ขอปรับความเข้าใจต่อทุกท่าน
#31
Posted 06 June 2006 - 05:27 PM
ไม่เห็นประโยชน์ในการตอบ:- เนื่องจากเราต้องยอมรับความจริงอยู่ประการหนึ่งว่า สมาชิกที่เข้ามาสร้างบารมีโดยการให้ธรรมทานบนเว็บบอร์ดอยู่ทุกวันนี้ ล้วนเป็นผู้ที่กำลังฝึกฝนอบรมตนเองอยู่แทบทั้งสิ้น การนำเอาสิ่งที่ตนเองยังปฏิบัติไปไม่ถึงมาเป็นประเด็นวิจารณ์อันนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างไม่รู้จักจบนั้น ผมมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะถ้าหากข้อมูลดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงแล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดบาปถึง ๒ สถาน สถานแรก คือ บาปของผู้ให้ เพราะได้ปลูก รู้ เห็นที่ผิดๆ ไว้แก่ผู้อื่น สถานที่ ๒ กรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับนักสร้างบารมีทั้งเก่าและใหม่ กล่าวคือ หากผู้รับข้อมูลข่าวสารเชื่อตามโดยขาดการวินิจฉัยไตร่ตรองให้ดี ย่อมจะทำให้ผู้นั้นเป็นบุคคลที่มีความเชื่ออย่างงมงาย และกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลได้ในที่สุด เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนพุทธสาวกของพระองค์ให้มีศรัทธาอันตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลที่เรียกว่า “ศรัทธาญาณสัมปยุต” หากแต่การศรัทธาโดยมิได้พิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยเหตุและผลนั้น พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า “ศรัทธาญาณวิปยุต” อันเป็นความเชื่อของศาสนาในตระกูลเทวนิยมทั้งหลาย เมื่อเราได้ทราบดังนี้แล้ว ถึงตรงจุดนี้ เราควรย้อนกลับมาดูตัวของเราและให้คำตอบแก่ตัวเราเองว่า
“ศรัทธาของเราเป็นศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญาแล้วหรือยัง? ทิฏฐิของเราได้มีการปรับเทียบให้ตรงตามสัมมาทิฏฐิ อันเป็นความเห็นมาตรฐานที่ตรงและถูกต้องตามครรลองคลองธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธดำรัสตรัสสอนไว้แก่พุทธสาวกของพระองค์แล้วหรือยัง? การศึกษาธรรมประเภทต่างๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นปริยัติสัทธรรมก็ดี และ/หรือปฏิบัติสัทธรรมก็ดี เรารู้จักเลือกเฟ้นในการจำแนกแจกแจงว่า ข้อธรรมใดที่เป็นแก่นแห่งธรรมอันตรงต่อหนทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา (ซึ่งพุทธศาสนิกทั้งหลายควรมีความกระตือรือร้นพากเพียรศึกษาให้ได้บรรลุถึงซึ่งหนทางอันประเสริฐนั้น) และข้อธรรมอันใดที่เป็นความรู้ที่ผู้ศึกษาเล่าเรียนพึงทราบไว้เพียงแต่ “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม” (ไม่ใช่แก่น) บ้าง?”
