Jump to content


Photo
* * * * * 1 votes

สูตรสำเร็จของสันติภาพของโลก


  • You cannot start a new topic
  • Please log in to reply
2 replies to this topic

#1 thaikids072

thaikids072
  • Members
  • 191 posts
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพมหานคร
  • Interests:ดนตรี - นาฏศิลป์

Posted 08 June 2008 - 08:39 PM



การคิดได้อย่างกว้างขวางของไอน์สไตน์จนทำให้เขาอยู่ในระดับอัจริยะบุคคลแห่งความเป็นนักคิดนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าการเดินลึกเข้าไปในท่อแห่งความคิดอันมีทางตันเป็นที่สุด สิ่งที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าหาอยู่ด้วยความหวังว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุขจริง ๆ นั้นจึงเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถคิดค้นและเข้าถึงได้ด้วยความคิดและการคิดเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องฟังผู้รู้ตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ในท่ามกลางพระศาสดาทั้งหลายของโลก สิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าเด่นขึ้นมาเพราะ หลังจากที่ท่านได้ค้นพบสัจธรรมอันสูงสุดแล้ว ท่านยังสามารถชี้แนวทางที่ชัดเจนให้กับผู้แสวงหาทั้งหลายที่ต้องการเดินตามรอยเท้าของท่าน เพื่อช่วยให้คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดเหมือนกับที่ท่านได้เข้าถึงแล้ว แนวทางของท่านคือ มรรคมีองค์แปดที่ประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา แต่หากพูดให้รัดกุมมากขึ้นก็คือ เรื่องมหาสติปัฏฐานสี่ เป็นเรื่องการทำความรู้จักกับความคิดและเข้าใจความเป็นมายาของความคิดเพื่อมนุษย์จะได้ไม่ถูกความคิดหลอกเอา



ความรู้ทางโลกกับทางธรรมต้องไปพร้อมกัน

แม้ความรู้ทางโลกจะสร้างปัญหา ก็ไม่ได้หมายความว่า เราต้องปฏิเสธความรู้ทางโลกอย่างเด็ดขาดหากต้องการมุ่งเอาความรู้ทางธรรม ไม่ใช่เช่นนั้น สิ่งที่ควรทำคือ ระบบการศึกษาทางโลกจำเป็นต้องมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้บรรลุจุดประสงค์ทางธรรมไว้ก่อน คือ กอบกู้เอกราชที่แท้จริงให้แก่มนุษยชาติ หรือ ช่วยพามนุษย์เดินกลับมาสู่หลักนิ้วที่สามเพื่อทุกคนจะได้เดินทางออกจากอุโมงค์ชีวิตและกลับมาสู่ทุ่งกว้างที่จุด ก อันเป็นพรมแดนสุดท้ายของชีวิต หากระบบการศึกษาของโลกตั้งอยู่บนหลักการของปัญญา ศีล สมาธิ แล้ว การเรียนรู้วิชาการทางโลกจะเป็นไปอย่างไม่หลงทิศทางของชีวิต และจะสามารถเดินขนานกับความรู้ทางธรรมได้

ในภาคปฏิบัติย่อมหมายความว่า วิปัสสนาจะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา จะต้องเป็นหลักสูตรบังคับ เด็ก ๆ อนุบาลจนถึงนักศึกษาปริญญาเอกจะต้องรู้จักการใช้ตาใจ และรู้ว่าจะพาตัวใจกลับบ้านได้อย่างไร นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวัฒนธรรมสติปัฏฐาน เมื่อปัจเจกชนสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวในใจของตนเองโดยการพาตัวใจกลับบ้านแล้ว คนเหล่านี้จะไม่สร้างปัญหาให้แก่สังคม สามารถอยู่ติดบ้าน ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ธรรมดา ๆ ปัญหาสังคมก็จะน้อยลง จากความสุขสงบในจิตใจของปัจเจกชนแต่ละคน เมื่อนำมารวมกันเข้า ก็จะกลายเป็นความปกติสุขหรือสันติภาพของชาวโลกโดยส่วนรวม

ท่านเหลาจื้อได้พูดว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้น ชาวบ้านจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีผู้ปกครองอยู่ เพราะทุกคนล้วนทำมาหาเลี้ยงชีพ รับผิดชอบต่อครอบครัวของตน ใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดาซึ่งเป็นการรักษาศีลอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้ว่านั่นคือศีล สังคมเช่นนี้ฟังเหมือนอุดมคติที่เป็นไปไม่ได้ แต่ที่จริงแล้ว เป็นไปได้ทีเดียว ถ้าระบบการศึกษาของโลกมีเป้าหมายอยู่้ที่การแสวงหาตนเองโดยมีวิปัสสนาเป็นหลักสูตรบังคับ



