ตอนนี้อยู่ชั้นปี4 ค่ะ เจอวิกฤตมีวิญาณติดตาม1 ดวงไม่ทราบสาเหตุการตายที่แน่ชัด ต้องการความช่วยเหลือคือ ให้ช่วยถอนคุณไสยให้ ให้ช่วยเรียนให้จบ และต้องการไปเกิด ซึ่งในทุกๆวันดิฉันต้องตื่นขึ้นมาสวดพระกัณฑ์ไตรปิฎก และกรวดน้ำให้เธอ หลับตาจะเห็นแสงที่ทองปรากฏรอบกายเธอ แต่ถ้าไม่ทำหลับตาก็จะมีแต่สีดำ สมองก็ไม่จดจำ เรียนหนังสือไม่ได้ค่ะ ฉันอยากกกลับมานั่งสมาธิแผ่เมตตาให้เธอเพื่อให้เธอไม่รบกวนการดำเนินชีวิตของฉัน ฉันต้องทำอย่างไร พอดีชีวิตเคยถูกทำคุณไสยมานะค่ะ แล้วเคยมีผู้รู้บอกว่าเมื่อ 50 ชาติเคยศึกษาคุณไสย ทำให้ผู้หญิงรัก และ หนีไปบวชค่ะ มาชาตินี้ครูบาอาจารย์เค้าเคยไม่อยากให้ปฏิบัติธรรม จะแก้ไขอย่างไรค่ะ อยากหลุดพ้นจากวงจรพวกนี้ค่ะ
ขอความช่วยเหลือดด่วนค่ะ...อยู่ในสถานะการวิกฤต
#1
Posted 24 August 2013 - 07:16 PM
#2
Posted 25 August 2013 - 05:37 PM
สมองก็ไม่จดจำ เรียนหนังสือไม่ได้ค่ะ ฉันอยากกกลับมานั่งสมาธิแผ่เมตตาให้เธอเพื่อให้เธอไม่รบกวนการดำเนินชีวิตของฉัน ฉันต้องทำอย่างไร
ถ้ามีวิญญาณติดตามจริงๆ ก็อุทิศบุญให้เขาเยอะๆ จนเขามีบุญมากๆ แล้วเปลี่ยนภพภูมิไป
จะแก้ไขอย่างไรค่ะ อยากหลุดพ้นจากวงจรพวกนี้
ทำบุญทุกๆ บุญ อธิษฐานจิตให้หลุกพ้นจากวงจรนี้ และไม่ไปยุ่งเกี่ยวอีก
ถ้าโดนคุณไสย จะมีวิธีแก้และป้องกันอย่างไร
คุณไสยปล่อยหนังควาย, บุญดูแลบิดามารดาคุ้มอบาย
#3
Posted 26 August 2013 - 05:06 PM
วิธีแก้คุณไสย คือ ทำตัวคุณให้ใสๆ น่ะครับ
#4
Posted 26 August 2013 - 08:50 PM
ไปทำบุญวัดปากน้ำ ขอหลวงปู่สักองค์แขวนคอ
#5
Posted 30 August 2013 - 11:44 AM
พี่หัดฝันแนะนำสั้นสุด แต่ครอบคลุมที่สุดครับ หากเราถูกเบียดเบียนด้วยโอปปาติกะ(เข้าใจง่ายๆว่าวิญญาณ ก็พอได้ครับ) วิธีการไม่ให้เขาเข้ามายุ่ง เข้ามาใกล้ เข้ามาสิง เข้ามาดลจิตดลใจ เราต้องทำตัวเองให้ใส ทำใจให้ใส ทำใจให้เป็นพระแก้วใส หรือหากยังทำด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่ต่อเนื่องตลอดเวลา ก็ต้องอาศัยบารมีธรรมครูบาอาจารย์ เช่น อาราธนาพระหลวงปู่สด มาห้อยคอ แล้วหมั่นนึกถึงท่าน นึกถึงพระนั้นไว้กลางกายบ่อยๆ ตลอดเวลา
เหตุที่แนะนำอย่างนี้เพราะว่า วิญญาณที่ไม่ดี วิญญาณที่มีจิตเป็นอกุศล จะมีพลังที่ตรงข้ามกับจิตที่เป็นกุศล ความมืด ย่อมถูกทำลายด้วยความสว่าง ฉันใด ใจที่มีพลังอกุศล(ของวิญญาณ) ย่อมไม่อาจเข้าใกล้ใจที่เป็นกุศล(ของเรา หรือวัตถุมงคลที่มีอานุภาพธรรมกายซ้อนอยู่)ได้ฉันนั้น
ทีนี้ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราที่พยายามสร้างความใสให้เกิดในตัวเราให้ได้ตลอดเวลา หรือว่า ความเพียรของวิญญาณที่พยายามติดตามมารบกวนเรา ใครจะมากกว่ากัน.. ทุกครั้งที่ทำบุญกุศล ให้ตั้งใจแผ่ส่วนบุญให้เขา(วิญญาณนั้น) ไปทำบุญก็ให้ถือโอกาสนึกชวนเขาไปทำด้่วย (ชวนง่ายกว่ามนุษย์เพราะเขาเถียงโต้ตอบเราไม่ได้) จากศัตรูก็จะค่อยๆคลาย และกลับกลายมาเป็นมิตรในที่สุดครับบ...
