ปฐมจิตตุปบาทกาล :: การเกิดขึ้นของดวงจิตดวงแรกที่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้า
1.png 249.56KB
65 downloads
2.png 236.4KB
67 downloads
3.png 228.95KB
65 downloads
4.png 198KB 71 downloads 5.png 176.25KB 71 downloads 6.png 145.77KB 62 downloads
7.png 168.95KB 62 downloads 8.png 173.03KB 57 downloads 9.png 181.09KB 64 downloads
10.png 169.95KB 57 downloads 11.png 195.88KB 61 downloads 12.png 138.36KB 65 downloads
4.png 198KB 71 downloads 5.png 176.25KB 71 downloads 6.png 145.77KB 62 downloads
7.png 168.95KB 62 downloads 8.png 173.03KB 57 downloads 9.png 181.09KB 64 downloads
10.png 169.95KB 57 downloads 11.png 195.88KB 61 downloads 12.png 138.36KB 65 downloads
สมัยพระชาติหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมานพหนุ่มยากจน เป็นบุคลคนธรรมดาคนหนึ่ง
มานพนั้นได้เลี้ยงดูบิดามารดาเป็นอย่างดีด้วยความกตัญญู , ทำงานหนักทุกวัน บิดามารดาอยากให้บุตรแต่งงานเพราะจะได้แบ่งเบาภาระ
แต่เมานพไม่อยากครองเรือน มานพบอกว่าครอบครัวนั้นยากจนยากจน จึงอยากเลี้ยงดูพ่อแม่เท่านั้น ไม่อยากแต่งงาน
บิดามารดาก็เลยไม่ขัดต่อความคิดนั้น
ต่อมาบิดาของมานพเสียชีวิต มานพก็ต้องทำงานหนักกว่าเดิม วันหนึ่งมานพเดินไปเห็นเรือสำเภา จึงคิดว่าเราน่าจะหางานที่ดีกว่าการเก็บของป่าขาย, หาที่ทำกินดีๆ และเลี้ยงแม่ต่อไปดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็เข้าไปหาพ่อค้าซึ่งเป็นเจ้าของเรือ แล้วบอกว่าตนอยากมาทำงานด้วยและจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และได้ขอนำมารดามาอยู่ด้วย พ่อค้าก็ตกลง เพราะดูลักษณะร่างกายกำยำแข็งแรงคงทำงานให้ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับเป็นคนกตัญญูจึงตอบรับไว้
หลังจากนั้นก็ทำการออกเรือสำเภาขนส่งสินค้า เดินเรือไปในหมาสมุทร มานพหนุ่มก็ทำงานและเลี้ยงมารดาได้เป็นอย่างดี หลังจากเดินทางมาได้เพียง 7 วัน พายุก็พัดกระหน่ำมา
เมื่อรู้รู้ว่ามีพายุพัดมา มานพจึงก็รีบไปหามารดาและเตรียมหาหนทางหนี เรือนั้นไม่สามารถต้านทานต่อพายุได้จึงอัปปางลงพร้อมกับคนในเรือและสินค้าทั้งหลาย มานพได้แบกมารดาหนีและกระโดดออกจากเรือ จากนั้นก็พยายามว่ายน้ำหนีให้ไกลจากเรือเท่าที่จะทำได้ และเมื่อหันกลับมาดู พบว่า แม่คนอื่นๆ ลอยคอตาย บ้างก็โดนสัตว์ทะเลกินหมด มานพคิดเพียงสิ่งเดียวว่า ต้องพาแม่รอดให้ได้
จากนั้นก็ว่ายน้ำข้ามวันข้ามคืนก็เกิดอาการอ่อนเพลีย แต่ด้วยบุญบารมีที่ได้สั่งสมมากระตุ้นจิตสำนึกว่า วัฏฏสงสารนี้เป็นทุกข์เหมือนกับกำลังแหวกว่ายในท้องทะเล จุดๆ นั้นจะหมดแรงแล้ว คิดว่ากำลังจะตายแล้ว
ในขณะที่ว่ายน้ำอยู่กลางทะเลนั้น ใจของท่านเกิดมหากรุณา เกิดความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ คือปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาที่จะสร้างความดีให้บรรลุธรรม สามารถค้นพบวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้ด้วยตัวท่านเอง ทรงตั้งปณิธานว่า ถ้าตัวเราถึงชีวิตพินาศขาดสูญลงในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่ พร้อมกับมารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งโพธิญาณ ขอเราได้ช่วยสัตว์ทั้งหลายอันเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงซึ่งฝั่งโน้นคือ อมตมหานิพพาน เมื่อพบแล้ว ก็ตั้งความปรารถนาที่จะเผยแผ่วิถีทางดำเนินชีวิตอันบริสุทธิ์นั้น แก่ชาวโลก ให้ได้เข้าถึงหนทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นเช่นเดียวกับท่าน โดยไม่มีความรู้สึกหวงวิชชาเลยแม้แต่น้อย
