จะแก้ไขความคิดนี้อย่างไรครับ
#1
Posted 18 November 2008 - 09:11 AM
1. คิดว่าตัวเองมีบุญมากกว่าคนอื่น เพราะเรามารู้จักวัดพระธรรมกาย
2. คิดว่าตัวเองมีศีลที่บริสุทธิ์ เวลาเดินผ่านศาลพระภูมิ ก็ไม่ไหว้
3. นับถือแต่ พระรัตนตรัย เป็นที่ตั้ง ผู้ใหญ่ที่ไม่มีบุญคุณกับเรา จะไม่ไหว้ ไม่เคารพ
4. เชื่อคนง่าย เพราะคิดว่าไม่มีใครมา หลอกเรา
5. อยากทำบุญกับวัดพระธรรมกายเท่านั้น วัดอื่นเฉยๆ
6. ชอบคิดว่าคนที่ไม่ทำบุญ นั้นมีกิเลสครอบงำจิตใจ ให้ตกต่ำ หรือบาปหนา
7. มีความเห็นแก่ตัว ไม่สนใจสังคม ทำบุญอย่างเดียว แล้วก็ปล่อยวางเรื่องภายนอก ทั้งๆ ที่สังคมภายนอกก็เกี่ยวข้องกับเราทั้งทางตรง และทางอ้อม
มีอีกหลายอย่างที่ผมรู้สึก ว่าเริ่มแตกต่างจาก คนอื่น ผมควรแก้ไขตัวเองยังไงครับ
#2
Posted 18 November 2008 - 09:39 AM
แนะนำให้เข้าไปกราบของความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะฯ ที่อาศรมบัณฑิต หรือหลวงพี่พระมหาสมชาย โดยด่วน ก่อนที่ทุกอย่างจะแก้ยากกว่านี้
เพราะความเห็นผิดนั้น ผู้ที่จะชี้แจงแก้ไขให้เห็นได้ชัดเจน ต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้อย่างสูง ต้องแก้ข้อสงสัยของผู้เห็นผิดให้ชัดเจนหมดข้อโต้แย้งจริงๆ พระอาจารณ์รูปอื่นๆหรือกัลยาณมิตรท่านอื่นๆที่มีความสามารถนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ผมไม่คุ้นเคยเท่านั้น ไม่สามารถแนะนำได้ ก็เลยต้องขอพึ่งบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะฯ กับพระอาจารณ์พระมหาสมชายก่อนท่านอื่น
ผมรู้ว่าที่ท่านเจ้าของกระทู้บอกมานั้นมันผิด แต่จะผิดมากน้อยอย่างไร จะชี้ให้เห็นชัดได้อย่างไร จะเข้าใจอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร จะวางใจอย่างไรนั้น ผมหมดปัญญาจริงๆครับ กลัวไม่ชัดเจนแล้วจะเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ครับ
เอาใจช่วยให้ได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนเร็วๆนะครับ
#3
Posted 18 November 2008 - 09:52 AM
ข้อ 2 ถูกแล้ว แต่อย่าไปลบหลู่
ข้อ 3 ผู้ใหญ่ที่ไม่มีบุญคุณกับเรา จะไม่ไหว้ ไม่เคารพ... อันนี้ไม่ควรครับ ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นมงคลชีวิต
ข้อ 4 ควรใช้สติ ตรองให้รอบครอบครับ... เมื่อน้ำมา ปลามาได้งูก็มาได้เช่นกัน
ข้อ 5 ควรทำทุกบุญ ทั้งวัดข้างบ้าน และบุญอื่นๆ แต่เน้นทำบุญกับหลวงพ่อไม่ว่ากัน
ข้อ 6 ไม่ควรคิด ไม่เกิดประโยชน์
ข้อ 7 เท่าที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่า สนใจสังคมมากขึ้น อยากช่วยเหลือ อยากให้เขาได้มาทำบุญ.... รักสันโดดก็ดี(เมื่อก่อนก็คิดเช่นนี้)... แต่ยิ่งทำบุญกับที่วัดยิ่งรักหมู่คณะ รักวัด รักคนทุกคน ปราถนาดีกับเพื่อนร่วมโลก... รับรู้ได้เลยว่าการไปโดยลำพังนั้นลำบาก ตามติดหลวงพ่อสบายกว่ากันเยอะ
การสวนกระแสโดยลำพังนั้นทำได้ยาก แต่ถ้ามีหมู่คณะดี เราทำบุญได้ปลื้ม Alert ตลอด ใจไม่หมองไม่ตก....
