้วย​ตัวของตัวเองน่า​จะ​ดีกว่า​ ​น่า​จะ​สบายกว่า​ ​ซึ่ง​แนวโน้มตรงนี้​ใน​อนาคต​ผู้​สูงอายุ​เป็น​ภาระของตัวเอง​ ​ของครอบครัว​ ​ของชุมชน​จะ​มีมากขึ้น​ ​ดัง​นั้น​คนที่คิด​จะ​อยู่​เป็น​โสด​จะ​ต้อง​มีระบบที่​จะ​เก็บออม​ ​มีหลักประ​กัน​ของตัวเอง​ไว้​”

*** ​ออมเงิน​ไว้​ใช้​ยาม​ (แก่) ​ลำ​พัง

นวพร​ ​เรืองสกุล ​ผู้​เชี่ยวชาญด้านการเงิน​ ​และ​เจ้าของหนังสือ​ ​ออมก่อนรวยกว่า​ ​ได้​ให้​ข้อคิดเรื่องการ​ใช้​ชีวิต​และ​เงินของคน​ใน​วัย​ 35 ​ปีขึ้นไปว่า​ “​ไม่​ว่า​จะ​แต่งงาน​หรือ​ไม่​แต่งงานก็​ต้อง​คิดเรื่องพึ่งตัวเอง​ ​แต่งงาน​แล้ว​แน่​ใจ​หรือ​ว่า​จะ​อยู่​กัน​ไปตลอดรอดฝั่ง​ ​เขา​จะ​ไม่​ล้มหายตาย​จาก​ไปก่อน​

สถิติ​ทั่ว​โลกมีว่า​ ​ผู้​หญิงที่​แต่งงาน​แล้ว​และ​ต้อง​ดู​แลตัวเอง​ ​มัก​จะ​อยู่​ใน​ฐานะทางการเงินที่ยากลำ​บากกว่าคนที่​ไม่​ได้​แต่ง​ ​ยิ่งสังคมตะวันตกคนที่​แต่งงานไป​แล้ว​มักเลิกทำ​งานมาดู​แลบ้าน​ ​โอกาสที่​จะ​พัฒนาตัวเองทำ​ให้​ก้าวหน้าหยุดชะงักไป​ ​ดัง​นั้น​เป็น​ผู้​หญิง​ไม่​ว่า​จะ​อยู่​วัย​ใด​ ​แต่งงาน​หรือ​ไม่​ ​ต้อง​นึกว่า​เรา​ต้อง​พึ่งตัวเอง​ต้อง​รู้จักวางแผนเอา​ไว้​ ​ระยะ​เวลาที่​เราทำ​งานสั้นกว่าที่​เรา​จะ​ต้อง​ใช้​เงิน​ ​เรา​จะ​เก็บเงิน​ไว้​ใช้​ใน​ช่วง​นั้น​อย่างไร​”

การ​ใช้​ชีวิต​เป็น​โสด​ไม่​ต้อง​มีภาระ​ใดๆ​ ​มาก​เท่า​กับ​คนที่​แต่งงาน​แล้ว​ ​แต่​ใน​บั้นปลายชีวิต​ต้อง​ระมัดระวังเหมือน​กัน​ “​โสดเบื้องต้นอาจ​จะ​สะดวกสบาย​ ​ไม่​มีภาระดู​แลลูก​ ​แต่​ต้อง​เก็บเงินเพื่อตัวเอง​ ​เป้าหมายหลัก​ ​คือ​ ​ไม่​เป็น​ภาระ​กับ​ใคร​ ​ต้อง​เรียนรู้​เรื่องลงทุน​ ​สิ่งเหล่านี้​เรียนรู้​ได้​ไม่​ยาก​ ​ธนาคารเองก็มีบริการแนะนำ​เรื่องพวกนี้​ ​ลองศึกษาดูระหว่างที่​ยัง​มี​แรงทำ​งาน​ ​มองโครงการต่างๆ​ ​สำ​หรับการเกษียณอายุ​ ​เช่น​ ​กองทุนเลี้ยงชีพ​ ​เงินบำ​นาญ​ ​ประ​กัน​ชีวิต​ ​การซื้อก็​เป็น​การลงทุน​โดย​ที่​เรา​ไม่​รู้ตัว​ ​แต่การซื้อ​ต้อง​เป็น​การซื้อของที่​ให้​ราย​ได้​ใน​อนาคต​ได้​

“​การออม​ไม่​มีสูตรสำ​เร็จควร​จะ​เก็บอย่างไร​ ​สไตล์ของแต่ละคน​ไม่​เหมือน​กัน​ ​อนาคต​ต้อง​การอะ​ไร​ ​ช่วงอายุ​ 30 ​ขึ้นไป​ต้อง​ใช้​เงินเพื่อการ​ใด​บ้าง​ ​แต่ทุกคน​ต้อง​มีสูตรสำ​เร็จเหมือน​กัน​คือ​ ​ตอนที่หา​เงิน​ไม่​ได้​แล้ว​ก็​ยัง​ต้อง​ใช้​เงิน​ ​ดัง​นั้น​ไม่​ว่า​เมื่อไหร่ก็ตามคุณ​ต้อง​เก็บเงิน​

ที่สำ​คัญอย่าก่อหนี้​ ​เพราะ​ไม่​อย่าง​นั้น​บั้นปลายแทนที่​จะ​สบาย​ได้​ใช้​เงินที่​เก็บออมมา​ ​กลาย​เป็น​ว่า​ต้อง​หา​เงิน​ใช้​หนี้ตอนแก่​ ​การจัดการเงิน​เป็น​เรื่องสำ​คัญมาก​”

นอก​จาก​การออมเงิน​ไว้​ใช้​ยามเกษียณ​ ​การ​ช่วย​เหลือ​ผู้​อื่น​ก็​เป็น​การออมเพื่อนฝูงอีกแบบหนึ่ง​


“​คนโสดคิดว่า​ ​เราสบาย​ไม่​มีภาระ​ ​บางคน​ไม่​คาดหวังอะ​ไร​ ​แต่​เราควรมี​เพื่อน​ ​เอื้อเฟื้อดู​แลใครต่อใคร​ไว้​บ้าง​ ​พอบั้นปลาย​จะ​ได้​ดู​แล​กัน​เอง​ได้​ ​ถ้า​เรา​เอื้อเฟื้อเราก็​จะ​มีสังคมที่อบอุ่น​ ​เพราะ​คนเรา​เกิดมา​ต้อง​มีสังคม​ ​ไม่​ใช่​มุ่งทำ​งานจนลืม​ส่วน​หนึ่งที่สำ​คัญ​ใน​ชีวิตไป​

คนที่คิดว่า​จะ​อยู่​ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต​ ​ลองไปทำ​งานอาสา​กับ​ผู้​สูงอายุสัก​ 1 ​เดือน​ ​จะ​ทำ​ให้​เรา​เข้า​ใจ​และ​รู้ว่า​เรา​ต้อง​เตรียมตัว​ยัง​ไงก่อน​ถึง​อนาคต​ ​และ​สุขภาพเราก็​ต้อง​ออมเหมือน​กัน​ ​ถ้า​เรา​ยัง​ใช้​ชีวิตหักโหม​ ​พอแก่มาป่วย​ต้อง​ใช้​เงินของเรานี่ล่ะรักษา​ ​ต้อง​ดู​แลสุขภาพ​ไม่​อย่าง​นั้น​แก่มา​ต้อง​ซ่อมบำ​รุงมันอย่างเดียว​”

การ​จะ​ “​เป็น​โสด​” ​ไม่​ใช่​เรื่องยาก​ ​แต่การ​จะ​ใช้​ “​ชีวิตโสด​” ​ให้​มี​ความ​สุข​ ​ไม่​เดือดร้อน​ผู้​อื่น​นั่นต่างหาก​ ​คือ​ “​ศิลปะของการ​ใช้​ชีวิต​ (โสด)” ​อย่างแท้จริง​

//////////////




#117485 สังเกต​, ​สังเกต​ ​และ​สังเกต​ 'Observe, observe and observe'

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 03 August 2008 - 06:02 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

คอลัมน์​ ​จับจิต​ด้วย​ใจ​ ​โดย​ ​นพ​.​วิธาน​ ​ฐานะวุฑฒ์​ [email protected]

สมัยที่ผมเรียน​อยู่​ชั้นประถมศึกษา​ ​ผม​จะ​ชอบวิชาวิทยาศาสตร์มาก​เป็น​พิ​เศษ​ ​ส่วน​หนึ่ง​เป็น​เพราะ​คุณครูประกอบ​ ​นวลละออง​ ​ซึ่ง​ท่าน​เป็น​ครูวิชาวิทยาศาสตร์ของผม​ใน​สมัย​นั้น​ชอบเล่า​เรื่อง​ ​คุณครูประกอบ​จะ​เล่า​เรื่องของนักวิทยาศาสตร์ดังๆ​ ​หลายท่าน​ ​ที่ผมจำ​ได้​อย่างแม่นยำ​ที่สุดก็คือคุณครู​เล่า​เรื่องของโทมัส​ ​อัลวา​ ​เอดิสัน​ ​การคิด​ค้น​การประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ​ ​ของ​เขา​กว่า​จะ​ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าสำ​เร็จ​ ​เอดิสันก็​ต้อง​ทดลองอะ​ไรต่างๆ​ ​มากมายแสนสาหัส

ฟังดู​เหมือนแสนสาหัส​ ​แต่​ถ้า​เอดิสันรู้สึกว่า​ "สาหัส" ​เขา​ก็คง​ไม่​ทำ​ ​การที่​เขา​ยัง​สนุกสนาน​อยู่​กับ​การ​ค้น​คว้าสิ่งต่างๆ​ ​นั้น​ ​แสดงว่า​ ​"​เขา​น่า​จะ​ไม่​ได้​รู้สึกว่าหนักหนาสาหัส" ​กับ​การกระทำ​ของ​เขา​กระมัง

และ​สิ่งที่ผมฝังใจมากสำ​หรับการ​เป็น​นักวิทยาศาสตร์ที่คุณประกอบสอน​ไว้​ก็คือ​ ​"​ต้อง​ช่างสังเกต" ​แต่​ใน​ทางปฏิบัติ​ ​ด้วย​สา​เหตุอะ​ไรก็​ไม่​ทราบ​ ​ผมกลับ​ไม่​สามารถ​นำ​พา​ให้​ชีวิตจริงๆ​ ​มี​ "การสังเกต" ​อย่างจริงๆ​ ​จังๆ​ ​ได้​ ​เพียงคิด​และ​รู้​และ​ก็​เข้า​ใจว่า​ "นักวิทยาศาสตร์​ต้อง​เป็น​คนช่างสังเกต" ​และ​ผมเพิ่งกลับมานึก​ถึง​คำ​ว่า​ "สังเกต" ​ของคุณครูประกอบ​ได้​อีกครั้งหนึ่งเมื่อสามสี่ปีนี้​เอง

ใน​ครั้ง​นั้น​ท่าน​ ​อ​.​หมอประ​เวศ​ ​วะสี​ ​ได้​พูด​ถึง​ "ทฤษฎีตัวยู​" (อักษร​ U ​ใน​ภาษาอังกฤษ) ​ใน​การประชุมจิตวิวัฒน์ครั้งหนึ่ง​ ​เป็น​ "ทฤษฎี​ U" ​ที่​เขียน​อยู่​ใน​หนังสือที่ชื่อ​ "Presence" ​ซึ่ง​เขียน​โดย​นักปรัชญาทางสังคมดังๆ​ ​หลายท่าน​ ​เช่น​ ​ปี​เตอร์​ ​เซ็งเก​, ​โจเซฟ​ ​จาวอสกี้​, ​ออตโต​ ​ชาร์มเมอร์​ ​และ​เบตตี้​ ​ชูว์

ใน​หนังสือเล่มนี้พูด​ถึง​ "ทฤษฎี​ U" ​ว่า​เป็น​กลไกการเรียนรู้ที่สำ​คัญของมนุษย์​ใน​การที่​จะ​ ​"​ไม่​เลือก​ใช้​" ​สิ่งที่รู้​อยู่​เดิมๆ​ ​เก่าๆ​ ​แบบปฏิกิริยา​ ​เช่น​ ​ถ้า​เรา​ได้​รับรู้อะ​ไรบางอย่าง​เข้า​มามนุษย์ก็มี​แนวโน้มที่​จะ​เลือกสิ่งเดิมๆ​ ​พฤติกรรมเดิมๆ​ ​ใน​การมีปฏิกิริยาต่อสิ่ง​นั้น​ ​สมมุติว่า​เห็นคนแต่งตัวโทรมๆ​ ​ไว้​หนวดเครารุงรัง​และ​หน้าดุร้ายเดิน​เข้า​มาหา​เรา​ ​เราก็มัก​จะ​ต้อง​กลัวว่า​เขา​จะ​มาทำ​ร้าย​ไว้​ก่อน​ ​เป็น​ต้น

ใน​ทฤษฎียู​นั้น​บอกว่า​ ​ถ้า​เรา​ไม่​ตัดสินเรื่องราวแบบรวด​เร็ว​เกินไปนัก​ ​เฝ้ารอ​และ​ลองดำ​ดิ่งลงไปที่​ "ก้นตัวยู​" ​เราอาจ​จะ​ได้​ "ทางเลือก" ​อะ​ไร​ ​"​ใหม่​" ​ที่ก่อเกิดขึ้นมา​ใน​ความ​คิดของเรา​ได้

ที่​ "ก้นตัวยู​" ​นั้น​จะ​มี​ "การก่อเกิด" ​ของสิ่ง​ใหม่​ที่​ ​อ​.​หมอประ​เวศ​ใช้​คำ​ว่า​ "ผุดบังเกิด" ​หรือ​ "​โผล่ปรากฏ" ​เกิดขึ้นมา​เหมือน​กับ​ที่นักวิทยาศาสตร์อย่างเอดิสันเกิดปิ๊งแว้บ​ใน​งานทดลองของ​เขา​อยู่​เนืองๆ​ ​เหมือนอย่างที่อาคิมิดิสร้องคำ​ว่ายู​เรก้า​ ​เมื่อล้มตัวลงไป​ใน​อ่างน้ำ​ ​หรือ​อื่นๆ​

และ​ขั้นตอนสำ​คัญที่สุดที่​จะ​เดินลงไปสู่​ "ก้นตัว​ U" ​ได้​ก็คือ​ ​ต้อง​ไต่​ไปตาม​ "ขาลงของตัว​ U" ​และ​ขาลงของตัวยู​นั้น​ ​จะ​ต้อง​เริ่มต้น​ด้วย​ "การสังเกต​ ​สังเกต​ ​และ​สังเกต" ​ซึ่ง​ออตโต​ ​ชาร์มเมอร์​ ​ผู้​เป็น​เจ้าของทฤษฎียู​ได้​เขียน​ไว้​ที่ขาลงตัวยู​ด้วย​คำ​ว่า​ "observe, observe and observe" ​ย้ำ​สามครั้งตามสไตล์​เยอรมันของแท้

ตรงนี้​เองที่คำ​ว่า​ "สังเกต" ​ได้​กลับ​เข้า​มา​ใน​ชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่งว่า​ "การสังเกต" ​นั้น​เป็น​สิ่งสำ​คัญสำ​หรับชีวิตของมนุษย์ธรรมดาๆ​ ​อย่างผม​และ​ท่าน​ผู้​อ่านทุกๆ​ ​ท่าน​ด้วย​ ​อาจ​จะ​ไม่​ต้อง​รอ​ให้​เป็น​ "นักวิทยาศาสตร์​" ​เท่า​นั้น​ที่​จะ​ต้อง​มีทักษะของการสังเกต

ถึง​ตรงนี้ก็อาจ​จะ​มีคำ​ถามนะครับว่า​ "สังเกตอะ​ไร​หรือ​?" ​ก็คง​จะ​ตอบว่า​ "สังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง" ​ที่​เกิดขึ้นจริงๆ​ ​ณ​ ​เวลานี้​เดี๋ยวนี้ว่ามีอะ​ไรบ้าง

สังเกตเพื่อการรับรู้​เต็มร้อย​กับ​สถานการณ์หนึ่งๆ​ ​ที่​เกิดขึ้น​ใน​ตัวเรา​และ​รอบๆ​ ​ตัวเรา​ ​เช่น

