โปรดช่วยกันระมัดระวังการใช้คำพูดที่เกี่ยวเนื่องกับบางศาสนา
#1
Posted 21 August 2006 - 09:29 PM
ดังนั้นเพื่อคงไว้ซึ่งความเข้าใจอันดี และลดการกระทบกระทั่งกันระหว่างศาสนา จึงขอเรียนแจ้งมายังพี่น้องทุกท่านโปรดช่วยกัน กรองข้อความและคำพูดที่เอามาโพสกันในเวปต่างๆ ทั้งเวปdmc หรือเวปอื่นๆ เช่นพันทิป หรือที่ใดๆ โดยต้องระวังในสิ่งนี้คือ
๑. ไม่ควรใช่คำว่าชาว "มุสลิม" หรือ "อิสลาม" หันมานั่งสมาธิ หรือปฏิบัติธรรมแบบเรา เพราะในคำสอนของศาสนาอิสลาม ห้ามศาสนิกที่ยังเป็นอิสลาม ปฏิบัติกิจต่างๆที่เป็นของศาสนาอื่น เพราะถือเป้นความผิดที่ร้ายแรง เป็นการตั้งภาคีกับพระเจ้าของเขา แต่หากมุสลิมคนนั้น ใด้ออกจากความเป็นมุสลิมแล้ว ไม่เป็นไร ครับ
ดังนั้นจุดนี้ต้องระวังมากๆนะครับ เพราะมันเกิดกรณีศึกษาขึ้นมาแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายถึงต่อว่าผู้ที่โพสไปแล้วนะครับ เพราะเข้าใจดีว่าทำไปด้วยเจตนาดี แต่ด้วยคำสอนของพี่น้องศาสนิกอื่น ที่ค่อนข้างเคร่งครัด เราจึงจำเป็นต้อง ระวังการใช้ข้อความขึ้นอีกหน่อยนะครับ
อนุโมทนาบุญทุกท่านด้วยครับ
#2
Posted 21 August 2006 - 10:08 PM
#3
Posted 21 August 2006 - 10:45 PM
หรือ อีกประการก็คือ การคิดว่าเราเนี่ย ทำดี เป็นคนดี เราเข้าวัด เราฟังหลวงพ่อ แล้วมองคนอื่นว่า ไม่ดีไปเสียหมด (บางคนพูดถึงการกระทำของคนอื่น ประหนึ่งว่าตัวเองในชาตินี้ ไม่เคยทำอะไรผิดเลย ) อันนี้เพื่อนมาเล่าให้ฟังค่ะ เพราะ koonpatt เป็นคนสุดท้าย (ในหมู่เพื่อนๆ ทั้งหลาย มากมาย) ที่รู้จักวัด (ตกโลกอยู่นาน) เค้าจะ "เล่า" ให้ฟังประมาณว่า กัลยาณมิตร (บางท่านที่เพื่อนเจอ ขอเรียนย้ำว่า บางท่าน นะคะ ) ชักชวนเพื่อนๆ ให้เข้าวัด ด้วยวิธีเช่นนี้ คือ ฉันดี เขาไม่ดี ฉันคิดถูก เขาคิดผิด ถ้าไปกับฉันจะดี ถ้ายังอยู่อย่างนี้จะ......... โดยส่วนตัวแล้ว เข้าใจในเจตนาอันดีค่ะ แต่หลายคน ไม่เข้าใจ เพราะที่เพื่อนจะพูดให้ฟังตลอดก็คือ พูดไปพูดมา เหมือนนั่งฟังคนมาด่าตัวเองน่ะค่ะ ว่า ที่ทำอยู่ทุกวันเนี่ย ไม่มีอะไรถูกเลย ทำบุญกับคนก็ว่าทำผิดวิธี ถ้าให้ดีต้องไปทำที่วัด(บุญเขต) (เพื่อนบอกว่า ฟังแล้ว ท้อว่า บุญทั้งหลายที่เคยทำมา กับสถานสงเคราะห์ เด็ก