ขอให้เราท่านทั้งหลายได้ย้อนกลับไปทบทวนตัวเองกันสักนิด สะกิดใจกันสักหน่อย ก็คงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ที่ผมต้องกล่าวเช่นนี้ก็เพราะ มีความประสงค์ที่จะให้ทุกท่านสร้างบารมีตามติดพระปู่ พระยาย และพระพ่อ อย่างมีสติและมีปัญญา อนึ่ง ผมมีความเห็นว่า หากเราไม่พูดไม่บอกแก่เขา ใครเล่าจักพูด หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือช่วยเขา ใครเล่าจักช่วย ผมจำคำพูดของนักปราชญ์ชาวตะวันตกท่านหนึ่งได้อย่างขึ้นใจว่า “ความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด คือ การไม่ลงมือทำอะไรเลย” ด้วยเหตุผลนี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งกระทู้เพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกันครับ
บทสรุป; ต้องขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกบางท่านที่ได้มีการแจ้งเตือนมาทาง PM ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เอาเป็นว่าผมจะพยายามปรับการตอบคำถามในส่วนที่ผมสามารถปรับได้ แต่สำหรับเรื่องของการตอบปัญหาในส่วนที่เป็นธรรมภาคปฏิบัตินั้น ผมขอตามใจและผูกขาดเหตุผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวนะครับ
ประเด็นที่ ๒ การโพสต์กระทู้ที่มีเนื้อหาสาระไม่เกี่ยวข้องกับธรรมะ หากทางทีมงานได้มีมติเห็นชอบให้มีการถอดถอน ซึ่งการถอดถอนจะทำในรูปแบบที่มีการแจ้งเตือนทาง PM และไม่มีการแจ้งเตือนให้ทราบล่วงหน้า สมาชิกทุกท่านต้องใช้ดุลยพินิจพิจารณาถึงความเหมาะสมของกระทู้ และบทความด้วยตนเองว่า ควรไม่ควรอย่างไร? เนื้อหาของบทความที่ได้มีการนำเสนอนั้น มีความมุ่งหมายที่จะประชดประเทียดเสียดสีเพื่อนสมาชิกให้เกิดความขุ่นเคืองคับแค้นใจหรือไม่? ผมเองก็ใช่ว่าจะมีเวลาลงมาดูแลทุกอย่างบนบอร์ดนี้ได้ตลอด เพราะฉะนั้น หน้าที่ในการดูแลชุมชนธรรมะจึงเป็นหน้าที่ของทุกคน ซึ่งการนำบทความต่างๆ มาลง ควรพิจารณาให้สัมพันธ์กับหมวดหมู่เพื่อลดภาระในการโยกย้ายกระทู้ของเจ้าหน้าที่ดูแลระบบลงด้วยนะครับ
ประเด็นที่ ๓ การทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้แก่พระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกาย
สืบเนื่องจาก;
=> http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4617
=> http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4731
ถึงเวลานี้ ผมอยากให้ทุกท่านลองมองย้อนกลับมามองตัวของเราเองด้วยว่า ตัวเราเป็นอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า? เพราะเสียงโจทย์ขานเหล่านั้น ล้วนเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการทำงานและกระทำของเราและหมู่คณะ (ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราโตขึ้นหรือเรายังไม่โต) ซึ่งในบางครั้งตัวเราเองอาจมองไม่เห็น หรืออาจไม่ตระหนักถึงสิ่งซึ่งเป็นเสียงสะท้อนจากสังคมภายนอก อีกประการหนึ่งก็คือ ผมอยากให้ทุกท่านในที่นี้ลองตรวจสอบกับตัวของเราเองว่า