สังเกตว่าขณะนี้ร่างกายของเรา​เป็น​อย่างไร​ ​ส่วน​ไหนตึง​ ​ส่วน​ไหนปวดเมื่อย​ ​ส่วน​ไหนสบายๆ​ ​ลมหายใจของเรา​เป็น​อย่างไร​ ​ช้า​หรือ​เร็ว​ ​ลึก​หรือ​ตื้น​ ​เรากำ​ลังคิดเรื่องอะ​ไร​อยู่​ ​เรากำ​ลังรู้สึกอย่างไร​ ​อารมณ์ของเรา​เป็น​อย่างไร

จาก​นั้น​ก็อาจ​จะ​สังเกตสิ่งรอบๆ​ ​ตัว​ ​อากาศ​เป็น​อย่างไร​ ​ร้อน​หรือ​หนาว​หรือ​พอดีๆ​ ​มีลมพัด​หรือ​ไม่​อย่างไร​ ​มองเห็นอะ​ไร​อยู่​ ​ได้​ยินเสียงอะ​ไร​อยู่​ ​กำ​ลัง​ได้​กลิ่นอะ​ไร​อยู่​ ​รับรู้สิ่งที่​เห็นพร้อมๆ​ ​กับ​สังเกตปฏิกิริยาที่ร่างกายของเราที่อาจ​จะ​เปลี่ยนแปลงไป​จาก​เดิมเมื่อเวลาผ่านไปเพียง​ไม่​กี่วินาที​หรือ​ไม่​กี่นาที

ลองสังเกตทุกอย่าง​ใน​ทุกกิจกรรมของชีวิต​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​การเดิน​ ​การนั่ง​ ​การกินอาหาร​ ​การขับรถ​ ​การประชุม​ ​หรือ​อื่นๆ​ ​เพราะ​ "การสังเกต" ​จะ​ช่วย​ให้​เรา​ "มองเห็น" ​สิ่งที่​ "​เรา​เคยมอง​ไม่​เห็น" ​มาก่อน​ ​ทำ​ให้​เรา​ได้​ "รับรู้​" ​สิ่งที่​เรา​ไม่​เคย​ได้​รับรู้มาก่อน​ ​ช่วย​ทำ​ให้​ "จุดบอด" ​ใน​ชีวิตของเราหายไป​ ​ผมมีสมมติฐาน​อยู่​ว่า​ ​ปัญหาต่างๆ​ ​ของพวกเรา​แต่ละคนก็มัก​จะ​อยู่​ใน​ "จุดบอด" ​ที่​เรามอง​ไม่​เห็นนั่นเอง

"การสังเกต" ​ยัง​จะ​ช่วย​ทำ​ให้​เรา​ได้​ "รับรู้​ถึง​ความ​สด​ใหม่​เสมอ" ​ของการมีชีวิต​เพราะ​แต่ละวินาที​แต่ละนาที​ ​ร่างกายของเรา​จะ​ไม่​เหมือนเดิมอีกต่อไป​แล้ว​ ​ต่อเมื่อเราสังเกตเรา​จึง​จะ​มองเห็น

ใน​เบื้องต้น​นั้น​ ​เรา​เพียงฝึกสังเกตสิ่งที่​เกิดขึ้นตามที่​เป็น​ไป​เท่า​นั้น​ ​ยัง​ไม่​ต้อง​พยายามที่​จะ​ไปทำ​อะ​ไร​ ​เพราะ​การสังเกต​เป็น​เหมือนประตู​เข้า​ไปสู่ก้นตัวยู​ ​เรา​จะ​สามารถ​คิดอะ​ไรดีๆ​ ​ออก ต่อเมื่อเรา​สามารถ​ดำ​ดิ่งลงไป​ถึง​ก้นตัวยู​ได้​เท่า​นั้น​ ​นอก​จาก​นั้น​ที่ก้นตัวยู​ ​เรา​จะ​ยัง​ได้​พบ​กับ​ ​"​ความ​หมายที่​แท้จริงของชีวิต" ​ของเราอีก​ด้วย

ทิม​ ​กัลเวย์​ ​ผู้​เขียนหนังสือที่​เกี่ยว​กับ​กระบวนการเรียนรู้ที่สำ​คัญอีกท่านหนึ่งพูด​ถึง​ "การตื่นรู้​เมื่อเราสังเกต" ​ไว้​ว่า​ ​เหมือน​กับ​การที่​เราฉายแสงส่องไฟไป​ยัง​ส่วน​ที่มืดของชีวิตของเรา

และ​เมื่อเรามองเห็นเรา​จึง​จะ​สามารถ​เกิด​ความ​สนุก​ ​ความ​สุข​ ​และ​ความ​เบาสบาย​ ​อย่างที่ควร​จะ​เป็น​ ​อย่างที่มนุษย์ทุกคน​จะ​สามารถ​สัมผัส​ได้

ต่อเมื่อเรา​ "สังเกต​เป็น"​ ​เท่า​นั้น​เรา​จึง​จะ​สามารถ​ ​"​ใช้​ชีวิต​ได้​เต็มร้อยจริงๆ​"

ก่อนที่สิ่งต่างๆ​ ​รอบตัวของยุคสมัย​ใหม่​จะ​ทำ​ให้​เรากลายไป​เป็น​หุ่นยนต์​ "ที่​ไม่​รู้สึกรู้สาอะ​ไร" ​กับ​สิ่งที่​เกิดขึ้น​ทั้ง​ใน​ตัว​และ​รอบๆ​ ​ตัวเรา

ซึ่ง​จะ​ค่อยๆ​ ​ทำ​ให้​เรากลายไป​เป็น​ "สิ่งมีชีวิตที่​ไม่​มีชีวิต" ​ไป​ได้​อย่างน่า​เสียดาย


***​ที่มา​: ​หนังสือพิมพ์มติชน​ ​วันที่​ 3 ​สิงหาคม​ ​พ​.​ศ​. 2551 ​ปีที่​ 31 ​ฉบับ​ที่​ 11103 , ​หน้า​ 6







#116103 ให้ปลาหมึกเล่นรูบิก ดูความถนัด-ช่วยลดเครียด

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 22 July 2008 - 07:19 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ



ผู้เชี่ยวชาญทางทะเลจากซีไลฟ์เซ็นเตอร์ เมืองดอร์เส็ตต์ ประเทศอังกฤษ ทำการทดลองลดความเครียดในปลาหมึก 25 ตัว ที่ถูกจับอยู่ในศูนย์ ด้วยการให้มันเล่นรูบิก

นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า แม้ปลาหมึกจะมี 8 หนวด แต่จะต้องมีหนวดใดหนวดหนึ่งที่มันชอบใช้มากที่สุด เช่น การหยิบจับอาหาร นางแคลร์ ลิตเติ้ล จากซีไลฟ์เซ็นเตอร์จึงทดลองให้ปลาหมึกเล่นรูบิก 1 เดือน เพื่อดูว่า มันใช้หนวดไหนมากที่สุด หรืออาจเป็นไปได้ว่ามันใช้ทั้ง 8 หนวดเท่าๆ กัน ซึ่งการศึกษานี้ ลิตเติ้ลหวังว่า จะช่วยให้เราเข้าใจสัตว์ที่มีแขนขามากๆ ได้ดีขึ้น ทั้งอาจช่วยลดความเครียดในปลาหมึกด้วย

ลิตเติ้ลอธิบาย ว่า "ปลาหมึกแตกต่างจากสัตว์ทั่วๆ ไป เส้นประสาทกว่าครึ่งหนึ่งของมันอยู่ที่หนวด สำหรับการทดลองให้ปลาหมึกเล่นรูบิกจะมีขึ้นในซีไลฟ์เซ็นเตอร์ 23 แห่ง ทั่วอังกฤษและยุโรป ในการทดลองนั้นได้กำหนดให้หนวดซีกขวาจากด้านหน้าไปหลังมีชื่อว่า R1, R2, R3 และ R4 ตามลำดับ ส่วนหนวดซีกซ้ายจากหน้าไปหลัง กำหนดชื่อว่า L1, L2, L3 และ L4 ตามลำดับเช่นกัน"

นอกจากนี้ จะมีการโยนลูกบอล ขวดแยม ชิ้นส่วนเลโก้เข้าไปในบ่อปลาหมึกเพื่อให้มันเล่น พร้อมสังเกตว่า เมื่อของตกลงไป มันใช้หนวดที่อยู่ใกล้ของที่สุดเก็บหรือเปล่า หรือมันใช้หนวดอื่น หรือใช้หลายๆ หนวดหยิบพร้อมกัน ส่วนผลการทดลองคาดว่าจะประกาศให้ทราบได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้



#115834 The Animation Team

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 20 July 2008 - 12:48 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

I enjoy your merit happy.gif



#115760 “พล.ท.ฤกษ์ดี ชาติอุทิศ”กับภารกิจขับเคลื่อนวงล้อธรรม

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 19 July 2008 - 07:42 PM ใน ธรรมกถึก

กรุ่นกลิ่นและกลิ่นอายของเทศกาลงานบุญได้หวนกลับมาให้พุทธศาสนิกชนทุกคนได้ร่วมกันทำบุญ และลดละเลิกสิ่งของเมามัวในชีวิตกันอีกครั้งแล้ว กับวันสำคัญทางพระ พุทธศาสนาอย่างวัน “อาสาฬหบูชา” ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งถือได้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง เพราะเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักธรรมเทศนาหรือ “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” เป็นครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 รูปคือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ เพื่อให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 รูปนี้ดำรงและสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป

เพื่อเป็นการร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ไว้ พล.ท.ฤกษ์ดี ชาติอุทิศ ในวัย 70 เศษ อดีตนายทหารใหญ่หัวหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ขอเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวงล้อของพระธรรมจักรให้คงอยู่ต่อไป ด้วยการบริจาคที่ดินเพื่อสร้าง “ธุดงคสถาน” สถานที่ที่ใช้ในการปฏิบัติธรรมและเจริญวิปัสสนาของพระสงฆ์ในช่วงเทศกาลออกพรรษา

ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีหลังจากที่เกษียณอายุราชการ ที่ พล.ท.ฤกษ์ดี ได้อุทิศตนในการสืบทอดพระพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ และก็เป็นผู้หนึ่งที่ริเริ่มให้มีการสร้างสถานที่ “ธุดงคสถาน” จำนวน 77 แห่งทั่วประเทศไทย เพื่อให้พระสงฆ์ได้ใช้ประโยชน์จากสถานที่นั้นๆ ในการออกแสวงหารสพระธรรม

พล.ท.ฤกษ์ดี เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้ว่า เกิดจากการออกไปศึกษาและท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ จึงเห็นภาพของพระสงฆ์บางรูป ที่ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ที่จะออกไปแสวงหาธรรม หรือออกไปปฏิบัติธรรมนอกวัดที่ตนเองจำวัดอยู่ เพื่อถ่ายทอดหลักธรรมคำสอนของพระศาสดาให้กับประชาชนได้รับรู้ แต่พระสงฆ์หลายรูปกลับต้องพบเจอกับปัญหาหลักคือไม่สามารถหาที่จำวัดได้

“เดี๋ยวนี้ปัญหาที่เราพบจากการออกไปธุดงค์ของพระสงฆ์ คือ ท่านไม่มีที่จำวัด เพราะสถานที่บางแห่งก็มีเจ้าของ หรือบางพื้นที่ก็เป็นเขตป่าสงวนห้ามไม่ให้ใครแม้แต่กระทั่งพระสงฆ์เข้าไปในพื้นที่ และบางที่ ซ้ำร้ายหนักกว่านั้นคือถ้าอยู่กันคนละศาสนาถึงกับไล่พระออกจากพื้นที่นั้นทันที”

เมื่อเริ่มตระหนักเห็นถึงความยากลำบากของพระสงฆ์ในการเดินทางออกไปจำวัดนอกสถานที่ อดีตนายพลทหารกล้าแห่งกองทัพไทย จึงเริ่มมีแนวคิดที่จะหาที่ดินเพื่อใช้สำหรับในการสร้างสถานที่ธุดงคสถาน จำนวน 77 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้พระสงฆ์ในเมืองไทยได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการสร้างไปแล้วจำนวน 10 กว่าแห่ง โดยกระจัดกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งแต่ละแห่งได้มีการพิจารณาถึงระยะทางและความเงียบสงบ

“ผมเริ่มทำโครงการนี้มาตั้งแต่อายุ 50 ปี จนตอนนี้ผมมีอายุตั้ง 70 กว่าแล้ว และผมได้บริจาคที่ดินสำหรับใช้ในการธุดงค์ของพระสงฆ์จำนวน 10 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะมีพื้นที่ประมาณ 2-3 ไร่ โดยแต่ละแห่งจะต้องอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 5 กิโลเมตรเพื่อให้พระสงฆ์ได้ออกบิณฑบาตในช่วงเช้า ซึ่งคิดว่าระยะห่างตรงนี้กำลังพอดี เพราะถ้าอยู่ใกล้เกินไปก็จะมีเสียงดังรบกวนการวิปัสสนาของท่าน หรือถ้าอยู่ไกลเกินไปพระสงฆ์ก็จะไม่สามารถออกมาบิณฑบาตได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดสถานที่แห่งนั้นจะต้องมีความเงียบสงัดด้วย เพราะท่านจะได้เข้าถึงแก่นแท้ของพระธรรมอย่างลึกซึ้ง”


ทว่า เขาเป็นเพียงแต่ฟันเฟืองเล็กๆ เท่านั้นจึงไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนให้โครงการนี้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ถึงแม้ว่าจะมีผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันยกพื้นที่สำหรับการสร้างธุดงคสถานในสถานที่ต่างๆ เป็นจำนวนมากก็ตามที แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในขณะนี้มีพระสงฆ์เข้าไปใช้ประโยชน์จากสถานที่ตรงนั้นน้อยมาก เขาจึงร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปร่วมมือกันขับเคลื่อนโครงการนี้ให้ประสบความสำเร็จ

“ผมคิดว่าสาเหตุ ที่มีพระสงฆ์เข้าไปใช้ประโยชน์จากสถานที่ตรงนั้นน้อยเพราะว่า พระบางรูปไม่รู้ว่ามีสถานที่ใดบ้างที่ท่านจะสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น ผมจึงอยากที่จะวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาประชาสัมพันธ์หรือบอกให้พระสงฆ์ท่านทราบว่า ขณะนี้เรามีสถานที่ที่ท่านสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในการปักกรดสำหรับการออกธุดงค์ได้”

เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างสุดกำลังความสามารถ จึงทำให้อดีตนายพลวัย 70 ปีคนนี้ ยังคงมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงดีจนคนหนุ่มต้องอิจฉากันเลยทีเดียว อะไรคือเคล็ดลับของนายพลท่านนี้ ?