คนชรา ฯลฯ เนี่ย ไม่มีอะไรดีเลยหรือ) ความกระตือรือล้นนี่ดี นะคะ แต่บางคนทำได้อย่างที่คนไม่คุ้นเคย รู้สึกตกใจกลัวไปเลย ใหม่ๆ ก็รู้สึกเช่นนั้นค่ะ เพราะเป็นคนที่ค่อนข้างจะตั้งกำแพงตัวเองสูงหน่อย เวลาเจอกัลยาณมิตร ที่มีความกระตือรือล้นมากๆเนี่ย จะรู้สึกอยากถอยออกห่าง ก้าวนึงทุกทีเลยค่ะ (เดี๋ยวนี้ ดีขึ้นค่ะ เพราะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องกระตือรือล้น)
ต้องขออภัยอีกครั้งนะคะ สำหรับความเห็นของตัวเองในครั้งนี้ เพราะรู้สึกว่า อาจจะตรงเกินไป สำหรับบางท่านที่ได้เข้ามาอ่าน แต่ขอเรียนย้ำว่า นี่เป็นความรู้สึกของตัวเอง ก่อนเข้าวัด และ ยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องความจริงของชีวิต เพียงแค่อยากจะบอกเล่าถึงความรู้สึก ของ คนอีกกลุ่มนึง ที่ยังไม่เข้าวัด ยังไม่เข้าใจวัด เผื่อว่า จะได้เกิดความรู้สึกเห็นใจว่า บางครั้ง คงต้องใช้ความอดทนมากขึ้นกับผู้ที่เคยเจอกับ ผู้ชักชวน ที่มีความกระตือรือล้นสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับ และเข้าใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนที่ยังเชื่ออะไร ที่ต่างจากเราน่ะค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#4
Posted 22 August 2006 - 04:16 AM
#5
Posted 22 August 2006 - 05:44 AM
(เมื่อก่อนเคยเป็นเหมือนกัน อาการประมาณว่า "ของเราเจ๋งกว่าของนาย")
การชักชวนคนต้องมีศิลปะในการพูด
ถึงแม้สิ่งที่พูดจะดี แต่พูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่ควรพูดนะครับ
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#6
Posted 22 August 2006 - 07:01 AM
ป.ล.
2) ช่วงนี้ทุกๆความเชื่อไม่ว่าด้านศาสนาหรืออย่างอื่น ดูเหมือนกำลังทำงานอย่างหนักอยู่เหมือนกัน เห็นด้วยอย่างยิ่งที่แต่ละฝ่ายจะเพิ่มความระมัดระวังการกระทบกระทั้งกันซึ่งอาจจะเกิดขึ้นโดยไม่เจตนา ก็เป็นได้
ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7
.
รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: คลิ๊กที่นี้คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>> CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!
