เรื่องเล่า
#1
Posted 02 December 2013 - 07:28 PM
1. เวลาไปที่ใดที่หนึ่งบางครั้งไม่เคยไปมาก่อนแต่จะรู้สึกว่าเคยมาแล้วและเคยทำอะไรบ้างแบบเสี้ยวนาทีแต่ไม่ได้ใจความแต่รู้ว่าเคยมา
2. บางครั้งเวลาที่พูดอยู่หรือทำอะไรอยู่จะเห็นภาพแว้ปๆว่าผลมันจะออกมาอย่างไร ส่วนใหญ่จะรู้สึกตอนที่พูดไม่ดี จะทำให้เกิดผลเสียซะส่วนมาก เราก็จะเอะและหยุด ทุกอย่างและคิด คิดว่าอย่าทำหรือพูดต่อดีกว่า
เคยหาคำอธิบายทางวิทยาศาตร์เค้าว่าเป็นอาการอะไรสักอย่างเนี้ยะ จำชื่อไม่ได้
แค่อยากเล่าให้ฟังค่ะเพราะมันคงไม่มีเหตุและไม่มีผลอะไร
#2
Posted 02 December 2013 - 07:30 PM
นั่นแหละ เป็นเครื่องยืนยันว่า เราไม่ได้เกิดมาชาตินี้ เป็นชาติแรก และตายแล้วเราก็ไม่สูญด้วย แต่เป็นไปตามบุญบาป ที่กระทำมา
#3
Posted 02 December 2013 - 07:35 PM
#4
Posted 03 December 2013 - 07:45 AM
...คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้นเฉพาะคุณคนเดียวนะครับ มีค่อนข้างหลายคนแล้วที่เป็นเช่นนั้นและอยู่ในเคสสตั๊ดดี้.. ลองฟังเคสหลายๆเคสดูเรื่อยๆนะครับแล้วจะพบเอง หรือรอพระอาจารย์นำมาให้ชมนะครับ เมื่อฟังแล้วจะบอกว่า "โอ้ววว ..นี่ใช่เราเลย!!!"
#5
Posted 03 December 2013 - 10:20 AM
#6
Posted 03 December 2013 - 10:58 AM
ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นอาการของสื่อประสาทลัดวงจรเล็กๆ คือ เมื่อเราเห็นภาพ หรือเห็นเหตุการณ์อะไรสักอย่าง แทนที่สมองจะประมวลผลว่า ภาพนั้นคืออะไร ไฟฟ้าในสมองกลับลัดวงจรนิดนึง จากส่วนประมวลผล ไปใช้สมองในส่วนบันทึกความทรงจำแทน ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับรู้จักเหตุการณ์แบบนี้ แต่เราจะไม่เข้าใจว่า อะไร อย่างไร เพราะเราไม่เคยเจอมาก่อน เพียงแต่รู้สึกคุ้นๆ เท่านั้น
เป็นอาการปกติครับ เป็นกันทุกคน ถ้านานๆ เป็นที แต่ถ้าเป็นบ่อยๆ จะถือว่าไม่ดีครับ เพราะจะทำให้เราหลงระหว่างโลกแห่งความเป็นจริง กับโลกเสมือนที่เกิดจากการลัดวงจรของสมอง ทำให้เราสับสนกับสิ่งที่เกิดอยู่รอบตัวว่าไหนเรื่องจริง ไหนเรื่องคิดไปเอง ดี ไม่ดี มีความเชื่อแบบอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะทำให้เคลิดเปิดเปิงไปว่าตัวเองมีองค์ลง มาญาณทิพย์ จนถึงบรรลุนั่น บรรลุนี้ เพ้อเจ้อไปเรื่อยครับ อาการแบบนี้ทางการแพทย์สามารถรักษาให้หายได้ ไม่ยุ่งยากอะไร
การรู้สึกแบบนี้ จะต่างจากการรู้สึกด้วยสัญญาเก่า ตรงที่ การรู้สึกแบบนี้จะเบลอๆ แค่รู้สึกว่าเคยเห็น เคยสัมผัส เคยมา แต่หาความสัมพันธ์ หาความผูกพันไม่ได้ แค่ เอ๊ะ...แล้วจบ แต่ถ้าเป็นการรู้สึกด้วยสัญญาเก่า เราจะรู้ลึกไปกว่านั้น จะรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้ง จะรู้ที่มา ที่ไป ว่าทำไมเราถึงรู้สึกดีกับสิ่งเหล่านั้น เกิดความปิติอย่างไม่มีสาเหตุ
ส่วนในทางพระพุทธศาสนา เราสามารถพูดถึงอาการแบบนี้ได้ 2 แบบ คือ