“ผมเป็นคนที่มักคิดอะไรในแง่บวกอยู่เสมอ ในยามที่รับราชการทหารอยู่เราก็ปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ไม่ว่างานนั้นจะมีปัญหาเข้ามาให้ต้องสะสางมากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเรานำหลักธรรมทางศาสนามายึดถือปฏิบัติแล้วเรื่องราวต่างๆ ก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี”

สำหรับหลักธรรมที่อดีตนายพลผู้นี้นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตนั้นคือ ทางสายกลาง คือทุกอย่างจะต้องมีความพอดี ไม่มากไปและไม่น้อยไป เพราะถ้าเมื่อไรก็ตามที่มนุษย์ทำอะไรที่มันเกินตัวความวุ่นวายก็จะบังเกิดขึ้นทันที

“ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ล้วนอยากได้อยากมีและอยากเป็นในสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ทั้งนั้น แต่ขณะเดียวกัน เราก็ต้องรู้จักพอประมาณตัวเองว่าเรามีขีดความสามารถอยู่ในระดับใด ต้องทำอะไรให้เกิดความพอดี สมมุติว่าทำงานหาเงินมากเราก็ต้องแบ่งเงินไปทำบุญบ้าง เพื่อที่ผลบุญที่เราทำนั้นจะได้ส่งผลให้เราสามารถใช้เงินทองและสิ่งของที่มีอยู่อย่างมีความสุข”

พล.ท.ฤกษ์ดี อธิบายต่ออีกว่า ทุกวันนี้ภารกิจของเขานอกเหนือจากการเข้าวัดเข้าวาไปทำบุญและไปดูแลธุรกิจส่วนตัวเป็นครั้งคราวแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้ยึดถือและทำเป็นประจำคือ การศึกษาหลักคำสอนของพระศาสดาจากคัมภีร์พระไตรปิฎกจนเกือบครบทุกเล่ม

“บางครั้งผมอาจไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าไปทำบุญที่วัด แต่สิ่งที่ผมทำและปฏิบัติเกือบทุกวันคือ การศึกษาพระไตรปิฎกเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในบางเรื่องที่เรายังสงสัยอยู่ เพราะผมมีความเชื่อว่า การที่เราจะเรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างกระจ่างชัดในรสพระธรรมนั้น จะต้องเรียนรู้ในหลักทฤษฎีเสียก่อน เพราะถ้าเราไม่รู้หลักทฤษฏีเราก็จะปฏิบัติไม่ได้”

นอกจากนี้ เขายังได้ให้มุมมองการใช้ชีวิตสำหรับคนทั่วไปอย่างน่าสนใจอีกด้วยว่า
“การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ผมเชื่อกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า กฎแห่งกรรม ใครทำกรรมอะไรไว้ย่อมได้รับผลกรรมเช่นนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำกรรมดี สิ่งดีๆ ก็จะบังเกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กระทำสิ่งไม่ดีไม่ถูกต้อง ผลกรรมนั้นก็ย่อมที่จะมาคืนสนองผู้กระทำอย่างหลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าคนๆ นั้นจะรวยล้นฟ้าสักเพียงใดก็ตาม” พล.ท.ฤกษ์ดี สรุปทิ้งท้าย




ที่มา-น.ส.พ.ผู้จัดการ



#115357 วิธีประหยัดค่าโทรศัพท์สุดคุ้ม! โปรโมชั่นไม่อั้น

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 16 July 2008 - 03:53 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



เทคนิคง่ายๆ ในการช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์มือถือโทรหาแฟนแบบไม่อั้นแต่เซฟเงินในกระเป๋า ไว้ดินเนอร์สุดหรูแทน พร้อมทั้งวิธีงดรับโทรศัพท์'ภรรยา'หมั่นโทรตามกับเหตุผลสุดโหล

1. Save เลขหมายโทรศัพท์ของแฟน ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า ' คิดถึงเหมือนกัน ' แทนชื่อแฟนของคุณ

2. Save เลขหมายโทรศัพท์ของคุณในมือถือของแฟนโดย SaveName ว่า ' คิดถึงนะ ' แทนชื่อของคุณ

3. เมื่อถึงเวลาที่จะต้องโทรหากัน คุณก็โทรหาแฟนสัก 1 - 2 ตู๊ดแล้ววางสาย ที่เครื่องของแฟนก็จะ Show Miss Call เมื่อ List ดูก็จะพบข้อความว่า ' คิดถึงนะ '

4. เช่นเดียวกัน เมื่อแฟนต้องการจะตอบว่า คิดถึงเหมือนกันก็ให้โทรหาคุณ แล้ววางสาย Show Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า
' คิดถึงเหมือนกัน '

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท เก็บเงินไว้พาแฟนไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนดีกว่า


นั่นมันสำหรับแฟนกัน ถ้าแต่งแล้วต้องตามนี้เลย


1. Save เลขหมายโทรศัพท์ของเมียในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า ' เองอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน ' แทนชื่อเมีย

2. Save เลขหมายโทรศัพท์ของคุณในมือถือของเมียโดย SaveName ว่า ' ติดประชุม(โว้ย) ' แทนชื่อของคุณ

3. เมื่อถึงเวลาเมียตามกลับบ้าน จะต้องโทรหาคุณคุณไม่ได้รับเพราะ....ก็จะ Show Miss Call เมื่อ List ดูก็จะพบข้อความว่า ' เองอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน '

4. เช่นเดียวกัน คุณก็โทรหาเมียคุณ 1-2 ตู๊ด แล้ววางสาย เมียคุณก็จะเห็น Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า ' ติดประชุม(โว้ย) '

เท่านี้คุณก็สามารถประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท แต่อาจต้องนอนนอกบ้าน laugh.gif




ที่มา : Forward mail




#114429 แบบทดสอบ 49 ข้อที่บอกว่าคุณแก่แล้ว!

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 08 July 2008 - 04:40 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



คำถาม 49 ข้อ ที่มี หากคุณอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วคุณรู้จักมักคุ้น เคยได้เห็น ได้สัมผัสกะสิ่งที่เรากล่าวขึ้นมาประมาณสัก 30 ข้อ... เราก็ขอแสดงความยินดีด้วย....เพราะคุณแก่แล้ว
1 เคยไปเมโทร บิ๊กเบล ไดมารูราชดำริ
2 เคยเล่นถ้วยหมุนบนเซนทรัลชิดลม
3 เคยเล่นสวนสนุกบนมาบุญครอง
4 รู้จักแมคโดนัลที่แรกที่โซโก้
5 รู้ว่ามีฟู้ดคอร์ทที่แรกที่มาบุญครอง
6 ยังเรียกสถานที่ต่อไปนี้ว่า เวิลด์เทรด รีเจนท์ ฮิลตัน (โดยที่ไม่ยอมจำว่ามันเปลี่ยนเป็น เซ็นทรัลเวิลด์ โฟร์ซีซั่น ราฟเฟิล ส่วนฮิลตันก็ไปเปิดใหม่ตรงแม่น้ำแล้ว)
7 เคยกินฟาสต์ฟู้ดเหล่านี้ซึ่งไม่มีแล้ว ทาโก้ ป๊อบอาย เวนดี้ โฮเบอร์เกอร์ เชคกี้ส์พิซซ่า
8 คิดว่า แฮปปี้แลนด์ แดนเนรมิต ถ้าไม่เคยไป เสียชาติเกิดเป็นที่สุด
9 เคยดูหนังแบบที่มันมีราคาตามผังที่นั่ง
10 เคยเล่นไอซ์บนเวิลด์เทรด
11 เคยรู้ว่า ค่าทางด่วนราคา 10 บาทแล้วเปลี่ยนเป็น 15 แล้วเป็น 30 จนถึง 40 ในตอนนี้
12 รู้ว่า ดอนเมืองมีแค่ 1 เทอร์มินัล
13 เคยเติมน้ำมันทีละ 200
14 เคยใช้ floppy disk แผ่นเท่าจาน
15 เคยใช้ คอมไม่มีเมาส์
16 เคยใส่แบรนด์ต่อไปนี้ NEXT, Dr.Martin, Banana Republic (เคยใส่กางเกงยีนส์สีต่างๆ ผู้หญิงเคยผูกโบว์ใหญ่เท่าผ้าสไบ ผู้ชายเคยห้อยกระดิ่งที่รองเท้า)
17 เคยมีเพจ ถ้าจะให้ดีต้องรุ่น advisor
18 รู้ว่า แต่ก่อนมือถือไม่มี 01 เบอร์บ้านไม่มี 02
19 รู้ว่าแต่ก่อนไม่มีชื่อถนนหรือชื่อย่าน แบบนี้...คือ รัชวิภา รัชโยธิน เลียบทางด่วน
20 เคยติด IBC แล้วเปลี่ยนเป็น UTV แล้วมันก็มารวมกันเป็น UBC
21 เคยดู เฮนเบะ บุนบู เมียมนิทานชีวิต แคสเปอร์ผีน้อย บาบ้าปาร์ป้า
22 เคยเรียนดรุณศึกษา หนูมาลีหนูมาลัย หรือมานะมานี
23 สอบเอ็นระบบเก่า วัดใจทีเดียวไม่มีลุ้น
24 ชอบของแถมที่มากับรองเท้าบาจา เช่นโจรสลัดที่อยู่ในถัง
25 คอนเสิร์ตไมเคิลแจ๊กสัน คอนเสิร์ต gun n roses คอนเสิร์ตบอนโจวี่ นีล่ะของชอบ
26 เคยมีเกมกดและพัฒนาเป็นนินเทนโด
27 เคยอ่านนิตยสาร ลลนา สตรีสาร สกุลไทย และรู้ว่าสตรีสารจะมีภาคพิเศษสำหรับเด็กด้วย ซึ่งมีการ์ตูนน่ารักๆ หลายเรื่อง เช่น ต๋อมจอมยุ่ง เจ้าขนฟู คนพิลึก
28 เกิดทันหนังสือเด็กแนวสมัยก่อน เช่น ปลื้ม ไปยาลใหญ่
29 ชอบกินไอติมโฟร์โมสต์
30 เกิดทันโฆษณายุคหวานใส เช่น ขอเสื้อคืนด้วยค่ะ, อุ๊ยส้มหล่น , จะให้เธอน่ารักน้อยกว่านี้หรือให้ผมกล้ามากกว่านี้ดีนะ, รักเจรักช็อคโกบาร์
31 เกิดทันยุคหนังวัยรุ่น สะแด่วแห้ว กลิ้งไว้ก่อน มีดารานำจำพวก มอส เต๋า โมทย์ จอห์น ดีแลนด์ ศรราม นุ๊ก ต๊ะ ฯลฯ
33 ถ้าแก่มากจะทัน พาเลซ โรม ถ้าแก่ไม่มากนักจะทันไวเบรชั่น ชาร์กกี้ ทอรัส ดิสคัฟเวอรี่
34 สามารถบอกชื่อศิลปินค่ายคีตา ได้มากกว่า 3 คน เช่น อ้อม สุนิสา นีโน่ ฝันดีฝันเด่น เอ็มสุรศักดิ์ แจ็กจิล เคดีรอม ยูโฟ ต่อนันทวัฒน์ พงพัฒน์ ยุ้ย ทีสะเกิ๊ต โก้นฤเบศร์
35 นอกจากสามหนุ่มสามมุมแล้วยังทัน ตะกายดาว คนค้นคน นางฟ้าสีรุ้ง
36 รู้ว่าจะมีการฺ์ตูนโผล่มาเวลา ช่องทีวีมีปัญหา เช่น นกหัวขวาน
37 เคยอยู่ในช่วง ดอลล่าร์ละ 25 บาท ปอนด์ละ 40 (โอ้แม่เจ้า เคยมีในสมัยนั้นจริงๆ)
38 เกิดทัน การดูเลเซอร์ มีร้านให้เช่าดูที่สยามด้วย
39 เกิดทันยุคที่นักร้องแกรมมี่ต้องมีเพลงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่ในอัลบั้ม
40 รู้ว่าสยามเซ็นเตอร์และชิดลม ไฟไหม้ในเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ช่วงนั้นไม่มีห้างจะเดิน
41 คนข่าวสมัยนั้นที่ดัง คือ สมเกียรติ์ อรุณโรจน์ วิทวัส
42 ยุทธการขยับเหงือก เทปแรกๆ มีเสนาปัญญา เสนากิ๊ก และก็มีเสนาโค้ก อรุณ ติ๊กกลิ่นสี แหม่มสุริวิภา ส่วนโน้ตอุดม หอย ส่วนวิทย์มาทีหลัง
43 เคยรู้ว่าถ้าท่านใดสามารถตอบได้ว่า วันนี้พี่เบิร์ดร้องเพลงกี่เพลง/ ติ๊นาเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดกี่ชุด
จะได้รับนาฬิกาคาเรร่าสำหรับสุภาพบุรุษ 1 เรือนและสุภาพสตรี 1 เรือน
สำหรับเงินค่าเข้าประตูในวันนี้ จะนำไปซื้อตู้ยาพร้อมเครื่องเวชภัณฑ์ให้โรงเรียนวัดไผ่อีเห็น
44 ชอบพูดว่าตัวเองยังไม่แก่ แต่ที่แท้เวลาได้ยินเพลงสมัยก่อนจำพวกเจ นูโว ยูเอชที จะยิ้มแป้น
แถมยังชอบไปดูคอนเสิร์ตย้อนยุคทั้งหลาย และชอบไปที่เที่ยวที่เปิดเพลงเก่า
45 เคยคิดว่า โบ-จ๊อยซ์โป๊มาก (สมัยนี้เจอเจอเกิร์ลลี่เบอรี่เข้าไป หึ หึ)
46 ยังไม่มี airport tax
47 ฮิตเสื้อนักศึกษาตัวใหญ่ หรือพอดีๆ ไม่ใช่รัดติ้วเป็นแหนมมัดเหมือนสมัยนี้
48 รู้ว่าซูกัส ทรีบอล์ เคยห่อเป็นแบบท็อฟฟี่ คอร์นพัฟเป็นถาดดึงออกมา ป๊อกกี้แกะกล่องจากด้านบนไม่ใช่ตรงกลางแบบนี้ และยังมี มั้นมัน ทวิสตี้ จิ๊กกะดี้ ริงโก้ กาก้า
49 เคยดูเขาทราย เขาค้อ สามารถ ซึ่งเวลาต่อยแข่ง ถนนโล่งไปหมดไม่มีคนออกจากบ้าน

ที่มา : Forward mail. :'(




#114418 นศ.จบใหม่แบบไหน ที่บ.เอกชนต้องการ

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 08 July 2008 - 03:55 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

“ทำไมยังหางานทำไม่ได้สักที”
“ช่วยแนะนำงานที่เหมาะให้ที จบมา 3 เดือนแล้วยังไม่มีงานทำเลย”
“เรียกไปสัมภาษณ์ แล้วบอกว่าจะติดต่อกลับมา จนป่านนี้แล้วก็ยังเงียบ”
....ฯลฯ



นั่นคือเสียงที่เหล่าบัณฑิตที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคน บอกกับคนใกล้ชิดหรือคนสนิท เหตุเพราะหลังจบการศึกษามาหลายเดือน เดินทางไปสมัครงานก็หลายที่ สมัครผ่านระบบอินเตอร์เน็ตหลายครั้ง ก็ยังไม่มีสถานประกอบการใดเรียกตัวไปเริ่มต้นชีวิตคนทำงานสักที อย่างดีก็แค่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ แล้วก็ได้ยินประโยคยอดฮิตจากผู้สัมภาษณ์ “เเล้วเราจะติดต่อกลับไป”


เพราะอะไร? ทำไม? ทำอย่างไรถึงจะได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานหลังจบการศึกษาเสียที “ไลฟ์ ออน แคมปัส” มีคำตอบจากปากตัวแทน 3 องค์กรเอกชน

บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด

ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงสาเหตุที่บัณฑิตที่เพิ่งจะจบการศึกษาส่วนใหญ่จะหางานทำได้ยากเป็น เพราะสภาพตลาดแรงงานไทยในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง กล่าวคือ จำนวนผู้หางานมีมากกว่าตำแหน่งงานที่เปิดรับ อีกทั้งบริษัทส่วนใหญ่ต้องการพนักงานที่มีประสบการณ์การทำงานเพื่อสามารถเริ่มงานได้ทันที ทำให้นักศึกษาจบใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์การทำงาน ขาดโอกาสในการแข่งขันในตลาดแรงงาน ทั้งที่นักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาอาจมีศักยภาพและความสามารถที่ดีได้

“ความเข้าใจที่ว่านักศึกษาที่จบใหม่อาจจะยังมีความต้านทานหรือความอดทนต่อแรงกดดันต่างๆ ของสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กรการทำงานจริงค่อนข้างน้อย ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การลาออกและเปลี่ยนงานบ่อย”

กรรมการผู้จัดการกล่าวต่อไปว่าบริษัท ไมโครซอฟท์ฯ เองเห็นคุณค่าของนักศึกษาจบใหม่และต้องการส่งเสริมให้มีประสบการณ์ และมีโอกาสได้เรียนรู้การทำงานจริงกับองค์กรข้ามชาติ และเข้าใจความต้องการในการทำงานและศักยภาพของตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งอาจแตกต่างจากสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือศึกษาจากมหาวิทยาลัย จึงได้จัด โครงการ Microsoft Executive Trainee ขึ้นเพื่อให้นักศึกษาไทยมีโอกาสเข้าร่วมทำงานกับบริษัทฯ เป็นระยะเวลา 1 ปีเต็ม โดยหมุนเวียนไปตามแผนกต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงาน และให้นักศึกษาได้ค้นหางานที่ตัวเองชอบถนัดจริงๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดทั้งแก่องค์กรและต่อตัวนักศีกษาเอง

บริษัทเคพีเอ็น มิวสิค จำกัด

พอฤทัย ณรงค์เดช กรรมการบริหาร กล่าวถึงสาเหตุที่หลายบริษัทไม่นิยมรับนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่และยังไม่มีประสบการณ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า นักศึกษาที่จบใหม่ส่วนมากจะมีจุดอ่อนในเรื่องความรับผิดชอบ และไม่รู้ว่างานที่ตัวเองต้องการทำจริงๆ นั้นคืองานอะไร

