กายสว่างๆในตัว
#1
Posted 02 July 2010 - 04:36 PM
ผมใช้กสิณสี ทำสมถะกรรมฐานนะครับ เรียนตามตรงว่าไม่ค่อยมีความรู้เรื่องวิชาธรรมกายสักเท่าไรเลย รู้แค่ผิวเผินเปลือกๆ แล้วก็ไม่เคยฝึกสิณกอะไรเป็นพิเศษด้วย แต่ที่ใช้กสิณเพราะถูกจริต ผมแทบไม่ต้องมานั่งจ้องดวงสีกระดาษเลยครับ พอปฏิบัติก็แทบจะนึกอุคคหนิมิตสีได้เลย รู้สึกว่ามันง่ายกว่ากรรมฐานแบบอื่นๆ
แต่วันนี้ ผมใช้กสิณสีแดง ทำปฏิภาคนิมิต วิ่งไปมา หน้าหลัง บนล่าง 8 ทิศ ขยายขนาดเล่นจนจิตสบายใจแล้ว ดวงกสิณก็กลับมาอยู่ที่บริเวณหน้าอก
จากนั้น พอมีสมาธิ อยู่กับ ปีติสุข สักพัก แล้วก็รู้สึกว่าดวงกสิณวูบลง จากนั้น ดวงกสิณ และ ลมหายใจหายไป แต่มีความรู้สึกตื่นตัว(ไม่เคลิ้มเลย)อยู่เต็มกาย อยู่ข้างในสว่างๆ เหมือนมีอีกกายหนึ่งอยู่(ไม่รู้ว่าผมเวอร์ คิดไปเองรึปล่าวนะครับ) ส่วยกายหยาบมีความรู้สึกนิดๆหน่อยๆเหมือนมีอะไรเคลื่อนที่ สั่นๆไปเบาๆไม่เป็นระเบียบ
เป็นแบบนี้ สัก 10-15 นาทีน่าจะได้
ผมก็จะออกมาให้เจอกายจริงๆ จิตออกมาแป๊บเดียวแล้ว ก็เข้าไปสู่สภาวะที่ลืมบริกรรมลืมลมหายใจอีก แต่ความตื่นตัวสว่างเหมือนอยู่ในกายสว่างนั้นอีก เป็นแบบนี้อีก 2 รอบ ถึงจะออกมา ออกมาแล้วสบายใจไม่รู้สึกว่าโดนนิวรณ์รบกวน
เมื่อวานผมก็เจอแบบนี้ แต่เมื่อวานผมนั่งเกือบ ชม.แล้วท่านั่งเริ่มไม่สวยไม่เป็นระเบียบแต่รู้สึกว่ากายสว่างๆนี้นั่งเป็นระเบียบกว่ากายจริง ส่วนวันนี้กายสว่างๆเขาสวดมนต์ด้วย
พี่ๆช่วยวิจารณ์ และแนะนำด้วยครับผม โดยเฉพาะมันมีอีกกายที่ สว่างๆอยู่ข้างในรึปล่าวครับ
#2 **[email protected]**
Posted 02 July 2010 - 06:34 PM
เมื่อนั่งสมาธิแล้ว จะเห็นทั้งหมด 18 กาย อยากร้ลองศึกษาวิธีการนั่งสมาธิตามวิชาธรรมกายดูค่ะ แล้วคุณจะพบคำตอบที่คุณสงสัยค่ะ
แต่ขอยืนยันค่ะ คุณนั่งสมาธิได้ถูกทางแล้วค่ะ
ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยวิธีใด ลมหายใจเข้าออก หรือ ยุบหนอพองหนอ แต่จุดหมายปลายทางที่มีเหมือนกัน
web dmc มีคำตอบ ให้คุณเสมอ ลองศึกษาค้นหาได้น่ะค่ะ
อนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ
กายข้างในสว่างกว่ากายข้างนอกค่ะ และ ยิ่งทิ้งดิ่งเข้ากลางกายในกายไปเรื่อย ๆ จนเป็นหนึ่งเดียวกันคุณจะพบกับความมหัศจรรย์ที่หาคำบรรยายไม่ได้ว่า วิเศษ ที่สุด
#3
Posted 02 July 2010 - 09:49 PM
http://www.kalyanami...k/pdf/69KAN.pdf
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#4
Posted 02 July 2010 - 09:49 PM
#5
Posted 02 July 2010 - 11:26 PM
ใครมีลิงค์ให้โหลดหนังสือ คู่มือสมภาร ที่วัดเราพิมพ์แจก
ช่วยนำมาลงให้ จขกท ด้วยนะครับ
สาธุครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#6
Posted 03 July 2010 - 12:55 AM