เป็นทัศนะคติส่วนตัวนะครับ ถ้าจะได้ประโยชน์ก็ลองนำไปคิดดู
#4
Posted 18 November 2008 - 10:39 AM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#5
Posted 18 November 2008 - 11:12 AM
#6
Posted 18 November 2008 - 12:06 PM
+ สิ่งที่คุณ List มา..
ขอตอบสั้นๆว่า..
อีกหลายคน.. หรือคนจำนวนมาก.. ไม่ได้เป็นแบบคุณ.. และคุณกำลังเข้าใจผิดอยู่..
หรือ.. หลงทาง.. นั่นเอง..
(สันโดด.. สะกดผิดจ้า.. ต้องเป็น.. สันโดษ.. )
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#7
Posted 18 November 2008 - 12:41 PM
ตอนนี้ผมกำลังเข้าใจว่า (ขออภัยเจ้าของกระทู้ด้วย ถ้าผมเข้าใจผิด) เจ้าของกระทู้ไม่ได้เข้าวัดพระธรรมกาย แต่มองว่า ผู้เข้าวัดพระธรรมกายจะต้องเป็นแบบนี้ จึงใช้เทคนิคตั้งกระทู้ทำนองนี้ขึ้นมา ใช่หรือเปล่าครับ
#8
Posted 18 November 2008 - 12:55 PM
ขอตอบเลยนะครับ ก็ถ้าคุณคิดว่า ทำอย่างนี้ต่อไปแล้วมันไม่ดีแก่ตัวคุณและก็สังคม คุณก็ควรที่จะเปลี่ยนความคิด ปรับการกระทำไปเลยครับ
#9
Posted 18 November 2008 - 01:08 PM
ปรับความคิด เปลี่ยนการกระทำ
#10
Posted 18 November 2008 - 02:20 PM
คุณหัดฝันคะ
คุณวิเคราะห์ประโยคเก่งนะคะเนี่ย....(แต่อาจจะผิด หรือถูก เราไม่รู้.....)
เราอ่านไปก็ไม่ได้คิดอะไรเลย
สุดยอดค่ะ
#11
Posted 18 November 2008 - 02:58 PM
คิดดูดีๆ ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า ถ้าเป็นก็ทำตามคำแนะนำของคุณ tnawut เนียนแล้ว
ถ้าไม่เป็นจริง หรือจริงบางข้อ แนะนำให้มาฟังเทศน์ครูไม่เล็กบ่อยๆครับ ถ้าจะให้ดีลองอบรมธรรมทายาทปีหน้า แจ่มครับ
#12
Posted 18 November 2008 - 05:03 PM
เราก็ทำน้า ทั้ง 2 อย่าง แต่ก็ทำบุญที่วัดมากกว่าอ่า...
บางทีก็โดนมิจฉาครอบงำเหมือนกัน ก็คือการเห็นผิดนั่นแหละ แต่ก็น้อยเพราะบางทีใจมันก็ห้ามว่าอย่าคิดแบบนั้น มันเป็นบาป อ่า...
1. ( ไม่คิด เราจะคิดว่า คนนั้นอาจจะมีบุญมากกว่าเราก็ได้ อย่าดูถูกเขา)
2. (ไม่เคยทำ ไม่เคยคิดเลยซักครั้ง )
3. (ไม่เคยคิดแบบนั้น แต่คิด แบบอื่น)
4. (ไม่เป็นอ่า... เราชอบดูท่าทางมากอ่า...ตลอดเวลาเลย บางทีก็รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง แต่ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร เป็นมาตั้งนาน)
5. (ไม่เคยเลย ยิ่งตอนแรก คิดว่า ถ้าทำที่เดียวก็อย่าทำ ต้องทำให้ได้หมด)
6. (อืม...คิดว่าเค้ายังไม่เข้าใจเรื่องบุญมากกว่า ก็มีคิดหน่อยๆแระ)
7. (อืม เราไม่ค่อยเอาอะไรอยู่แว้ววว เหอๆ)แต่ถ้าถามอะไรก็ตอบได้อ่า...