“เรื่องความสามารถเป็นเรื่องที่ฝึกกันได้แน่นอนถ้าเด็กเขายอมรับและ มีการปรับตัวในการทำงานหลังจากเข้ามาร่วมงานกันแล้ว ดังนั้นเวลาที่เราสัมภาษณ์รับเด็กจบใหม่เข้ามาทำงานกับเรา เราก็จะดูจากการพูดคุยและทัศนคติที่ตัวเขามี ว่าเขารู้เรื่ององค์กรของเราที่เขาอยากจะทำงานกับเรามากน้อยขนาดไหน เพราะถ้าเขาได้รับการพิจารณาเลือกให้เข้ามาทำงานกับเราแล้วเขาจะต้องมาอยู่กับวัฒนธรรมองค์กรของเรา”

ส่วนเรื่องเกรดเฉลี่ยจบการศึกษานั้นกรรมการบริหารบริษัทเคพีเอ็นฯ กล่าวว่าไม่จำเป็นจะต้องจบการศึกษาระดับเกียรตินิยม ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่เรียนเก่งเสมอไป ขอเพียงนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่มานั้นเข้าใจในธุรกิจที่ตัวเองอยากจะทำงานบ้างเท่านั้น ซึ่งจะสังเกตเเละพิจารณาได้ขณะที่ทำการสัมภาษณ์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดทั้งเรื่องของทัศนคติ เรื่องของความเข้าใจในธุรกิจ เรื่องของความพร้อมในการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมในองค์กร

“การแต่งกายมาสมัครงานมาสัมภาษณ์งานเป็นเรื่องหนึ่งที่พิจารณาแต่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด เพราะเรื่องของบุคลิกการแต่งกายสามารถที่จะปรับตัวกันได้หลังจากการรับเข้ามาร่วมงานแล้ว”

บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ศรันยา เทียนถาวร รองประธานอาวุโส ฝ่ายการพนักงานและบริหารสำนักงาน กล่าวว่า สำหรับบริษัทฯ แล้วถ้าตำแหน่งใดไม่จำเป็นต้องใช้คนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน ก็อยากจะรับเด็กที่เพิ่งจบใหม่มาร่วมทำงานด้วย เพราะเด็กจบใหม่เหมือนผ้าขาวที่สามารถมาฝึกการทำงานให้เป็นคนของบริษัทได้อย่างแท้จริง แต่ส่วนใหญ่เมื่อได้รับโอกาสแล้วมักจะมาทำงานได้ไม่นานก็จะลาออกไปเริ่มต้นงานใหม่ที่คนละสายงานกับที่เขาทำ

“คุณสมบัติเด็กจบใหม่ที่ต้องการ เป็นเรื่องค่อนข้างง่ายในการค้นหาเขาจากการสัมภาษณ์ เราดูจากภาพรวมของเขา เราแยกออกเป็นสองส่วน
เรื่องแรกก็คือเรื่องความสามารถซึ่งก็ใช่ว่าจะสามารถ ตรวจสอบอะไรได้มากนัก ซึ่งเราก็คงดูได้แต่เพียงผลการเรียนของเขา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะดูและรับมาทำงานเกรดเฉลี่ยต้อง 2.5 ขึ้นไปนะถึงจะรับ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราต้องดูด้วยเหตุเเละผลที่เขาเรียนมากกว่า แล้วก็ดูคุณสมบัติที่ลึกลงไปในแต่ละแผนกว่า ต้องการคุณสมบัติเเบบไหน เรื่องที่สองก็คือการอยู่ร่วมกับคนอื่น การเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรของเรา ก็คือทัศนคติของเด็กว่าเป็นอย่างไร”

รองประธานอาวุโส ฝ่ายการพนักงานและบริหารสำนักงานกล่าวต่อไปว่า เรื่องความสามารถในการปรับตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญในการพิจารณา หากเด็กเรียนเก่งแต่ชอบอยู่กับตัวเองมีส่วนร่วมกับสังคมน้อยก็ต้องดูด้วย ว่าเขาจะทำงานสายอาชีพอะไร หากเป็นสายไอทีซึ่งต้องทำงานกับเทคโนโลยีนั้นทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“ความสามารถในการปรับตัวจะถูกประเมินขณะที่ทำการสัมภาษณ์ เพราะเมื่อเข้ามาทำงานกับองค์กรเเล้วเขาจะต้องไปอยู่กับแผนกที่รับเข้าไปทำงาน ซึ่งต้องทำงานเป็นทีม ดังนั้นการที่บริษัทจะรับคนเข้ามาทำงานกับบริษัทก็ต้องดูหลายองค์ประกอบในตัวเด็กประกอบกันในการพิจารณา อย่างการใช้ชีวิตในการเรียนเป็นอย่างไร มีทำกิจกรรมหรือเปล่า แต่ไม่ได้หมายความว่าทำกิจกรรมแล้วจะได้รับความสนใจมากกว่าคนอื่น แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นมาประกอบการพิจารณาด้วย

ไม่อยากให้เด็กจบใหม่สมัยนี้ที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ แล้วไปลองทำงานที่ี่นั่นนิดนึงไปที่นู่นนิดนึง มันไม่ใช่แค่การเสียเวลาของบริษัท มันเป็นการเสียเวลาของตัวเขาเองด้วย เขาควรจะเตรียมตัวเองให้ดีเลือกให้ดีว่าอยากจะทำงานอะไร เขาต้องศึกษาก่อนว่าเขาอยากทำอะไรจริงๆ จนเขารู้แล้วว่าเขาอยากทำงานแบบไหน และก็ควรจะมองด้วยว่าบริษัทที่เขากำลังจะเข้าไปสัมภาษณ์ เป็นบริษัทที่เขาอยากทำหรือเปล่า เดี๋ยวนี้มันมีข้อมูลเยอะเเยะให้ค้นหา ทั้งอินเทอร์เน็ต มันมีหลายช่องทางให้เข้าถึง ก็ควรจะเลือกให้ดีเสียก่อน”

สุดท้ายรองประธานอาวุโส ฝ่ายการพนักงานและบริหารสำนักงานมีคำแนะนำเรื่องการแต่งกายเข้ามาสมัครงาน และสัมภาษณ์งานว่า หลายครั้งที่มีคนพูดกันว่าเรื่องมาสายเวลาเชิญมาสัมภาษณ์งานนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ต้องบอกว่าลึกๆ แล้วผู้สัมภาษณ์เองก็มองภาพความประทับใจครั้งแรกเหมือนกัน

เพราะครั้งแรกที่เจอกันคุณยังมาสายกว่าเวลาที่นัดหมาย คุณยังคุมบทบาทเล็กๆ ของตัวคุณเองไม่ได้ คุณก็จะถูกมองอีกแบบหนึ่ง ส่วนเรื่องการแต่งกายก็อยู่ที่ว่าคุณสมัครงานตำแหน่งอะไร แต่ถ้าให้ปลอดภัยไว้ก่อน สำหรับเด็กที่จบใหม่ยังไม่มีประสบการณ์เพื่อภาพความประทับใจครั้งแรกสำหรับ
ผู้ชายควรเป็นเสื้อเชิร์ต กางเกงสแล็ค รองเท้าหนัง ผู้หญิงก็ชุดที่ดูเรียบร้อย สุภาพไม่ใช่ชุดแบบแฟชั่น



#113357 ฝึก Drawing คือ ฝึกจิต

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 29 June 2008 - 04:55 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ




ได้สิ่งที่ศิลปินท่านหนึ่งสรุป หากมีใครสงสัยว่า การนั่งหลังขดหลังแข็ง ลากปลายดินสอ ปลายปากกา ปลายพู่กัน ไป-มา ซ้ำๆ เดิมๆ จนก่อเกิดภาพเขียนนั้นมันเพื่ออะไร

ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีก็พัฒนาไปไกล อยากได้รูปภาพชนิดไหน ก็สามารถเสกสรรค์ปั้นแต่งได้ไม่ยาก ถ่ายภาพเสร็จ โหลดลงเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมโฟโต้ช็อป ลากเม้าส์ไปมา 2-3 ที คลิกโน่นคลิกนี่ก็ได้ภาพดั่งใจแล้ว

ทว่า เราหลงลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า? สิ่งที่เทคโนโลยีไม่สามารถตอบสนองเราได้ทั้งหมดคือ ความเป็นมนุษย์

มนุษย์ ผู้มีใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่การเขียนภาพด้วยมือ สามารถเป็นพาหนะ พาเราให้เดินทางไปถึงปลายทางของความเป็นมนุษย์ที่แท้ได้ ด้วยการจดจ่ออยู่กับมัน

ผมมีโอกาสได้ไปชมงานศิลปะของ 4 พี่น้องตระกูลเถาทอง ซึ่งจัดแสดงที่หอศิลป์สิริกิติ์ เดินชื่นชมผลงานของศิลปินแต่ละท่านเนิ่นนาน เพ่งมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า เขาต้องการสื่ออะไร คาดเดาเอาเองจากประสบการณ์ส่วนตนที่พอมี ผิดบ้างถูกบ้างคิดว่าคงไม่เป็นไร

"แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือความอิ่มอกอิ่มใจ จากพลังของภาพเขียนแต่ละภาพ หรือผลงานแต่ละชิ้น"

ตรงมุมหนึ่งของการจัดแสดง สุวิชาญ เถาทอง ได้สรุปบทเรียนซึ่งมาจากประสบการณ์การทำงานศิลปะของเขาออกมาเป็นข้อๆ ประมวลจากสิ่งที่เขาค้นพบโดยบังเอิญ และทดลองฝึกทำมาตลอด จนเกิดผลดีกับจิตใจตน ตั้งแต่ปี 2516-ปัจจุบัน โดยพูดถึงประโยชน์ของการเขียนภาพแบบลายเส้น (Drawing) ซึ่งเป็นงานที่เขาถนัด

เขาบอกว่า การฝึกฝน Drawing ด้วยปากกา ดินสอบนกระดาษ มีผลทำให้เกิดประโยชน์ใน 2 รูปแบบ คือ 1.ประโยชน์ขณะฝึก และ 2.เมื่อฝึกฝนไปแล้วนานๆ

ขณะฝึก Drawing นั้น สุวิชาญบอกว่าจะให้ประโยชน์ 1.จิตจะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ 2.จิตจะลืมเวลาในช่วงขณะนั้น 3.จิตจะลืมเหตุการณ์รอบข้างในช่วงขณะนั้น 4.จิตจะเกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งของตนเองและคนอื่น 5.จิตจะเกิดความเข้าใจในปัญหาและวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ได้ 6.จิตจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในแนวทางการสร้างสรรค์งานศิลปะของตนและคนอื่น และ 7.(ข้อสุดท้าย ผู้เขียนของดคำเฉลยเพื่อความเหมาะสมบางประการ)

เข้าใจว่า ในข้อสุดท้ายนี้แต่ละคนอาจค้นพบอะไรที่แตกต่างกันออกไป

และสำหรับประโยชน์เมื่อฝึกฝน Drawing ไปนานๆ แล้ว สุวิชาญสรุปเอาไว้ว่าจะทำให้ "จิตจะเกิดพลัง" ดังนี้

1.สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้เป็นเวลานาน 2.สามารถเพ่งพิจารณา หรือมองดู วัตถุสิ่งของต่างๆ ได้เป็นเวลานาน 3.สามารถนั่งทำงาน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน (เหมาะสำหรับคนที่มีสมาธิสั้น ซึ่งต่อไปในอนาคตจะมีคนสมาธิสั้น เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เนื่องจากผลของความเจริญทางเทคโนโลยีสูงขึ้น) 4.เป็นคนช่างสังเกต ละเอียด พิถีพิถัน รอบคอบมากขึ้น 5.(ข้อสุดท้าย ผู้เขียนของดคำเฉลย เพื่อความเหมาะสมบางประการ)

เข้าใจว่า ความเหมาะสมบางประการนี้ บางทีอาจเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปคิดว่า "เป็นไปไม่ได้" เช่น เช่นการใช้พลังจิตทำโน่นทำนี่ (ตรงนี้ผมสรุปเอาเอง)

ได้ลองนำเอาสิ่งที่ท่านศิลปินแนะนำไปปรับใช้

ผมลองหยิบปากกาขึ้นมาแล้วลองพล็อตจุด อย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างเชื่องช้า ทีละจุดๆ กระทั่งก่อรูปร่างมาเป็นภาพภาพหนึ่งซึ่งอยู่ในหัวผมอยู่ก่อนแล้วว่าควรจะ เป็นภาพอะไร หากแต่กว่าจะไปถึงปลายทาง (การได้ภาพมา) นี่สิ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน เปรียบไปก็ไม่ต่างกับการเข็นครกเหล็กขึ้นภูเขา

แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ในขณะที่กำลังพล็อตจุดอย่างเชื่องช้านั้น คือการที่สภาวะจิตไม่วอกแวก คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ คล้ายตัดขาดจากโลกภายนอก คล้ายหลงลืมสิ่งรอบข้าง ประตูใจไม่เปิดรับรู้ ความทุกข์ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้

มีแต่ความสุขขณะที่ใจจดจ่ออยู่กับภาพที่กำลังค่อยๆ ก่อตัว ถูกกักขังอยู่ในจิต จนปลาบปลื้ม ปีติสุข

คงจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปหากผมไม่นำสภาวะที่ผมประสบพบเจอมาบอกกล่าวต่อ

และผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หากฝึกไปนานๆ สภาวะ "ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ" จะดำรงอยู่กับเราอย่างคงทน

"บางที ประโยชน์ข้อสุดท้ายที่ สุวิชาญ ของดคำเฉลยนั้น อาจเป็นสิ่งมีค่าที่สุดที่เราคิดไม่ถึงเลยก็เป็นได้"



#112519 กิ่ง สุภัทรา รอดตายสึนามิ ซึ้งสัจธรรมชีวิต

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 20 June 2008 - 04:31 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

เคยตกเป็นข่าวดังกรณีประสบภัยจาก สึนามิ นักแสดงสาวสวย กิ่ง - สุภัทรา ทิวานนท์ ที่เฉียดตายมาแล้ว หลังจากหายดี ก็หายหน้าจากวงการไปพักใหญ่ ล่าสุดปรากฏตัวในฐานะ โหรไพ่ยิปซี เจ้าตัวสารภาพ หลังเหตุการณ์สึนามิ ทำให้ตัวเองได้ค้นพบสัจธรรมของชีวิต บวกกับได้พบอาจารย์ดี ทำให้เธอได้ค้นพบศาสตร์แห่งไพ่ยิปซี ที่เปลี่ยนชีวิตเธอโดยสิ้นเชิง จึงขอใช้วิชานี้เพื่อช่วยเหลือผู้คนต่อไป



- ทำไมถึงเลือกไปใช้ชีวิตที่อเมริกา ?

"กิ่งอยู่ที่นั่นตั้งแต่อายุ 10 ขวบพร้อมครอบครัว พออายุ 19 มีโอกาสกลับมา

เมืองไทย และได้ทำงานในวงการบันเทิง กิ่งจึงต้องเดินทางไปๆ กลับๆ อยู่นานพอสมควร

แต่ปัจจุบันชีวิตส่วนใหญ่ จะอยู่ที่อเมริกา"

- อยู่ที่อเมริกากิ่งทำอะไร?

"กิ่งทำงานที่โรงพยาบาล เป็นผู้ช่วยพยาบาล ดูแลผู้บาดเจ็บ เช่นในห้องฉุกเฉิน กิ่งรู้สึกดีกับงานแบบนี้เพราะหน้าที่ของกิ่งช่วยให้ร่างกายและจิตใจผู้ป่วยดีฃึ้น ส่วนหนึ่งที่เลือกทำอาชีพนี้อาจเป็นเพราะว่า ตอนอยู่เมืองไทยกิ่งเคย ช่วยงานมูลนิธิร่วมกตัญญู เราได้อะไรมากมายจากการทำงาน ไม่ใช่เพราะเพียงหน้าที่เท่านั้นค่ะ"

- อะไรคือสาเหตุที่ทำให้กิ่งหันมาสนใจเรื่อง ไพ่ยิปซี ?

"วันหนึ่งกิ่งมีปัญหาที่ไม่สามารถปรึกษาคนรอบข้างได้ เหตุผลเพราะไม่อยากให้ใครกังวล จึงไปพบกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านไพ่ยิปซี และวันนั้นเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของกิ่ง เมื่อไพ่เปิดขึ้น อาจารย์เริ่มอ่าน กิ่งบอกกับตัวเองว่า เป็นไปได้อย่างไร เพราะไพ่บอกทุกอย่างได้อย่างลึกซึ้ง บอกความคิด การกระทำ และการวางแผนชีวิต กิ่งรู้สึกว่าไพ่ยิปซีเป็นเป็นศาสตร์ที่น่าค้นหา และน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง จากที่ได้สัมผัสในครั้งนั้น เป็นเหตุทำให้กิ่งหันมาศึกษาอย่างจริงจัง และต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้"

- แนวทางการทำนายของไพ่ยิปซีเป็นอย่างไร ?