#7
Posted 22 August 2006 - 07:21 AM
#8
Posted 22 August 2006 - 09:09 AM
#9
Posted 22 August 2006 - 09:13 AM
#10
Posted 22 August 2006 - 09:20 AM
มีคนที่เข้าวัดจำนวนไม่น้อย เป็นพวก ศรัทธาจริต คือ ใช้ศรัทธานำหน้า ไม่ใช้ปัญญาพิจารณา คนพวกนี้แหละครับ ที่น่าเป็นห่วง เพราะ ถ้าทำอะไรด้วยศรัทธาเป็นที่ตั้งโดยปราศจากปัญญาแล้ว ภาษาชาวบ้านก็คือ งมงาย แหละครับ เมื่อไหร่ศรัทธาพวกเขาตก หรือ สูญสิ้นลง เมื่อนั้น ชีวิตทางธรรมของพวกเขาก็จะจบลงทันที เพราะไม่มีปัญญาพอที่จะสามารถพิจารณา โยนิโสมนัสสิการ เพื่อ ยกกำลังใจตนเองในการสร้างความดีได้ ครับ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเข้าวัดกันแล้ว ก็ควรที่จะหมั่นศึกษาหาความรู้ทางธรรมใส่ตัวเสมอ หาหนังสือธรรมะมาเปิดอ่านอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่รอฟังแต่จาก โรงเรียนอนุบาลแต่เพียงอย่างเดียว หลายๆ ท่านดูเบาพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อทัตตะ ของหลวงพี่ฐานะฯ ของพระอาจารย์ไพบูลย์ ฯลฯ
ถ้าเราหมั่นศึกษาธรรมะจากทุกๆ ท่าน ทุกๆ รูป เมื่อศึกษาแล้วก็ไม่ใช่แต่เพียงว่าฟังหรืออ่านเพียงเท่านั้น แต่ให้นำมาขบคิดพิจารณา หาความสัมพันธ์ของหัวข้อธรรมต่างๆ ยกระดับปัญญาจาก ปัญญาที่เกิดจากการฟัง เป็นปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาโดยแยบคาบ เพราะจะได้เป็นสหชาติปัญญาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปด้วย และ เมื่อถึงคราวทำหน้าที่กัลยาณมิตรก็ทำได้อย่างสมบูรณ์ สามารถแถลงข้ออรรถข้อธรรมให้กับผู้สงสัยได้อย่างลึกซึ้งชัดเจน เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทางไงครับ
แต่ปัจจุบันนี้ผมเห็นสาธุชนจำนวนไม่น้อย เวลาจะทำหน้าที่กัลยาณมิตรนั้น จะก๊อปปี้คำพูดของครูบาอาจารย์มาพูดทั้งดุ้น ทั้งก้อน ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่จุดอ่อนก็คือ ถ้าคนอื่นเขายังคงไม่หายสงสัยในคำพูดของครูบาอาจารย์แล้วจะทำอย่างไร ตอนนี้แหละครับ ปัญญาที่เกิดจากการขบคิดพิจารณา จะทำให้เราสามารถขยายความ ถ้อยคำของครูบาอาจารย์ออกไปอีกตามสมควร ให้เขาเหล่านั้นเข้าใจธรรมะยิ่งขึ้น แล้วการทำหน้าที่กัลยาณมิตรก็จะสัมฤทธิ์ผล และตัวเราก็จะไม่ถูกกล่าวหาว่า เป็นคนงมงาย ครูบาอาจารย์พูดอะไร ก็ก๊อปมาพูดทั้งดุ้นทั้งก้อน ปราศจากการขบคิดพิจารณา ซึ่งผิดหลักกาลามสูตร ครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#11
Posted 22 August 2006 - 10:50 AM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#12
Posted 22 August 2006 - 11:47 AM
#13
Posted 22 August 2006 - 12:40 PM
