ไปที่เนื้อหา


เนื้อหาจาก ดินสอแห่งธรรม

ค้นพบทั้งสิ้น 98 รายการโดย ดินสอแห่งธรรม (จำกัดการค้นหาจาก 09-August 23)



#189993 บั้งไฟพญานาค 2556

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 21 October 2013 - 10:08 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

^_^  กล้องดีมาก ความละเอียดถือว่าชัดมาก เพราะในวันนั้นถือว่ามืดมากๆ 

 

.... ปีนี้ฝั่งลาวจุดประทัด พลุ เยอะกว่าปีที่แล้ว แต่พลุก็ขึ้นได้แค่ต่ำๆ ซึ่งชัดเจนว่า บั้งไฟนั้นสูงกว่าหลายเท่าและก็หายวับไม่มีย้อย ไม่มีเลี้ยว ไม่มีส่ายไปมา หากใครยังเชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์อยู่ ควรไปดูเองให้เห็นกับตา แต่ขอให้วิจารณ์เบาๆ เพราะคนที่เชื่อมีเยอะกว่ามาก และเขาก็อาจจะรำคาญ ผู้ที่ไม่เคยรู้ประวัติ ไม่เคยศึกษาภูมิประเทศ และไม่เชื่อ แต่มัววิจารณ์อยู่ได้...  นี้เป็นการชี้แจงเพื่อให้ตัวคุณปลอดภัยเอง  *-)

 

....จุดที่บั้งไฟจะขึ้นไม่ได้มีทุกที่ทั่วบริเวณแม่น้ำโขงแต่อย่างใด  คนพื้นที่ที่เป็นคนเก่าคนแก่จะรู้จักภูมิประเทศ เขตแดน และบริเวณดีว่าที่ไหนมีประวัติของพญานาค และที่ไหนเป็นที่ที่ดวงไฟจะขึ้น และควรมองไปทางไหน ซึ่งเป็นความแม่นยำอย่างยิ่ง เหมือนว่าท่านเหล่านั้นพบเห็นตั้งแต่ครั้งเริ่มรู้ความเป็นเด็กเล็กจนจบถึงวัยชรา...

 

...ดังนั้นผู้ที่ไม่รู้ ไม่แน่ใจ หรือไม่เชื่อก็ไม่ควรไปลบหลู่ความศรัทธา หรือความเชื่อของผู้อื่น เพราะนอกจากคุณจะไปเก้อไม่เห็นดวงไฟแล้ว คุณอาจไม่รู้ว่าบริเวณนั้นมีสัตว์มีพิษอยู่มากในบริเวณที่คุณอยู่ก็เป็นได้ แต่ที่ผ่านมา บริเวณใดที่เห็นลูกไฟได้ มักไม่ค่อยมีใครเจอสัตว์มีพิษทำร้ายเลย ยกเว้นแต่มีวิบากกรรมร่วมกันมากระมัง....

 

...ก็ขออนุโมทนากับท่านที่ได้ไปสร้างบุญ ณ พุทธอุทยาน และได้ชมบั้งไฟซึ่งมีแค่เพียงคืนเดียว คือ วันออกพรรษาของฝั่งลาวเท่านั้น  ที่เป็นของแท้ปีละครั้งมีมาเป็นพันปี ยังคงมีอยู่ และจะมีต่อไป..... :)




#189989 ประกันภัย ที่ไม่ด้ายชื้อด้วยเงิน แต่มีค่าเกีนก่วาที่เงินจะชื้อด้าย

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 21 October 2013 - 07:38 PM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

^_^ ก็เป็นไอเดียที่ดีนะครับ ประกันภัยด้วยการรักษาศีล....

 

....แต่ประกันนี้ทำความเข้าใจยากอยู่นะครับ แต่ก็ไม่เกินผู้มีมีจิตใจเป็นกัลญาณมิตร และหัวใจพระโพธิสัตว์ทุกท่านอย่างแน่นอน.. ถ้ามีศีลได้ รักษาได้ก็เท่ากับผู้นั้นเปิดทางสวรรค์เชียวนะ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ค่อนข้างยากอยู่  เพราะ "ทางไปสวรรค์มันรก .... ทางไปนรกมันเลียบ" .... 8-|




#189988 ก่อนการเกิดของสรรพสิ่งคือสิ่งใด ?

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 21 October 2013 - 07:32 PM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

...ถ้าเป็นตามสารคดีวิทยาศาสตร์ หรือเรื่องราวที่เป็นภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ ก็เป็นเพียงสมมุติฐานนะครับ เพราะวิทยาศาสตร์ก็เกิดไม่ทันในยุคนั้นอย่างแน่นอน แม้เรื่องราวที่เป็นหลักฐานต่างๆ ในยุคเมื่อ 3000พันกว่าปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็ยังเพิ่งค้นพบหรือเพิ่งจะตื่นเต้นกันอยู่เลย นี่แค่สามพันกว่าปีเองนะครับ ยังเป็นเรื่องใหม่ๆให้ค้นคว้าอยู่เลย

 

...ดังนั้น ให้ลืมเรื่องการกำเนิดโลก หรือจักรวาลในเชิงวิทยาศาสตร์ไปบ้าง เพราะแม้ผู้ค้นคว้าก็ยังบอกเลยว่า "นี้เป็นเพียงสมมุติฐาน"  ก็คือ ดูจากหลักฐานที่ยังเหลืออยู่เท่านั้น ซึ่งมีทั้งเป็นจริง และไม่เป็นจริงผสมกันอยู่  แม้เรื่อง ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ วิทยาศาสตร์ก็ยังสรุปอะไรไม่ได้ ว่าให้กำเนิดสิ่งใดแน่นอน หรือ ไม่ให้กำเนิดอะไรแน่นอน ....




#189972 ประมวลภาพ “ตักบาตรมิตรภาพไทย-ลาว” เนื่องในวันออกพรรษา 2556

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 20 October 2013 - 07:00 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

....  :)




#189968 ท่านใดจะไปหนองคาย ยังตัดสินใจทันนะ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 20 October 2013 - 06:31 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

...อ่า กลับมาแล้วครับ พอดีเขาจองห้องพักไว้ เลยค่อนข้างสบายเลย...

 

...ไม่ต้องห่วงคับ คราวหน้า ถ้าจะไปพัก จะขนไปสัก 2 รถบัสนะ  :P อย่าปิดบ้านหนีไปก่อนล่ะ




#189967 คำสอนยาย..ไม่ต้องให้ใครมาโอ๋

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 20 October 2013 - 06:28 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

... สร้างบารมีให้เต็มที่ สุดแรง สุดกำลัง มีกำลังใจและเป้าหมายที่จะทำเป็นที่ตั้ง เมื่อทำแล้ว.... ก็จะปลื้มมากกว่าให้มีใครสักคนมาเห็น หรือมาสนใจ หรือมาชื่นชม หรือให้กำลังใจนะครับ... อันนี้ประสบมาด้วยตนเอง และพบว่า  จะทำดีหรือไม่ดี ย่อมมีคนเห็น พยานที่รู้เห็นการสร้างบารมีนั้นก็มีอยู่มากมาย แต่เราไม่เห็น ดังนั้น ไม่ต้องสนใจ เดินหน้าสร้างความดี สร้างบารมีไปให้เต็มที่ สุดกำลัง  แล้วจะพบถึงความสุขที่เหนือกว่าคำบรรยาย... 8-|




#189966 อยากทราบว่าปลาอะไร ควรปล่อยที่ไหนถึงจะอยู่รอดไม่ตายคะ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 20 October 2013 - 06:22 PM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

....ปลาคือ ชีวิต 1 ชีวิตน่ะครับ แม้ตัวโต ตัวเล็ก แพง หรือถูก ตายยาก หรือง่าย ก็คือ 1 ชีวิต...