"ไพ่ยิปซี เป็นเหมือนเข็มทิศชีวิต แนะแนวทาง หรือทางเลือก บอกถึงการกระทำในวันนี้ว่าจะส่งผลอะไรในอนาคต แต่ทุกอย่างฃึ้นอยู่ที่คุณจะเลือกเส้นทางไหน นั้นแหละสำคัญ การดูไพ่ยิปซีสิ่งสำคัญ คือ ผู้ที่ต้องการดูจะต้องมีสมาธิที่สงบ นั่นสำคัญที่สุดเพราะต้องเป็นผู้สื่อสารกับไพ่ คนที่มีสมาธิจริงๆ ไพ่จะตรงมาก กิ่งเป็นผู้อ่านไพ่ว่าไพ่บอกอะไรกับเขามีอยู่ครั้งหนึ่ง สามี ภรรยาต่างชาติคู่หนึ่ง มาดูด้วยกัน สามีดูก่อน พอเปิดไพ่ กิ่งต้องขออนุญาตอยู่ตามลำพัง โชคดีที่ภรรยาของเขาทำตามคำขอของกิ่ง เหตุผลเพราะไพ่บอกว่าเขามีผู้หญิงอื่นอีกคน เขาตกใจมาก เมื่อกิ่งอ่านไพ่ และยอมรับในที่สุด ถึงตอนนี้กิ่งก็ยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้ และสนุกไปกับการศึกษา ศาสตร์แขนงนี้"

- กิ่งเคยรู้สึกไหมว่ามี ซิกส์เซ้นท์ หรือ สัมผัสดวงวิญญาณ มีเหตุการณ์แบบนี้บ้าง

ไหม ?

"ตอนเด็กๆ ไม่เคยเลย พอโตขึ้น หลายครั้งที่เราเห็นเป็นคน แต่เรารู้ว่าไม่ใช่คน ตัวเราเองก็ไม่อยากเชื่อ บางครั้งอยากจะบอกให้ใครๆ ฟัง ว่าเราเจอผีบ่อยๆ แต่ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ความอยากรู้ กิ่งจึงลองมาศึกษาศาสนาพุทธ (กิ่ง นับถือ ศาสนาคริสต์) เพื่อหาเหตุผลว่าสิ่งที่เราเจอคืออะไร ทำไมต้องเป็นเราที่เห็น หรือในอดีตชาติเคยผูกพันกันมา เคยไปบวชชีพราหมณ์ที่ปากน้ำ ได้คุยกับผู้ปฏิบัติธรรม ที่สุดก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่พบ"

- มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถลืมได้ในชีวิต ?

"เหตุการณ์เมื่อครั้ง สึนามิ ผู้ปฏิบัติธรรม ที่สามารถมองเห็นอดีตชาติได้โทรมาเตือนกิ่ง สี่วันก่อนเดินทางไปพักผ่อนทางใต้ ท่านบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรตามกิ่งพบแล้วเตือนกิ่งว่าอย่าไปทางน้ำนะ กิ่งก็ฟัง แต่ทุกอย่างถูกวางแผนไว้หมดแล้ว พร้อมทั้งจ่ายเงินเรียบร้อย ครอบครัวกิ่งรวมหกชีวิตที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน กิ่งไม่ตัดสินใจยกเลิก ทุกอย่างจึง ดำเนินไปและวันนั้น วันที่เกิดเหตุกิ่งจมอยู่ใต้น้ำกระดูกซี่โครงหัก แต่ต้องโหนต้นไม้อีกห้าชั่วโมง จากนั้นร่างกิ่งก็ถูกดูดไป ใต้น้ำไม่สามารถหายใจได้ จนกระทั่งรู้สึกว่ากำลังจะฃาดใจ ความรู้สึกตอนนั้นทรมานมาก จนไม่สามารถบอกเล่าเป็นคำพูดได้

ความตายคือทางออกเดียวในความคิด ที่จะสามารถพ้นจากความทุกข์ทรมาน"

"และวินาทีนั้นสมองของกิ่ง แว่วเสียงคำเตือนฃองผู้ปฏิบัติธรรม สำนึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ กิ่งพยายามรวบรวมสมาธิเท่าที่ทำได้ จึงตั้งใจสื่อสารถึงใครบางคนที่มองไม่เห็น จากใจ ด้วยความรู้สึกว่าอดีตชาติถ้ากิ่งเคยทำอะไรกับคุณไว้ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ทำให้คุณทุกฃ์ทรมานจากการจมน้ำ กิ่งขอโทษ ไม่ได้ขอให้เขายกโทษหรือร้องขอชีวิต แต่เป็นความรู้สึกสำนึกจากส่วนลึกของจิตใจจริงๆ จากนั้นร่างของกิ่งก็ทะยานขึ้นจากน้ำ รอดพ้นจากความตาย"

"แต่กิ่งก็ยังต้องทรมานจากร่างกายที่บาดเจ็บและต้องรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่มีเจตนาให้คิดว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่ แต่อยากจะบอกว่า คนเราทำอะไรสุดท้ายก็ต้องได้รับอย่างนั้นเช่นกัน และนี่คือเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเป็นช่วงชีวิตที่อยู่ระหว่างความเป็นกับความตายและกิ่งไม่มีวันลืมตลอดไป"

- สิ่งที่กิ่งอยากบอกทุกๆ คนคืออะไร ?

"อย่าได้ทำร้ายใคร เพราะเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน สุดท้ายมนุษย์ทุกคนย่อมได้รับผลของการกระทำทั้งสิ้น เพียงแต่วันใดเท่านั้น และสิ่งที่กิ่งอยากบอกอีกอย่างคือ จงมองปัญหาในวันนี้ จัดการกับปัญหาในวันนี้ ก่อนอย่ากังวลกับปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้น จงอยู่กับปัจจุบัน"










ที่มา-น.ส.พ.สยามรัฐ




#111735 แก้พิษรักนอกซีรีส์ เจ้าสาวต่างด้าวแดนโสม

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 12 June 2008 - 03:48 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



ด้วยสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จากการที่สาวๆ เกาหลีใต้มีสถานะและหน้าที่การงานดีขึ้นจนเมินหนุ่มในชาติตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำอาชีพใช้แรงงาน ผลกระทบข้างเคียงทำให้หนุ่มๆ แดนโสมมากมายขาดแคลน "เจ้าสาว"

ต้องอาศัยอิมพอร์ตเจ้าสาวจากต่างแดนมาทดแทน ซึ่งปีที่แล้วตกราว 30,000 คน

อันดับหนึ่งมาจากจีน มีทั้งสาวจีนในชนบทและสาวเกาหลีที่เป็นชนกลุ่มน้อยในจีน 14,526 คน อันดับสองคือเวียดนาม 6,611 คน

กระแสที่สาวเวียดนามเข้ามาแต่งงานกับหนุ่มเกาหลีหลายต่อหลายคู่ ทำให้เกิดเป็นกระแสสังคม มีละครทีวีของเกาหลีที่นางเอกเป็นสาวเวียดนาม เช่น Bride form Hanoi และ Golden Bride

แต่ในชีวิตจริง เรื่องราวโรแมนติกระหว่างหนุ่มโสมกับสาวเวียดนามไม่ได้หวานซึ้งหรือขำขันแบบในละคร

จาก รายงานล่าสุดของสำนักข่าวเอเอฟพี ทางการเกาหลีใต้เริ่มวิตกกับปัญหาการหย่าร้างระหว่างหนุ่มเกาหลีกับสาวเวียดนามและสาวต่างแดนอื่นๆ ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ


รวมไปถึงกรณีที่ฝ่ายหญิงถูกทำร้ายร่างกาย และบางรายถึงกับฆ่าตัวตายหนีปัญหา

ผลการศึกษาในปี 2548 ของทางการเกาหลีใต้ ร้อยละ 14 ของภรรยาต่างด้าว 945 คน ถูกสามีชาวเกาหลีใต้ซ้อม


กระทรวงสวัสดิการสังคมประกาศว่าจะเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างเอเยนต์เถื่อนจัดหาเจ้าสาวเหล่านี้ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2551

ภายใต้กฎหมายใหม่ว่าด้วยการแต่งงานกับคนต่างชาติ ผู้ละเมิดกฎหมายจะมีโทษสูงสุดคือจำคุก 2 ปี พร้อมปรับเงิน 10 ล้านวอน หรือราว 322,000 บาท

บริษัทที่จะรับจัดหาคู่ที่เชื่อว่ามีมากกว่า 1,000 แห่งจะต้องลงทะเบียนกับรัฐบาล รวมทั้งต้องฝึกอบรมพนักงาน และเคารพกฎหมายของชาติที่ติดต่อด้วย

เจ้าหน้าที่กระทรวงสวัสดิการสังคม กล่าวว่า
ที่ผ่านมาีเอเยนต์จัดหาคู่ให้ข้อมูลผิดๆ กับคู่บ่าวสาวเกี่ยวกับชีวิตสมรสในเกาหลีใต้ จนทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

มีการโฆษณาอย่างเลิศหรู ว่าสาวๆ เหล่านี้จะได้อยู่กับหนุ่มเกาหลีอย่างมีความสุข แต่ความจริงที่ได้เจอ คือคนที่มีความเป็นอยู่ลำบาก ป่วย เมาเหล้าทุกคน
หรือไม่ก็มีบุคลิกแปลกประหลาด

ส่วนฝ่ายชายก็ถูกจูงใจด้วยโฆษณาว่า "สาวเวียดนามจะอุทิศตนเพื่อคู่ชีวิตหลังจากแต่งงานแล้ว"

ระหว่าง การจับคู่ บริษัทเถื่อนเหล่านี้มักโกหกคู่ของอีกฝ่าย เช่น คนที่เป็นพนักงานเสิร์ฟก็บอกว่าเป็นเจ้าของร้านอาหาร คนที่เป็นชาวนาก็บอกว่าเป็นเจ้าของที่ดิน


การโกหกเล็กๆ น้อยๆ มักทำให้การจับคู่ได้ผล แต่เป็นอนาคตที่มืดมนสำหรับสองฝ่าย

"ความเชื่อใจระหว่างคู่สมรสล่มสลายลงก็เพราะข้อมูลโกหกเหล่านี้ และเมื่อคนเราไม่เชื่อใจกันแล้ว สถานการณ์อื่นๆ ก็เลวร้ายลง" คิม ยีซอน จากสถาบันพัฒนาสตรีกล่าว

ฮอตไลน์สายด่วนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วย เหลือหญิงต่างชาติที่มาแต่งงานกับหนุ่มเกาหลี ได้รับสายระบายความทุกข์ร้อนตกเดือนละ 1,000 สาย ส่วนใหญ่เป็นปัญหาครอบครัว

กวอน มี-คยุง ผู้จัดการสายฮอตไลน์นี้ กล่าวว่า ภรรยามือใหม่มีปัญหาถูกทำร้ายร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลมาจากช่องว่างทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน

"พวกเขามักแต่งงานกันภาย ใน 2-3 วัน อาศัยแค่ดูหน้าดูตาของฝ่ายหญิง จากนั้นเมื่อเริ่มต้นชีวิตคู่ก็มีปัญหาเรื่องภาษาที่สื่อสารกันไม่ได้"

หนุ่มเกาหลีส่วนใหญ่มีอายุ 20-30 ปีขึ้นไปซึ่งมักมีอายุแก่กว่าเจ้าสาวต่างแดน จ่ายเงินราว 3-4 แสนบาทเพื่อหาเจ้าสาว

ลี กึมซุน เจ้าหน้าที่สวัสดิการ กล่าวว่า กฎหมายใหม่จะช่วยให้คู่ต่างชาติได้รับข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตทั้งก่อนและหลัง ในเกาหลีใต้ได้ดีขึ้น

นอกเหนือจากปฏิบัติการกวาดล้างเอเยนต์จัดหา คู่เถื่อนแล้ว ทางกระทรวงยังมีโครงการช่วยเหลือเจ้าสาวต่างแดนให้ปรับตัวเข้ากับสังคม เกาหลีใต้ให้ดีขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมามีการแต่งงานข้ามเชื้อชาติร้อยละ 11 โดยเป็นกลุ่มเกษตรกรและชาวประมงสูงถึงร้อยละ 40

รัฐบาลเกาหลีใต้จะจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือแม่บ้านต่างด้าวนี้อย่างรวดเร็วให้ได้ 80 ศูนย์ทั่วประเทศ

เน้นให้ความรู้ด้านภาษาเกาหลี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตครอบครัว รวมถึงเทคนิคการเกษตร คอมพิว เตอร์ และอบรมวิชาชีพเสริม

ใน แผนยังจะอบรมเจ้าหน้าที่ 126 คนให้สอนด้านวัฒนธรรมตามเนิร์สเซอรี่และโรงเรียนชั้นประถมศึกษา อีก 240 คนจะให้ช่วยสอนภาษาอังกฤษในชั้นเรียน

ส่วนสามีฝ่ายเกาหลีเองก็จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาติเจ้าสาวตนเองอีกด้วย

ขณะ เดียวกัน เกาหลีใต้ส่งเจ้าหน้าที่ไปฟิลิปปินส์และเวียดนามเพื่อให้คำแนะนำกับสาวๆ ที่จะแต่งงานกับหนุ่มเกาหลี นอกจากนี้จะส่งเจ้าหน้าที่ไปกัมพูชาและมองโกเลีย ซึ่งเป็นชาติที่ส่งเจ้าสาวมาเกาหลีใต้อีกด้วย



#111671 มีศีล...ก่อนจะสาย

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 11 June 2008 - 06:27 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ท่ามกลางกระแสสังคมที่มักสวนทางกับความดีงาม พวกเราก็ไม่เคยขาดสิ่งจรรโลงใจที่จะช่วยปลุกจริยธรรมให้ผุดผ่องอยู่ตลอดเวลา มีศีล...ก่อนจะสาย ลวดลายภาษาธรรมมะจากสาวสังคม อ้อย-อัจฉราวดี วงศ์สกล ก็เผยโฉมออกมาในรูปเล่มสีฟ้าสดใส หากเต็มไปด้วยสาระที่เรียกร้องให้ทุกคนเผชิญโลกความจริงเยี่ยงคนมีศีลธรรม ประจำใจ จัดระเบียบชีวิตให้ศีลนั้นต้องอยู่กับเราไปตลอด เพราะ ศีลเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิตของคนทุกเพศ ทุกวัย

หนังสือ ธรรมของคนไกลวัดเล่มนี้ เธอถ่ายทอดให้เห็นว่า เป็นธรรมของคนเดินดิน กินข้าวห้างและข้าวแกง ซึ่งต่างก็ดิ้นรนและแสวงหาด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญ การเรียงร้อยภาษาเพื่อบอกกล่าวกับผู้อ่าน เธอยังเน้นให้ทุกคนเห็นด้วยว่า ศีล 5 ไม่ใช่เป็นเพียงรากฐานของชีวิต แต่เป็นหลักปฏิบัติศักดิ์สิทธิ์ใกล้ตัวที่ไม่ควรละเมิด เพราะเมื่อใดก็ตามที่ละเมิดศีล 5 เสียแล้ว ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้นแน่นอน

ด้าน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเป็นประธานเปิดงานและให้โอวาท ก็สร้างบรรยากาศในงานให้ สงบ เยือกเย็น เต็มไปด้วยธรรมมะประจำใจ แถมยังออกตัวว่า ที่รับเป็นประธานเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ ทั้งที่ก็มีหนังสือหลายเล่มติดต่อเข้ามานั้น เพราะการมีศีล เป็นประเด็นที่น่าสนใจ และทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่องของการมีสติ

“สิ่งสำคัญที่ผมเน้นคือ การมีสติ ผมบวชมา 4 ครั้ง กำลังหาโอกาสบวชครั้งที่ 5 เคยบอกกับเพื่อนๆ ว่า บวชมา 4 ครั้ง ได้มาคำเดียว คือ “สติ” ถ้าไม่มีสติทุกอย่างไปหมด ศีลก็ไม่มี ทำอะไรก็ผิดพลาดหมด” นอกจากนี้ ดร.สุเมธ ยังย้ำกับทุกคนด้วยว่า “ที่ผ่านมาสังคมบอบช้ำมามากแล้ว เราทุกคนต้องช่วยประเทศของเรา หากเราไม่ช่วยแล้วจะรอให้ใครมาช่วย”