จขกท จะลองอ่านคู่มือสมภารตามที่สมาชิกแนะนำก็ดีนะครับ ถ้าหาไม่เจอ pm บอกผมก็ได้ครับ จะส่งให้ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
#7
Posted 03 July 2010 - 01:47 AM
ขอให้จขกทได้ดวงตาเห็นธรรมะสว่างไสวนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้
ลองเข้าไปดูตามlinkนี้นะคะ บอกได้คำเดียวว่ามีค่ายิ่งกว่าเพชรใด ๆ ใลกนี้
http://www.dmc.tv/pa...dhammabook.html
#8
Posted 03 July 2010 - 03:02 AM
หมวด คำถามปกิณกะ
กาย มนุษย์ละเอียดมีหน้าตาเหมือนกับตัวเรา เหมือนเลย แต่ว่าสดใสกว่า บริสุทธิ์ กว่า นุ่มนวลกว่า เห็นแล้วชอบใจมากกว่า มีความคิดกว้างขวางกว่ากายหยาบ ไม่ คับแคบเหมือนกายหยาบ มีความคิดที่กว้างขวาง กว้างไกล ลึกซึ้ง เห็นว่า กายหยาบนี้แค่เป็นเครื่องอาศัย ของที่อยู่กับกายหยาบเป็นอุปกรณ์ในการใช้ สร้างบารมี จะเป็นทรัพย์สินเงินทองของนอกกายนั้น เป็นแค่อุปกรณ์ในการสร้าง บารมีเท่านั้น กายมนุษย์ละเอียด เห็นได้กว้างขนาดนั้นทีเดียว และเห็นว่า ทุก ๆ ชีวิตนั้นน่ะ มีความเกี่ยวพันกันไป เป็นเหมือนญาติ เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน เป็นเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน จะเห็นได้ชัดเจนเลย เมื่อเข้าถึงกายละเอียด แล้วก็จะเข้าถึงกายทิพย์ กายพรหม อรูปพรหม ที่มี ลักษณะสวยงามแตกต่างกันขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งความบริสุทธิ์ ความใส ขนาดใหญ่ โตกว่ากัน ความสุข ความบริสุทธิ์อะไรต่างก็ รวมทั้งความนึกคิดดวงปัญญาแตก ต่างกันขึ้นไปเรื่อย ๆ กระทั่งเข้าถึงกายธรรม แต่ละกายนั้นก็จะคั่นด้วยดวง ธรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นเครื่องกลั่นใจให้ใส กลั่นแล้วกลั่นอีก กายก็จะถอดออก เป็นชั้น ๆ ๆ นี่แหละมีอยู่ในตัวของพวกเราทุก ๆ คนแต่เราไม่เคยเฉลียวใจเลย ว่ามันมีอยู่ ไม่เคยมีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวนะ ว่าในตัวเรามีสิ่งเหล่า นี้อยู่ เพราะมัวไปทำมาหากิน มัวเพลิดเพลินกันอยู่ในโลกการทำมาหากิน มี ปัญหาต้องแข่งขันกัน ต้องแก้ปัญหากัน เวลาถูกใช้ไปอย่างนั้น ได้ทรัพย์มา แล้วก็เอาไปใช้จ่ายเพลิดเพลิน โดยคิดว่านั่นคือการผ่อนคลาย คือการพักผ่อน เพื่อจะเผชิญปัญหาในวันต่อไป แต่จริง ๆ นั้นก็คือชีวิตที่สูญเปล่า เพราะ ฉะนั้นพอมาถึง ณ จุดตรงนี้แล้ว เราจะแจ่มแจ้งทีเดียว
อาจลองศึกษาเพิ่มเติมจาก บทความในหมวดสมาธิก็ได้นะคะ อาจจะเจอคำตอบอื่นที่ต้องการก็ได้
http://dmc.tv/index....a...e=12&no=105
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#9
Posted 03 July 2010 - 12:11 PM
ค่ะ เพราะได้พบมาแล้วกับตัวของดิฉันเอง จนมาถึงทุกๆวันนี้ ค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