 

...หากเรามีทางเลือกไม่มาก ก็ควรหาปลาที่แข็งแรง และอยู่ในเวลาที่เสี่ยงต่อการตาย หรือถูกสับเป็นชิ้นๆ เช่น ในตลาดสด ฯลฯ เอาไปปล่อยในที่ปลอดภัยที่มีโอกาสว่ายไปได้อย่างอิสระ เช่น แม่น้ำ หรือ คลองที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ก็จะทำให้มันมีโอกาสรอดสูงตามไปนั่นเอง

 

....แต่ปลาตัวเล็ก ถ้าปล่อยก็ย่อมเสี่ยงต่อการถูกจับกินเสียก่อนจะโต และจริงๆแล้ว ปลาตัวเล็กนี่ เขาก็มักยังไม่ฆ่ามันในวันนี้หรือพรุ่งนี้แบบปลาตัวใหญ่ อ้วนๆ ฯลฯ ที่พร้อมจะถูกประหาร ดังนั้น หากเขาอยู่ในกะละมังดีๆ เอาเขาไปปล่อยแล้วตาย ก็ให้อยู่ในกะละมังไปก่อนดีกว่า  แต่ปลาที่รอขึ้นเขียงสับหัวอยู่ ก็ช่วยเขาก่อน แบบนี้ทำให้เขามีโอกาสรอดแน่นอนกว่า และยังทำให้การให้ชีวิตสัตว์เป็นทานของเรา บรรลุผลได้ดีกว่านั่นเอง...




#189965 มหาเถรสมาคม(มส.) ได้มีการรับรองมติเรื่องขอพระราชทานสถาปนา เลื่อน และตั้งสมณศั...

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 20 October 2013 - 06:14 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

:o ... สุดยอดข่าวสว่าง ต้องทำความคุ้นเคยใหม่ซะแล้ว  :P




#189964 ประมวลภาพ “ตักบาตรมิตรภาพไทย-ลาว” เนื่องในวันออกพรรษา 2556

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 20 October 2013 - 06:12 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

^_^ ....ปลื้มนะ ได้ไปเตรียมงานนิดเดียวเอง เพราะผู้มีบุญมาช่วยกันเยอะ หุหุ




#189942 ท่านใดจะไปหนองคาย ยังตัดสินใจทันนะ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 17 October 2013 - 10:09 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

...ผมไปรถอา คับ  :$    ... อาศัยเขาไป...

 

...ไปเจอกันที่โน่นเลยนะครับทุกท่าน  เตรียมเสื้อกันฝน ร่ม เสื้อกันหนาว ยาพาราฯ ให้พร้อมกันนะ  ^_^

 

...บอกได้เลยว่า งานนี้ถ้าใครไม่ไป ไม่มีเสาเข็มให้ตอกให้วันอื่นของสิ่งนี้อีกแล้วนะ  ปักลงไปแล้ว ปักเลยถาวร  :lol:

 

...อ้อ ที่พักนะครับ ถ้าไปหาเอง หรือไปด้วยตนเอง ขอบอกว่าอย่าเพิ่งคิดว่าจะหาได้ง่ายนะครับ เพราะทั้งประเทศมุ่งไปพักที่ หนองคาย บึงกาฬ ฯลฯ กันเพียบ ครั้งที่แล้วจองไว้ข้ามพรรษาเลยทีเดียว... ถ้าจำเป็นต้องไปพักจริงๆ อยากได้ที่ไหนลองอธิษฐานเอาบุญสู้ดูนะครับ เผื่อจะได้ เพราะเราก็น่าจะมีบุญมากกันอยู่แล้ว ลองดู ๆ  8-)

 

....แต่ลูกหลานหลวงปู่ คงไม่เกี่ยง ไม่สนเรื่องที่พักกันอยู่แล้วใช่ไม๊ครับ เต้นท์หลังเดียวก็พอ  B)




#189936 กานออกบวซ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 16 October 2013 - 06:08 PM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

^_^ ..อ่านจากข้อความแล้ว...ก่อนอื่นต้องขอทักทายเป็นภาษาลาวก่อนละกัน ซำบายดีบ่? ..หุหุ  :P
 
...ก็ขอตอบพอสังเขป ไว้ให้ท่านอื่นตอบเสริมบ้างละกัน (จะได้กลับมาอ่านบ่อยๆ ^_^ )
 1. ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เว้นจากผมแล้ว นามสกุลนี้ไม่มีใครสืบทอดแล้ว  ก็ภาระในบ้านนั้นมีพี่สาวพอดูดีได้อยู่บ้าง การบวชระยะยาวของผมก็ยังทำไม่ได้ แต่บวชระยะสั้น หนึ่งพรรษาน่าจะพอได้ ก็บวชแบบนี้ไปก่อน 
 
   ... จริงอยู่เป็นลูกก็ควรดูแลพ่อแม่ แต่เราก็อย่าลืมว่า เราเกิดมาเจอพ่อแม่ที่ดีแบบชาตินี้ได้ ก็เพราะเรามีบุญ เราไม่เจอพ่อแม่บางคนที่ฆ่าลูกทิ้งตั้งแต่ยังไม่เกิดก็เพราะบุญของเรา  ถ้าเราไม่สร้างบุญให้ตัวเรา ก็ไม่แน่ว่าเราจะได้เกิดมาเป็นคนอีกในชาติหน้า  แม้เกิดก็อาจไม่เกิดพ่อแม่ที่ดีเช่นนี้ ดังนั้นการสร้างบุญใหญ่ให้ตัวเอง จึงเป็นเรื่องสำคัญ
 
.....พ่อแม่เราในชาตินี้ก็อาจพลัดพรากจากเราทั้งในชาตินี้และชาติหน้า โอกาสจะได้เกิดมาเจอกันอีกไม่ใช่ง่ายๆ บางทีเราเกิด แต่พ่อแม่เรายังไม่เกิด หรือพ่อแม่เราเกิด แต่เรายังไม่เกิด ..หรือหากพ่อแม่ชาตินี้เกิดแล้ว ก็อาจมีลูกเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เราอีก กว่าจะได้เกิดแล้ว มีเราเป็นลูกท่านเหมือนชาติที่ผ่านมา เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ...ต้องพลัดกันไปแบบนี้ในสังสารวัฏมากมาย...  
 