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเข้าวัดกันแล้ว ก็ควรที่จะหมั่นศึกษาหาความรู้ทางธรรมใส่ตัวเสมอ หาหนังสือธรรมะมาเปิดอ่านอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่รอฟังแต่จาก โรงเรียนอนุบาลแต่เพียงอย่างเดียว หลายๆ ท่านดูเบาพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อทัตตะ ของหลวงพี่ฐานะฯ ของพระอาจารย์ไพบูลย์ ฯลฯ
ถ้าเราหมั่นศึกษาธรรมะจากทุกๆ ท่าน ทุกๆ รูป เมื่อศึกษาแล้วก็ไม่ใช่แต่เพียงว่าฟังหรืออ่านเพียงเท่านั้น แต่ให้นำมาขบคิดพิจารณา หาความสัมพันธ์ของหัวข้อธรรมต่างๆ ยกระดับปัญญาจาก ปัญญาที่เกิดจากการฟัง เป็นปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาโดยแยบคาบ เพราะจะได้เป็นสหชาติปัญญาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปด้วย และ เมื่อถึงคราวทำหน้าที่กัลยาณมิตรก็ทำได้อย่างสมบูรณ์ สามารถแถลงข้ออรรถข้อธรรมให้กับผู้สงสัยได้อย่างลึกซึ้งชัดเจน เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทางไงครับ
แต่ปัจจุบันนี้ผมเห็นสาธุชนจำนวนไม่น้อย เวลาจะทำหน้าที่กัลยาณมิตรนั้น จะก๊อปปี้คำพูดของครูบาอาจารย์มาพูดทั้งดุ้น ทั้งก้อน ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่จุดอ่อนก็คือ ถ้าคนอื่นเขายังคงไม่หายสงสัยในคำพูดของครูบาอาจารย์แล้วจะทำอย่างไร ตอนนี้แหละครับ ปัญญาที่เกิดจากการขบคิดพิจารณา จะทำให้เราสามารถขยายความ ถ้อยคำของครูบาอาจารย์ออกไปอีกตามสมควร ให้เขาเหล่านั้นเข้าใจธรรมะยิ่งขึ้น แล้วการทำหน้าที่กัลยาณมิตรก็จะสัมฤทธิ์ผล และตัวเราก็จะไม่ถูกกล่าวหาว่า เป็นคนงมงาย ครูบาอาจารย์พูดอะไร ก็ก๊อปมาพูดทั้งดุ้นทั้งก้อน ปราศจากการขบคิดพิจารณา ซึ่งผิดหลักกาลามสูตร ครับ
สาธุ... คุณ BluE...MooN กล่าวไว้ชอบแล้วทุกอย่างทุกประการ เพราะเหตุว่า ศรัทธาจะตั้งมั่นและดำรงอยู่ได้นั้น ต้องมีสัมมาปัญญามาเป็นเครื่องประกอบเสมอ หากศรัทธานั้นปราศจากเสียซึ่งสัมมาปัญญาเป็นเครื่องประกอบแล้วไซร้ ศรัทธานั้นย่อมตกไป ซึ่งการตกไปของศรัทธานั้น มิได้หมายความว่า ศรัทธาที่บุคคลผู้นั้นมีต่อวัดพระธรรมกาย หรือมีต่อครูบาอาจารย์จะลดลง หากแต่ปัญญาอันชอบที่ควรจะนำเอามาประกอบกับศรัทธานั่นเอง ที่ตกไป บทสรุปก็คือ การมีศรัทธาสุดโต่ง ไม่ว่าศรัทธานั้นจะเป็นไปในทางดีหรือไม่ก็ตาม แต่หากหย่อนปัญญาแล้วไซร้ ย่อมจักนำมาซึ่ง "ความงมงาย" ในขณะเดียวกัน การเป็นผู้มีปัญญาอย่างสุดโต่ง แต่หย่อนซึ่งศรัทธา ย่อมทำให้กลายเป็นบุคคลที่มีทิฐิมานะ ว่านอนสอนยาก ผู้ใดมิอาจแนะนำพร่ำเตือนได้ อุปมาดั่งโรคร้ายที่เกิดแต่ยาที่บริโภคเข้าไป ย่อมเยียวยารักษาให้หายได้โดยยาก ดังนั้น ทั้งศรัทธาและปัญญาต้องมีระดับที่เสมอกัน ไม่หย่อนไปกว่ากัน ไม่ยิ่งไปกว่ากัน แต่ในความเสมอเหมือนนั้น "ปัญญาต้องเดินนำหน้า ศรัทธาอันตั้งมั่นชอบต้องประกอบตามหลังเสมอ" และท่านจะต้องไม่ลืมว่า การพิจารณาที่ถูกต้องตามหลักของกาลามสูตรนั้น