ผมเคยเจอเหตุการณ์นี้กับคนที่ใกล้ตัวผมที่สุดมาแล้ว... วิญญาณนั้นมาเข้าสิงคนใกล้ตัว กลางวันแสกๆครับ ผมกับเขาพูดคุยกันสดๆ เขาจะเข้าๆ ออกๆ วนเวียนอยู่นาน จากเริ่มแรกเหมือนเขาคุยไม่รู้เรื่อง ผ่านไปราวๆ ครึ่งเดือนเขาเริ่มพูดโต้ตอบ กับเรารู้เรื่อง ตอนที่แย่ที่สุดเคยอุ้มไปหาพระ ปรากกฏว่าพระท่านใช้คาถาเอาไม้ตีให้ออกไปจากร่าง เขาก็ออกไปครับ แต่พอกลับบ้าน เขาก็เข้ามาอีก ในที่สุดด้วยความเพียร ด้วยบารมีหลวงปู่ คุณยาย ด้วยการหมั่นพูดคุยสอนธรรมะให้กับวิญญาณที่มาเข้าสิง และการแผ่ส่วนบุญให้เขาทุกวัน ไปวัดพระธรรมกายก็ชวนเขาไปด้วย ในขณะหลวงพ่อนำนั่งสมาธิ เขาก็อยู่นอกสภาธรรมกายสากล พอกลับบ้านเขาก็ตามกลับด้วย...(ช่วงแรกที่เขาเข้าสิงใหม่ๆ ผมเคยลองเอาเหรียญห้อยคอหลวงปู่ปราบมารของที่วัดพระธรรมกาย ไปแตะที่แขน เขาสะดุ้งร้อง บอกว่าร้อน แล้วก็ออกจากร่างไปเลยครับ ) สุดท้าย วิบากกรรมเบาบาง(ใช้เวลาราว ๓ เดือน) ก่อนจากกัน เขามาเข้าฝันมาบอกว่า จะไปแล้ว ขอบคุณที่ผ่านมา ...ทุกอย่าง ที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากการถูกบังคับจากนายของเขา(เป็นหมอไสยเวทคนนึงครับ).... ขอให้เจ้าของกระทู้เข้มแข็งนะครับ ต้องเข้มแข็งและอดทนครับ
#6
Posted 30 August 2013 - 12:55 PM
สงสัยมานาน ทำไมผีต้องกลัวพระด้วย เพราะที่เคยเจอมา 3-4 ตน ที่มาแฝงร่างชาวบ้าน ไม่เห็นจะกลัวพระเลย
เคยมีญาติห่างๆ มากๆ มาหาจากต่างจังหวัด นั่งคุยกันอยู่ดีๆ ก็นั่งคอตกไปซะเฉยๆ พอเงยหน้ามาก็ลุกเดินไปนั่งที่ห้องพระ ก้มลงกราบพระที่โต๊ะหมู่เฉยเลย พอถามไปก็บอกชื่อว่าเป็นใคร บอกว่าตามญาติมา(คนที่โดนแทรกร่าง-เข้าเป็นประจำ) เห็นห้องพระสวยดี เลยอาศัยร่างมากราบพระ ขอลอคเก็ตรูปพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ให้ญาติเขาด้วย เขาจะเอาไปนั่งมอง เพราะเห็นแล้วชื่นใจ สว่าง สวย(เขาบอกว่าเป็นทองแต่เป็นสีรุ้งๆ) ผมก็ถามว่า ไม่กลัวพระหรือ เขาบอกไม่กลัว จับได้ไม่ร้อน ผมยังหัวเราะเลยว่า ไม่เห็นเหมือนในหนัง