“การทำบุญของเราแบบทุ่มเทจนหมดทั้งเนื้อทั้งตัวนั้น เราทำให้ตัวของเราเองเดือดร้อนหรือเปล่า? เราทำให้ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูลของเรา ไม่ได้รับการสงเคราะห์เท่าที่ควรเพราะการทำบุญของเราหรือไม่? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพุทธสาวกของพระองค์ให้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความพอดีที่เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” บัดนี้ เราได้ดำรงตนตามพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแล้วหรือยัง? เรามีความเข้าใจถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ของเราได้พร่ำอบรมสั่งสอนด้วยคำกล่าวที่ว่า “ทำบุญอย่าให้เกินกำลังตนเอง อย่าให้เดือดร้อนตนเอง ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว” มากน้อยเพียงใด? และการที่เราจะออกไปทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกายนั้น เราต้องพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความพยายามทำตัวของเราเองให้บริสุทธิ์มากน้อยเพียงใด? (ก่อนที่เราจะไปว่ากล่าวว่าบ้านของคนอื่นเขาสกปรกรกรุงรัง ณ เวลานี้ เราได้ทำบ้านของเราเองให้สะอาดหมดจดแล้วหรือยัง?) เวลาที่เพื่อนกัลยาณมิตรได้เมตตาอบรม สั่งสอน และตักเตือนเราด้วยความปรารถนาดี เรามีความเอาใจใส่มากน้อยแค่ไหน? เรามีใจเปิดกว้างที่จะยอมรับเอาสิ่งดีๆ เหล่านั้นมาสู่ตัวเรามากน้อยเพียงใด? หรือเราก็ยังมีทิฏฐิมานะ ยังทำตัวเป็นผู้ว่านอนสอนยาก ยังทุ่มเถียงแบบไม่มีเหตุผล ยังไม่เปิดใจที่จะน้อมรับเอาคำเตือนเหล่านั้น มาปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเอง ตรงจุดนี้ผมเข้าใจนะครับว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น “ชอบเป็นผู้สอนมากกว่าผู้ถูกสอน” หากเรายังคงมีพฤติกรรมเช่นนี้ ยังไม่มีความสมัครสมานสามัคคีรอมชอมกัน ประโยชน์อะไรที่เราจะไปแนะนำ ตักเตือน พร่ำสอนผู้อื่น ในเมื่อตัวเราเองก็ยังไม่ยอมรับฟังเหตุและผลของเพื่อนกัลยาณมิตรด้วยกันเลย เราสามารถตำหนิติเตียนผู้อื่นว่า ผู้ที่ชี้โทษ ว่ากล่าว ตักเตือนนั้น เป็นผู้ที่ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่เรา แล้วตัวเราล่ะครับ เราได้หยิบยื่นความเป็นธรรมให้แก่ผู้อื่นแล้วหรือยัง? หรือเรายังคงยืนกรานอยู่ว่า เราสามารถเป็นผู้ที่กล่าวโทษผู้อื่นได้เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ผู้อื่นไม่สามารถให้คำชี้แนะ อบรม พร่ำเตือนแก่เราได้ เมื่อต้องตกเป็นฝ่ายที่ประพฤติพลาดพลั้งในภายหลังบ้าง”
สุดท้าย ผมขอนำเอาบุญที่ได้ตั้งใจเป็นเจ้าภาพภัตตาหารทุกวันเสาร์ บุญเจ้าภาพอุปถัมภ์ถวายสื่อธรรมะเป็นสังฆทานแด่พระภิกษุ-สามเณร-นักเรียน-นักศึกษาทั่วประเทศ บุญบูชาข้าวพระตลอดชีวิตที่ได้สั่งสมมาโดยตลอดมิได้ขาด และบุญที่ได้ตั้งใจน้อมถวายบันได โคมไฟ และสุขพิมานจำนวน ๒ ชุด เมื่อวันอาทิตย์ต้นเดือนมาปันแบ่งให้แก่ทุกท่านในที่นี้ด้วยนะครับ สาธุ...
ปล. ผมขออาสาทำหน้าที่ในการปรับความเข้าใจและปรับฐานความรู้ของเพื่อนกัลยาณมิตรอยู่ที่บ้านหลังนี้ (ขอเป็นกองเตรียมทหารเพื่อการส่งออก) ก็แล้วกันนะครับ เพราะได้เล็งเห็นถึงความสำคัญว่า หากฐานของเรายังไม่มั่นคง แล้วเราจะสามารถต่อยอดความรู้อันจะนำไปสู่การเผยแผ่การขยับขยายฐานที่ตั้งของพระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกายให้ออกไปสู่ใจของชาวโลกและสรรพสัตว์ทั้งหลายได้อย่างไร? หากความสามัคคีปรองดองของพวกเรายังไม่มี พลังมวลแห่งคุณความดี อันจะก่อให้เกิดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามให้แก่ชาวโลกจะเกิดขึ้นได้ฤๅ?
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#32
Posted 06 June 2006 - 05:51 PM
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
(ป.ล. ทุกท่านที่อ่านที่หนูเขียน หากมีอะไรก็ติ-เตือน หนูได้นะคะ ขอบคุณค่ะ)
#33
Posted 06 June 2006 - 06:27 PM
Someday I'm gonna be free.