ท่านพึงลงมือพิสูจน์ตามวิถีปฏิบัติแห่งองค์พระสัมพุทธให้แจ้งเสียก่อน จากนั้นจึงเอาปัญญาที่เกิดจากความรู้แจ้งมาทำให้แทงตลอดในสิ่งที่ได้สดับรับฟังมา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่มาจากครูบาอาจารย์ของเราก็ดี และ/หรือผู้ทรงภูมิธรรมท่านอื่นก็ดี ท่านอย่าได้ปลงใจเชื่อเพราะเหตุว่า นั่นคือ วาทะแห่งมหาสมณะ (ตถาคต) นั่นคือ วาทะของครูบาอาจารย์ ที่กล่าวแล้วดูมีความเป็นเหตุเป็นผลน่าเชื่อถือ เพราะเมื่อใดที่ท่านเชื่อโดยปราศจากการลงมือพิสูจน์ เชื่อโดยปราศจากการอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลแล้ว เมื่อนั้นท่านย่อมได้ชื่อว่า "หลงลืมปัญญา (งมงาย)" ฉะนั้น ท่านพึงพิสูจน์ก่อนลงมืเชื่อ แต่อย่าปลงใจเชื่อโดยมิได้ลงมือพิสูจน์ เพราะเหตุว่า ศาสนาแห่งพระตถาคตเจ้านี้ สอนให้เหล่าพุทธสาวกของพระองค์เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อโดยอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล "กาลามสูตร" ก็เป็นอีกคำสอนหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องเรืองปัญญาให้แก่บรรดาส่ำสัตว์ที่ได้มาอาศัยหลักธรรมอันเปรียบดั่งทิพยอุทกธารามาหล่อเลี้ยงอัตภาพของตนให้ดำรงอยู่ได้ ความว่า "ดำรงอยู่ได้" นั้นคือ ดำรงอยู่ได้โดยปัญญาตรัสรู้ชอบที่เกิดมีในตนเอง โดยไม่ยึดติดในตัวบุคคล หากแต่จะยึดเอาธรรมะเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งอันเที่ยงแท้ให้แก่ตนเอง เพราะ "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" เพราะหากเรายึดติดในตัวบุคคล โดยมิได้ยึดเอาธรรมะเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ที่ยึดเกาะให้แก่ตนเองแล้ว วันหนึ่งวันใดที่บุคคลอันเป็นที่เคารพรักเทิดทูนบูชาอย่างสูงสุดของเราได้จากไป ชีวิตแห่งความเป็นนักสร้างบารมีของเราย่อมไม่อาจดำรงอยู่ได้ เมื่อได้ทราบดังนี้ นักสร้างบารมีผู้เป็นที่รักยิ่งทั้งหลายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้มีมโนปณิธานอันยิ่งใหญ่ ที่จะยกตนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย มุ่งไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม พึงเป็นผู้มีศรัทธาที่ตั้งมั่นและดำรงอยู่ด้วยปัญญาอันชอบ พึงยึดเอาธรรมะภายในมาเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่เที่ยงแท้ให้แก่ตนเอง พึงสร้างบารมีตามรอยเบื้องพระยุคลบาทแห่งพระบรมศาสดา และครูบาอาจารย์ของเรา อย่างผู้มีสัมมาสติ มีสัมมาปัญญา และมีสัมมาทิฏฐิอันชอบมาเป็นเครื่องประกอบในกาย วาจา จิต แห่งตนเถิด ประเสริฐนัก
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#14
Posted 22 August 2006 - 01:07 PM
สาธุกับความเห็นดีๆของทุกท่าน
#15
Posted 22 August 2006 - 01:11 PM
#16
Posted 22 August 2006 - 01:47 PM
Someday I'm gonna be free.