สัญญาเก่ากำเริบ มักจะเกิดอาการผูกพันโดยไม่มีสาเหตุ รู้สึกปิติทันทีที่ได้เห็นโดไม่มีสาเหตุ คือ มีความลึกซึ้งผูกพันอย่างต่อเนื่อง
รวมไปถึงพวกบุพนิมิตรก่อนตายด้วย ทำไมบางคนกลัวไฟมากกว่าคนอื่น กลัวความสูงมากกว่าคนอื่น อะไรทำนองนี้
วิบากกรรมเก่าส่งผล มักจะเป็นกับพวกที่มีนิสัยชอบเพ้อฝัน สร้างวิมานในอากาศ หลอกลวงชาวบ้าน โกหกสร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของตน จนถึงพวกที่สะกดจิตตัวเอง เช่นนักแสดงต่างๆ พวกนี้อาการจะเป็นแบบรู้สึกแบบฉาบฉวย ไม่มีผูกพันลึกซึ้ง เพียงแค่รู้สึกแล้วผ่านไป ถ้ามีวิบากกรรมสุราเข้าร่วมด้วย ก็อาจจะมากถึงขั้นครองสติไม่ได้เป็นพักๆ จนถึงเสียสติไปเลย เพราะไปหลงอยู่ในโลกจินตนาการ พวกสองบุคลิกก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย อาจจะเพ้อเจ้อว่าตัวเองสามารถเห็นโน่น นี่ นั่นได้ หรือพวกที่ชอบถูกผีเข้า(หลอกๆ) บางคนก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
เพราะอย่างนี้ หลักการปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาถึงได้เน้นการปล่อยวาง เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราไม่มีทางรู้ได้ว่า มีเหตุมาจากที่ใด ถ้าเราไปยึดติดซะแล้ว ก็จะทำให้เราหลงทางไปได้
ปล่อยวางซะ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ดูไปอย่างนั้น แล้วก็เข้ากลางเรื่อยไป เมื่อถึงที่สุดแล้ว เราก็จะรู้ จะเข้าใจได้เองถึงที่มา ที่ไป ว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นคืออะไร
#7
Posted 08 December 2013 - 07:10 PM
เกิดแล้วยังต้องเกิดอีกอยู่ร่ำไป ทุกข์แล้วยังต้องทุกข์อีกอยู่ร่ำไป สงสัยแล้วยังต้องกลับมาสงสัยอีกอยู่ร่ำไป ชีวิต
#8
Posted 09 December 2013 - 11:46 AM
เกิดแล้วยังต้องเกิดอีกอยู่ร่ำไป ทุกข์แล้วยังต้องทุกข์อีกอยู่ร่ำไป สงสัยแล้วยังต้องกลับมาสงสัยอีกอยู่ร่ำไป ชีวิต
อันนี้ขอเรียนให้ทราบนะครับ ถ้าสงสัยแล้วศึกษาเพิ่มเติมให้ถึงแก่นแท้ เราจะจดจำสิ่งนั้นไปได้ตลอดครับ แม้ชาติถัดไปจะนึกไม่ออก แต่ถ้าได้ศึกษาถึงแก่นแท้ไปเรื่อยๆ เราจะจำได้เอง เรียนรู้ได้เอง สอนตนเองได้เอง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักสร้างบารมีใฝ่หากันอย่างที่สุด
ถ้าเราสามารถสั่งสอนตนเองได้ตั้งแต่เกิด ก็เท่ากับชาตินั้นเราปิดประตูอบายกันเลยทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาเวียนว่ายในทุกขคติอันยาวนาน สอนตัวเองให้สั่งสมบารมีให้พอกพูน บริบูรณ์ขึ้นไปได้เรื่อยๆ ยิ่งสั่งสม ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งสอนตนเองได้ สุดท้ายก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะอีกต่อไป
สงสัยแล้ว สงสัยอีก ก็ถามมาเถอะครับ ถามจนกว่าจะเข้าใจถ่องแท้ รับรองมีประโยชน์ต่อตนเองแน่นอนครับ
#9
Posted 09 December 2013 - 07:36 PM
ขอบคุณน่ะครับ ผมถามเยอะแล้วครับ เหลือแต่ปฏิบัติ อีกไม่กี่วันคงได้รู้กันครับ