#34
Posted 06 June 2006 - 06:45 PM
#35
Posted 06 June 2006 - 07:31 PM
ป้องกันเมื่อเพื่อนประมาท
เป็นที่พึ่งยามมีภัย
ร่วมสุขร่วมทุกข์
ไม่ละทิ้งยามวิบัติ
ห้ามไม่ให้ทำชั่ว
แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี
ให้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง
บอกทางสวรรค์นิพพาน
*อนุโมทนาบุญทุกบุญครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
#36
Posted 06 June 2006 - 08:54 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#37
Posted 06 June 2006 - 08:55 PM
#38
Posted 06 June 2006 - 09:07 PM
หากทำผิดพลาดประการใด ก็จะได้ แก้ไขได้ถูก
ถึงจะแถลงการแต่อย่างใด ก็แฝงด้วยการให้ธรรมทานนะค่ะ Sha Thu
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#39
Posted 07 June 2006 - 02:18 AM
น้าจี้
#40
Posted 07 June 2006 - 07:26 AM
#41
Posted 07 June 2006 - 08:09 AM
#42
Posted 07 June 2006 - 08:52 AM
พอดีประเด็นที่ ๓ การทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้แก่พระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกาย
สืบเนื่องจาก; ซึ่งสืบเนื่องมาจากกระทู้ของสายน้ำทิพย์ด้วย
ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ควรตั้งกระทู้ในลักษณะเช่นนั้นหรือปล่าวค่ะ
ผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
#43
Posted 07 June 2006 - 09:31 AM
#44
Posted 07 June 2006 - 10:03 AM
สาธุ สาธุ
#45
Posted 07 June 2006 - 12:14 PM
พอดีประเด็นที่ ๓ การทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้แก่พระพุทธศาสนาและวิชชาธรรมกาย
สืบเนื่องจาก; ซึ่งสืบเนื่องมาจากกระทู้ของสายน้ำทิพย์ด้วย
ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ควรตั้งกระทู้ในลักษณะเช่นนั้นหรือปล่าวค่ะ
ผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ผมคิดว่า คุณขุนศึกฯ ไม่มีเจตนาจะว่าใครหรอกครับ เพียงแต่ว่า คุณขุนศึกฯ คงอาจจะอยากให้ข้อคิดเท่านั้น แล้วก็เลยเอากระทู้บางกระทู้มาอ้างอิงแหละครับ อย่าคิดมากเลยครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปเองนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#46
Posted 07 June 2006 - 12:26 PM
#47
Posted 07 June 2006 - 12:29 PM
ถูกต้องแล้วครับ ผมเอากระทู้ของคุณมาอ้างอิงเพื่อเจตนาปรารภเหตุแต่เพียงเท่านั้นครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#48
Posted 07 June 2006 - 12:31 PM
ขอบคุณคุณMiraclE...DrEaMค่ะ...ตนเองอ่านก็มองว่าเป็นข้อคิด/คำแนะนำค่ะแล้วก็เห็นด้วยกับแถลงการดังกล่าวค่ะ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าเราควรเอาคำถามเช่นนั้นมาตั้งกระทู้หรือไม่...ตักเตือน แนะนำได้นะคะ...เพราะตนเองก็ไม่ต้องการหรือมีเจตนาให้คนภายนอกเข้าใจผิด ๆ เช่นกันค่ะ บางครั้งตั้งคำถามต้องการคำแนะนำไปเพื่อเอาไว้พูดกับคนภายนอกค่ะ
#49
Posted 07 June 2006 - 12:53 PM
#50
Posted 07 June 2006 - 01:48 PM
ขอบคุณค่ะ...เฮ้อออออออออออ ค่อยสบายใจหน่อย...เมื่อคืนเก็บไปคิดจนเช้าเลยค่ะ...กลัวจะอดเข้ามาคุยต่อ
#51
Posted 07 June 2006 - 04:20 PM
เห็นด้วยค่ะ
อย่างไรก็อนุโมทนาบุญกับทุกท่านนะคะ สาธุ
เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
#52
Posted 07 June 2006 - 06:09 PM
อนุโมทนาบุญในทุกๆบุญ ตั้งแต่ปฐมชาติ ปฐมกับป์ กับท่านขุนศึกผู้พิชิตหงสา ด้วยนะครับ สาธุ...
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
...........................................................
พระอาจารย์ปู่เสนีย์ ธรรมรังสี ปราโมช ท่านได้ให้โอวาทไว้ดังนี้
อายุ----พรรษา ..>>>>นั่งๆ นอนๆ รอเอาก็ได้
แต่....
ความดีซิ ต้องฝืนใจทำ..