#17
Posted 22 August 2006 - 05:05 PM
โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าการทำหน้าที่ผู้นำบุญกับผู้คนซึ่งมีจริตแตกต่างกัน เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากค่ะ บางคนก็มีคำถามมากมาย แต่กับบางคนแค่เห็นคนมาวัดเยอะแยะก็เกิดศรัทธาแล้ว บางคนได้ฟังหลวงพ่อแล้วก็บอกว่าฟังไม่รู้เรื่องก็มีนะคะ (ทั้งๆที่หลวงพ่อช่วยย่อยเรื่องธรรมะยากๆให้เข้าใจได้ง่ายๆแล้วนะคะ) ตั้งแต่ทำหน้าทีมาก็เจอมาหลากหลายเลยค่ะ
แต่ที่เคยทำแล้วได้ผลมากๆ ก็คือ การฟังค่ะ ก่อนที่เราจะพูดในสิ่งที่ต้องการให้เค้ารู้ เราต้องฟังก่อน เพื่อให้รู้ว่าเค้าเป็นคนอย่างไร และต้องการอะไรในชีวิตค่ะ จากที่เคยทำมานะคะ ถ้าเราฟังเค้าเยอะๆ เราก็จะรู้ว่าเราควรจะพูดอะไร ตรงไหน เพื่อให้ตรงกับใจเค้าค่ะ
และมีหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่อาจมีประโยชน์ในการทำหน้าที่นะคะ ชื่อ "Personality Plus" หรือชื่อไทยว่า "บุคลิกภาพเชิงบวก" ค่ะ เป็นหนังสือที่ช่วยบอกว่าคนเราส่วนใหญ่มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน 4 แบบ ซึ่งมีผลทำให้คนเรามีความคิด พูด ทำ แตกต่างกัน แม้จะเจอสถานการณ์เดียวกันค่ะ หนังสือเล่มนี้นอกจากจะช่วยให้เราเข้าใจผู้คนรอบข้างได้ดีขึ้น ยังทำให้เราเข้าใจตัวเราเอง บุคลิกภาพของเราเองได้ดีขึ้นด้วยค่ะ
ถือเป็นอีกความคิดเห็นหนึ่งนะคะ อาจจะเป็นประโยชน์กับการทำหน้าที่ผู้นำบุญได้บ้างค่ะ
#18
Posted 22 August 2006 - 05:06 PM
#19
Posted 22 August 2006 - 05:15 PM
เราไม่ควรไปว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน หลักการพื้นฐานของทุกๆศาสนาคือปรารถนาให้ทุกคนเป็นคนดีเช่นกัน
ส่วนเรื่องกระตุ้นให้เบิกบาน นอกจากเพื่อนกัลยาณมิตรแล้ว อย่างให้ผู้ประสานงานอ่านข้อความเหล่านี้ด้วยจังค่ะ
#20
Posted 22 August 2006 - 05:42 PM
คุณลองยกเอาคำพูดที่ผมได้อธิบายไว้ในกระทู้นี้ ไปคุยกับกัลยาณมิตรท่านนั้นดูก็แล้วกันนะครับ
=> http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=4766
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#21
Posted 22 August 2006 - 09:45 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#22
Posted 22 August 2006 - 10:05 PM
แต่ขอพูดตรงๆเลยนะคะ (พูดตรงอีกแล้ว) เข้าไปอ่าน link ที่คุณขุนศึกผู้พิชิตหงสาให้มา กบตัวนี้ ตาโตเท่าไข่ห่านเลยค่ะ เหมือนกับได้เข้าชมการ (เขาเรียกว่าอะไรคะ การที่หลายๆคน ถกกันถึงเรื่องเดียวกันเพื่อความกระจ่างของเนื้อหาน่ะค่ะ) เรียกไม่ถูก แต่ขอบอกว่า สุดยอดๆๆๆๆๆๆๆๆ ทุกท่านเลยค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#23
Posted 23 August 2006 - 02:11 PM
ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี
การใช้คำพูดสำคัญที่สุดจริงๆค่ะ
น้าจี้
#24
Posted 24 August 2006 - 09:51 AM
โดยทั่วไปเขาจะไม่เอามาเป็นหัวข้อสนทนากับคนแปลกหน้าหรือเพิ่งรู้จัก เพราะเสี่ยงต่อการโต้แย้งกัน โกรธกัน
แต่หากมีจุดประสงค์เพื่อเผยแผ่แนวคำสอน หรืออธิบายสร้างความเข้าใจ
ควรระมัดระวัง เพราะบางเรื่อง อารมณ์เขาก็แตกต่างจากชาวเรา
ถ้าเอาความรู้สึกความนึกคิดของเราไปนึกว่า เขาน่าจะรู้สึกอย่างนี้ อย่างนั้น
ในใจเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะ"ใช่แบบนั้น"เหรือเปล่า เขาชอบหรือไม่ชอบก็ไม่รู้
สิ่งที่พูดไป เพื่อจะให้เขาเข้าใจและรู้สึกอย่างนึง เขาอาจนึกไปเป็นอีกอย่างก็ได้
..............................