 ....เราควรบวชเพื่อเอาบุญให้เราและพ่อแม่ และหากบุญมีกำลังมากพอก็จะทำให้ท่านเข้าใจและปล่อยให้เราบวชต่อไป จะเป็นเช่นนี้ได้ หรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับบุญของตัวเรา และบุญของพ่อแม่นั่นเอง ที่จะมีลูกชายในสายเลือด เป็นพระภิกษุ เป็นอายุของพระพุทธศาสนาตราบจนท่านสิ้นลมหายใจ... นี้ก็เป็นไปด้วยผลบุญ ผลบาปทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับเราด้วยเช่นกัน....
 
2.  ผมก็เป็นอีกคนที่มีแฟนแต่ยังไม่ทันได้แต่งงานกัน อยู่กันแบบพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายรู้หมดแล้ว ถามว่ารักกันไหมก็แน่นอนเราผ่านเรื่องร้ายๆมาเยอะจนชินแล้วเพราะคบกันนาน แต่สุดท้ายผมก็คุยกับแฟนถึงเป้าหมายในเส้นทางของอนาคต ว่าผมอยากบวช อยากช่วยงานพระศาสนา 
 
แรกๆเขาก็รับไม่ได้เพราะวัฒนธรรมคนไทย เมื่อคบหากันแล้วทั้งสองฝ่ายยินดีก็ควรต้องแต่งงานกัน  แต่ผมก็เห็นงานพระศาสนาสำคัญ บางทีก็พูดออกมาบ่อยๆ หรือบางทีก็ชวนเขาให้เข้ามาช่วยงานพระศาสนาเหมือนกับผม จากศีล5 ก็ชวนกันรักษาศีล8 
 
เราทำแบบนี้จริงๆ จนเมื่อเหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ บุญผมคงได้ช่อง เขาก็เลยบอกให้เป็นแค่เพื่อนกัน แยกจากกันด้วยกาย แต่ใจก็ยังเหมือนเป็นแฟนกัน ต่างคนต่างอยู่ และเขาก็ต้องไปดูแลครอบครัวเขา เราก็เช่นกัน โดยให้ความสำคัญกับครอบครัว ศีล และงานพระพุทธศาสนามากกว่าการอยู่ร่วมกันแบบสามีภรรยา 
 
....ทุกวันนี้ก็ติดต่อกันอยู่ แต่เอาความปลื้มจากงานบุญมาคุยกันแทนคำว่า  รักไหม ห่วงไหม? ฯลฯ  มันอาจดูตลกสำหรับคนที่ไม่อยู่ในสถานะการณ์เช่นผม แต่ผมก็คิดว่า ถ้าจะกลับไปรักกันอีกมันทำได้วันนี้เดี๋ยวนี้เลย แต่อยู่อย่างนี้ดีกว่า ในเมื่อเขาให้โอกาสเราสร้างบุญ เราก็ควรให้โอกาสเขาสร้างบุญ ต่างคนต่างมองงานบุญเป็นใหญ่ และเขาก็ให้ผมบวชได้ถ้าผมจะบวช 
 
....ข้อนี้...ก็ต้องบอกว่า มันขึ้นอยู่กับเรา และภรรยา และบุญของเรา กับบุญของภรรยา ที่จะมีสามีเป็นอดีตสามี แต่เป็นพระเพื่องานพระศาสนา รักษาความบริสุทธิ์ของกายวาจาใจ ก็เหมือนภรรยาได้ยกสามีของตน ไว้เป็นอายุของพระพุทธศาสนา....เป็นบุตรของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า..
 
3. อันนี้ถูกต้องที่สุดเลยที่ว่า บวช โดยที่ครอบครัวยินดี หรือรับรู้ เพราะเขาเหล่านั้นจะได้อนุโมทนาบุญการบวชของเราด้วยใจใสๆอย่างเต็มที่ บุญจะส่งผลเต็มกำลัง ถ้าปลื้มมากและตัวญาติพี่น้องหรือครอบครัวมิได้ทำกรรมหนัก หรือทำบาปอกุศลบ่อยๆแล้ว ก็อาจปิดอบายภูมิได้เลย 
 
...เพราะการยินดีในการบังเกิดอายุของพระพุทธศาสนา แปลว่า พื้นเดิมแล้วเขามีบุญมาก เขาถึงเข้าใจ และสามารถมายินดี มาร่วมอนุโมทนาบุญได้ บุญนี้จะไปดึงบุญเก่าในภพชาติอดีตให้มาส่งผลได้ เพราะเป็นนิสัยเดิมของผู้เคยอนุโมทนาบุญกับการบวชแบบนี้มาก่อนแล้วนั่นเอง ...ดังนั้นย่อมแตกต่างกับการบวชแบบที่ครอบครัว หรือญาติพี่น้องไม่รับรู้ หรือไม่ยินยอมอย่างชัดเจนที่สุด..
 
 
... แต่ทว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังในทั้งสามข้อ มันคือ การตัดสินใจของผู้บวชนั่นเอง และผลบุญเก่าที่ได้สั่งสมมาข้ามภพข้ามชาติของผู้บวชเองทั้งสิ้น จะเห็นได้ว่า ถ้ามีบุญมาก การบวชก็ไม่สะดุดในสิ่งใดเลย นึกอยากจะบวชก็ได้บวชและบวชได้สำเร็จ ดังนั้น หากชาตินี้การบวชของเราทำได้ยากแล้ว แปลว่าบุญเราเริ่มหย่อน เริ่มน้อยลงไปแล้ว ให้รีบสั่งสมใหม่  
เพราะถ้าปล่อยไปแล้ว ชาตินี้ไม่ได้บวช บุญก็อาจไม่พอทำให้ชาติหน้าได้บวช ชาติต่อๆไปก็จะมีโอกาสได้บวชน้อยลงไปอีก เหมือนกระแสน้ำที่เล็กลง ย่อมส่งน้ำไปไม่ถึงจุดหมาย.... *-)



#189932 นั่งวันเว้นวันคือการพิจาระณามาปฎิบัติชึ่งธรรม

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 15 October 2013 - 10:40 PM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

:lol: ...จริงๆ ก็จบลงโดยสันติตั้งนานแล้วคุณทัพ.. 