และก็ถามอีกหลายเรื่อง(ไม่ขอเล่า เพราะค่อนข้างพิสดาร - ไม่เหมือนในหนังเลย ผีบอกว่าจะโผล่ให้ใครเห็นสักคน ยากแสนยาก ถ้าทำได้เหมือนในหนัง เขาจะออกมาหลอกทุกวัน จะได้มีคนทำบุญ เอาของมาเซ่นให้กิน ไม่ต้องไปนั่งอดๆ อยากๆ อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านหรอก) สุดท้ายผมก็เอาปึกอนุโมทนาบัตรวางใส่มือเขา แล้วก็ให้เขาเปิดอ่าน บอกเขาว่าบุญทั้งหมดเนี้ย ขออุทิศให้เขา ให้เขาอนุโมทนารับไปตามกำลัง เขาก็เปิดดูสาธุการ แล้วก็ไม่เคยกลับมาแทรกร่างใครอีกเลย จากนั้นก็เกิดเรื่อง เพราะญาติๆ แห่กันมาขอเหรียญที่ระลึกงานต่างๆ ของทางวัดเรากันซะ แต่ก็ไม่ได้ให้ไป เพราะรู้ว่าพวกนี้ไม่ได้ศรัทธาพระ แค่อยากได้ไปเป็นเครื่องลาง ของขลังเท่านั้น เลยไมให้ไป เสียดายของดีๆ
ส่วนผี(จริงๆ)ที่กลัวพระแล้วร้องกรี๊ดๆ ยังไม่เคยเจอกับตัวเลย เคยเห็นแต่ในหนัง ก็เลยสงสัยมาตลอดว่า ทำไมผี(จริงๆ )ต้องกลัวพระด้วย แปลกจัง
#7
Posted 30 August 2013 - 01:51 PM
Re: คุณทัพพีในหม้อ
หลวงพ่อทัตตะเคยให้ความรู้ไว้เป็นหลักการว่า คนเราคบกันด้วยธาตุ อายตนเดียวกัน ไปด้วยกันได้ อายตนะต่างกันก็เดินกันคนละทาง....
จากหลักการดังกล่าว ทำให้เราเข้าใจโลก แม้ในสำนวนไทย ยังมีคำว่า ฝนตกขี้หมูไหลฯ ความชั่วหรือบาปก็มีแรงดึงดูดให้สิ่งไม่ดีไปรวมกัน ส่วนความดีงาม บุญ ก็ดึงดูดสิ่งดีๆ ไปรวมกัน คนไม่ดีคอเหล้าคอพนัน ก็ไปรวมกัน คนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็ไปเจอกันทีวัด... แม้วิญญาณที่ว่า... ก็ไม่ต่างกันครับ..จิตใจดี จิตใจงดงามย่อมอยู่ใกล้พระ ใกล้สิ่งที่เป็นมงคลได้ ส่วนวิญญาณที่มีรังสีความไม่ดี มีจิตใจหยาบช้า ก็ไม่สามารถเข้าใกล้พระหรือสิ่งที่มีพลังที่เป็นมงคลได้
จึงเป็นที่มาว่า ทำไม ผี (หรือวิญญาณที่เราเข้าใจ) บางท่านจึงใกล้พระ จับพระ กราบพระได้ ในขณะที่บางตนไม่สามารถเข้าใกล้ได้... ก็เพราะธาตุละเอียดต่างกันดังหลักการบรรทัดแรกนั่นแหละครับผม..
