Jump to content


Photo
* - - - - 1 votes

พระศรีอริยเมตไตรย


  • You cannot start a new topic
  • Please log in to reply
15 replies to this topic

#1 usr16547

usr16547
  • Members
  • 12 posts

Posted 07 August 2007 - 09:50 AM

พระศรีอริยเมตไตรย



พระศรีอริยเมตไตรย

ในปัจจุบันนี้ สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์พระศรีอริยเมตไตรยเจ้า ซึ่งจักมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในภัทรกัปป์นี้ ก็เสด็จสถิตอยู่ ณ ดุสิตพิภพสวรรค์ ด้วยว่าสวรรค์เทวโลกชั้นนี้ เป็นที่สำราญผาสุกสมควรแก่พระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงสร้างพระบารมีมามาก จะเสด็จอาศัยอยู่ จนกว่าจะถึงกาลกำหนดตรัสรู้ตามเยี่ยงอย่างหน่อพุทธางกูรทั้งหลาย แต่กาลนานสืบ ๆ มา

พระบรมโพธิสัตว์หน่อพุทธางกูร ผู้สร้างพระบารมีหมายพระโพธิญาณนั้น หาพอพระทัยที่จักไปอุบัติบังเกิดในเทวโลกที่สูงกว่านี้ หรือพรหมโลกไม่ เพราะหากไปอุบัติบังเกิดในโลกที่มีอายุยืนนับเป็นกัปป์ ๆ แล้ว ก็จะเป็นการเนิ่นนานชักช้า เสียเวลาสร้างพระบารมีไปเปล่า ๆ ฉะนั้นจึงพอพระทัยที่จักบังเกิดอยู่ ณ ดุสิตพิภพนี้ เพราะเป็นการสะดวกแก่การที่จะทรงอธิษฐานให้จุติมาเกิดในมนุษยโลกเพื่อสร้างพระบารมีในคราวที่ต้องพระประสงค์ ได้ทราบว่า พระบรมโพธิสัตว์หน่อพุทธางกูรทั้งหลาย เมื่อเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้แล้วมีน้ำพระทัยรำพึงถึงพระโพธิญาณ ใคร่สร้างพระบารมีให้ภิญโญ ย่อมเสด็จเข้าสู่ที่บรรทมในปราสาทพิมานแต่ลำพังพระองค์เดียว แล้วทรงหลับพระเนตรลงทรงอธิษฐานว่า “ เราจักจุติในกาลบัดนี้ “ โดยน้ำพระทัยรักในพระโพธิญาณ มิได้อาลัยในสวรรค์สมบัติ พอทรงอธิษฐานขาดคำ ก็ทรงจุติจากสวรรค์มาอุบัติบังเกิดในมนุษยโลกเพื่อสร้างพระบารมีต่อไป การอธิษฐานให้จุตินี้ จะกระทำได้ก็แต่เฉพาะเทพยดา ผู้เป็นพระบรมโพธิสัตว์จำพวกเดียว จะได้ทั่วไปแก่สามัญสัตว์ทั้งหลายก็หามิได้

ก็สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมพงษ์โพธิสัตว์อันเสด็จสถิต ณ ดุสิตพิภพขณะนี้ พระองค์มีพระอัชญาสัย พอจะประมวลมากล่าวไว้ เพื่อเป็นเครื่องเรืองปัญญาแก่พวกเราทั้งหลาย ๖ ประการคือ

๑. เนกขัมมัชฌาสัย พอใจบรรพชา รักเพศบรรพชิตยิ่งนัก

๒. วิเวกกัชฌาสัย พอใจอยู่ในที่เงียบสงัด

๓. อโลภัชฌาสัย พอใจบริจาคทาน ชอบใจคนไม่โลภ ไม่ตระหนี่

๔. อโทสัชฌาสัย พอใจความไม่โกรธ ชอบใจเสพสมาคมกับคนไม่มักโกรธ

๕. อโมหัชฌาสัย พอใจความไม่หลง ชอบเสพสมาคมกับคนมีสติปัญญาเป็นนักปราชญ์

๖. นิสสรณัชฌาสัย พอใจความสลัดออก ชอบเสพสมาคมกับคนผู้มีความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏฏ์