 

....ผมแลกเปลี่ยนความรู้กับคุณก้าน อยู่ต่างหาก... เขารู้มาแบบไหน  ผมรู้มาแบบใด เอาเหตุผลมาคุย  แม้เราจะรู้ในมุมของเรา ในครูบาอาจารย์ของเราดีอยู่แล้ว ก็ควรฟังความเห็น หรือเหตุผลจากครูบาอาจารย์ของท่านอื่นดูบ้าง  แต่สุดท้ายผู้เป็นบรมครูที่สุดก็ไม่พ้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ เพราะเราก็เป็นชาวพุทธ... เหตุที่กล่าวถึงพระไตรปิฏกบ้าง ก็เพราะ มีพูดถึงสิ่งนี้ หรือสั้งนั้นไว้อยู่พอดี เลยยกขึ้นมาเหมือนเป็นคำกล่าวของพระศาสดาเหมือนเป็นคู่มือการสอนที่ค้นคว้าต่อเองได้นั่นเอง... (ยิ่งมีคนอ่านพระไตรปิฏกมากขึ้น ก็คงจะดีกับพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งนั่นเอง จะได้พูดคุยกันสนุกด้วย)

 

....หลายท่านเวลาตอบคำถาม  บางทีก็รีบจบประเด็นโดยยังค้างคาใจกันอยู่  ผมก็เลยถามคุณก้านมามีสิ่งใดอีก ก็ชี้แนะหรือแบ่งปันกันมา แต่จะชอบหรือถนัดในทางปฏิบัติใด ก็ไม่บังคับใจกัน หรือข่มกันอยู่แล้ว อีกอย่างผมก็ดูแล้วว่าคุณก้านไม่ได้มีเจตนามาข่มอะไร  เขามีเจตนาดีในแบบของเขา คือ อย่าตึง อย่าฝืนเกินไปจนเสียสุขภาพ  ^_^

 

....งั้นคุณก้าน ก็คงได้แลกเปลี่ยนกันไปบ้างแล้วไม่มากก็น้อย  จริงๆ ปัญหามันก็แค่ไม่คิดตนเองถูกทั้งหมด  คนคิดไม่เหมือนเราเลยผิดหมด  หรือไปมองที่ตำราบ้าง คนปฏิบัติบ้าง ว่า ต้องเหมือนเราถึงจะถูก ไม่เหมือนเราคือไม่ถูก  ....ถ้าลองคิดแบบนี้ก็คุยกันไม่ได้เสียแล้ว เพราะจะมีแต่ความโกรธบดบังหมด...

 

...เวลาเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในยุคของพระศาสดา ก็มีแค่พระองค์ท่านลำพังพระองค์เดียวที่เป็นศาสนาพุทธ กว่าท่านจะให้เหตุผลแก่ผู้ต่างศาสนา หรือไร้ศาสนาให้เลื่อมใสในพุทธศาสนาได้ ก็ต้องนำความจริงมาคุยกันอย่างเป็นเหตุผล  ก็จะคุยกันได้ยาวนานกว่า เพราะยังคงความรู้สึกที่ดีในการสนทนาไว้ได้บ้าง...

 

...จริงๆ ถ้าเราคุยกับใคร แล้วเขาไม่ได้เอนเอียงมาทางมุ่งตำหนิ ละเมิด หรือว่าร้ายตัวเรา สถาบัน ครูบาอาจารย์ ประสบการณ์ การศึกษา  ฯลฯ อันเป็นสิทธิส่วนบุคคลหรือบุคคลที่เราเคารพอยู่แล้ว  สำหรับผม ผมก็คุยนะ แต่ถ้าเริ่มเอนเอียงมาทางนั้นดังกล่าว ผมก็เลิกคุยเลย ถือว่า เขาไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคล หรือถ้าใช้คำหยาบก็แปลว่า ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้  ถ้าหยิบสิ่งที่เคารพไปพูดคุยในทางตลกหรือเสื่อมเสีย ผมก็จะเลิกคุยเลยเพราะคิดว่า  เขาดูหมิ่นสิ่งที่เราเคารพ ก็เหมือนดูหมิ่นทุกอย่างที่เป็นสิทธิของเรา ทุกอย่างที่เป็นตัวเรา เพราะการที่เราจะเคารพนับถือใคร เรามีเหตุผล พยาน หลักฐาน ความรู้ สติปัญญา วุฒิการศึกษา ฯลฯ ที่ได้กลั่นกรอง วิเคราะห์ไว้อย่างดีแร้ว ถึงได้เกิดเป็นความเคารพ .. ...ถ้าเจอคนแบบนั้น ผมไม่เสียเวลาคุยด้วยให้ใจตก... ( อธิบายไว้ในมุมมองเฉพาะตัวผมเท่านั้น)... *-)




#189931 ถ้ารู้ล่วงหน้าได้ว่าอีก 7วันจะตาย คุณจะทำอะไรก่อนตายบ้างครับ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 15 October 2013 - 10:03 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

:lol: ... กระทู้นี้ดีนะ  ต้องขอบคุณเจ้าของกระทู้  :)

 

...คนกับประมาท กับคนไม่ประมาท   หัวข้อกระทู้นี้ แยกแยะได้ชัดเจนที่สุด




#189917 ถ้ารู้ล่วงหน้าได้ว่าอีก 7วันจะตาย คุณจะทำอะไรก่อนตายบ้างครับ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 15 October 2013 - 07:12 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

...ทำเหมือนที่ ชาวพุทธในอดีตทำน่ะคับ สมัยพุทธกาลก็มีเป็นกรณีศึกษานะ ครั้งนั้นพระศาสดาเคยเอ่ยถึงกุฏุมพี (พ่อค้าเศรษฐี) ท่านหนึ่่งว่าจะถึงความเสื่อมในอีก 7 ราตรี พระอานนท์เมื่อทราบถึงเหตุการณ์ จึงขออนุญาตไปกล่าวเตือนถึงกาลอันเสื่อมนี้แก่พ่อค้า ซึ่งพระศาสดาก็ทรงอนุญาต ครั้นพอพ่อค้าทราบว่าความเสื่อมอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นแ่ก่ตนในอีก 7 วันนี้ก็ร้องไห้เสียใจ...

 

...แต่เมื่อได้สติก็รีบเคลียงานการต่างๆอันค้างคาเท่าที่จะพอทำได้ (เพื่อมิให้เป็นภาระแก่ผู้ใด) แล้วรีบสั่งสมบุญกุศลอย่างหนัก ด้วยตนมิค่อยได้ทำบุญกุศลเลย ด้วยทำแต่งาน หาแต่เงินหาแต่ทรัพย์เพียงอย่างเดียว

 

...ครั้นพอครบ 7 วันก็เกิดอาการผิดปกติกับร่างกายและละสังขารไปด้วยจิตใจที่ผ่องใสในผลบุญที่ตลอด 7 วันได้สั่งสมมา จึงไปบังเกิดเป็นเทพบุตร ณ ดาวดึงส์พิภพ

 

..............

... ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากทำตามบุคคลอันเป็นตัวอย่างในสมัยพุทธกาลนั่นแหละ คือ ถ้ารู้ว่าจะตายจริงก็คงทำบุญแบบสุดๆเลย ก็ไม่ได้ถึงกับหวังสวรรค์ชั้นสูง แต่ก็ขอให้ไปอยู่ชั้นที่จะพร้อมลงมาเกิดสร้างบารมีอีกได้ง่ายๆนั่นแหละ  :$  ...จริงๆแล้ว ก็เปรียบได้เหมือนกับว่า  ถ้าเรารู้ว่าในอีก 7 วันเราจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดแบบไม่ได้กลับมาจังหวัดนี้ เราควรเตรียมตัว เตรียมเสบียงอะไรไปบ้างนั่นแหละ ...

