การบ้านข้อที่10
Started by ว่างว่าง, Jul 28 2008 12:42 PM
12 replies to this topic
#1
Posted 28 July 2008 - 12:42 PM
#2
Posted 28 July 2008 - 12:46 PM
น่าจะเป็นกรรมที่ทำนิสัียแบบนี้ข้ามภพข้ามชาติมา จนกลายเป็นนิสัย ครั้นพอจะมาทำตรงข้าม ก็เลยรู้สึกเขินน่ะครับ
วิธีแก้ก็คือ ให้หักดิบเลิกคบนิสัียแบบนี้เสียครับ หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นประจำ เดี๋ยวจะแก้นิสัยเสียๆ ได้ทุกๆ นิสัยนั่ีนแหละครับ
วิธีแก้ก็คือ ให้หักดิบเลิกคบนิสัียแบบนี้เสียครับ หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นประจำ เดี๋ยวจะแก้นิสัยเสียๆ ได้ทุกๆ นิสัยนั่ีนแหละครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#3
Posted 28 July 2008 - 01:16 PM
หมั่นฝึกบ่อยๆเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองครับ หลวงพ่อจึงได้ถามอยู่ทุกวันไงครับ ว่า ยิ้มกันรึยังจ๊ะ? เพราะรอยยิ้มนี้สำคัญมากๆครับ ส่วนการพูดจาไม่มีปิยวาจาไม่มีหางเสียงนั้น อาจเกิดจากทิฐิมานะหรือความไม่มั่นใจหรือความเคยชินในการพูดเช่นนั้นมานานจนเป็นนิสัย ...ถ้าคุณเจ้าของกระทู้ลองพูดคำว่าครับสักคำ พูดจาน้ำเสียงน่าฟัง คุณจะรู้สึกโล่งขึ้นและจะมีความมั่นใจในการพูดต่อไปมากขึ้น ..เรื่องบุคลิกภาพนั้นฝึกกันได้ครับ ปัจจุบันนี้ผมก็ยังฝึกให้เป็นคนยิ้มง่ายพูดจาด้วยปิยวาจาอยู่เลยครับ ซึ่งถือเป็นการฝึกลดทิฐิ ความถือตัวได้ดีทีเดียว ป.ล.ถ้าอยากปรับปรุงให้ดีมากขึ้น มาเป็นอาสาสมัครของวัดสิครับ Very Good! ทั้งเก่งและดีเลย
#4
Posted 28 July 2008 - 02:39 PM
ผมถือคติอย่างหนึ่งว่า "คนเรา ถ้ายกตัวเองให้สูงขึ้น จิตใจจะต่ำลง แต่ถ้าลดตัวเองให้ต่ำลง จิตใจจะสูงขึ้น" การถือตัวจะหายไปจากใจ
ลองทำงานอาสาสมัครต่างๆ เช่น งานทำความสะอาดวัด งานเตรียมบุญฯ งานขนอาหารแห้งขึ้นรถบรรทุก(ตักบาตรพระ ๕๐๐,๐๐๐ รูป)ฯ
เมื่อทำจนเป็นนิสัยแล้ว การถือตัวจะลดน้อยลง แล้วจะกลายเป็นการน้อบน้อม การพูดจาจะนุ่มนวลขึ้น และจะยิ้มได้เองเป็นธรรมชาติครับ
ลองทำงานอาสาสมัครต่างๆ เช่น งานทำความสะอาดวัด งานเตรียมบุญฯ งานขนอาหารแห้งขึ้นรถบรรทุก(ตักบาตรพระ ๕๐๐,๐๐๐ รูป)ฯ
เมื่อทำจนเป็นนิสัยแล้ว การถือตัวจะลดน้อยลง แล้วจะกลายเป็นการน้อบน้อม การพูดจาจะนุ่มนวลขึ้น และจะยิ้มได้เองเป็นธรรมชาติครับ
#5
Posted 28 July 2008 - 05:05 PM
ยิ้ม ทุกครั้งที่โกรธ
ยิ้ม ทุกครั้งที่ชอบใจ
ยิ้ม ทุกครั้งที่เสียใจ
ยิ้ม ทุกครั้งที่ดีใจ
