แสงสีม่วง ขอบดำที่ วาบ เข้าตา
#1
Posted 13 March 2008 - 05:33 AM
ใครเป็นแบบนี้บ้างค่ะ นี่ก็เป็นครั้งที่สองค่ะที่เป็นแบบนี้ เพื่อน เพื่อนคิดว่าเป็นเพราะแสงแดดต้องตาเราหรือเปล่าค่ะ แต่คือแสงจะเข้าตาาวาบ วาบ เลยค่ะ
แล้วช่วงเย็นนั่งรถไฟไปเรียน เราก็คิดถึงแต่ว่าลูกแก้วในท้องค่ะ เราผิดปกติกหรือเปล่าค่ะ แต่ช่วงเรียนเราก็เรียนไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็เรียนไปตามธรรมดา ช่วงนั่งรถไฟกลับบ้าน เราก็นั่งสมาธิในรถไฟค่ะ คือนั่งหลับตาเอามือประสานกันเฉย เฉย ถ้าคนเห็นก็จะได้คิดว่าคนหลับธรรมดา (คือเราไม่อยากให้คนอื่นในรถไฟรู้ว่าเรากำลังนั่งสมาธิอยู่ค่ะ) ปกติเราก็ไม่นั่งหรอกค่ะ แต่เพราะลูกแก้วที่เรานึกถึงในท้องเราก็เลยนั่ง คิดว่านั่งประมาณ เกือบยี่สิบนาทีนะค่ะ นั่งแล้วก็ใจนิ่ง ไม่ฟุ้งซ่านใดใด คิดถึงลูกแก้วสีขาว ในท้องแล้วเราเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ค่ะ นั่งสมาธิจนนิ่งแล้วนั่งหลับไปคงไม่ใช่นั่งสมาธิใช่ไหมค่ะ มารู้ตัวอีกทีก็สถานีที่สามแล้วค่ะ
#2
Posted 13 March 2008 - 08:01 AM
#3
Posted 13 March 2008 - 09:36 AM
ถูกต้องนะคร้าบ นั่งแล้วหลับจะมีอยู่3ช่วง ช่วงแรกที่เรายังไม่หลับนั้นถือว่ายังอยู่ในสมาธิอยู่ ช่วงที่2เริ่มเคลิ้มๆ ช่วงนี้ก็ยังจัดว่าอยู่ในสมาธิอยู่เช่นกันแต่กระท่อนกระแท่น แต่เมื่อใดที่เข้าสู้ช่วงที่3 นั่นคือสติขาดพึ่งหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ช่วงนี้และครับที่จะไม่เป็นสมาธิแล้ว
แต่ว่า หากคิดจะนั่งสมาธิ อย่าไปสนใจเลยครับว่าถ้านั่งแล้วหลับจะเป็นสมาธิหรือไม่ นั่งแล้วหลับยังดีกว่าไม่คิดจะนั่ง หรือคิดจะนั่งแต่ไม่ได้นั่งนะครับ ^ ^
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#4
Posted 13 March 2008 - 03:54 PM
#5
Posted 13 March 2008 - 04:37 PM
#6 *YTTRA*
Posted 13 March 2008 - 05:29 PM
เอาเคล็ดวิชาไป
ไม่ว่าจะนั่งเห็น หรือไม่เห็น
มือดหรือสว่างก็ตาม
หยุด นิ่ง เฉย ได้ไม๊
หยุด นิ่ง เฉย ได้ไม๊
หยุด นิ่ง เฉย ได้ไม๊
#7
Posted 14 March 2008 - 09:59 AM
#8
Posted 14 March 2008 - 11:00 AM
#9
Posted 15 March 2008 - 03:58 AM
#10
Posted 15 March 2008 - 10:07 AM
ถูกต้องนะครับ เรียกว่านิมิต จะเป็นนิมิตเลื่อนลอยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความอยากในใจ นิมิตที่แปรเปลี่ยนไปตามความอยากรู้อยากเห็นนั่นคือนิมิตรเลื่อนลอยครับ แต่ถ้าใจเราสงบ ใจเรานิ่ง ใจเราเฉย แล้วนิมิตรก่อเกิดขึ้นเอง นี้เป็นกุศลนิมิตร การวางใจไม่สมควรยึดติดครับ เพราะหากเรายึดติดจะไม่ก้าวหน้า เหมือนอย่าง อาฬาดาบสกับอุทกดาบส อาจารย์ของเจ้าชายสิทธัทธะ ได้เข้าถึงกายพรหมแล้วไปยึดติดอยู่ตรงนั้น ทำให้เข้าใจผิดคิดว่ากายพรหมเป็นที่สุด เลยไม่สามารถไปต่อถึงธรรมกายได้ ไม่ว่าจะเกิดนิมิตรอะไรขึ้นให้วางใจเฉยๆไว้ ปล่อยใจให้ลื่นไหลไปตามนิมิตร เมื่อถึงที่สุดความสว่างจะบังเกิดเองครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
Posted 16 March 2008 - 12:27 PM
.....บุกเบิกไปให้ก้าวไกล ถึงคราวพวกเราเติบใหญ่ ชาติไทยได้พัฒนา....
#12
Posted 16 March 2008 - 05:10 PM
#13
Posted 17 March 2008 - 07:42 PM