#10
Posted 03 July 2010 - 10:13 PM
ขอให้นิ่งกว่านี้จะดีมักๆ เลยครับ ใจกำลังเคลื่อนจากสภาวะหยาบไปสู่สภาวะละเอียดภายในแล้ว
ใจได้ทิ้งสิ่งนำทางของใจเพื่อให้ใจหยุดนิ่ง นั่นคือ ดวงกสินภายนอก(ที่เรานึกจำลองเป็นที่ยึดที่เกาะของใจชั่วคราวเพื่อไม่ให้ใจไปเกาะกับเรื่องอื่นๆ) เข้าไปหาสภาวธรรมภายใน
สิ่งที่ต้องทำคือ ใจเย็น ให้ได้มากกว่านี้ นิ่งมากกว่านี้จะดีครับ ดื่มด่ำกับปีติสุขให้ได้นานๆ แช่อิ่มกับความสุขที่เราได้เข้าถึง
พึงพอใจกับความสุขกับสภาวะธรรมที่เราเข้าถึง จะเป็นความสว่างก็ดี แช่อิ่มมันเข้าไปคับ นิ่งเข้า ไม่นานใจเย็นพอ ใจก็จะเคลื่อนเข้าไปสู่สภาวะที่ละเอียดยิ่งๆกว่านี้ ใจจะละเอียดมาก ละเอียดแล้วละเอียดเล่าเฝ้าแต่ละเอียดคับ จะเข้าใจด้วยตัวของตัวเองว่า นี่แหละ ถูกต้องแล้ว...
(เพราะนิวรณ์5 วิจิกิจฉาได้ถูกกำจัดเสียสิ้นด้วยกำลังแห่งความเพียรของเราเอง)
นั่งดีครับ ขอให้รักษาความดีนี้ต่อไป
ไม่เวอร์หรอกคับ นั่งดีแล้ว ขอให้ขยันๆนั่งยิ่งๆขึ้นไป
(สิ่งที่ยากคือ ทำให้ต่อเนื่อง ให้สภาวะที่เกิดกับเรานี้ เกิดขึ้นอีกบ่อยๆ ถี่ๆ จนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ)
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
------------
#11
Posted 04 July 2010 - 05:16 PM
อันที่จริงผมเข้ามาตอบช้าไปหน่อย เพราะหลังจากโพสต์ในบอร์ด เวบบอร์ด DMC มาดูอีกทีแล้วไม่เห็น ผมก็นึกว่ากระทู้ของผมอาจจะมาไม่ถูกทาง เป็นแค่การปรุงแต่งขึ้นเอง ทางคณะผู้รับผิดชอบคงจะเอาออกไป แต่มาวันนี้ ไม่รู้นึกยังไงเข้ามาดูอีกครั้ง เห็นความเห็นของพวกพี่ๆ ผมก็ปีติและขอบคุณอีกครั้งครับ
ขอเรียนถามอีกสักข้อนะครับ แต่ก่อนผมจะทรงภาพกสิณสีแดงไว้เนืองๆ แต่ปัจจุบันผมทรง ดวงกสิณได้ใสๆ มีประกาย หลับตาลืมตา เห็นเหมือนกัน ขยายขนาด หรือเปลี่ยนทิศทางได้ตามต้องการ เรียนถามว่า ถ้ากรณีที่เราไปเจออีกกายหนึ่งที่มี เรียกว่ายังไงดีครับ มีธรรมที่สูงกว่า มั้งครับ? คือ ผมรู้สึกว่ากายสว่างนี้ท่านมีภูมิธรรมที่จะต่อสู้กับกิเลสได้แบบรู้ทันกิเลสว่าเข้ามาแล้ว รู้ว่าถ้ากิเลสลากไปลากมามันไม่ดี แต่ผมแวบๆว่าเจออีกกายที่รู้สึกว่ามีความกรุณา&เมตตากว่าต่อสรรพสิ่งรอบตัวมากยิ่งกว่า (เห็นแวบๆนะครับ) เราก็เอาดวงกสิณใสนี้ไปวางในกายนั้น ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถูกต้องไหมครับ?
#12
Posted 04 July 2010 - 06:28 PM
และทุกขั้นตอนของวิชชาธรรมกายก็กลั่นกรองออกมาจากพระไตรปิฎกนั่นแหละครับ จึงมั่นใจได้เลย ไม่ต้องกังวลใจไปครับ
คุณ innerpeace หาลิงค์มาไว้ให้แล้วครับ
http://www.dmc.tv/pa...dhammabook.html
.................................................................