สรุปคือ ยิ้มมันทุกเรื่องนั่นแหละครับ จนเป็นนิสัย แล้วธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง
สู้ ๆ ครับ
ยิ้ม ทุกครั้งที่ชอบใจ
ยิ้ม ทุกครั้งที่เสียใจ
ยิ้ม ทุกครั้งที่ดีใจ
สรุปคือ ยิ้มมันทุกเรื่องนั่นแหละครับ จนเป็นนิสัย แล้วธรรมชาติก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง
สู้ ๆ ครับ
#6
Posted 28 July 2008 - 06:03 PM
ก็ถ้ารู้ว่าดีและคิดจะยิ้มก็ยิ้มเลย...ไม่เห็นจะยากเลยค่ะ...เห็นอะไรน่ารักๆก็ยิ้ม...มันเป็นเรื่องปกติ...ดูฝันในฝันก็ยิ้มได้นิคะ...^^
#7
Posted 28 July 2008 - 07:55 PM
บางที ในบางคน การบ้านข้อนี้ ช่างถูกมองข้าม
ดีจังค่ะ ที่รู้สึกอยากยิ้ม
การสร้างบรรยากาศให้สดชื่นนี้สำคัญจริง ๆ ค่ะ ช่วยรักษาใจบุคคลรอบข้างได้ดีจริง ๆ
เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้ยิ้ม ๆ ได้อย่างสบายใจสุด ๆ ค่ะ
ดีจังค่ะ ที่รู้สึกอยากยิ้ม
การสร้างบรรยากาศให้สดชื่นนี้สำคัญจริง ๆ ค่ะ ช่วยรักษาใจบุคคลรอบข้างได้ดีจริง ๆ
เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้ยิ้ม ๆ ได้อย่างสบายใจสุด ๆ ค่ะ
#8
Posted 28 July 2008 - 08:01 PM
เอ..แต่ถ้าหากธรรมชาติของเราไม่ใช่คนยิ้ม.. แต่สามารถรักษาใจคนรอบข้างให้สดชื่น และมีความสุขได้ ก็คือการสร้างบรรยากาศที่ดีได้แล้วหรือเปล่าคะ..
#9
Posted 28 July 2008 - 11:35 PM
ดิฉันก็เป็นคนไม่ค่อยยิ้มนัก แต่ก็พยายาม เพราะเชื่อหลวงพ่อค่ะ ยิ้มกันหรือยังจ๊ะ อิ อิ
#10
Posted 29 July 2008 - 07:11 AM
55555
#11
Posted 29 July 2008 - 09:31 AM
หาอารมณ์ สบายบ่อยๆ จับดี คนรอบข้างบ่อยๆ
เป้าหมายชีวิต คือ ที่สุดแห่งธรรม
#12
Posted 29 July 2008 - 11:55 AM
ยิ้มได้ทุกทิศ คือลูกศิษย์พระธัมฯ
#13
Posted 29 July 2008 - 06:39 PM
ยิ้มไม่ยาก ถ้าอยากจะยิ้ม (เสียอย่าง)..
ยิ้มยาก ยิ้มเย็น ถ้ายิ้มไม่เป็น (ก็เสียคนยิ้ม)..
ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้มแล้วยังอมยิ้ม (แก้มตุ่ย) ยังงี้เรียกยิ้มไม่มีหุบ..
ยิ้มแล้วทุกข์ จะยิ้มไปทำไม ยิ้มยังไง ยิ้มให้มีฟามสุข..
ต้องยิ้มหน้าบาน (ไม่มีหุบ) นี่แหล่ะ..เรียกยิ้มพุทธบุตร ลูกพระธัมฯ..
ยิ้มยาก ยิ้มเย็น ถ้ายิ้มไม่เป็น (ก็เสียคนยิ้ม)..
ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้มแล้วยังอมยิ้ม (แก้มตุ่ย) ยังงี้เรียกยิ้มไม่มีหุบ..
ยิ้มแล้วทุกข์ จะยิ้มไปทำไม ยิ้มยังไง ยิ้มให้มีฟามสุข..
ต้องยิ้มหน้าบาน (ไม่มีหุบ) นี่แหล่ะ..เรียกยิ้มพุทธบุตร ลูกพระธัมฯ..