( คำอธิษฐานครั้งแรกนี้ ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์) *โพธิสัตว์ = สัตว์ผู้ปรารถนาโพธิญาณ
ด้วยแรงอธิษฐานและคิดถึงแต่บุญ จึงมีเรี่ยวแรงแบกแม่ต่อได้อีก 2-3 วัน ในที่สุดก็ถึงฝั่งด้วยมหาปิติ จากนั้นก็ทำมาหากินเลี้ยงมารดาจนมารดาถึงแก่กรรมด้วยความกตัญญู เมื่อมานพละโลกในชาตินั้นก็ได้ไปจุติบนสวรรค์
พระพุทธองค์ไม่ทรงย่อท้อ แม้เส้นทางการสร้างบารมีจะมีอุปสรรคมากมายเพียงใด ก็ไม่เคยนึกถึง คิดแต่ว่า เป้าหมายหรือความปรารถนานั้นต้องสมหวัง ทรงสร้างความดี เช่นนั้นสืบเนื่องมายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน พระองค์ทรงสละเลือดมากกว่าน้ำในมหาสมุทร สละเนื้อมากกว่าแผ่นดิน ควักลูกตาออกทำทานก็มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า ตัดหัวบูชาธรรมมากกว่าผลมะพร้าวในชมพูทวีป ทรงทำอย่างนั้นมา ตลอดทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งถึงวาระที่บารมีเต็มเปี่ยมแล้ว จึงคอยโอกาสแห่งการตรัสรู้ธรรม.
ความนึกคิดในใจของพระองค์แตกต่างจากความนึกคิดของมวลมนุษย์ทั้งหลาย คือเมื่อชาวโลกเมื่อประสบความทุกข์ ก็ไม่คิดหาหนทางที่จะออกจากความทุกข์นั้น อยู่ไปวันหนึ่งๆ ด้วยความเคยชินกับความทุกข์ จึงต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งทุกข์ประจำ และทุกข์จร ครั้นพระองค์ท่านมองเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวชแล้ว เห็นแล้วก็ได้ข้อคิด อยากแสวงหาหนทางให้หลุดพ้นจากทุกข์ อยากเข้าถึงความสุขที่แท้จริง.
*ในชาตินี้เรียกว่า ปฐมจิตตุปบาทกาล
-การที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นจำเป็นจะต้องสร้างบารมีอย่างเข้มข้นและใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากอย่างน้อยก็ต้องสร้างบารมีถึง ๒๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป
-เมื่อพระโพธิสัตว์สร้างบารมีจนเต็มเปี่ยมและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังสามารถจำแนก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เป็น 3 ประเภท ตามระยะเวลาการบำเพ็ญบารมี คือ
การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ตั้ง ความปราถนาในใจ เปล่งวาจา แล้วจึงได้รับพุทธพยากรณ์ใช้ระยะเวลาดังนี้
1. ปัญญาธิกพุทธเจ้า: ปราถนาในใจ ...7 อสงไขย เปล่งวาจา ...9 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 4 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 20 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป]
2. สัทธาธิกะพุทธเจ้า: ปรารถนาในใจ 14 อสงไขย เปล่งวาจา 18 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 8 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 40 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป]
3. วิริยาธิกะพุทธเจ้า: ปรารถนาในใจ 28 อสงไขย เปล่งวาจา 36 อสงไขย จนกระทั้ง ได้รับพยากรณ์ต้องให้ครบอีก 16 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป :
[รวมทั้งหมดเป็น 80 อสงไขย กับอีก หนึ่งแสนกัป][/size]
อยากให้ทุกท่านมีตถาคตโพธิศรัทธา ขอกราบอนุโมทนา สาธุ