คัมภีร์วิสุทธิมรรคแสดงไว้ว่า อาโลกกสิณ คือกสิณแสงสว่าง เป็นกสิณกลาง ไม่ว่าเราจะเจริญกสิณหรือสมถะกองใดสุดท้ายก็จะเห็นเป็นแสงสว่าง ใสสว่าง ครับ
ดังนั้นคุณเข้ากลางของกลางจุดเล็กสว่างกลางดวงกสิณสีแดงนั้น แล้วจะสามารถเห็นเป็นอาโลกกสิณแสงสว่างได้ครับ
พระของขวัญของหลวงปู่สดวัดปากน้ำก็มีกล่าวไว้ ว่าใครนำมาเป็นนิมิตตจนเห็นติดตา จะเห็นองค์พระสำแดงแสงสว่างได้ 6 สี เสมือนฉัพพันรังสีนะครับ แต่สุดท้ายท่านให้เข้ากลาง แล้วหยุดตรงจุดเล็กใสสว่าง ก็จะเห็นดวงปฐมมรรค ใสสว่าง
อาโลกกสิณ ก็คือ อาโลกสัญญา ตามพระพุทธพจน์นั่นเองครับ
การนึก การตรึก ไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่ค่อยถูกนะครับ เริ่มตั้งไข่ที่ 072 ดีกว่า หรือน้อมดวงกสิณนั้นมาไว้ที่ 072 เป็นพื้นฐานก่อนดีกว่าครับ
แต่ว่าการเห็นของคุณนั้นใช้ได้ครับ ใกล้เคียงมาก ทำดีแล้วครับ
เอางี้นะครับ แสดงว่าคุณสามารถเห็นกสิณสีแดงได้อย่างชัดเจนดีแล้ว แต่ว่าอยู่ที่จุดอื่นๆเช่นที่หน้า บนสรีษะ ก็ให้น้อมเอาดวงกสิณนั้นมาไว้ที่ 072
ให้เราเอาใจหยุด ณ 072 ตรงจุดเล็กใสสว่างเท่านั้น แล้วดวงธรรมก็ดี กายในกายก็ดี จะปรากฎขึ้นมาเอง เป็นดวงปฐมมรรคแล้วครับ ไม่ใช่นิมิตต
ต่อจากนี้ก็จะปรากฎขึ้นเองเท่านั้น ผุดปรากฏขึ้นมาเอง โดยไม่มีการนึกเอง หรือน้อมเอาอะไรไปใส่ไว้ตรงไหนอีกแล้วครับ
...................................
หยุด ปล่อยวาง แล้วจะละได้ จิตที่หยาบจะตกศูนย์ จิตที่ละเอียดก็จะปรากฎดวงธรรมและกายที่ละเอียดๆต่อไปนะครับ
ยิ่งเข้าถึงดวงและกายในกายมากยิ่งขึ้น ก็ให้ครบทั้ง 18 กาย ครบทุกภูมิธรรมแล้วก็เจริญวิปัสสนาสืบต่อไป กิเลศก็จะลดละ ชำระจิตใจจากกิเลศไปเรื่อยๆนะครับ
อันนี้กล่าวถึงแต่หลักกว้างๆก่อนนะครับ
วิชชาธรรมกายทั้งรู้ทั้งเห็น เน้นสมถะเบื้องต้น วิปัสสนาควบคู่ (ไม่ใช่วิปัสสนึกแบบสายอื่นๆบางสาย) ตามแนวสติปัฏฐาน 4 ทุกขั้นตอน ไปจนถึงกระทำนิพพานให้แจ้งนะครับ
.................................................