อืม เรามันก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่มันก็เป็นนิสัยมาตั้งนานแล้วอ่า... เราต่างจากที่บ้านที่สุดแว้วว
#13
Posted 18 November 2008 - 05:18 PM
ถ้าลองคิดพิจารณาคำสอนของคุณครูไม่ใหญ่ดีดี ความคิดเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
#14
Posted 18 November 2008 - 05:29 PM
***อย่าไปแข่งกับคนอื่น แข่งกับตัวเองดีที่สุด
***เวลาอยู่คนเดียวให้ระมัดระวังความคิด อยู่กับหมู่คณะให้ระมัดระวังคำพูดคำจา
*** ก่อนนอน ทบทวนบุญ บาปให้ถี่ถ้วน อะไรที่ดีอยู่แล้วก็ทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไป อะไรที่เป็นบาป หรือข้อผิดพลาด ให้เร่งแก้ใขทันทีอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
***รักษาศีลของตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์ ( ใครก็บอกเราไม่ได้เท่ากับตัวเราเองครับ )
เอาไปลองแค่นี้ง่าย ใช่มั๊ยล่ะครับ แต่ทำยากชะมัด แค่นี้เราก็ไม่เป็นคนแข็งกระด้างแล้วครับ เกือบลืมข้อสำคัญอีกอย่างแบ่งเวลานั่งธรรมะให้สม่ำเสมอ อย่าได้ขาด พูดแล้วคิดถึงยายเหมือนกันนะครับ
เอาใจช่วยให้ขัดเกลาตนเองสะอาดบริสุทธิ์มากยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ
Attached Files
#15
Posted 18 November 2008 - 05:32 PM
#16
Posted 18 November 2008 - 06:59 PM
#17
Posted 18 November 2008 - 08:00 PM
เข้าวัดแล้ว กลับยิ่งมีความปราถนาดีต่อคนอื่นมากกว่าเก่า และเหนื่อยมากว่าเก่า เพราะความปราถนาดีนี่แหละ บางทีถึงกับผิดหวังเสียใจก็มี ใครว่าทำชั่วแล้วเหนื่อย แต่ทำดีไ่ม่เหนือย ทำดีก็เหนื่อยเหมือนกันนะ เพราะบางครั้งเราก็ต้องใช้ความพยายาม ต้องใช้ความกล้าที่จะทำ
ส่วนเรื่องคิดว่าตัวเองมีบุญ ก็คิดนะ พยายามคิดบ่อยๆ ด้วย (เพราะชอยคิดว่าตัวเองไม่ค่อยมีบุญ จะทำโน่น ทำนี่ก็ไม่ได้ ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น เรียนก็ไม่เก่ง) แต่ไม่ได้ดูถูกว่าคนอื่่นเค้าไม่มีบุญ เพราะถ้าเค้าไม่มีบุญ เค้าคงไม่่สามารถเกิดมาเป็นมนุษย์ และเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาหรอก
ส่วนศาลพระภูิมิก็ไม่เคยไหว้ อยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กๆ
ไม่สนใจสังคม คำว่าไ่ม่สนใจหมายความว่าไง? หมายความว่าต้องไปเดินขบวนเรียกร้อง หรือร้องด่าคนที่เราเห็นว่าทำผิดหรือป่าว? การจะช่วยสังคมก็ต้องช่วยที่ต้นเหตุ ไม่ใช่้ไปแก้ที่ปลายเหตุ ไม่งั้นช่วยไปก็ไม่ได้แก้ที่ปัญหาซะที และเรื่องศีลธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่คดโกง ปลิ้นปล้อน นี่่แหละที่จะช่วยลดปัญหาสังคมได้เป็นอย่างดี
สุดท้าย...ก็น่าสงสัยเนอะ (ขออภัยถ้าไม่ใช่) ว่าเป็นกระทู้ล่อเป้า ..ก็ถ้าคิดไม่ดีก็คงรู้ตัวเองกันดีอยู่้แล้ว ไ่ม่ต้องถามคนอื่น
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#18
Posted 18 November 2008 - 08:04 PM
ผมเชื่อคุณไม่ทั้งหมด เพราะเป็นไปได้๓อย่าง คือ คุณguilty หรือ กำลังประชดตนเอง หรือประชดหมู่คณะ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด(หรือเป็นทั้งสามแบบรวมกันเพราะคุณกำลังสับสนตนเอง)