#8
Posted 25 September 2014 - 12:21 PM
สงสัยมานาน ทำไมผีต้องกลัวพระด้วย เพราะที่เคยเจอมา 3-4 ตน ที่มาแฝงร่างชาวบ้าน ไม่เห็นจะกลัวพระเลย
เคยมีญาติห่างๆ มากๆ มาหาจากต่างจังหวัด นั่งคุยกันอยู่ดีๆ ก็นั่งคอตกไปซะเฉยๆ พอเงยหน้ามาก็ลุกเดินไปนั่งที่ห้องพระ ก้มลงกราบพระที่โต๊ะหมู่เฉยเลย พอถามไปก็บอกชื่อว่าเป็นใคร บอกว่าตามญาติมา(คนที่โดนแทรกร่าง-เข้าเป็นประจำ) เห็นห้องพระสวยดี เลยอาศัยร่างมากราบพระ ขอลอคเก็ตรูปพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ให้ญาติเขาด้วย เขาจะเอาไปนั่งมอง เพราะเห็นแล้วชื่นใจ สว่าง สวย(เขาบอกว่าเป็นทองแต่เป็นสีรุ้งๆ) ผมก็ถามว่า ไม่กลัวพระหรือ เขาบอกไม่กลัว จับได้ไม่ร้อน ผมยังหัวเราะเลยว่า ไม่เห็นเหมือนในหนัง
และก็ถามอีกหลายเรื่อง(ไม่ขอเล่า เพราะค่อนข้างพิสดาร - ไม่เหมือนในหนังเลย ผีบอกว่าจะโผล่ให้ใครเห็นสักคน ยากแสนยาก ถ้าทำได้เหมือนในหนัง เขาจะออกมาหลอกทุกวัน จะได้มีคนทำบุญ เอาของมาเซ่นให้กิน ไม่ต้องไปนั่งอดๆ อยากๆ อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านหรอก) สุดท้ายผมก็เอาปึกอนุโมทนาบัตรวางใส่มือเขา แล้วก็ให้เขาเปิดอ่าน บอกเขาว่าบุญทั้งหมดเนี้ย ขออุทิศให้เขา ให้เขาอนุโมทนารับไปตามกำลัง เขาก็เปิดดูสาธุการ แล้วก็ไม่เคยกลับมาแทรกร่างใครอีกเลย จากนั้นก็เกิดเรื่อง เพราะญาติๆ แห่กันมาขอเหรียญที่ระลึกงานต่างๆ ของทางวัดเรากันซะ แต่ก็ไม่ได้ให้ไป เพราะรู้ว่าพวกนี้ไม่ได้ศรัทธาพระ แค่อยากได้ไปเป็นเครื่องลาง ของขลังเท่านั้น เลยไมให้ไป เสียดายของดีๆ
ส่วนผี(จริงๆ)ที่กลัวพระแล้วร้องกรี๊ดๆ ยังไม่เคยเจอกับตัวเลย เคยเห็นแต่ในหนัง ก็เลยสงสัยมาตลอดว่า ทำไมผี(จริงๆ )ต้องกลัวพระด้วย แปลกจัง
ขออนุญาตถามกระทู้เก่านิดนึงน่ะครับ คือที่บอกว่า "บอกเขาว่าบุญทั้งหมดเนี้ย ขออุทิศให้เขา ให้เขาอนุโมทนารับไปตามกำลัง" คือบุญเท่าไหร่เขารับได้หมดเลยเต็มที่ไม่มีจำกัดไม่ใช่หรอครับ ทำไมถึงบอกว่ารับไปตามกำลัง หมายความว่าไงหรอครับ เขารับบุญได้จำกัดหรอครับ หรือยังไง
#9
Posted 25 September 2014 - 01:01 PM
ก่อนจะคุยเรื่องนี้ ท่าน Tor Alif ต้องวางตักกะ และความเข้าใจเดิมๆ ลงก่อน แล้วค่อยๆ พิจารณานะครับ
อย่าว่าแต่การอนุโมทนาบุญเลยครับ มนุษย์เรานี่แหละ ทำบุญเดียวกัน พร้อมกัน เหมือนกัน แต่ได้บุญไม่เท่ากันก็ยังมีครับ เพราะกำลังแห่งบุญจะแปลเปลี่ยนไปตามข้อกำหนดต่างๆ มากมาย เช่น
เรารู้กันมาว่า ถ้าทำบุญให้ได้บุญมากๆ ต้องประกอบไปด้วยองค์แห่งบุญ คือ
1.ผู้ทำบริสุทธิ์
2.วัตถุหรือกิจกรรมบุญนั้นบริสุทธิ์
3.เจตนาบริสุทธิื
4.เนื้อนาบุญบริสุทธิื
ถ้าดูหลักใหญ่ๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกครับ แต่ถ้าเรามาพิจารณากันอย่างจริงจัง เอาที่ ข้อ 3 แล้วกัน เจตนาบริสุทธิ์ คือ ทุกคนตั้งใจทำบุญเหมือนกัน แต่ถ้ามีเจตนาไม่เหมือนกัน บุญที่ได้ก็ไม่เท่ากันครับ