ย้ำอีกที ไปอ่านหนังสือคู่มือสมภารไปอ่านก่อนเบื้องต้น แล้วค่อยมาเสวนากันอีกทีนะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวก็ไปตรึกนึกเองไปเรื่อยๆ แล้วก็เข้ามาโพสต์ถามไม่สิ้นสุด ไม่เข้าหลักวิชชาซะทีนะครับ
แต่อย่างไรก็ สาธุๆๆๆ เยี่ยมมากครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#13
Posted 04 July 2010 - 07:24 PM
#14
Posted 04 July 2010 - 08:43 PM
อันนี้ดีครับ ถูกต้องแล้วครับ แต่ขอให้ทำตรงตำแหน่งที่สบายที่สุดครับ อย่าไปฝืนความสบายซึ่งเป็นพื้่นฐานของการปฏิบัติธรรม
ส่วนกายที่เห็น หรือภาพที่เห็นจะเป็นอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ต้องไปสงสัยหรอกคับว่า จริงไม่จริง ใช่ไม่ใช่ ถูกไม่ถูก
สิ่งที่ต้องทำคือ รักษาความสบายให้ต่อเนื่อง รักษาภาพให้ต่อเนื่อง มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปด้วยใจที่สบาย
นิ่งๆ นานๆ นานๆๆ ใจเย็นให้มากๆ สุดท้ายจะรู้ว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย คือสิ่งที่ใช่อย่างเดียว 100%
อนุโมทนาบุญนะคับ
---------------------------------------------
#15
Posted 04 July 2010 - 11:16 PM
ถ้าวันอาทิตย์ ได้ไปที่สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย ให้ลองเรียนถามกับพระอาจารย์ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ(บางทีเรียกว่าบูทต่างๆ)
โดยเฉพาะพระอาจารย์ที่สอนหรือนำนั่งสมาธิในโครงการปฏิบัติธรรม สามารถไปหาท่านได้ที่เสา N7 หรือ o7(โอ7) (จำได้ไม่ชัวร์ ให้ลองมองหาป้าย "โครงการปฏิบัติธรรม" หรือป้ายที่มีคำว่า "พนาวัฒน์" หรือ "สวนป่าหิมวันต์" อยู่) พระอาจารย์ท่านมีธรรมะที่ละเอียดลุ่มลึกมากกว่าพวกเรา(ชาวเว็บบอร์ด) ก็อยากแนะนำให้ลองสอบถามจากท่าน
last edit 6/7/53 0:39
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#16
Posted 05 July 2010 - 09:51 AM
กรณีเราไปวัดพระธรรมกาย วันอาทิตย์
1. ควรไปกี่ โมง ดี 2. แต่งกายยังไงครับ ต้องขาวล้วนไหม หรือแต่งตามสบาย 3. ต้องเตรียมตัวอะไรบ้างไหมครับ เช่นเตรียมข้าว ปลา อาหารไปใส่บาตร
ขอบคุณอีกครั้งครับผม
#17
Posted 05 July 2010 - 08:22 PM
2.ขาวล้วนก็ดีครับ (เคยแต่งสีๆไปวัด ตัวเราเองกลายเป็นตัวประหลาดซะงั้น)
3.เตรียมใจไปก็พอครับ แล้วก็สงสัยอะไรถาม จนท. ในวัดได้ตามสะดวก (หรือคนอื่นๆก็ได้ครับ)
ส่วนอาหารตักบาตรไม่แน่ใจว่า วันนั้นๆจะมีการตักบาตรหรือเปล่าหน่ะครับ
แต่อาหารสำหรับรับประทานนั้น มีที่วัดแจกตามจุดบริการครับ
ขอเตือนอย่างนึงครับ อย่าทานอาหารที่วัดมากนะครับ เดี๋ยวนั่งสมาธิแล้วจะหลับ
(เพราะอาหารวัด อร่อยเกินห้ามใจจริงๆ )
ไปใหม่ๆก็ให้คนที่นั่งข้างๆเขาแนะนำอะไรต่างๆให้ก็ได้นะครับ
#18
Posted 05 July 2010 - 08:35 PM
สาธุ
#19
Posted 05 July 2010 - 09:10 PM
ส่งข้อความ pm ไปเสวนาแล้วนะค่ะ
#20
Posted 06 July 2010 - 06:14 AM
คือ พี่ตะวันกลางกาย พี่Dd2683 พี่ปันความสุข เป็นอย่างยิ่งครับ
#21
Posted 18 July 2010 - 10:40 PM
โมทนาบุญนะครับ สาธุๆๆ
เราพันธุ์ดีสุดขั้ว ชั่วลืมไปหมดแล้ว,จิตใจสูงส่งเหลือเกิน,มีปัญญา,มีมงคล,ทำที่ท่านได้ที่เรา
#22
Posted 29 July 2010 - 12:33 AM
"สัพพะทุกขะนิสสะระณะ นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ
อิมัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปัง อุปาทายะ"
#23 *ผู้มาเยือน*
Posted 19 August 2010 - 12:12 PM