คุณก็สามารถสบายใจได้เลยว่า อย่างน้อยในกระทู้นี้
ก็มีหลายคนที่ไม่เชื่อคุณ"""ง่ายๆ"""ตามที่คุณปรารถนา(ก็คุณอยากได้คนไม่เชื่อง่าย ก็จัดให้ครับท่าน)
ยิ่งคุณไม่กล้าตั้งชื่อ กลัวคนจำได้ ยิ่งเสียเครดิต เปลี่ยนusrซะ จะดีขึ้น
webmaster น่าจะตั้งกฏให้ทุกคนตั้งชื่อ
ข้อ๔ทำให้คุณไม่น่าไว้วางใจ
ต่อไปผมจะตัดข้อ๔ออก แล้วตอบแบบทั่วไป
ข้อ๑ ทั้งถูกและผิด คือ คุณก็มีบุญมากกว่าคนอื่นบางคน และคนอื่นบางคนก็มีบุญมากกว่าคุณ
บุญบารมี มี๑๐อย่าง แต่ละอย่างแต่ละคน มีไม่เท่ากัน
ข้อ๒ คุณไปดูตามห้าง " คนทั่วไปที่ไม่ได้ถือศีล " เดินไปเดินมาทั้งวัน
ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไหว้ศาล ทั้งที่ศาลมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร
คนหลายประเทศ, บ้านคนรุ่นใหม่ เช่นบ้านเพื่อนผม ก็ไม่มีศาล
คุณคิดมากไปเอง คุณกำลังอคติต่อตนเองและหมู่คณะหรือเปล่า
อาจเพราะถูกใครเขาว่ามา ก็เลยเชื่อเขาว่าตนเองไม่ดี
ต่อไปก็หัดฉลาดๆหน่อย จะได้ไม่ถูกใครหลอกเหมือนข้อ๔ของคุณ
ข้อ๓ คุณคงไม่เคยมาวัดพระธรรมกาย ใครๆก็ไหว้กันเคารพกัน
ถ้าคุณไปเดินห้าง เด็กๆมันเดินชนคุณ ไม่ขอโทษด้วย เดินกวนคุณซะอีก
แล้วเด็กพวกนี้นะ วัดอะไรมันก็ไม่เข้า
ความเคารพผู้ใหญ่เป็น๑ในมงคลชีวิต๓๘ คุณเคยอ่านไหม? วัดเราจัดสอบทางก้าวหน้าทุกปี คุณควรมาสอบ
ข้อ๕และ๖) เพื่อนคนหนึ่ง วัดอะไรก็ไม่เข้า บุญอะไรก็ไม่ทำ ว่าเราโง่ทำบุญกุศลด้วยซ้ำ
คุณว่ามันมีกิเลสครอบงำจิตใจให้ตกต่ำไหม?
ส่วนเรื่องบาปหนา ก็แยกแยะเป็น เคส บาย เคส ว่าเขาเคยทำผิดศีลอะไรบ้าง
ไม่ทำบุญ ไม่บาป แต่ไม่ได้บุญ, ผิดศีลทำชั่ว ได้บาป
ข้อ๗) วันที่๒๐พ.ย.๒๕๕๑ เวลาเที่ยงวัน คุณก็จงไปพิสูจน์ตนเองว่า "คุณสนใจสังคม" ที่หน้าตลาดหลักทรัพย์ ติดกับศูนย์สิริกิติ เพื่อคัดค้านน้ำเมาช้าง , ที่นั่น คุณก็จะได้เห็นคนที่"สนใจสังคม"จำนวนแสน แล้วจะได้เลิกคิดมากประสาทรับประทาน
สรุป คุณแตกต่างจากคนอื่นนะ """"""""""ดีแล้ว"""""""""" เพราะคนขึ้นสวรรค์เท่าเขาโค แต่ตกนรกเท่าขนโค
ผมเองก็แตกต่างจากเพื่อนๆที่ออฟฟิต เรียกผมว่าหลวงพี่ และเคารพนับถือผมมากๆด้วย
แต่เรามีเพื่อนที่เหมือนกันที่วัดเรา คุณก็ควรเข้าวัดทุกอาทิตย์ และรักเพื่อนที่วัดให้มากๆ
เพราะเพื่อนๆที่อื่นๆ ตายแล้วก็ต่างคนต่างไป
แต่เพื่อนที่วัดยังต้องไปเจอกันอีกที่ดุสิตบุรีและทุกภพชาติ
ปัญหาของคุณก็แค่ คุณขาดความมั่นใจในตัวเอง
ดังนั้น จงมั่นใจใน""""""""""คุณงามความดี"""""""""ของตนเอง
ด้วยการทำบุญกิริยาวัตถุ๑๐ และบารมี๑๐ ทุกๆวันครับ
เพราะถึงคนอื่นจะรวย,เก่ง,หล่อ,ร้าย,เจ้าเล่ห์,ก้าวหน้า,เลื่อนตำแหน่ง,ฯลฯ,กว่าคุณ
แต่คุณ"""""""" ดี """"""""กว่าเขา , ตายไป คุณก็ขึ้นสวรรค์ดุสิตบุรี
อีกอย่างคือ ไปหาหนังสือธรรมะของวัดเราอ่านให้มากที่สุด ฟังธรรมะด้วย
จะได้ฉลาดๆมีปัญญามากๆ ไม่ถูกหลอกง่ายๆ และเป็นที่นับถือ จะได้มีความมั่นใจในตนเอง