เมื่อพระองค์มีพระอัชฌาสัย ๖ ประการดังนี้ จึงทรงยินดีในธรรม แลปรากฏว่าขณะนี้ พระองค์ย่อมทรงแสดงธรรมให้ปวงเทพเจ้าเหล่าชาวสวรรค์ชั้นดุสิต ฟังอยู่เสมอ มิได้ขาดเลย โดยการอัญเชิญอาราธนาของปวงเทพเจ้าชาวสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งมีองค์สันตุสิตเทพราชเจ้าเป็นประธาน

<H1 style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt">การสร้างพระบารมี</H1>เมื่อกล่าวถึงการสร้างพระบารมี สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมพงษ์โพธิสัตว์ ได้ทรงสร้างสมมานานนักหนา เพราะทรงสร้างพระบารมีเป็นวิริยาธิกะพระพุทธเจ้า ยิ่งด้วยพระวิริยะ แต่กองพระบารมีประการหนึ่ง เมื่อแรกจะทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้ทรงทำปรมัตถบารมีอันประเสริฐ หาผู้ใดผู้หนึ่งเสมอเหมือนมิได้ มีเรื่องราวที่ควรสดับดังต่อไปนี้

ณ กาลนานแสนนานมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสิริมา มิ่งโมฬีสัพพัญญู ทรงอุบัติขึ้นในโลก คราวครั้งนั้น สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยนี้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่าพระเจ้าสังขจักรจอมจักรพรรดิ์ เป็นอิสสราธิบดีในพระนครอินทปัตต์ ราชธานี ไม่ทรงทราบว่ามีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

ต่อมามีสามเณรรูปหนึ่ง ไปเที่ยวหาทรัพย์เพื่อจะถ่ายมารดา ซึ่งเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง ครั้นไปถึงกรุงอินทปัตต์ ชาวเมืองเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยักษ์ เพราะเห็นนุ่งห่มแปลกประหลาด จึงช่วยกันกลุ้มรุมตีต่อยสามเณร ๆ ตกใจกลัวจึงวิ่งหนีเข้าไปท้องพระโรง ขณะกำลังเสด็จออก ทรงไต่ถามได้ทราบความว่า เป็นสามเณรบรรพชาในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิริมามิ่งโมฬี จึงมีความยินดีสุดหัวใจ ได้ทรงจัดการราชาภิเษกให้สามเณรนั้นครองราชสมบัติแทนตน แต่พระองค์เดียวดำเนินไปในทิศที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ พระองค์เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปด้วยพระบาทได้วันหนึ่ง พระบาททั้งสองก็แตกช้ำ ครั้นล่วงมรรคาไปอีกสามวัน พระชงฆ์แลพระบาทก็แตกยับโลหิตไหล ในวันที่สี่ก็สุดที่จักทรงพระดำเนินไปได้ แต่ก็ทรงพระดำริว่า “เราจักไปให้ถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้จงได้” แล้วนอนพังพาบ ค่อย ๆ กระเถิบไปด้วยพระอุระ ด้วยกำลังพระอุตสาหะอันแรงกล้า ได้เสวยทุกขเวทนา แสนสาหัส ก็มิได้ทรงย่นย่อท้อถอย

สมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬีสัพพัญญู ทรงเล็งแลดูหมู่เวไนยสัตว์ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเห็นกำลังวิริยะแห่งพระเจ้าสังขจักรนั้นมาก ก็ทรงทราบว่าเป็นหน่อพุทธางกูร ก่อสร้างพระบารมีตามวงศ์พระบรมโพธิสัตว์ จึงเสด็จพระพุทธดำเนินด้วยพระพุทธสิริลีลาศอันงามเพื่อหวังจักทรงโปรด ครั้นใกล้จะถึงจึงทรงเเปลงเพศเป็นมาณพขับเกวียนมาในมรรคา แล้วร้องถามว่า “ดูกรท่านผู้เจริญ ! ท่านจงหลีกไป ให้พ้นทางเกวียน มิฉะนั้นเกวียนจะทับ” พระเจ้าสังขจักรจึงทรงตอบว่า “ดูกรนายสารถี ! ซึ่งเราจะ หลีกทางนั้น เราหลีกไม่ได้ เราจักไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินทางมาหมดแรง ทั้งบาทาแข้งขาก็บอบช้ำนักหนา ชอบแต่ท่านจะขับเกวียนหลีกทางเราจึงจะควร” พระสิริมามิ่งโมฬีผู้ทรงมีน้ำพระทัยประกอบด้วยมหากรุณาจึงตรัสว่า “ท่านจักไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงขึ้นเกวียนเรา ๆ จักพาไปส่งให้ถึงสำนักของสมเด็จพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ” แล้วก็ทรงให้สมเด็จพระเจ้าสังขจักรเสด็จขึ้นเกวียน จนใกล้ถึงที่ประทับแล้ว ก็ทรงให้หยุดอยู่ ณ ที่นั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นเจ้าในไตรตรึงษ์สวรรค์ พร้อมด้วยพระชายา แปลงเพศเป็นบุรุษแลสตรี มีมือถือห่อข้าวทิพย์และกระทอน้ำ เดินสพายมาถวายแบ่งปันให้พระเจ้าสังขจักร พระองค์ทรงบริโภคโภชนาหารเป็นที่สบายหายบอบช้ำแล้ว ก็ทรงดำเนินเข้าไปในพระวิหาร

ครั้นเสด็จเข้าไปถึง ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬี เสด็จอยู่ในพระวิหาร มีพระรัศมีสว่างรุ่งเรือง ก็ทรงเกิดความปิติยินดีล้นพระทัย จนถึงแก่วิสัญญีภาพสลบลง พอทรงฟื้นได้สติสมปฤดีขึ้นมาแล้ว ก็น้อมพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ยกอัญชลีกรประณมเหนือพระเศียรเกล้า ตรัสว่า “ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเป็นโลกนาถ” แต่ตรัสได้เพียงคำหนึ่งวาจาเดียวเท่านี้ ก็ทรงนิ่งอึ้ง มิอาจตรัสออกมาได้ซึ่งคำอื่น ด้วยความเต็มตื้นปิติปราโมทย์ในพระทัย

สมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬี จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “ดูกร มหาบพิตรผู้ประเสริฐ ! ขอพระองค์ จงตั้งพระมนัสกำหนดตถาคตจักแสดงธรรมแก่ท่าน ขอจงกำหนดในใจด้วยดีเถิด” แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาอันว่าด้วยคุณแห่งพระนิพพาน แต่พอทรงแสดงได้ประมาณบทเดียวเท่านั้น พระเจ้าสังขจักรก็ทรงฟังไม่รู้เรื่อง เพราะทรงพระดำริว่า “ถ้าหากพระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนา ไปมาก เครื่องไทยธรรมอันจะสมควรแก่พระธรรมเทศนานั้น หาเห็นสิ่งใดจะสมควรไม่ ก็บัดนี้พระพุทธองค์แสดงคุณแห่งพระนิพพานบทเดียวเท่านั้น พอควรแก่เครื่องสักการะบูชาอันเรามีอยู่ ด้วยพระนิพพานเป็นที่สุดแห่งโลก เศียรเกล้าของเราพร้อมทั้งมหามงกุฎก็เป็นที่สุดแห่งโลก ควรเราจะกระทำสักการะบูชาพระธรรมเทศนาของพระองค์” ครั้นทรงพระดำริฉะนี้ จึงกราบทูลแด่สมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬีว่า

“ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์เจ้า! ขอจงทรงหยุดพระธรรมเทศนาแต่เพียงเท่านี้เถิด พระธรรมเทศนาทั้งปวงนั้น ก็มีพระนิพพานสิ่งเดียวเป็นที่สุด บัดนี้ข้าพระบาทจะตัดเศียรเกล้ากับมงกุฎ กระทำสักการะบูชาพระธรรมเทศนาของพระองค์...ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าสิริมามิ่งโมฬีผู้ประเสริฐ ขอพระองค์จงเสด็จสำราญในอมตมหานิพพานไปก่อนเถิด ข้าพระบาทจะตามเสด็จพระองค์ไปแต่ภายหลัง ด้วยเดชะแห่งผลสักการะบูชาของข้าพระบาทนี้” แต่พอขาดคำปณิธานปรารถนา ก็ทรงชักพระขรรค์ตัดพระศอขาด แล้วถือชูบูชาไว้ สิ้นพระชนมายุ เสด็จมาสู่พิภพดุสิตสวรรค์นี้

แต่ทรงท่องเที่ยวในวัฏสงสาร สร้างสมอบรมพระบารมีสิ้นกาลช้านาน มาถึงศาสนากาลแห่งสมเด็จพระสมณโคดมบรมครูของเราทั้งหลาย พระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ก็ได้จุติมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางกาญจนเทวี มเหษีของพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงพระนามว่าพระอชิตกุมาร พอพระชนมายุได้สิบหกปีก็ทรงผนวช มีปัญญามาก รอบรู้ในพระปริยติธรรม เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกอย่างยอดเยี่ยม ได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากพระบรมครูแห่งเราว่า “พระอชิตภิกษุผู้บวชใหม่นี้จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้านามว่าพระศรีอริยเมตไตรย ในที่สุดแห่งภัททกัปป์นี้” พอดับเบญจขันธ์ถึงแก่มรณะภาพแล้ว ท่านอชิตภิกษุก็มาอุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ซึ่งทรงพระปัญญา กำลังเทศนาโปรดปวงเทพเจ้า ซึ่งมีท่านท้าวสันดุสิตเทพยราชเป็นประธาน ตามกาลเวลาอยู่ในขณะนี้

อายุ ทวยเทพผู้สถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ชั้นตุสิตาภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ห้าสิบเจ็ดโกฏิหกล้านปี ด้วยการคำนวณแห่งมนุษยโลกเรานี้

บุรพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ โดยมากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เขามีจิตบริสุทธิ์ทรงธรรมชอบสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา มีปัญญาดี หรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก มีความสุขเกษมยินดี ครั้นสิ้นชีวีดับชีพแล้ว ก็ตรงมาอุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ เสวยทิพยสมบัติเป็นที่สำราญตามปรารถนา

พรรณนาในตุสิตาภูมิ ขอยุติลงด้วยประการฉะนี้

( โลกทีปนี โดยพระศรีวิสุทธิโสภณ ปธ.๙ วัดดอน ยานนาวา กทม. )

#2 jane_072

jane_072
  • Members
  • 539 posts

Posted 07 August 2007 - 11:32 PM

อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ สาธุๆๆ

#3 OOI

OOI
  • Members
  • 62 posts

Posted 08 August 2007 - 08:51 AM


อนุโมทนาบุญค่ะ

สาธุ


#4 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1,199 posts

Posted 08 August 2007 - 09:13 AM

อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ สาธุๆๆ

พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#5 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2,210 posts

Posted 08 August 2007 - 12:55 PM

อนุโมทนาบุญกับคุณ usr16547 และทุกท่านด้วยนะครับ...สาธุ

#6 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2,210 posts

Posted 08 August 2007 - 01:01 PM

CODE
สมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬีสัพพัญญู ทรงเล็งแลดูหมู่เวไนยสัตว์ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเห็นกำลังวิริยะแห่งพระเจ้าสังขจักรนั้นมาก ก็ทรงทราบว่าเป็นหน่อพุทธางกูร ก่อสร้างพระบารมีตามวงศ์พระบรมโพธิสัตว์ จึงเสด็จพระพุทธดำเนินด้วยพระพุทธสิริลีลาศอันงามเพื่อหวังจักทรงโปรด ครั้นใกล้จะถึงจึงทรงเเปลงเพศเป็นมาณพขับเกวียนมาในมรรคา