#111666 เป็น"นางสาว"ดีตรงไหน

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 11 June 2008 - 05:10 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ยินดีด้วยกับผู้หญิงทั้งหลายที่ตอนนี้มีสิทธิเสรีภาพพอๆกับผู้ชาย ไม่ว่จะแต่งงานแล้วหรือเป็นม่าย ก็สามารถใช้คำว่า”นางสาวได้”

ลูกอาจใช้นามสกุลแม่ได้ ถ้าตกลงกับสามีให้รู้เรื่อง จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันในภายหลัง

แต่ถ้าลูกใช้นามสกุลแม่ คนที่ไม่รู้กฏหมายอาจจะกังขาว่า

พ่อไม่ยอมรับเป็นลูกหรือ

คนเป็นแม่ม่าย เลิกกับสามีกล้าใช้คำว่า นางสาวได้ ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งทำให้ดูเป็นสาวโสดอีกครั้ง

ถ้า เป็นสมัยก่อน แปลว่าไม่เคยจดทะเบียนกับใคร หากผู้ชายคนนั้นคิดมาก อาจต้องไปตรวจสอบที่ทะเบียนราษฎร์ หากไม่แน่ใจว่าเป็นนางสาวจริงไหม

ส่วนผู้หญิงแต่งงานแล้ว จะใช้คำว่านางสาว ก็ควรจะขออนุญาตสามีก่อน

เพราะคำว่า นางสาวมีความหมายในหลายด้าน

หากเราเป็นคนแต่งงานแล้ว จดทะเบียนแล้ว การใช้คำว่า นางสาว เข้าทำงานและต้องติดต่อกับผู้คนมาก โดยเฉพาะผู้ชาย แล้วเกิดมีคนมาชอบเราโดยไม่รู้ว่า เราแต่งงานแล้ว

เขาอาจจะมาจีบเรา พอเขารู้ว่า เรามีสามีแล้ว เขาอาจจะเสียความรู้สึก หรืออับอายขายหน้า

แม้เราไม่ตั้งใจ ก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้

เผลอๆสามีเกิดเป็นคนขี้หึง ครอบครัวมีปัญหาได้


ส่วนคนไม่จดทะเบียน อาจใช้นางสาวได้ แต่ควรเปิดเผยให้คนรู้ว่า มีคู่แล้ว

เป็นการแสดงความจริงใจ รักใคร่กับคู่ของเรา

คำว่านางสาว ก็แค่ตัวหนังสือ ถ้าบริสุทธิ์ใจกัน จะใช้นางหรือนางสาวก็ไม่มีความหมาย

แต่ถ้าแต่งงานแล้ว ควรใช้คำว่า นางมากกว่า เป็นใบประกาศนียบัตร ให้สามีรู้ว่า เราภูมิใจที่เป็นเมียของเขา และตัดปัญหาจะมีใครมาจีบเรา

ส่วน คนที่เป็นแม่ม่าย ไม่ว่าเหตุใดก็ตาม การได้ใช้นางสาวอีกครั้ง ก็เป็นการเติมเต็มความสุขของผู้หญิงบางคน ต่างประเทศผู้หญิงเลิกกับสามีก็ใช้นางสาวกันทั้งนั้น เราจะทำบ้างก็ดีเหมือนกัน

สุพัตรา สุภาพ



#111042 หยุดทำตัวเป็น"แม่มด"สัก 1 วัน!!!

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 04 June 2008 - 05:40 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ



นับเป็นโครงการที่น่าชื่นชมของ นิตยสารวัยรุ่นชื่อ เกิร์ลเฟรนด์ ของนิวซีแลนด์ ที่ประกาศตั้งวันชื่อว่า เนชั่นแนล คอมพลิเมนท์ เดย์ (National Compliments Day) เพื่อขอให้ผู้อ่านหยุดทำตัวร้ายกาจสัก 1 วันทุก "วันศุกร์" แล้วหันมาทำดีต่อตัวเอง และผู้อื่น ด้วยการพูดชม พูดแต่สิ่งดีๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันและกัน

ทั้งนี้ ดร.นิกิ ฮาร์เร่ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยามหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ บอกว่า จากการศึกษาพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับคนรอบข้างนั้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อการสร้างสม ความมั่นใจในตัวเอง

"ความประทับใจที่เกิดจากการที่เรารู้ว่า คนอื่นเขารู้สึกต่อเราอย่างไร เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเกิดความรู้สึกดีต่อตัวเราเอง" ดร.นิกิกล่าว ด้าน คิมเบอร์ลี่ย์ ครอสแมน ดาราสาววัย 20 จากละครทีวีเรื่อง ชอร์ตแลนด์ สตรีท เล่าว่า เธอรู้ดีว่า คำพูดชมมีผลต่อความรู้สึกของผู้ฟังเพียงใด เพราะที่เธอเองประสบความสำเร็จในอาชีพการแสดงในทุกวันนี้ ก็เป็นผลพวงมาจากคำชมที่เธอได้รับทั้งจากครอบครัว และเพื่อนๆ เสมอมา

"ฉัน รู้เลยว่า คงไม่มีวันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ถ้าหากไม่ได้กำลังใจจากเสียงชม และการให้กำลังใจจากคนรอบข้างที่ฉันได้รับตลอดมา และฉันก็คิดว่า มันเป็นสิ่งสำคัญที่เมื่อเราเห็นใครทำอะไรที่น่าภูมิใจ เราควรจะบอกให้เขารู้ว่า เรารู้สึกภูมิใจเขาขนาดไหน และนี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับวัยรุ่น และคนที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่"



#110176 รถไฟซามูไรพึ่ง“แมว”เป็นนายสถานี

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 26 May 2008 - 05:06 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

เอเอฟพี – เมื่อถึงคราวคับขันคนญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่าต้องขอพรจากแมว และที่เมืองคิโนกาวาทางตะวันตกของญี่ปุ่นนั้น ชาวเมืองก็ได้รับพรจาก “ทามะ” แมวเพศเมียวัยเก้าปี จริงๆ จากการที่ทามะเข้าทำงานในตำแหน่งนายสถานีรถไฟหญิงประจำสถานีคิชิ
ทามะเป็นแมวสีกระดองกระ ถือกำเนิดและเติบโตอยู่ที่สถานีรถไฟคิชิ ซึ่งอยู่ในเส้นทางรถไฟสายคิชิกาวา อันมีสถานีอยู่ 10 สถานีตลอดระยะทาง 14.3 กิโลเมตร ทุกวันทามะจะสวมหมวกเครื่องแบบของวากายามา อิเล็กทริก เรลเวย์ แล้วมาคอยยืนต้อนรับบรรดาผู้โดยสารที่เดินทางไปมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง
สถานีไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้กับทามะ แต่ให้อาหารมันเป็นการตอบแทน
“ทามะเป็นนายสถานีเพียงคนเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ เพราะเราต้องลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรลง คุณบอกว่าคุณขอพรจากแมวได้ แต่ที่นี่แมวกำลังให้โชคเราจริงๆ” เคอิโกะ ยามากิ โฆษกหญิงของวากายามา อิเล็กทริก เรลเวย์ บอก
ทามะเป็นแมวจรจัดที่พนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งของสถานีเป็นผู้นำมา โดยมีโตชิโกะ โกยามา เจ้าของร้านขายของชำใกล้กับสถานี เลี้ยงดูมันจนเติบใหญ่
ส่วนสถานีคิชินั้นต้องไร้นายสถานีคอยดูแลมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2006 หลังจากที่เส้นทางรถไฟสายนี้ประสบขาดทุน
ทามะเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว เมื่อมันได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายสถานีอย่างเป็นทางการ และส่งผลตอบรับทางบวกในทันที โดยเห็นได้จากการที่ในเดือนมกราคมปีนี้มีผู้โดยสารในเส้นทางสายนี้เพิ่ม ขึ้นจากช่วงหนึ่งปีก่อนหน้าถึง 17 เปอร์เซ็นต์ และหากนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้วจนถึงมีนาคมปีนี้ ก็มีจำนวนผู้โดยสารในเส้นทางนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์
จากผลงานอันโดดเด่น บริษัทจึงยกย่องทามะเป็น “ซูเปอร์นายสถานี” เมื่อต้นปีนี้ และทามะเป็น “ผู้หญิงเพียงรายเดียวที่อยู่ในตำแหน่งระดับบริหาร” ในหมู่พนักงานที่เข้มแข็งทั้งหมด 36 คน
“เป็นตำแหน่งสูงสุดของบริษัทในลำดับที่ 5 เสียด้วย” ยามากิเล่าติดตลก
รางวัลตอบแทนตำแหน่งใหม่ของทามะก็คือห้องทำงานของนายสถานี ซึ่งปรับปรุงจากช่องขายตั๋วเก่า อีกทั้งยังมีงานเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมีนายกเทศมนตรีของเมืองคิโนกาวาและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของวากายามา อิเล็กทริก ให้เกียรติมาร่วมงานด้วย
ตอนนี้ทามะทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หยุดพักผ่อนวันอาทิตย์ โดยในวันทำงานนั้น เจ้าของร้านชำที่เลี้ยงดูทามะมาแต่เล็ก จะเป็นผู้นำทามะมาที่สถานี โดยบอกมันเพียงประโยคเดียวว่า “คุณนายสถานีคะ ถึงเวลาทำงานแล้วค่ะ” แล้วทามะก็จะเดินตามเธอไปที่สถานีอย่างว่าง่าย



#109605 สร้างสุขให้ชีวิตด้วยเสียงหัวเราะ

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 20 May 2008 - 06:14 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

เครียดๆๆ คนกรุงเป็นโรคเครียดกันระบาด มีการทำนายอนาคตว่า อีก 10 ปีข้างหน้า คนไทยจะป่วยเป็นโรคเครียด และภาวะซึมเศร้าสูงเป็นอันดับสอง รองจากโรคหัวใจ ใครไม่อยากตายเพราะความเครียด ตามมาทางนี้เลยค่ะ

ในงานเสวนาเรื่อง “มาร่วมหัวเราะ เพาะสุขภาพชีวิต” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อเร็วๆ นี้ “ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ” ประธานชมรมหัวเราะแห่งประเทศไทย ตีแผ่ความจริงอันน่าตกใจว่า ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดูเผินๆ เหมือนกับว่าชีวิตของคนเราจะสะดวกสบายขึ้น แต่ผลพวงที่ตามมาจากความทันสมัย ก็คือ ความทุกข์ ความเครียด และโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากความเครียด ซึ่งจากการศึกษาวิจัยทางการแพทย์บ่งชี้ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า คนเราอาจต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่เกิดจากความเครียด และภาวะซึมเศร้าสูงเป็นอันดับสอง รองจากโรคหัวใจ ถ้าไม่อยากเสี่ยงชีวิตเพราะโรคเครียด ทางที่ดีควรป้องกันไว้ก่อน หรือหาทางเยียวยาล่วงหน้า ด้วยการสร้างเสียงหัวเราะดักความเครียด


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การหัวเราะบำบัด “ดร.วัลลภ” แจกแจงว่า การหัวเราะของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ หัวเราะแบบธรรมชาติ เมื่อได้ยินหรือพบเห็นเรื่องที่ตลกขำขัน ก็จะหัวเราะออกมา กับอีกประเภทคือ การหัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นศาสตร์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาในเรื่องการหัวเราะ หรือมีโรคภัยอันเกิดจากภาวะเครียด และซึมเศร้า การบำบัดด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ยังส่งผลดีต่อระบบการย่อยอาหารและระบบขับถ่ายด้วย

เทคนิคบำบัดด้วยการหัวเราะ เป็นการฝึกโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการกระตุ้นใดๆ เหมือนการออกกำลังกายภายใน โดยทุกครั้งเมื่อมีการหัวเราะ กล้ามเนื้อที่เคยตึงเครียดจะผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล และมีความสุข เนื่องจากเวลาที่เราหัวเราะร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข หรือเอ็นโดฟิน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด และเกิดความอิ่มอกอิ่มใจ

ขณะเดียวกัน การฝึกหัวเราะบำบัดยังส่งผลดีอีกหลายด้าน เช่น บางคนที่มีอาการท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะระบบย่อยไม่ดี การหัวเราะบำบัดก็ช่วยให้ทุเลาลงได้ เพราะว่าทุกครั้งที่เกิดความเครียด กล้ามเนื้อทุกส่วนจะเกร็ง แต่เมื่อได้หัวเราะ จะช่วยทำให้ระบบกล้ามเนื้อต่างๆ ผ่อนคลายลง

“ดร.วัลลภ” ยังย้ำด้วยว่า การหัวเราะบำบัดถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายภายใน เช่น ถ้าเต้นแอโรบิกครึ่งชั่วโมง จะเท่ากับการหัวเราะอย่างต่อเนื่อง 5 นาที จากสถิติยังพบว่า คนอ้วนที่เคยเข้าคอร์สหัวเราะบำบัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 สัปดาห์ น้ำหนักจะลดลง 3-4 กิโลกรัม โดยไม่ต้องอดหรือลดอาหาร

อย่ามัวแต่เครียดให้โรคถามหาเลยค่ะ มาเริ่มหัวเราะบำบัดแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยการอ้าปากกว้างๆ แล้วเปล่งเสียง “โอ” หรือ “อา” ออกมาหลายๆ ครั้งอย่างต่อเนื่อง แค่นี้ต่อมความสุขก็กระดี้กระด้าแล้ว

จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 58 ฉบับที่ 18193 11/13/2007 -- http://www.bangkokhe...sp?Number=16903



#109071 ที่มาของ “ลอดช่องสิงคโปร์”ตำนานความอร่อยยาวนาน 60 ปี

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 14 May 2008 - 03:55 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

นายณรงค์ จักรธีรังกูร เจ้าของร้านสิงคโปร์โภชนา ใครจะรู้บ้างว่า คำว่า ลอดช่องสิงคโปร์นั้น แท้จริงแล้วต้นกำเนิดไม่ได้มาจากประเทศสิงคโปร์ แต่เกิดจากภูมิปัญญาของคนไทยเรานี่เอง ที่ได้นำแป้งมันสำปะหลังมาปั้น และนวดให้เหนียว รับประทานกับกะทิสด และน้ำเชื่อม น้ำแข็งป่น ก็เพิ่มความสดชื่นให้กับผู้บริโภคได้แล้ว แต่หลายคนคงสงสัยว่าแล้วคำว่า สิงคโปร์ล่ะ มาจากไหน ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกกันจนติดปาก ถึงบริเวณที่ตั้งร้านนี้ ที่เป็นเจ้าแรก ในการทำ “ลอดช่องสิงคโปร์” นั่นเอง


ลอดช่องสิงคโปร์ตักใส่แก้วเตรียมใส่น้ำแข็งพร้อมเสริฟให้ลูกค้า เพราะหากย้อนไปเมื่อประมาณ 60 ปีก่อน ร้านนี้บังเอิญไปตั้งอยู่บริเวณ หน้าโรงภาพยนต์สิงคโปร์ (เดิม) หรือโรงหนังเฉลิมบุรี บนถนนเยาวราช และเมื่อลูกค้าจะไปทาน ก็มักจะเรียกว่า “ไปทานลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์” สุดท้ายก็เรียกให้สั้นลงว่า “ลอดช่องสิงคโปร์” แทน

ส่งผลให้ร้าน “สิงคโปร์โภชนา” เป็นร้านต้นกำเนิดลอดช่องสิงคโปร์ ที่เรียกกันติดปากมาจนถึงปัจจุบัน โดยนายณรงค์ จักรธีรังกูร เจ้าของร้านสิงคโปร์โภชนา ได้ย้อนอดีตให้ฟังว่า ธุรกิจกิจนี้เป็นของผู้เป็นพ่อ โดยได้รับการถ่ายทอดสูตรมาจากเพื่อนอีกทีหนึ่ง ซึ่งรวมระยะเวลาที่ร้านลอดช่องสิงคโปร์เปิดบริการให้ลูกค้าได้ลิ้มลองก็ประมาณกว่า 60 ปี โดยตั้งที่บริเวณแยกหมอมี ตรงข้ามธนาคาร UOB ถ.เจริญกรุง ซึ่งแต่เดิมเป็นโรงหนังสิงคโปร์ จนกระทั่งถูกรื้อทิ้ง สร้างใหม่เป็นโรงหนังเฉลิมบุรี