 

....แต่ครั้งนี้แตกต่างตรงที่ว่า เราจะเดินทางไปไกลแระอีกนานกว่าจะได้เป็นมนุษย์อีก ตอนนี้เราทำบุญจริงจังแค่ไหนเพื่อรับรองว่า เราจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกไม่ตกไปในอบายภูมิ ..นี่ก็ถือว่าได้เตรียมการอย่างเหมาะสมอยู่บ้างแล้ว  8-)




#189914 นั่งวันเว้นวันคือการพิจาระณามาปฎิบัติชึ่งธรรม

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 14 October 2013 - 11:24 PM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

....ถ้าเช่นนั้น การเข้านิโรธสมาบัติ หรือการจำพรรษาแบบปลีกวิเวกของพระผู้ปฏิบัติในป่าลึก ท่านนั่งอย่างเดียวนะ แล้วก็ไม่ได้ฉันภัตตาหารใดๆด้วย อยู่ได้ด้วยสมาธิเพียงอย่างเดียว ... งั้นคุณคิดว่าท่านทำผิดวิธีหรือ? ปกติของสมาธิไม่ใช่ นั่ง นอน ยืน เดิน ทั้งหมดหรอก แล้วแต่อัธยาศัย หรือแล้วแต่การปฏิบัติต่างหากล่ะ จะบอกว่าทุกรูปต้องเดินบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง เป็นบรรทัดฐานก็คงไม่ใช่หรอกนะ....

 

....ส่วนการนั่งอย่างเดียว นานๆ หลายๆ วัน ก็คงมิอาจโต้แย้งได้ว่า ปฏิบัติเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นั่งลงอย่างเดียว โดยอธิษฐานจิตว่า ถ้ายังไม่บรรลุพระสัพพัณญุตญาณ หรือ ญาณตรัสรู้ที่เกิดเฉพาะผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็จะไม่ทรงลุกจากบรรลังก์(ที่นั่ง) แห่งนี้...  ดังนั้น ท่านเลือกที่จะนั่งนะครับ นั่งแบบเอาชีวิตของท่านเดิมพันให้ได้พระสัพพัณญุตญาณนั่นเอง...    

 

...อ้อ...อย่างพระองค์ท่านนั้นนั่งติดต่อกันเจ็ดวันนะ  แต่พระบางรูปนั่งตลอดพรรษา หรือสามเดือนเลยก็มีนะ จริงๆ ในพระไตรปิฏกก็มีให้อ่านนะ หลายรูปทีเดียวที่นั่งตลอดแบบหลายๆวัน ก่อนที่จะได้อภิญญา... ลองดูในพระสุตันตปิฏก หรือพระอภิธรรมปิฏก ที่เอ่ยไว้ควบคู่กัน

 

...จิงๆ ถ้าตามหลักวิทยาศาสตร์ด้วยแล้ว การนั่งนั้นใช้พลังงานน้อยกว่าเดินมากนะครับ ใช้น้อยลองมาจากการนอน แต่การใช้การนอนทำสมาธินั้นจะสบายเกินไปจนทำให้เผลอสติแล้วหลับไปได้ (เป็นการหย่อนหรือพักผ่อนเกินไป) ...ดังนั้น...จึงต้องไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป นั่นจึงเป็นการนั่งที่พระศาสดาเลือกนั่นเอง...

 

...ถ้ามีสิ่งใดชี้แจงต่อ ก็ต่อมาได้เลย... *-)




#189912 เตรียมตัวสู่ประชาคมอาเซียน AEC ด้วยห้าห้องชีวิต สุดยอดวิสัยทัศน์

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 14 October 2013 - 10:29 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

.....อาเซียน ก็คือการ เปิดประเทศ และต้องยินยอมรับในวัฒนธรรม และศาสนา ตลอดจนพฤติกรรมของชาตินั้นๆ  หากวันนี้คนไทยยังไม่รักษาวัฒนธรรมชาวพุทธ มองศาสนาเป็นเรื่องรอง เรื่องทำมาหากินเป็นเรื่องหลักแล้ว   เมื่อต่างศาสนาเข้ามาในประเทศ ชาวพุทธหรือจะพึ่งตื่นตูมรักษาไว้? หรือ จะปล่อยไปตามความคิดเดิมๆที่ว่า .. "สนแค่ทำมาหากินเท่านั้นก็พอ....?"

 

....ส่วนกลุ่มคนที่เข้าใจแระมุ่งรักษา ก็คงต้องเดินหน้ากันต่อไป มองไปแต่ข้างหน้าเถิด ข้างหลังนั้นบางทีสนใจไป เขาก็ไม่ได้ช่วยอะไร.... ^_^




#189901 กลอนแด่วันหล่อหลวงปู่องค์ที่ 7 ที่ผ่านมา...

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 13 October 2013 - 11:17 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

...แอบคิดถึง sky noi  :$




#189900 นั่งวันเว้นวันคือการพิจาระณามาปฎิบัติชึ่งธรรม

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 13 October 2013 - 11:04 PM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

แล้ว.....

 

...ทำไมต้องวันเว้นวันอ่ะ?  :glare:

 

...คือ ถ้านั่งแล้วดี ก็ควรนั่งทุกวันสิ  ^o) ถ้ากลัวว่าจะติดความอยากในการนั่งสมาธิ ก็เป็นการติดกังวลสิ กังวลว่าจะอยากนั่งมากไป กังวลว่านี่มากไปโน่นมากไป เกิดความลังเลสงสัย...

 

...แล้วนั่งติดต่อกันหลายๆวันโดยไม่ลุกไปไหนเลยแบบพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะปีติในสมาธิ แบบนี้จะเรียกว่าติดกิเลสในความอยากหรือ?  ^_^   (ตอบชี้แจงแลกเปลี่ยนกันจิ)




#189895 บางทีเราว่าเราเจอปัญหาหนักแล้ว ยังมีผู้ที่อาจจะหนักกว่าแต่จิตใจนั้นยังสู้และด...

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 13 October 2013 - 07:28 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

......เป็นเพียงหนึ่งแรงใจสำหรับผู้ที่เจอปัญหาหนักๆ  หรือผู้ที่คิดว่าชีวิตนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งหนทางรอด หรือคิดว่าไม่มีใครเจอหนักเท่าเราแล้ว ลองดูคลิปนี้สักหน่อย อาจได้กำลังใจขึ้นมาสู้ชีวิตต่อไปบ้าง  ...เพราะท่าน อาจไม่ได้เจอสิ่งที่หนัก ปัญหาที่หนัก เท่านี้ก็เป็นได้...

 

 

 

 

========

...ถ้าจะต้องเลือก

 

...ระหว่างไม่มีมือ กับ ไม่มีขา จะเลือกสิ่งไหนดี?

 

...ระหว่างเสียไป 1 ข้าง กับเสีย 2 ข้าง จะเลือกแบบไหนดี?

 

...ระหว่างพอมีกินบ้างบางมื้อ กับไม่มีให้กินเลยทุกมื้อ หากจำเป็นต้องเลือกจะเลือกสิ่งไหนดี?

 

...ในชีวิตผม ยังไม่เคยเจอสุนัขหรือแมว หรือสัตว์ชนิดใดเลย ที่คิดฆ่าตัวตายเลยสักครั้ง ไม่เคยเจอสุนัขโดดน้ำตาย หรือ โดดตึกตาย....