วิปัสสนาคือสูตรสำเร็จของสันติภาพของโลก

น่าเสียดายว่าไอน์สไตน์ไม่มีโอกาสได้พบอาจารย์สอนวิปัสสนาในช่วงชีวิตของเขา มิเช่นนั้นแล้ว โลกนี้อาจจะมีอะไรที่ดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้ หากไอน์สไตน์รู้เรื่องและได้ฝึกวิปัสสนาแล้ว มันอาจจะหมายความว่า คนทั่วโลกอาจจะยอมรับวิปัสสนาในฐานะที่เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถช่วยปรับสภาวะจิตใจของคนให้อยู่ในระดับปกติได้ การยอมรับของไอน์สไตน์ในเรื่องวิปัสสนานี้ย่อมเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้วงการวิทยาศาสตร์วิจัยเรื่องจิตใจของมนุษย์อย่างถูกทาง ไม่เป็นไปอย่างสะเปะสะปะเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ โดยการพยายามเอาผ้าปิดตาออกจากอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ แทนที่จะไปผูกมัดให้มันแน่นมากขึ้น การวิจัยเรื่องจิตใจของมนุษย์อย่างถูกทางนี้อาจจะสามารถช่วยมนุษยชาติจากวัฒนธรรมยาเสพติดทั้งหลายที่สังคมมนุษย์กำลังติดกับดักมันอยู่ นี่อาจจะเป็นข่าวร้ายต่อผู้หารายได้กับการผลิตและขายยาเสพติด แต่ย่อมเป็นข่าวดีต่อมนุษยชาติโดยส่วนรวม

วิปัสสนาจึงเป็นสูตรสำเร็จของสันติภาพของโลก ซึ่งสันติภาพของโลกเป็นสิ่งที่ไอน์สไตน์ต้องการเห็นในตลอดชีวิตของเขา

หาก A มีค่าเท่ากับความสำเร็จแล้วละก็ สูตรสำเร็จควรเป็นเช่นนี้คือ A=X+Y+Z X คือ การทำงาน Y คือ การเล่น Z คือ การปิดปากให้แน่น

นั่นคือคำพูดของไอน์สไตน์โดยที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนา หากไอน์สไตน์มีโอกาสได้ฝึกฝนวิปัสสนาแล้วไซร้ เขาอาจจะพูดเช่นนี้ก็ได้ คือ

หาก A มีค่าเท่ากับสันติภาพของโลกแล้วละก็ สูตรสำเร็จควรเป็นเช่นนี้คือ A=X+Y+Z X คือ การฝึกวิปัสสนาของชายทุกคน Y คือ การฝึกวิปัสสนาของหญิงทุกคน Z คือ การปิดปากให้แน่น

หากชาวโลกสามารถทำตามสูตรสำเร็จนี้ได้แล้วละก็ สันติภาพของโลกย่อมเป็นสิ่งที่รับประกันได้อย่างแน่นอน



กอบกู้วัฒนธรรมสติปัฏฐาน[1]

วัฒนธรรมสติปัฏฐานเคยมีอยู่แล้วในสังคมโลก ดังปรากฏการณ์ที่เกิดในสังคมอินเดีย ยุคหลังพุทธกาล ที่เมืองปาฏลีบุตร คนในสังคมของยุคนั้นมักทักทายซึ่งกันและกันโดยถามว่า

“ขณะนี้ เธอกำลังกำหนดสติอยู่กับฐานใดหรือ?”

ถ้าพูดภาษาของดิฉันก็จะเป็นว่า

“ตอนนี้ตัวใจของเธอกำลังอยู่บ้านไหนหรือ?”

คนถูกถามก็จะตอบไปตามที่ตนเองกำลังทำอยู่ แต่หากใครบอกว่า ฉันไม่ได้ทำ ไม่ได้อยู่บ้านไหนทั้งสิ้น คนก็จะเิดินหนี เห็นคนเหล่านั้นเป็นตัวนำโชคร้าย และเรื่องอัปมงคลมาสู่ตน อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นนั้นต้องนับว่าเป็นวัฒนธรรมสติปัฏฐานที่ร่ำรวยมหาศาลมาก เป็นสิ่งที่เกื้อกูลให้ชาวโลกสามารถเดินทางเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า หรือ พระนิพพานได้เป็นหมู่มาก Exodus