“การที่ร้านเราสามารถครองใจลูกค้ามาได้ยาวนานถึง 60 ปี เนื่องจากการคงคุณภาพวัตถุดิบ และสูตรของขนมลอดช่องสิงคโปร์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการใช้กะทิ แบบเข้มข้น เพื่อให้ได้ความหอม มัน ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ส่วนเส้นของลอดช่อง ก็มีความเหนียวนุ่ม โดยสีที่นำมาใช้จะเป็นสีเขียวของใบเตยและสีผสมอาหาร ซึ่งหากใช้สีของใบเตยเพียงอย่างเดียวจะทำให้สีไม่สวย สดใส ในขณะที่น้ำเชื่อมก็ไม่หวานจนเกินไปนัก พร้อมใส่ขนุนลงไปในน้ำเชื่อมด้วย ทำให้ลูกค้าในปัจจุบันมีทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่เคยมารับประทานตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่มสาว ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นลูกค้าประจำแม้อายุจะล่วงเลยไปถึง 70-80 ปี แล้วก็ตาม โดยทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มานั่งกินลอดช่องสิงคโปร์เพื่อมารำลึกความหลัง”

ปัจจุบันร้านลอดช่องสิงคโปร์ ได้มีการเพิ่มเมนูที่เป็นของคาวเพิ่มขึ้นด้วย คือ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูน้ำใส จากเดิมที่ขายก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ และก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ซึ่งก็ได้รับนิยมของลูกค้าไม่แพ้กัน เพราะเมื่อลูกค้าสั่งก๋วยเตี๋ยวรับประทานแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะสั่งของหวาน อย่างลอดช่องสิงคโปร์ตบท้าย เพื่อความสดชื่น รวมถึงขณะนี้ได้ขยายสาขาไปที่บริเวณแยกสะพานควาย ข้างบิ๊กซี

ส่วนยอดขายในปัจจุบัน นายณรงค์ บอกว่า ตนเองไม่เคยคำนวณกำไร และต้นทุน เพราะเมื่อจะเอาเงินไปซื้อวัตถุดิบ ก็จะหยิบเอามาจากถัง ที่ถูกชักลอกด้วยเชือก ที่อยู่ในร้าน แต่ก็ถือว่าไม่เคยขาดทุน มีเงินหมุนเวียนใช้ในร้านตลอดเวลา รวมถึงจำนวนแก้วของลอดช่องสิงคโปร์ที่ขายได้ในปัจจุบัน ก็ไม่เคยนับด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่เปิดร้านเวลา 11.00 -21.00 น. เมื่อลอดช่องสิงคโปร์ให้โถแก้วหมด ก็จะทำเติมอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งร้านปิด ซึ่งขณะนี้ขายในราคาแก้วละ 15 บาท โดยยังไม่มีโครงการขึ้นราคาตามราคาของแป้ง น้ำตาล และมะพร้าว ที่ปรับราคาขึ้นไปแล้ว

ลอดช่องสิงคโปร์รสหวาน มัน รับประทานชื่นใจ เป็นที่น่าเสียดาย เมื่อเราถาม ณรงค์ว่า มีแผนการดำเนินธุรกิจนี้ต่อไปอย่างไรในอนาคต คำตอบที่ได้คือ คงจะทำอีกไม่กี่ปี ก็จะเลิกทำแล้ว เพราะไม่มีผู้สืบทอด ซึ่งโดยส่วนตัวคิดจะเลิกหลายครั้งแล้ว เพราะเหนื่อย ทำไม่ค่อยไหว เนื่องจากอายุอานามที่เพิ่มขึ้น เข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งลูกหลานก็อยากให้เลิกทำ อยากให้พักผ่อน ซึ่งฟังแล้วก็ใจหาย ที่ในอนาคตจะไม่ได้เห็นและรับประทานขนมลอดช่องสิงคโปร์ที่เป็นต้นตำรับ หาใครทำเลียนแบบได้ยาก

ร้านลอดช่องสิงคโปร์ โภชนานั้น ปัจจุบันได้กลายเป็นตำนานบนถนนเยาวราช เพราะไม่เพียงแต่ความเก่าแก่ที่ครองใจผู้บริโภคมานานกว่า 60 ปีแล้ว ร้านนี้ยังถูกทางสำนักงานเขตสัมพันธ์วงศ์ ได้ขอให้คงอยู่ไว้ เพราะถือว่าร้านนี้กลายเป็นตำนานและเป็นส่วนหนึ่งของเยาวราชที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว


***สนใจติดต่อ 02-221-5794 เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. ***




#108859 รบกวนช่วยแนะนำการปรับแต่งหน้าจอ PC.

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 12 May 2008 - 02:47 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ลองใช้ FIREFOX แทน เพราะใช้อยู่ไม่มีปัญหาเลย



#107382 เจอแล้ว...คนแฮปปี้

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 26 April 2008 - 06:22 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

22 เมษายน พ.ศ. 2551 16:44:00
แอนดี โกะ
ในที่สุด แดนลอดช่องก็ได้ค้นพบบุคคลที่ได้ชื่อว่า มีความสุขที่สุดในประเทศ หลังจากแข่งขันกันมาตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้วกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

เขาผู้นั้นคือ แอนดี โกะ ผู้จัดการบริษัทวิศวกรรม วัย 35 ปี ฟิลิป เมอร์รี ซีอีโอของโกลบัล ลีดเดอร์ชิป อะคาเดมี เป็นผู้จัดการแข่งขันนี้ขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากเกรย์ กรุ๊ป บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง สำรวจพบว่าประชาชน 9 ใน 10 คนของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ รู้สึกว่าชีวิตตนเองเคร่งเครียดเสียเหลือเกิน กฎกติกา คือ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเขียนอธิบายประมาณ 300 ถึง 1,000 คำ ว่าทำไมพวกเขาสมควรเป็นตัวอย่างแห่งความสุข โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งในท้ายที่สุด มีผู้เข้าร่วมการประกวดถึง 207 ราย "ผมเคยคิดในตอนแรกว่าจะมีใครมาเข้าร่วมกับเราไหม แต่เราไม่เพียงได้ผู้เข้าแข่งขันถึง 207 ราย เรายังได้รับเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมอีกหลายๆ เรื่องด้วย ยังมีผู้คนที่มีความสุขอีกมากที่เราไม่ได้พูดถึง" เมอร์รีระบุ ไซบุน สิราช เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมวิทยาลัยช่าง วัย 61 ปี ติด 1 ในผู้เข้ารอบ 4 คนสุดท้าย เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้ตีพิมพ์หนังสือ "Zany, Zeal, Zest and Zing : The Z way to happiness" แต่สูตรของเธอดูจะแพ้แนวทางง่ายๆ ของหนุ่มโกะที่มีเคล็ดลับในการสร้างความสุข ว่า ไม่ได้เกิดจากเงินหรือสิ่งของ แต่เกิดจากสุขภาพที่ดี ครอบครัว เพื่อน รวมถึงการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งนี้ โกะจะได้รับเงิน 148 ดอลลาร์ พร้อมแพ็คเกจท่องเที่ยวที่เกาะภูเก็ตเป็นของรางวัล "ไม่ต้องมองไปไกลหรอก ความสุขอยู่ใกล้ๆ คุณนั่นแหละ" คนที่มีความสุขที่สุดในสิงคโปร์กล่าวทิ้งท้าย



#107127 วิกฤตศรัทธาอาชีพ ‘แพทย์’

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 24 April 2008 - 03:24 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย เมื่อการประกาศผลเอนทรานซ์ล่าสุด เด็กที่สอบติดคณะแพทยศาสตร์ สละสิทธิ์มากถึง 25% แถมมีนักศึกษาแพทย์ลาออกกลางคันตั้งแต่ปี 1 ถึง ปีที่ 9 ทั่วประเทศนับหมื่นคน รวมทั้งเด็กที่เรียนดีมากๆ หลายคนไม่เลือกแพทย์ เบนเข็มไปเลือกวิศวกรรม กฎหมาย บัญชี ศิลปศาสตร์ เพราะเหตุที่แพทย์เป็นอาชีพที่ทำงานหนัก เงินเดือนน้อย แถมยังเป็นอาชีพที่เสี่ยงกับการถูกฟ้องร้องสูงสุด


เป็นครั้งแรกที่วิกฤตศรัทธาในอาชีพแพทย์บ้านเราเริ่มมีปัญหา ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต้องแย่แน่ๆ เพราะปัจจุบันอาชีพแพทย์ก็ขาดแคลนไม่เพียงพออยู่แล้ว จำนวนแพทย์ต่อประชากรในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยมองผ่านตัวเลขจีดีพี พบว่าอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก เมื่อเปรียบเทียบกับแพทยสภาที่มีประมาณ 3.3 หมื่นคนนั้น เมื่อพิจารณาแนวโน้มพบว่าเกือบคงที่ ในขณะที่ความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลการสำรวจเกี่ยวกับอนามัยและสวัสดิการของประชาชนคนไทย พบว่า ในช่วงปี 2547 อัตราการใช้บริการแบบผู้ป่วยนอก (โอพีดี) เพิ่มขึ้นจาก 247 ล้านครั้ง เป็น 309 ล้านครั้ง หรือเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 25% ภายใน 3 ปี ขณะที่อัตราการใช้บริการแบบผู้ป่วยในก็เพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงกัน คือประมาณ 20%

ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกสมาคมแพทยสภา ให้ความเห็นว่า คงเป็นเรื่องของเด็กส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่เด็กที่เรียนดีก็ยังคงเลือกแพทย์อยู่ ได้สอบเข้าโดยตรงกับคณะแพทย์ไปแล้ว มีเป็นเพียงส่วนน้อยมากๆ ที่ได้แพทย์แล้วสละสิทธิ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะหากไม่มีใจรักจะมีปัญหาในการทำงานต่อไปในอนาคต เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ต้องทำงานหนัก ต้องทุ่มเททั้งกายและใจ ถ้าไม่มีใจรักเสียแต่เริ่มต้นอยู่ต่อไปก็จะมีปัญหา ถ้าไม่ชอบก็ไปเรียนในสิ่งที่เขาสนใจจริงๆ ดีกว่า หากมาเรียนเพราะพ่อแม่ขอร้องจะไม่เกิดผลดีกับใครเลย

“หมอต้องทำงานหนัก บางครั้งทำงานติดต่อกัน 24-36 ชั่วโมง มันล้าแล้ว ในอเมริกามีกฎออกมาแล้วว่าให้แพทย์ทำงานได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมงต่อวัน ในออสเตรเลียประมาณ 16 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเสี่ยงมาก ล่าสุดมีสถิติพบว่า แพทย์มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เพราะการนอนไม่พอถึง 6 เท่า ซึ่งการเสียชีวิตของแพทย์อันดับ 3 คือ อุบัติเหตุรถชน รถคว่ำ”




สำหรับที่หลายคนมองว่าเป็นประเด็นหลักที่ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งสละสิทธิ์ ก็คือ เรื่องการฟ้องร้องแพทย์ ซึ่งนายกสมาคมแพทยสภา บอกว่า ขณะนี้ปัญหาการฟ้องร้องก็เริ่มน้อยลงจากเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว มีปีละ 300 กว่าคดี ปัจจุบันนี้เหลือเพียง 100 กว่าคดี เพราะแพทย์เองก็มีการปรับตัว เรียนรู้ และระมัดระวังมากขึ้นในการทำงาน และการสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงคนไข้ ในขณะที่แพทยสภาเองก็ถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงในการพูดคุยกับคณบดีคณะแพทยศาสตร์
ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้บรรจุหลักสูตรการสอนเรื่องปัญหาการฟ้องร้องไว้โดยเฉพาะ เพื่อมีขบวนการแก้ไข เฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัญหา และเมื่อมีปัญหาแล้วจะมีการรับมืออย่างไรให้เกิดการประนีประนอมกันให้มากที่สุด โรงพยาบาลต่างๆ ก็มีการปรับตัวเรื่องปัญหาเวชระเบียน การเปิดเผยข้อมูลคนไข้ การสื่อสารพูดคุยกับคนไข้ต้องมีมากขึ้น ในการรักษาต่างๆ ต้องแจ้งให้คนไข้ทราบอย่างละเอียดว่า แนวทางการรักษามีอะไรบ้าง ถ้าเลือกทางที่ 1 จะเป็นอย่างไร ถ้าเลือกทางที่ 2 จะได้ผลอย่างไร ในแต่ละกรณีจะมีปัจจัยเสี่ยงอย่างไรบ้าง ผลดี ผลเสีย แตกต่างกันอย่างไร แล้วตัดสินใจเลือกร่วมกันกับคนไข้ ต่างจากสมัยก่อนแพทย์จะไม่ค่อยอธิบายแล้วตัดสินใจให้คนไข้เลยว่าทางนี้ดีกว่า แต่เดี๋ยวนี้ให้แพทย์ให้ข้อมูลการตัดสินใจ คนไข้จะเลือกเอง

เรียกว่าดูแลทั้งทางร่างกายและจิตใจ การพูดจาสื่อสารจะดีขึ้นให้เวลากับคนไข้ให้มากขึ้น

“แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจว่า ในโรงพยาบาลรัฐหมอต้องตรวจคนไข้วันละเกือบร้อยคน ซึ่งคนไข้จะมีเวลาคุยกับหมอเพียง 1-2 นาที ตอนนี้พยายามให้หมอมีเวลาคุยกับคนไข้ให้ได้ 5-10 นาทีต่อคนก็ยังยาก แต่ก็พยายามจะทำให้ได้ ในประเทศที่เจริญแล้วหมอมีเวลาคุยกับคนไข้ถึง 30 นาที แต่บ้านเราหมอไม่เพียงพอจริงๆ เราเห็นถึงปัญหาและพยายามแก้ไขอยู่ มิได้นิ่งนอนใจ” ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยความหนักใจ

ทางด้านหมอหน้าใหม่หน้าตาสวยหล่อ ที่มีงานอดิเรกในวงการบันเทิง เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เขาและเธอเหล่านั้น กลับรู้สึกสบายๆ ไม่กังวล เพราะเชื่อว่าการทำงานให้เต็มที่ด้วยความรักความเข้าใจ ทุกอย่างจะเป็นเครื่องป้องกันที่ดีที่สุด

หมอเบิร์ท พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลศรีธัญญา ให้ความเห็นว่า สำหรับตัวเองอาชีพแพทย์ยังเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีประโยชน์ เป็นที่น่าภาคภูมิใจ เรื่องการถูกฟ้องร้องเสียหายนั้นคงเป็นเพียงส่วนน้อย เพราะแพทย์โดยส่วนใหญ่ก็ยังตั้งใจทำงานและทำงานหนักกัน โดยเฉพาะแพทย์ชนบท หากทำงานด้วยความทุ่มเทระมัดระวังก็คงช่วยแก้ปัญหาเรื่องการฟ้องร้องได้ระดับหนึ่ง สำหรับตัวเองทุกครั้งที่รักษาคนไข้ก็มุ่งหวังให้คนไข้หายป่วยอาการดีขึ้น ทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท ก็ช่วยให้ปัญหาลดน้อยลงไป

“ที่ศรีธัญญาเบิร์ทตรวจคนไข้วันละ 50 คน พอนอกเหนือเวลางาน หมอคนอื่นอาจจะไปทำงานที่คลินิกต่อ แต่เบิร์ทอยากทำอย่างอื่นบ้าง โชคดีที่เบิร์ทได้ไปอ่านข่าว ถ้าไม่ได้อ่านข่าวก็อาจจะไปเปิดร้านขายต้นไม้ ร้านขายรูปภาพ ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เบิร์ทรัก แล้วทำให้รู้สึกว่าชีวิตเรามีสมดุลมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ชีวิตที่มีความสุข ไม่เครียด ไม่กดดันเกินไป ก็จะได้งานที่มีคุณภาพ”

น้องเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์ นางสาวไทยประจำปี 2549 และนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รู้ว่าแพทย์เป็นอาชีพที่งานหนัก เสี่ยงต่อการติดโรค เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง เวลาเรียนก็หนักเพราะต้องสอบอยู่ตลอดเวลา เมื่อจบแล้วก็ต้องเรียนรู้เพิ่มอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่เธอก็ยังอยากเรียน เพราะคิดว่าเป็นอาชีพที่มีประโยชน์ มีเกียรติ