 

...หากวันนี้ท่านใดที่คิดว่าหมดสิ้นแล้ว ได้ดูคลิปนี้แล้วเกิดกำลังใจสู้ต่อ ผมขอเป็นอีกแรงใจหนึ่งซึ่งขอให้คุณดีขึ้น และดีขึ้น ...

 

................. เพราะชีวิตนี้ หากยังเลือกเกิดไม่ได้  .... แต่ก็เลือกที่จะเป็นได้ ....... หากสิ่งนี้เป็นผลบุญ ก็ขอแบ่งบุญให้ทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยกันเิทอญ...




#189889 กลอนแด่วันหล่อหลวงปู่องค์ที่ 7 ที่ผ่านมา...

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 12 October 2013 - 09:35 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

10ตุลา   ผ่านมา   ในครานี้               พระมงคล เทพมุนี ศรีแห่งศาสน์
เหล่าลูกหลาน  นำมา สุวรรณธาตุ         หลอมรวมวาด หล่อไว้ ได้พร้อมเพรียง
นับแสนเสียง  แสนคน แสนลูกศิษย์       ยอมอุทิศ  จิตนำพา  มาตามเสียง
น้อมหัวใจ กลางกาย คล้ายสำเนียง       ทั้งเรียบเรียง สละทรัพย์  นับคณา
 
  เพื่อหล่อท่าน องค์ที่เจ็ด ให้เสร็จสม    มนุษย์พรหม เทวา  พาเลื่อมใส
ดั่งพระศาสน์ จะประกาศ ให้เกริกไกล   นำขบวน  ธรรมะชัย ไว้ธุดงค์
จะมั่นคง  เป็นหลัก  ให้ปักแน่น             ทั่วเขตแดน แว่นแคว้น สมประสงค์
ให้ศึกษา  พาค้นหา  อย่างยิ่งยง             ทั้งโดยตรง โดยอ้อม ย่อมเกิดบุญ
 
  จะเทิดทูล เข้าใจ ในหลวงปู่               จะศึกษา ค้นหาดู วิชชาท่าน
ทั้งต่างชาติ  จะหันมา พิสูจน์กัน            วิชชานั้น  จะยืนยัน  ว่ามีจริง
ว่าดีจริง  มีจริง  สำเร็จได้                     ใช้งานได้ อยู่กลางกาย ทั้งชายหญิง
จะเยาว์วัย สูงวัย ได้เห็นจริง                  ล้วนเป็นสิ่ง ดียิ่ง แด่โลกงาม
 
  ทั่วเขตคาม ลือนาม ตามรอยท่าน       จะยืนยัน สันติสุข ยุคสมัย
เลิกค้นหา ตามหาทรัพย์  ให้เหนื่อยใจ   ให้หยุดใจ หยุดความคิด จิตมั่นคง
เป็นทางตรง  สู่หนทาง  วางใจนิ่ง          ทุกสรรพสิ่ง  จะเปิดทาง  ตามประสงค์
คิดสิ่งใด หวังสิ่งใด  ใจมั่นคง                บุญจะส่ง ให้สำเร็จ เป็นอัศจรรย์
 
 ใครว่าฝัน เกินจริง ยิ่งไม่เชื่อ               ก็ไม่เหลือ เกินกว่าแรง แฝงสงสัย
ลองมาดู พิสูจน์เอง ให้รู้ไป                   หากสงสัย พิสูจน์ดู ให้รู้เอง
เพียงให้เก่ง ทำตาม วิธีท่าน                 ได้เห็นกัน มิปล่อยจิต คิดโหลงเหลง
ใจหยุดนิ่ง ไร้ความคิด จิตกลั่นเอง          ล้านบทเพลง หาได้เพลิน เกินหยุดใจ
 
  โอ้ยิ่งใหญ่  ด้วยหัวใจ ทุกทุกท่าน        สำเร็จพลัน ปลื้มทั่วกัน พลันทั่วหล้า
อันบุญใหญ่  สร้างด้วยใจ ทุ่มเทมา       นักรบกล้า พร้อมกันมา สดุดี
แม้อยู่ไกล เหมือนอยู่ใกล้ ใคร่มาร่วม     ต่างหลอมรวม ด้วยหัวใจ แห่งศักดิ์ศรี
หากจะหล่อ ต่อให้ไกล ใช่รอรี               ต้องมีส่วน ในงานนี้ ดีจริงจริง
 
  ไม่มีสิ่ง อื่นใด จะขัดขวาง                   เป้าหมายทาง ที่จะมา หาได้หวั่น
จะร้อนหนาว ดึกเพียงใด ให้ถึงกัน         สังขารนั้น  ให้ลืมมัน หาได้มอง
นี่คือสิ่ง ที่ยิ่งใหญ่ ในวันนั้น                   ร้อยเรียงพลัน เป็นบทกลอน ตอนตีสอง
โพสต์ตอนสาย ประดับไว้ ให้คล้องจอง   สดุดี เทิดคุณก้อง กองทัพธรรม... ^_^



#189887 การทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาในมุมมองของนายดินสอ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 11 October 2013 - 09:47 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

^_^  หุหุ ขอน้อมรับครับ... ว่าแต่ว่า ท่านหัดฝันใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นนะ ไปทำไรมาเนี่ย  :lol:




#189883 การทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาในมุมมองของนายดินสอ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 11 October 2013 - 06:09 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

^_^ การทำงานเพื่อพระพุทธศาสตร์ในมุมมองของนายดินสอ..

 
.....  สวัสดีครับท่านผู้มีบุญทุกท่าน จากที่หายไปนานก็เลยมีโพสต์กึ่งบทความมาฝาก แต่ก็เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวนะครับ
จากอดีตจนถึงปัจจุบันของผมนั้น ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยคิดทำอะไรเพื่อใครเลย เพราะก็ถูกสอนมาว่า ให้มองอนาคตตัวเองนะลูก ทำเพื่ออนาคตตัวเองนะลูก ฯลฯ จนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น
 
ผมเริ่มสับสนว่า ทำไมต้องทำอะไรเพื่อตนเองตลอด? ทำไมไม่ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง? แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า แล้วอะไรดีกว่ากันระหว่างทำเพื่อตนเองกับทำเพื่อคนอื่น? พอไปถามคนโน้น คนนี้
เขาก็ต่างให้เหตุผลแตกต่างกันออกไป จนบางทีก็หันกลับมามองว่า เราคงคิดมากไป หรือเรานี่ผิดปกติที่มัวคิดเรื่องแบบนี้... ^o)
 
  แต่พอเราเริ่มเติบโตขึ้นเริ่มเห็นมุมมองที่กว้างขึ้นเห็นความเป็นไปของคนที่ทำเพื่อตัวเองมากขึ้น กลับเริ่มได้ข้อมูลและความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น ว่า... บางทีถ้าเราทำเพื่อตนเอง ก็เจริญแค่ตัวเราเอง หรืออย่างมากก็แค่ครอบครัวพี่น้องเราเอง แต่ความไม่เจริญ หรือความลำบาก ความไม่สบาย ความทนทุกข์ทรทานของที่ผู้อื่นไม่รู้ ไม่เคยคิด ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเป็นแบบนี้ หรือตกอยู่ในสถานะการณ์มันมีความเดือดร้อนเช่นนี้  หรือไม่เคยเตรียมการล่วงหน้าก็ยังต้องเผชิญเพียงลำพังของพวกเขา
นี่ถ้าเขาลำบากจนหาทางออกไม่ได้คงต้องทำผิด คิดชั่วทำร้ายคนดีเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวตนเอง หรือหาวิธีแย่งความมีเหล่านั้นจากผู้อื่นเพื่อมาเติมแทนความไม่มีของตน  :(
 
เพราะความที่เขาไม่เคยมีใครแนะนำสิ่งดีหรือมีความรู้ในทางแก้ไขให้แก่เขา เขาจึงต้องคิดเอง ลงมือเอง โดยสนใจเพียงว่า ...เพื่อความอยู่รอด...
 