ถ้าขี้เกียจอ่านหนังสือและฟังธรรมะ, ทุกอย่างที่อุตส่าห์สอนมา ก็"จบข่าว"
บวชธรรมทายาทสักรอบได้ก็ยิ่งดี สาธุล่วงหน้าครับ
#19
Posted 18 November 2008 - 11:22 PM
อย่าไปจำกัดที่นั่น เวลานี้ แต่อย่างงัยก็ดูเนื้อนาด้วยก็ท่าจะดีนะครับ
#20
Posted 19 November 2008 - 08:33 AM
แต่ทั้งนี้ ตามความเห็นท่านอื่นๆ ทุกท่านที่มาวัด มาศึกษาวิชาชีวิตต่างให้ความรู้สึกที่เข้าใจตัวเอง เข้าใจวัด เข้าใจสังคมได้มากขึ้นต่างหาก
แนะนำให้หาเพื่อนดีๆ เป็น"กัลยาณมิตร"ค่ะ .... อย่างน้อยก็คนใน web DMC นี่ อย่างที่ถามมานี่ล่ะนา
และที่ดีที่สุด...โดยเฉพาะท่านชายมีโอกาสพิเศษคือการอบรมธรรมทายาทค่ะ มาเลย มาเร็ว ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
..ค่ะ คนมาวัด ก็ยังขัดเกลากิเลสกันอยู่ คิดถูกบ้าง ผิดบ้าง ช่วยกันเป็นกระจกนะคะ ข้อสำคัญ..กระจกที่ส่องต้องใสแจ๋วนะเออ....
...SMILE.... SMILE.... SMILE...
...ยิ้ม... ใส... ปิ๊ง...
#21
Posted 19 November 2008 - 10:57 AM
และน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แล้วจะอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นเข้าไปอีก
ถ้าค้นพบแล้ว ลด ละ เลิก แก้ไข ปรับปรุงตัวเราให้ดีขึ้น ซึ่งผลที่ได้ก็คือ ตัวของเราดี
เราจะเป็นมนุษย์วิเศษ มนุษย์อัศจรรย์"
จากหนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน
ฉบับมงคลชีวิต เล่ม๖
ลำดับเรื่อง : พระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
100กะรัต
#22
Posted 19 November 2008 - 12:12 PM
#23
Posted 19 November 2008 - 09:09 PM
1. คิดว่าตนเองเป็นหนึ่งในผู้ได้โอกาสที่มารู้จักวัดพระธรรมกาย
2. ระลึกและหมั่นทบทวนว่าเรานั้น ยังดำรงอยู่ในศีลอันนำไปสู่สุขคติ โภคทรัพย์ และนิพพาน
3. นับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกอันสูงสุด รู้ซึ้งว่าความเคารพนั้นเป็นมงคลชีวิต
4. รับฟังทุกคนด้วยความคารพ พิจารณากลั่นกรองโดยใช้วิจารณญาน เหตุและผล
5. อยากทำบุญกับวัดพระธรรมกายและวัดใกล้บ้าน ตลอดจนวัดอื่นๆที่มีโอกาสไปเยือน
6. รู้สึกเสียดายเวลาแทนคนที่มีโอกาสแต่ไม่ใช้โอกาสทำบุญ ปรารถนาจะเป็นกัลยาณมิตรให้กับเขาเหล่านั้น
7. มีความรักตัวเอง สั่งสมบุญบารมี ร่วมกับหมู่คณะในการเผยแผ่ธรรมะสู่สังคม
#24
Posted 21 November 2008 - 11:58 PM
คุณ usr21582 ต้องลองมาเข้าวัดพระธรรมกาย มาร่วมกิจกรรมงานบุญต่าง ๆ ที่วัดมีทุกกิจกรรม ภายในระยะเวลา1 ปี (ต้องอย่างน้อย 1 ปี) แล้วจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วผู้ที่ได้มีโอกาสได้มารู้จักวัดพระธรรมกาย ได้รับรสแห่งธรรมจากครูบาอาจารย์ ถึงแม้จะยังไม่ซาบซึ้งในรสพระธรรม ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า อาการ 7 ข้อดังกล่าวจะอยู่ในบุคคลคนเดียวกัน
#25
Posted 19 January 2009 - 10:35 PM
สำหรับ จขกท คำแนะนำมีหมดแล้วครับ ดังกล่าวข้างต้น
สำหรับบุคคลภายนอก แม้ไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ขัดใจ แล้วล่ะครับ
ยกเว้น ผู้ที่เข้ามาจับผิด