คนที่ทำบุญเพื่อเข้าใจว่าสะเดาะห์ ตัดกรรมได้ จะได้บุญน้อยกว่า คนที่ทำบุญเพราะต้องการให้บุญส่งผลให้สบายในชาตินี้
คนที่ทำบุญเพราะต้องการให้บุญส่งผลให้สบายในชาตินี้ จะได้บุญน้อยกว่าคนที่ทำบุญเพื่อปราถนาสุขคติภูมิ
คนที่ทำบุญเพื่อปราถนาสุขคติภูมิ จะได้บุญน้อยกว่า คนที่ทำบุญเพื่อมรรค ผล นิพพาน
นี่ยังแบบคร่าวๆ นะครับ เพราะคนที่ทำบุญเอาหน้า ทำบุญเอาชื่อเสียง ทำบุญเพื่อให้เด่นดังกว่าคนอื่น ทำบุญให้ถูกหวย ทำบุญให้ชนะศัตรู ฯลฯ ยังมีอีกมากมาย ซึ่งเจตนาต่างๆ เหล่านี้ก็จะส่งผลให้กำลังบุญของเรามากน้อยแตกต่างกันไป อยู่ที่ว่าการทำบุญนั้นเจือด้วยอะไร
ในขณะเดียวกัน ถ้าเรามาพูดถึงผู้ที่รับอนุโมทนาบุญ ตัวผู้รับบุญก็จะมีปัจจัยในการกำหนดกำลังบุญที่จะได้รับเหมือนกัน เช่น
ท่านที่ไม่เข้าใจในเรื่องบุญเลย เมื่อมีคนอุทิศบุญมาให้ ดวงบุญมาลอยใส สว่างอยู่ตรงหน้า ก็ไม่รู้จัก วางเฉยเสีย บุญนั้นก็ไม่ได้ช่องส่งผล ท่านนั้นก็ไม่ได้รับผลบุญใดๆ ทำเป็นเหมือนมองไม่เห็น แม้จะรู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป
ท่านที่เข้าใจในเรื่องบุญ แต่อยู่ในภาวะมีเวทนาอย่างมาก เมื่อเห็นดวงบุญ ก็จะรีบอนุโมทนาทันทีเพียงเพื่อให้ตัวเองพ้นๆ จากเวทนานี้สักที ด้วยหวังเพียงเท่านั้น ผลบุญก็ส่งผลให้ได้ไม่เต็มที่ เหมือนคนหิวน้ำที่พอเจอน้ำสะอาดทั้งสระ ก็ขอเพียงดื่มกินให้หายกระหายน้ำเพียงครั้เดียวเท่านั้น
ท่านที่เข้าใจในเรื่องบุญ เมื่อได้รับบุญที่ลูกหลานอุทิศไปให้ ก็อนุโมทนารับในบุญนั้น เพื่อความเจริญแห่งตัว ก็จะได้บุญมาส่วนหนึ่งเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเท่านั้น
ส่วนท่านที่เข้าใจในเรื่องบุญ เมื่อรับอนุโมทนาบุญแล้ว นำมาพิจารณาว่าบุญเป็นของประเสริฐ เป็นเพียงสิ่งเดียวในวัฏฏะที่พาพ้นภัยได้ อนุโมทนาในบุญนั้น และเหตุที่เกิดแห่งบุญนั้นด้วยความปลื้มปิติใจ ก็จะได้รับอานิสงส์แห่งบุญมากไม่มีประมาณ และบุญเดียวกันนั้น ถ้าเรายังตามระลึกถึงด้วยความปลื้มปิติใจต่อเนื่อง ปลื้มใจว่าลูกหลานเราได้ทำสิ่งวิเศษแล้ว ถูกต้องแล้ว บุญนั้นก็จะส่งผลต่อเนื่องไปอีกแบบไม่มีประมาณ ไม่มีที่สุด
เพราะฉะนั้น แม้ตัวเราเอง เวลาอนุโมทนาบุญกับใคร ถ้าอยากได้บุญเต็มๆ ต้องทำใจใสๆ และพิจารณาถึงประโยชน์แห่งบุญนั้นๆ ของเขาอย่างแท้จริง อย่าสักแต่เพียงออกปากอนุโมทนาบุญเท่านั้น
บุญ หรือ บาป จะมากจะน้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดในการกำหนด คือ ตัวเราครับ เราจะทำได้มาก เราจะรับได้มาก เราก็ต้องทำความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบุญให้ชัดแจ้ง ถ้าเราเข้าใจกลไกแห่งบุญแล้ว แม้ทั้งเนื้อทั้งตัวเราจะมีเงินแค่บาทเดียว เราก็สามารถได้รับบุญเป็นพันล้านเท่าได้ครับ
ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เอาเป็นว่า ค่อยๆ ศึกษานะครับ สงสัยตรงไหน เดี๋ยวจะกราบนิมนต์พระอาจารย์ท่านมาเมตตาช่วยเสริมให้ครับ
#10
Posted 25 September 2014 - 01:20 PM
เข้าใจขึ้นเยอะเลยครับ ขอบคุณครับผม