แต่ทว่าสิ่งนั้นอาจนำมาซึ่งการ ปล้น ฆ่า โกหก ฉกฉวย ทำร้าย แย่งชิง กำจัดฝ่ายตรงข้าม เบียดฝ่ายที่ไม่ชอบ ว่าร้าย ใส่ความเพื่อรักษาตำแหน่งของตนไว้ ฯลฯ  ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าคนที่เป็นเป้าหมายในการกระทำที่เขาเหล่านั้นจะทำไปเพื่อความอยู่รอดนั้น ก็อาจเป็นเพื่อน พี่น้อง หรือญาติของเราเองก็ได้
ซึ่งก็เปรียบได้ว่า หากตัวเราครอบครัวเรารอดจากภาวะวิกฤตได้ แต่คนอื่นไม่รอด ไม่ได้ความสบาย ไม่ได้โอกาสอันดี เขาก็หาทางออกโดยอาจกระทำให้ครอบครัวของเราที่คิดว่าปลอดภัยแล้วนั้น อยู่รอดแล้วนั้น กลับไม่ปลอดภัยก็เป็นได้...แม้เราจะไม่ได้ไปทำใครไว้ก่อนก็ตาม...
 
   ดังนั้น การทำเพื่อตนเอง ดูจะน่ากังวลกว่าทำเพื่่อคนอื่นเสียแล้ว... :
 
  หากเราทำเพื่อคนอื่น แล้วคนอื่นอยู่รอด สบาย ไม่เบียดเบียนใคร ก็ย่อมปลอดภัยแก่ครอบครัวเรา ซึ่งในสังคมเราต้องอยู่ร่วมกัน ต้องเจอกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในหมู่บ้าน ที่บ้านหนึ่งไม่มีเพื่อนบ้านเลย ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้รู้จักกัน เวลามีเรื่องราวอะไร
ก็ไม่เคยได้ร่วม ได้แก้ไข ได้แบ่งปันกัน พอเกิดภัยพิบัติ หรือ เกิดเหตุร้ายแน่นอนว่า... ต่างคน ต่างพึ่งตนเอง...ต่างเอาตัวรอดก่อน
 
....เหมือนเวลาน้ำท่วม  คนที่รู้จักกันก็จะช่วยกันหนี  แต่ที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยพึ่งพากัน ก็คงช่วยภายหลัง หรืออาจลืมไปเลยว่าบ้านหลังนั้นมีคนอยู่หรือป่าว?...แต่ถ้าบ้านหลังไหนที่มีเพื่อนบ้านมาก เพราะเคยช่วยเหลือคนอื่นไว้เยอะ
ก็จะมีเพื่อนบ้านห่วงมาก และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือให้รอดพ้นภัยไปพร้อมๆกันนั่นเอง....
 
...นี่ถ้าเราไม่อยู่บ้าน อาจมีพ่อ หรือแม่ที่แก่ชรา หากเราไม่เคยรู้จักใคร ไม่เคยช่วยเหลือใคร เวลาเกิดเรื่องอะไร ใครเล่าจะช่วยท่านแทนเรา ซึ่งอยู่บ้านเวลาเราไม่อยู่ หรือออกไปทำงานต่างๆได้เล่า?... :
 
...ในสังคมยุคใหม่ซึ่งต่างคนต่างทำมาหากิน การพบปะพูดคุยในทางมิตรภาพเฉกเช่นมิตรสหายก็กลับน้อยลง เพราะกว่าจะกลับมาจากทำงานก็อ่อนเพลียต้องพักผ่อน เช้าก็ต้องรีบตื่น จึงทำให้การช่วยเหลือกันลดน้อยลงไป และเริ่มเป็นวัฒนธรรมใหม่คือ ...ต่างคน ต่างอยู่ ต่างทำมาหากินเพื่อปากท้องของตนเป็นหลัก... ^o)
 
...นี่ก็เป็นเพียงเหตุผลตั้งแต่เล็กจนโตของผม ที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก โดยที่คนอื่นมองว่าเราผิดปกติ ที่ชอบทำอะไรเพื่อคนอื่นมากกว่า เวลาเรียนหรือจัดกิจกรรมที่โรงเรียนก็อยู่ช่วยเหลือจนเหมือนให้ความสำคัญกับเรื่องคนอื่นมากกว่าเหล่านั้น ที่ทำให้ผมเริ่มแยกแยะได้ชัดเจนขึ้นว่า  ... "เราต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นเสมอ และควรทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง..."
 
...การที่พระพุทธศาสนา มีคำสอนในเรื่องการรักษาศีล คือให้คน ไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย, ไม่ลักขโมย ไม่อยากมีอยากได้ของคนอื่น , ไม่มั่วสุม ประพฤติผิดในกามในของของคนอื่น , ไม่โกหก หลอกลวง , ไม่ดื่มของมึนเมาอันทำให้ขาดสติ หรือคึกคนองจนไม่สนใจการทำบาปอกุศลเหล่านี้  ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีสังคมที่มีความสุข
และก็ก่อให้เกิดคนดี คือ คนที่ไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน ทำแต่สิ่งที่ถูกที่ควร 8-|
 
... ซึ่งหากมีคนเหล่านี้เพิ่มขึ้นในตำบล อำเภอ จังหวัด หรือในประเทศ และในโลกมากขึ้น ความสงบสุขก็จะมีมาเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นไปตามธรรมชาติที่ว่า "น้ำดีเมื่อมีมาก ย่อมไล่น้ำเสียให้เจือจางและหายไปได้...."
 
ไม่ใช่ว่าการทำให้โลกนี้สงบสุขจะไปกำจัด หรือจัดการคนชั่ว  แต่... กลับเป็นการที่เพิ่มคนดีให้มีมากขึ้น ให้สังคมคนดีใหญ่ขึ้น และให้คนไม่ดีมีโอกาสทำชั่วได้น้อยลง และค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นคนดี เพื่อให้มีประโยชน์แก่ตนเองและคนในครอบครัวมากขึ้น และป้องกันสิ่งไม่ได้ไม่ให้เข้ามาสู่คนดีได้มากขึ้น  การฟื้นฟูโลกนี้ให้มีแต่สิ่งดี มีแต่ความสงบสุขย่อมมีความเป็นไปได้....
 