แค่ใจดีพูดเพราะ ก็ทำยาก อยู่ที่ใหนให้ ...ทำดี...
ทำแต่ดี..อย่า..+++!!!คิดชั่ว ...!!!!!!..อย่า..!!!..ทำชั่ว
..............................................................
จงให้ความรักไปเป็นนิจต่อมิตรที่มั่นคง....
ใครก็ไม่ใช่-มิตรใคร และใครๆก็ไม่ใช่ศัตรูใคร
จะเป็นมิตร-หรือศัตรู ต้องดูที่การปฎิบัติต่อกัน
มีคู่คิดมิตรดี มีแต่สุข ..จงรักแต่คนที่เขารักเรา
จงเคารพคนที่ควรเคารพ จงกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้
จงบูชา คนที่ควรบูชา ชีวิตจึงจะมีประโยชน์และคุณค่า
คนไม่มี มิตรดี---->>เพื่อนดี..>>จะเอาความสุขมาจากใหน
ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ จะมีค่าเหมือนน้ำใจ....
มีเพื่อนดี สิบคน ยี่สิบคนถือว่าน้อยไป
มีเพื่อนไม่ดี คนเดียว มากไป...
................
ครอบครัว DMC.TV เป็นเรื่องธรรมดาครับ ที่กระทบกระทั่งกัน เพราะแต่ละคนก็
มี....เหลี่ยม....มี...คู..กระทบกันไปกันมาในบ้านหลังนี้..จนกระทั่ง.....
เหลี่ยมๆๆ คูๆๆ หมดไป...เหลือแต่...
ดวงกลม..ใสๆๆ ปิ้งๆๆ ที่จะ Brighten and Clear ครับ
ความรักที่ยิ่งใหญ่ คือการรักตัวเอง
รักตัวเอง... โดยการไม่นำเรื่องร้อนใจ ท้อใจ หงุดหงิดกังวลใจ
โดยเฉพาะเรื่องที่ตัดรอนกำลังใจในการสร้างบารมีมาคิด
เพราะการทำแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายตัวเองเลย
เพราะใจของเรานั้นเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง
หากคิดไปในเรื่องร้อนใจ ก็เหมือนกับการชักศึกเข้าบ้าน
เป็นการทำให้แต่ละวันผ่านไปอย่างมีความทุกข์
เหมือนไฟที่เกิดขึ้นในใจ ย่อมเผาไหม้จิตใจให้เร่าร้อน
โดยที่แม้คนที่รักเราที่สุดก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
เพราะเขาไม่สามารถทำใจให้สงบแทนเราได้
ดั้งนั้นหากรักตัวเอง ต้องหัดปล่อยวาง
และสามารถให้อภัยต่อข้อผิดพลาดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
หากเราทำได้อย่างนี้ เราจะมีความสุข ปลอดกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
ซึ่งหากฝึกใจให้ได้อย่างนี้จนคุ้น สิ่งนี้จะส่งผลอย่างยื่งต่อการปฏิบัติธรรมของเราเอง
เพราะใจจะปราศจากเครื่องเหนี่ยวรั้ง ทำให้หยุดนิ่งตั้งมั่นตรงฐานที่ ๗ ได้เร็ว
เข้าถึงพระธรรมกายได้โดยง่าย และเมื่อเข้าถึงแล้ว เราจะเกิดความรัก
และความเมตตาอันไม่มีประมาณ เพราะใจเราจะเป็นสุขจนกระทั่ง
อยากขยายความสุขนี้ไปสู่คนรอบข้างและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน...
.............
Ref : http://www.dmc.tv/fo...t=0
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#53
Posted 07 June 2006 - 07:48 PM
ผมก็เห็นชื่อท่านขุนศึกผู้พิชิตหงสา ในรายนามเจ้าภาพจัดพิมพ์ ด้วยล่ะครับ
ขออนุโมทนาบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ด้วยนะครับ..สาธุ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#54
Posted 07 June 2006 - 09:00 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#55
Posted 08 June 2006 - 08:52 AM
#56
Posted 08 June 2006 - 02:55 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#57
Posted 08 June 2006 - 04:17 PM
#58
Posted 09 June 2006 - 02:55 PM
#59
Posted 06 March 2007 - 02:57 PM