ชี้ให้เห็นด้วยว่า เรื่องการฝึกทักษะของการพาตัวใจกลับบ้านนี้ เป็นเรื่องง่าย ๆ ธรรมดา ๆ ที่ชาวมนุษย์ล้วนทำกันได้ทั้งสิ้นแม้แต่คุณที่กำลังอ่านประโยคนี้อยู่ จึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนั้นขึ้นในสังคม เนื้อหาที่แท้จริงของการฝึกสติปัฏฐานหรือการพาตัวใจกลับบ้าน ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การรับรู้ลมหายใจของเราอย่างชัดเจน (เข้าบ้านที่หนึ่ง) รับรู้การเคลื่อนไหวของกายอย่างทั่วพร้อม (เข้าบ้านที่หนึ่ง) รวมทั้งการรับรู้ความรู้สึกของกายอย่างทั่วพร้อมด้วย (เข้าบ้านที่สอง) ซึ่งเป็นเรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ ธรรมดามาก ทุกคนที่ ไม่ได้นอนหลับ ไม่ได้สลบ ไม่ได้อยู่ในอาการโคม่า และยังไม่ตาย ล้วนทำได้ ตราบใดที่ยังหายใจอยู่และเคลื่อนไหวได้ย่อมทำได้ทั้งสิ้น แม้เป็นเป็นคนตาบอด เป็นอัมพาต นอนเฉย ๆ หรือนั่งรถเข็นก็ยังทำได้ เพราะลมหายใจยังมีอยู่

น่าเสียดายมากว่าวัฒนธรรมสติปัฏฐานอย่างเช่นที่เมืองปาฏลีบุตรได้หายไปจากสังคมโลกเสียแล้ว ยุคนี้ใครฝึกสติปัฏฐาน พูดเรื่องการไปนิพพาน กลับถูกคนตาบอดทางใจเหล่านั้นมองเป็นคนที่มีปัญหาชีวิต เป็นคนเพี้ยนไปเสียอีก ยุคนี้จึงเป็นสังคมที่กลับหัวกลับหาง คนหมู่มากเห็นดอกบัวเป็นกงจักร และเห็นกงจักรเป็นดอกบัว น่าสงสาร สังคมจึงยุ่งมาก



สรุป

หากการกอบกู้วัฒนธรรมสติปัฏฐานเป็นเรื่องอุดมคติมากเกินไป ไม่สามารถทำให้ เป็นจริงได้ละก็ ทางออกที่เหลือจึงมีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องพยายามเอาตัวเองให้รอดไว้ก่อน โดยการเร่งรีบทำความเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันนำเสนอคุณในหนังสือเล่มนี้ และรีบเดินทางออกจากอุโมงค์ของชีวิตเสียโดยการฝึกวิปัสสนาหรือพาตัวใจกลับบ้าน เพื่อจะได้ชื่อว่า โชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา ไม่เสียชาติเกิดแล้ว หากสามารถช่วยคนอีกหนึ่งคนให้รู้เรื่องเหล่านี้ได้ ก็ควรพอใจมากแล้ว แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องรีบช่วยตัวเอง

ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้ได้ช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องราวของชีวิตอย่าง ถูกต้อง ขอให้มีความอดทน มีความเพียร อย่าท้อถอย และทำให้ดีที่สุดเท่านั้น

ดิฉันขออวยพรให้คุณประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ของมนุษย์ สามารถหลุดพ้นออกจากถนนวงแหวนของสังสารวัฏและเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้ด้วยเทอญ


ที่มา หนังสือ : ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ








ฃฃฃ
thaikids072

#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4,531 posts
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

Posted 09 June 2008 - 12:44 PM

ถ้าทุกคนสามารถฝึกใจไปจนถึงระดับวิปัสสนาได้ แล้วค้นพ้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง เมื่อนั้นที่สุดแห่งธรรมก็จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน (คือ ทุกคนหมดกิเลสหมดทั้งโลกและจักรวาล)

แต่สิ่งนี้ยังเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยากยิ่งในตอนนี้ ดังที่เจ้าของกระทู้บอกมา

ดังนั้น ผมเห็นว่า เราควรสอนตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละครับ ดีที่สุด คือ ลุ่มลึกไปตามลำดับ

เริ่มจาก ทาน ศีล สวรรค์ หากท่านใดมีปัญญาบารมีมากเพียงพอ ก็สอน โทษของกาม อานิสงส์การออกจากกาม(บวช) แล้วจบท้ายด้วยอริยสัจ 4 (ซึ่งวิปัสสนาก็เป็นหนึ่่งในอริยสัจ 4 นั่นเอง)

ตอนนี้สังคมโลกกำลังเดือดร้อนวุ่นวาย ดังนั้น ต้องสอนให้มนุษย์โลกรู้จักการทำทาน รักษาศีลก่อน เมื่อสังคมสงบทีนี้ก็ค่อยก้าวสู่ขั้นตอนต่อไป คือ สวรรค์ โทษของกาม... ไปจนถึงอริยสัจ หรือ วิปัสสนานั่นเองครับ

ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 panu

panu
  • Members
  • 530 posts

Posted 09 June 2008 - 01:24 PM

เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ได้ดูรายการสุริวิภา ซึ่งได้นำเอาคุณหมอที่เขียนเรื่องไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ มาสัมภาษณ์ออกรายการ เป็นเรื่องน่าฟังมากครับ วันศุกร์นี้จะมีอีครั้ง ผมว่าน่าลองติดตามดูนะครับ