“เวลาสอบบ่อยๆ ก็มีท้อบ้าง เดี๋ยวสอบอีกแล้ว ต้องดูหนังสือหนักตลอดเวลา แต่ไม่ถอย ถ้ารู้สึกเครียดก็ไปเล่นโยคะ เลี้ยงสัตว์ ดูการ์ตูน หางานอดิเรกที่ชอบทำ เดินหน้าต่อไป พร้อมที่จะทำงานภายใต้ความกดดันเสมอ อาจารย์หมอสอนไว้เสมอว่าให้รักษาทั้งคน รักษาทั้งไข้ ให้ดูแลทั้งกายและดูแลทั้งใจ ถ้าทำดีจริงเราจะผ่านอุปสรรคปัญหาไปได้ โชคดีที่บ้านเจี๊ยบมีธุรกิจทั้งคุณพ่อคุณแม่ เจี๊ยบไม่ต้องกดดันเรื่องการสร้างเนื้อสร้างตัว เพราะพ่อแม่เตรียมไว้ให้พร้อม เจี๊ยบจึงทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีข้อกังวลใดๆ”

ส่วนจิตแพทย์น้องใหม่ อย่าง หมอเอิ้น พญ.พิยะดา หาชัยภูมิ จิตแพทย์ฝึกหัดโรงพยาบาลรามาธิบดี และนักแต่งเพลงให้หนังดังหลายเรื่อง และกำลังจะออกผลงานเพลงในช่วงปลายปีนี้ ทุกวันนี้หมอเอิ้นเริ่มรักษาคนไข้แล้ว และแน่นอนว่าอาชีพหลักก็คือการเป็นจิตแพทย์ ส่วนงานเพลงนั้นเป็นยามว่างในชีวิตที่ชอบไม่แพ้กัน

“สมัยก่อนเด็กเรียนเก่งมีทางเลือกน้อย ต้องเป็นหมอเป็นวิศวกรเท่านั้น แล้วพ่อแม่ก็จะอยากให้ลูกเป็นหมอ ลูกก็เรียนเพื่อเอาใจพ่อแม่โดยที่ตัวเองไม่ได้ชอบจริงๆ แต่สมัยนี้เด็กที่เรียนเก่งมีทางเลือกมากขึ้น ไปเรียนอย่างอื่นที่ทำรายได้ดีและมั่นคงอย่างด้านคอมพิวเตอร์ เป็นเชฟ เป็นผู้เขียนบท หรือเข้าวงการบันเทิง แล้วพ่อแม่ก็ไม่ฝืนใจลูก ให้เลือกทำในสิ่งที่ลูกชอบจริงๆ เด็กตอนนี้จึงมีโอกาสเลือกมากขึ้น

อย่างเอิ้นพ่อแม่ไม่บังคับ เอิ้นเลือกเองเพราะอยากเป็นหมอ แต่อยากเป็นคนแต่งเพลงด้วย เอิ้นแบ่งเวลาได้จึงเลือกทำทั้งสองอย่าง แต่งานหลักคือหมอ จึงมีความสุขในทั้งสองอย่าง และเชื่อว่าอะไรที่ทำด้วยความสุขเราจะทำได้ดี”

ร.ต.นพ.สุริยา สุบุญ หรือ หมอก้อง แพทย์ทั่วไปประจำโรงพยาบาลปราจีนบุรี พระเอกละครเรื่องดาวจรัสฟ้า และพริกไทยกับใบข้าว และผู้ประกาศข่าวบันเทิงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 กล่าวว่า เรื่องโดนฟ้องไม่กังวล เนื่องจากหากเราทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจและเต็มใจก็ยากที่ปัญหาจะเกิดขึ้น ที่สำคัญก็คือต้องทำงานด้วยความเอาใจคนไข้มาใส่ใจเรา ดูด้วยว่าคนไข้เขาคิดอย่างไร ถ้าเป็นเราๆ จะคิดอย่างนั้นทำอย่างนั้นไหม พยายามมีความเห็นอกเห็นใจและมีเมตตาธรรม

“สำหรับผมงานในวงการบันเทิงถือว่าเป็นงานอดิเรก แต่อาชีพหลักก็คือการเป็นหมอ เพราะเป็นอาชีพที่ผมรักและผมเลือกเอง และภูมิใจในการตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ว่าอาชีพใดก็ตามหากทำด้วยความรักความเข้าใจทุ่มเท ก็เชื่อว่าผลจะออกมาดี หากจะมีการผิดพลาดบ้างคงน้อยมาก”

ธัญชนก ธารีบุตร ผู้สอบติดคณะแพทยศาสตร์อันดับ 1 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไม่ห่วงกังวลในเรื่องนี้ เพราะคิดว่าถ้าจบไปเป็นแพทย์จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“จริงๆ แล้ว คงไม่มีใครอยากฟ้องหมอ และหมอก็ไม่อยากถูกฟ้อง ถ้าทำงานด้วยความรักความเข้าใจ เปิดใจให้ข้อมูลกับคนไข้อย่างเต็มที่ เชื่อว่าปัญหาต่างๆ คงไม่เกิดขึ้น”






#104216 "ภุชงค์" เขาว่า...โลกนี้ไม่มีเพอร์เฟคต์

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 17 March 2008 - 08:03 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



"ไม่มีใครเพอร์เฟคต์"

คำง่ายๆ แต่ "ล้ำลึก" คำนี้เป็น "คติ" ประจำใจของ "ภุชงค์ วิบุญวิริยะวงศ์" ชายหนุ่มที่เคยเรียกตัวเองว่าเป็น "เพอร์เฟคชั่นนิสต์" หรือ "ผู้พอใจแต่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ!!" หากประสบการณ์จากการทำงานให้เขาเรียนรู้ว่า "ไม่มีอะไรดีที่สุด!!!"

"เมื่อก่อนผมเป็นพวกเพอร์เฟคชั่นนิสต์ ทุกอย่างต้องเป๊ะๆ แต่สัจธรรมของโลกมันไม่มีอะไรดีที่สุด แม้กระทั่งตัวผม แล้วจะหวังอะไรกับคนอื่น ถ้าเรามองแต่ข้อเสียจนไม่สนใจมองข้อดีเลย คนที่ทุกข์ที่สุดก็คือตัวเรา" ภุชงค์เริ่มเล่า

ด้วยวัยเพียง 29 ปี เขาเป็น "มือขวา" ของ วินิจ เลิศรัตนชัย บอสใหญ่ของบริษัท อาร์เอส เฟรสแอร์ จำกัด นอกจากนี้ยังรั้งตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด เคยเป็นโต้โผจัดงานคอนเสิร์ตดังๆ มาแล้วหลายงาน อาทิ คอนเสิร์ตของนักร้องต่างชาติ เติ้ล ลี จิน จากจีน, เชอร์เบต จากออสเตรเลีย ส่วนนักร้องไทยได้แก่ คาราบาว บอย โกสิยพงษ์ เป็นต้น


เรียกว่าเป็น "คนหนุ่มไฟแรง" ทีเดียว

"หน้าที่ของผมส่วนใหญ่จะเป็นผู้ช่วยคุณวินิตในการวางแผนและประสานงานต่างๆ ว่าจะทำอย่างไรให้งานงานหนึ่งที่บริษัทรับจัดกิจกรรมให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เรื่องหินที่สุดในการทำงานนี้คือ การไม่รู้ข้อมูล เพราะเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ ดังนั้นการเข้าถึงข้อมูลเป็นพื้นฐานสำคัญมาก แม้จะไม่รู้ลึกซึ้ง แต่มันก็ช่วยทำให้เปอร์เซ็นต์การทำงานผิดพลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม แม้จะพยายามปิดช่องโหว่แล้ว ในทุกงานเราก็ต้องเผื่อใจไว้รับกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงที่จะเกิดขึ้นด้วย เพราะในการทำงานทุกชนิดไม่มีคำว่าเพอร์เฟคต์"

แต่กว่าที่ภุชงค์จะเข้าใจคำว่า "ไม่เพอร์เฟคต์" เขาก็ต้องเหนื่อยกับ "อัตตา" ที่เขายึดติดมากทีเดียว

"ช่วงแรกๆ ที่ทำงาน ผมยึดติดความสมบูรณ์แบบมาก อะไรไม่ตรงตามแผนที่วางไว้ ผมจะซีเรียส ยอมไม่ได้ แต่เชื่อไหม ในขณะที่ผมเครียด ทุกคนกลับบอกว่า สุดความสามารถแค่นี้ กลายเป็นว่าผมเครียดอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งพอทุกข์มากๆ มันไปกระทบกับครอบครัวถึงขั้นทะเลาะกันหลายหน แย่มากๆ เป็นอย่างนี้ มันทำให้ผมกลับมาทบทวนตัวเอง จริงๆ ผมก็ไม่สมบูรณ์แบบ มีข้อเสียในตัวเองมากมาย พอคิดได้ ผมจึงพยายามเปลี่ยนมุมมองใหม่ มองโลกในแง่ดี พยายามเข้าใจผู้อื่นมากกว่าเอาแต่ใจตัวเอง เรียนรู้ที่จะยอมรับผลที่ออกมาโดยไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น และมองทุกเรื่องให้เป็นกลางๆ พอคิดได้อย่างนี้ โอ้โห!!! มีความสุขขึ้นเยอะเลย"

ปิดท้าย ภุชงค์บอกว่า จากประสบการณ์ที่เคยเป็นพวกผู้นิยมความสมบูรณ์แบบ สอนเขาว่า

"พวกเพอร์เฟคต์เยอะ ไม่เข้าใจโลก และโลกนี้ไม่มีคำว่าเพอร์เฟคต์ครับ"



ที่มา-น.ส.พ.มติชน



#104093 มองโลกในแง่ฮา

โพสต์เมื่อ โดย kuna บน 16 March 2008 - 02:56 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

โพลล์ของสำนักต่างๆ ระบุว่าคนไทยกำลังเครียด เซ็ง เบื่อการเมือง วันนี้ "มองย้อนศร" จึงขอไม่เริ่มต้นการมองในเชิงเหตุผล แต่ให้เราแก้อารมณ์เครียด เบื่อ เซ็งการเมือง ด้วยการอมยิ้มหรือหัวเราะ ตามดีกรีของเรื่องตลกที่จะเล่าต่อไปนี้

เรื่องที่ 1

คนไข้ทางจิตผู้หนึ่งได้แสดงความกล้าหาญกระโดดลงไปช่วยผู้ป่วยอีกคนหนึ่ง
ให้รอดพ้นจากการจมน้ำตาย หมอเรียกคนไข้มาพบและบอกเขาว่า

หมอ : ยินดีด้วยนะครับ การกระทำอันกล้าหาญของคุณ แสดงว่าคุณหายเป็นปกติแล้ว คุณจะได้กลับบ้านแล้วครับ

คนไข้ : (ตื่นเต้น) จริงๆ นะครับ โอ้...วิเศษที่สุด...

หมอ : แต่...ผมเสียใจด้วยเรื่องหนึ่งนะครับ

คนไข้ : (สีหน้างง) เรื่องอะไรเหรอครับ คุณหมอ

หมอ : คนไข้ที่คุณเสี่ยงชีวิตลงไปช่วยนั้น เขาผูกคอตายเสียแล้ว !

คนไข้ : (ยิ้ม ถอนหายใจโล่งอก) โธ่! นึกว่าอะไร เขาไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเห็นเขาตัวเปียกน้ำ ก็เลยจับแขวนกับขื่อผึ่งลมให้แห้งน่ะครับ

หมอ : !?!?!?!?

เรื่องที่ 2

ผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่งไปพบแพทย์โดยใส่ถุงเท้า 2 ข้าง ไม่เหมือนกัน

หมอ : (เสียงอ่อนโยน) ทำไมใส่ถุงเท้าแบบนี้ล่ะครับ

คนไข้ : ก็มันมีแต่แบบนี้นี่ครับคุณหมอ

หมอ : คุณมีถุงเท้าคู่เดียวหรือครับ

คนไข้ : ปล่าว...ที่บ้านก็มียังงี้อีกคู่ เหมือนกันเปี๊ยบเลย

หมอ : ?!?!?!

เรื่องที่ 3

จิตแพทย์ร้อนวิชาออกเดินเยี่ยมผู้ป่วยในตึก เพื่อหาทางจับผิดการรักษาของแพทย์อื่น เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวดี นั่งอยู่ที่ระเบียงจึงเดินเข้าไปชวนคุย

หมอ : วันนี้อากาศน่าสบายนะครับ

คนไข้ : ผมก็สบายของผมทุกวันแหละ พวกคุณมาบอกผมไม่สบาย ผมผิดตรงไหนนะ กะอีแค่ชอบรองเท้าหนังหุ้มส้นมากกว่ารองเท้าแตะฟองน้ำ

หมอ : (ตาลุก มองเห็นช่องทางจับผิด) นั่นน่ะสิ ! เกิดเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ใครเป็นเจ้าของไข้ของคุณ ผมไม่เห็นว่าจะผิดปกติตรงไหนเลยหากคุณจะชอบรองเท้าหนังหุ้มส้น ผมเองก็ชอบรองเท้าหนังหุ้มส้นครับ

ผู้ป่วย : (ตื่นเต้นดีใจ) โอ...จริงนะครับคุณหมอ ผมอยากพบมานานแล้วคนที่ชอบอะไรเหมือนกันเนี่ย

หมอ : จริงครับ สบายใจได้

ผู้ป่วย : ถ้างั้นคุณหมอชอบแบบปิ้งหรือต้มล่ะครับ

หมอ : ?!?!?!

ผู้ป่วยทางจิตนั้นเป็นผู้ที่ใช้เหตุผลคนละชุด และมีมิติเวลาไม่เหมือนกับคนปกติ การพยายามพูดคุยสนทนากับผู้ป่วยทางจิต เราจึงถือสาไม่ได้ ดังนั้น เวลาที่อ่านหรือฟังข่าวการให้สัมภาษณ์ที่ชวนเครียด โกรธเกลียดกับความไร้เหตุผล หรือการใช้เหตุผลแบบดันทุรัง เอาสีข้างเข้าถู เราก็ใช้จินตนาการ คิดเสียว่า เขาเป็นเหมือนคนไข้ในเรื่องที่เล่ามา ไม่สามารถคาดหวังให้เขาใช้เหตุผลแบบคนปกติได้ โบราณก็บอกอยู่แล้วว่า "อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา" นั่นคือการสนทนาหรือสื่อสารกับคนบ้าและคนเมานั้น มีประโยชน์น้อย ไม่ควรเอามาถือเป็นอารมณ์

เรื่องที่ 4

ครู : ด.ช.ปื้ดเธอมาสายบ่อยมาก เธอจะแก้ตัวว่ายังไง กับการไม่มีวินัยของเธอ

ปื๊ด : ครูครับ ผมไม่ได้อยากมาสายเลย แต่ที่สายเพราะต้องทำตามป้ายที่ปักอยู่ใกล้ๆ โรงเรียนครับ

ครู : ป้ายอะไรของเธอ ?

ปื๊ด : ป้ายจราจรที่เขียนบอกว่า "โรงเรียนอยู่ข้างหน้า ให้ไปช้าๆ"

ครู : ?!?!?!

ถ้าเขาที่ทำให้เราเครียดเซ็งไม่ใช่ผู้ป่วยทางจิต เขาก็อาจจะเป็นเด็กกลมกลิ้ง ที่พยายามหาทางแก้ตัวด้วยการหยิบฉวยเอาอะไรบางอย่างของสังคมมาใช้ประโยชน์แบบข้างๆ คูๆ เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ

เรื่องที่ 5 : ในชั่วโมงวิชาภูมิศาสตร์

ครู : จิมมี่ ออกมาชี้แผนที่ให้เพื่อนดูซิว่า ทวีปอเมริกาอยู่ตรงไหน

จิมมี่ : (ออกมาชี้แผนที่) ตรงนี้ครับครู

ครู : ดีมากจ้ะ (หันมาถามนักเรียนทั้งห้อง) นักเรียนใครเป็นคนค้นพบทวีปอเมริกาจ้ะ

นักเรียนทั้งชั้น : (ตอบพร้อมเพรียง) จิมมี่ครับคุณครู !

ครู : ?!?!?!

นี่ก็เป็นเรื่องของการเข้าใจคำถามผิด เพราะระดับความสามารถของเขายังน้อยอยู่ จึงตอบไปเรื่อยโดยไม่รู้ว่าคนถามต้องการคำตอบอะไร (น่าเอ็นดู)

ในวันที่อะไรๆ ก็ใช้เหตุผลไม่ได้ จนดูเหมือนไม่มีทางออก มองโลกแง่ขันไว้ก่อน จะได้ไม่เครียด เพราะความเครียดทำลายปัญญา ใครก็ไม่รู้บอกว่า "สติดี จะมีรอยยิ้ม สติถูกทิ่มรอยยิ้มจะไม่มี" และ "สติมีผีจะหลบ สติถูกตบจะพบกับผี" ไม่อยากพบกับผี ต้องมีอารมณ์ขันไว้บ้าง...