ตามความคิดเห็นของผม สมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬีสัพพัญญู ไม่น่าจะแปลงเพศมาเป็นมาณพขับเกวียน แต่น่าจะเป็นเทวดา หรือพระอินทร์ มากกว่านะครับ

#7 Jakariki

Jakariki
  • Members
  • 25 posts

Posted 09 August 2007 - 02:49 PM

นานเเท้ๆ บนสวรรค์ ถ้าอยู่เเล้วทุกข์เหมือนมนุษย์คงกร่อยเเง่ๆ

#8 usr18325

usr18325
  • Members
  • 1 posts
  • Gender:Female

Posted 12 August 2007 - 01:00 PM

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ

#9 usr16676

usr16676
  • Members
  • 2 posts

Posted 16 August 2007 - 12:59 PM

สุดยอดงานวรรณกรรมทางพุทธศาสนาก็ผลงานรจนาของพระเดชพระคุณพระพรหมโมลี(วิลาศ ญาณวโร ปธ.๙)นี่แหละสาธุ...หลายๆ อ่านแล้วชื่นใจจริงๆ คิดถึงท่านจัง

#10 Poti

Poti
  • Members
  • 254 posts

Posted 17 August 2007 - 11:18 AM

สาธุๆๆ

ท่าน suppy 001

ผู้ที่แปลงเป็นคนขับเกวียน เป็นพระสิริมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ

#11 myself

myself
  • Members
  • 170 posts

Posted 21 August 2007 - 04:20 PM

สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นถึงชื่อเหมือนนาง สิริมา (ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นแม่ของหมอชีวกฯ)
ทำไมถึงชื่อเหมือนกันละครับ unsure.gif

#12 ว่างว่าง

ว่างว่าง
  • Members
  • 200 posts

Posted 22 August 2007 - 12:24 PM

วงบุญเรามีสิทธิจะไปเกิดในยุคที่พระศรีอาริยเมตไตรยยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ?

#13 JaiKaeW

JaiKaeW
  • Members
  • 149 posts

Posted 04 December 2007 - 12:25 AM

Sadhu with very good topic ka.._/l\_

#14 *YTTRA*

*YTTRA*
  • Guests

Posted 27 December 2007 - 04:42 PM

ตามความเห็นของผม เห็นด้วยกับคุณ Supply001 เพราะปกติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงอธิษฐานกายในเพศอื่น พระองค์อาจเนรมิตมานพพร้อมเกวียนด้วย มโนมยิทธิญาน

แต่การทรงจำข้อมูลของพระอรรถกถาจารย์อาจมีคลาดเคลื่อนได้ เพราะฉนั้นเวลาอ่านพระไตรปิฏกพร้อมอรรถกถาควรใช้ สติและปัญญาเป็นตัววิเคราะห์ด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะวิเคราะห์พระธรรมในพระไตรปิฏกต้องใช้สองสิ่งเป็นพื้นฐาน คือโยนิโสมนสิการ และกัลยาณมิตรที่มีปัญญาคอยชี้แนะกำกับ เพื่อนไม่ให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้

#15 *nirvana*

*nirvana*
  • Guests

Posted 14 December 2010 - 01:13 AM

อนุโมทนาสาธุครับ กราบเชิญไปแวะเยี่ยมชมเว็บพระศรีอารย์ดอทคอมบ้างนะครับ
พระศรีอริยเมตไตรย,ประวัติพระศรีอารย์,ตามรอยพระศรีอารย์,พบพระศรีอารย์,ยุคพระศรีอารย์,maitreya
http://www.phrasiarn.com

#16 *บอย*

*บอย*
  • Guests

Posted 24 March 2011 - 04:31 PM

อนุโมทนาบุญ