....การเป็นคนดี และเป็นคนชั่ว ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ยาก อะไรคือดี อะไรคือชั่ว ไม่ใช่สิ่งลี้ลับ แต่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ยากเลย หากขาดก็คงขาดเพียงความเข้าใจ  ขาดกำลังใจ ขาดวิธีการ  หรือขาดผู้ที่จะแนะนำเท่านั้นเอง ก็เหมือนกับเวลา เวลาคนคิดจะทำอะไรไม่ดี ก็เพราะเขามีสิ่งกระตุ้นอยู่ในใจ และวิธีการทำความชั่วนั้นก็ได้รับรู้ ได้เห็นจากคนไม่ดีมาก่อน   นั่นก็ไม่แตกต่างอะไรกับการจะทำให้คนเป็นคนดี
ก็เพียงแค่ได้เห็นวิธีการ ได้กำลังใจ ได้ผู้แนะนำจากคนดีที่แนะนำให้เขาทำดีแค่นั้นเอง   :)
 
..จริงๆแล้วมันไม่ได้ยาก แต่ยากที่ไม่มีกำลังใจ บ้างก็คิดว่ามันยากที่จะเปลี่ยนแปลง บ้างก็คิดไปต่างๆนาๆ  แต่สรุปก็มีเพียงว่า ยังไม่มีใครเริ่มทำให้เกิดสิ่งดีอย่างจริงจัง....หรือง่ายๆ คือ มองว่ายากตั้งแต่เริ่มต้นคิดจะทำ...
 
....นี่ก็เลยทำให้ผมมองเห็นว่า ถ้าผมตั้งใจจะทำให้ครอบครัวผมมีความสุข ให้พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรผมปลอดภัยแล้ว แม้มันจะดูเหมือนเป็นทางอ้อม แต่นั้นกลับเป็นทางตรงอย่างที่สุดและเป็นทางลัดที่สุด เพราะความปลอดภัยอย่างแท้จริงนั้น ประเมินค่าไม่ได้ เราดูแลคนที่เรารักตลอดเวลาทุกวินาทีไม่ได้  และชีวิตเราก็ไม่ได้มีเวลายาวนาน หากเราตายไปก่อนพวกเขา ใครเล่าจะดูแลเขาเหล่านั้นต่อจากเราได้บ้าง ให้เขาปลอดภัยจริงในยามที่เราไม่อยู่แล้ว?  :o
 
...ผมจึงคิดว่า ผมต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นให้มาก หรืออาจจะมากกว่าทำเพื่อตนเองไปเลย  และยิ่งเราทำเพื่อคนอื่นมากเท่าไหร่ เวลาเห็นคนอื่นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี หรือเขามีความสุขแล้ว  ผมจะปลื้มสุดๆนะ ปลื้มกว่าการที่ตัวเราสำเร็จเสียอีก เพราะเราได้แนะนำช่วยเหลือให้คนอื่นดี หรือมีความสุขได้ ก็ไม่ยากที่จะทำให้ตัวเราดี และมีความสุขเลย นี้คงเป็นกุศลที่เห็นได้ชัดเจน
 
...ผมเริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำงานเพื่อพระศาสนามากขึ้นโดยหลักๆก็เพราะเห็นว่า การรักษาศีล5 นั้นดีกับทุกชาติ ทุกศาสนา ... B)
 
...และมันก็มีความเป็นไปได้อย่างมากแค่ทำให้คนเข้าใจว่าอะไรคือ ศีล5  และมันไม่ได้ผูกขาดว่า เขาเหล่านั้นต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้น ศีล5 นั้นครอบคลุมไปทั่วทุกคนในโลกเพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายว่าอะไรคือศีล 5ที่ต้องรักษา และปฏิบัติ เพื่อให้อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข โดยเพียงแค่ว่าต่างคนต่างหยุดทำให้สิ่งที่ไม่ดี ทำแล้วมีผู้อื่นเดือดร้อน และชี้ให้เห็นโทษของการไม่หยุดทำสิ่งไม่ดีเหล่านั้น...
 
...ดังนั้น การสร้างกลุ่มคนดีให้มีมากขึ้นและมากขึ้นจึงมีความเป็นไปได้  และมันก็เกิดขึ้นแล้ว  นี่ถ้า... เราทำให้คนเข้าใจว่าเขาได้อะไรจากการทำความดีได้มากขึ้น คนที่อยากจะทำความดีหรืออยากจะลองทำดีก็คงจะมีมากขึ้น  เมื่อคนดีมีมากขึ้น ครอบครัวเราก็ปลอดภัยมากขึ้น ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทำเพื่อคนอื่นก็ย่อมเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น....
 
...การทุ่มเทเพื่องานพระศาสน์ของผม ก็มีกำลังใจมาจากสิ่งเหล่านี้เป็นหลักนะครับ เหมือนที่บอกว่า เราทำแล้วมันเสร็จ... คือ .. พอคนเป็นคนดีหรือเข้าใจวิธีเป็นคนดี หรือเห็นประโยชน์จากการเป็นคนดี และเห็นโทษจากการเป็นคนชั่วได้แล้ว มันเป็นงานที่เสร็จ คือไม่ต้องทำต่อ เหมือนการปลูกต้นไม้ พอต้นไม้โตแล้วก็โตต่อไปเอง มีขยายเมล็ดพันธุ์ที่ดีออกไปได้เอง และกลุ่มคนดีก็จะมีมากขึ้นไปเอง... 8-)
 
...ดังนั้น  ก็ขอให้ผู้ที่เสียสละเวลา หรือทุ่มเทเพื่องานพระศาสนาทุกท่าน เดินหน้าทำหน้าที่กันต่อไปอย่างเต็มที่ ทำความเข้าใจให้เกิดแก่ผู้ที่ไม่เข้าใจ  เพื่อให้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของเขาเหล่านั้นได้ประโยชน์สูงสุดก่อนที่เขาจะละจากโลกนี้เถิด แม้ตัวเราก็คงจะต้องละจากโลกในไม่ช้า ก็ควรทำหน้าที่ให้สมศักดิ์ศรีที่ได้เกิดมาในกองทัพธรรม... ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านมา ณ โอกาสนี้.... ^_^



#189874 คนที่เอาความผิดพลาดของตนมาบอกผู้อื่นเป็นคนยังไงคับ

โพสต์เมื่อ โดย ดินสอแห่งธรรม บน 11 October 2013 - 09:56 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

^_^  บางท่านนำสิ่งที่ผิดพลาดของตนมาบอกเล่า เพื่อเปนกรณีศึกษาหรือธรรมะทาน ให้ท่านอื่นมิควรปฏิบัติตามดังที่ตนได้ผิดพลาดมาก็มีน่ะคับ

 

-------

:) คิดถึงทุกคนนะ พอดีจำพาสไม่ได้  :$  .... คุณทัพจ๋า  :( ที่ผ่านมาขออโหสิกรรมด้วยนะ รักนะ จุ๊บๆ  *-)