เรื่องอาการและคำพูดกระตือรือร้นของกัลยาณมิตรบางท่าน(จำนวนมาก) เป็นอาการที่ copy กันมา
จนกลายเป็นคำติดปากไปเอง หรือไม่ได้คิดว่าจะพูดแบบนั้นแต่ก็พูดไป
เสมือนเป็นธรรมเนียมเชิงบังคับนิดๆ ที่ส่งต่อๆ กันมา จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องๆ แทบจะเป็น patternไปแล้ว
ราวกับบุคลิกนี้เป็นที่เป็นประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติ
คือบอกเล่าได้ใจความครบตามที่ต้องการ แต่ขาดศิลปะไปมากทีเดียว
พูดๆๆ โดยแทบไม่ได้ดูหน้า-ดูความรู้สึกของคนฟังเท่าไหร่นัก หรือดูแต่ไม่ค่อยเข้าใจคนฟังนัก
หากพิจารณาคนพูดซึ่งเป็นกัลยาณมิตรที่มีเจตนาที่ดี ก็เลยให้อภัย และวางอุเบกขา ฟังเอาเนื้อหา
แต่ถ้าเป็นคนใหม่มากๆมาฟัง บางคนอาจกระเจิงไปก็ได้นะ เขากลัวนะ
#25
Posted 09 October 2006 - 08:54 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#26
Posted 09 October 2006 - 09:42 PM
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#27
Posted 17 October 2007 - 11:48 AM
อนุโมทนาบุญครับ สาธุ
#28
Posted 31 January 2008 - 10:53 PM
เมื่อที่รู้จักการบูชาตัวจิตของเรา ศีลห้า ย่อมบริสุทธิ์ อยู่ปรกติ หากเราไปบูชา พญามาร จิตเรากำลังละทิ้งพระรัตนตรัยไป อย่าได้สำคัญตนเองผิด คิดว่า ตนเองเป็น พระพุทธเจ้า เพราะนั้นกำลังทำความนอบน้อมเข้าหาฝ่ายพญามารอยู่ จิตบูชาพระรัตนตรัย จะไม่มีคำว่าสำคัญตน แต่คิดยกย่องต้นแบบที่ดี นั้น คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าในอนาคตชาติหนึ่ง คุณครูไม่ใหญ่ท่านนี้แหละ คุณครูไม่ใหญ่ ชื่อนี้เป็นมงคลที่สุด เป็นรูปแบบ ที่กำลังเจริญทางสายกลางโดยแท้ การสรรเสริญ บุคคลที่เจริญในธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ป็น เนื่องนิตย์ ได้ชื่อว่า บุญลาภโดยแท้ที่ได้เกิดมาพบพระคุณท่าน บูชาท่าน ก็เหมือนบูชา หลวงปู่ คุณยายอาจารย์ แล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ แยกแยะ ให้ออก แล้ว ท่านจะพบกับคำว่า เรา อ้อ ๆๆ แล้วก็ อ้อ
ขอท่านทั้งหลายจงยังความเจริญในธรรมะของพระพุทธเจ้า ให้ยิ่งๆขึ้นไป ทุกๆท่านเทอญ สาธุ
#29
Posted 25 February 2008 - 12:52 AM