Jump to content


Photo
- - - - -

ประวัติพระพาหิยทารุจิริยะ


  • You cannot start a new topic
  • Please log in to reply
3 replies to this topic

#1 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1,368 posts

Posted 15 July 2006 - 01:41 PM

พระพาหิยะ ท่านเป็นชาวแคว้นพาหิยะโดยกำเนิด เรื่องราว ของท่านดังนี้

สถานะเดิม
เกิดในตระกูลไวศยะ ในตระกูลกุฎุมพีตระกูลหนึ่งในแคว้นพาหิยะ สันนิษฐานว่า ท่านได้ชื่อตามแคว้น

ชีวิตฆราวาส
เมื่อเจริญวัยแล้วได้ประกอบอาชีพค้าขายตามตระกูล เนื่องจากมีภูมิลำเนาอยู่แถบชายฝั่งทะเล ตระกูลของท่านจึงประกอบการค้าขายทางเรือโดยเดินเรือบรรทุกสินค้าไปขายที่สุวรรณภูมิ เมืองท่าเรือสำคัญเมืองหนึ่งที่ท่านเดินเรือผ่านไปมาอยู่เป็นประจำคือ ท่าเรือสุปปารกะ ในอปรันตชนบท

ท่านแล่นเรือค้าขายอยู่อย่างนี้เป็นปกติ วันหนึ่งทะเลเกิดมรสุม คลื่นซัดเรืออัปปางขณะเดินเรือเข้าใกล้เขตท่าเรือสุปปารกะ ลูกเรือตายหมด เหลือรอดอยู่แต่ท่านซึ่งเกาะแผ่นกระดานลอยน้ำมาจนถึงท่าเรือสุปปารกะ ท่านไปถึงท่าเรือด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเนื่องจากเสื้อผ้าหลุดหายไปหมดสิ้น บริเวณท่าเรือสุปปารกะเป็นถิ่นเจริญ มีคนอยู่หนาแน่น ท่านรู้สึกเหนื่อยและหิว แต่รู้สึกละอายที่จะเปลือยกายเข้าไปในชุมชนนั้น ท่านจึงตัดสินใจเอาเปลือกไม้พันตัวแทนเครื่องนุ่งห่มแล้วถือกระเบื้อง จากนั้นจึงแสร้งเดินไปใกล้ศาลเทพารักษ์ แล้วทำทีเป็นเดินออกจากศาลเข้าไปในชุมชน ชาวท่าเรือสุปปารกะได้รับข่าวคราวต่างๆ ตลอดเวลา แม้กระทั่งเรื่องราวของพระอรหันต์ที่มีข่าวมาว่าอยู่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ก็ได้ยินเป็นประจำ เมื่อพาหิยะปรากฏตัวในลักษณะแปลกกว่าคนอื่นคือนุ่งห่มเปลือกไม้ ต่างก็สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ จึงได้ให้อาหารและยกย่องนับถือ ทำให้ท่านสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ต่อมาพาหิยะเองก็สำคัญผิดไปว่า พฤติกรรมของท่านที่เป็นอยู่คือพฤติกรรมของพระอรหันต์ ดังนั้นเมื่อเปลือกไม้แห้งเหี่ยวแล้วก็ไม่ยอมนุ่งห้มผ้าอื่นด้วยเกรงว่าความเป็นพระอรหันต์จะเสื่อมและลาภสักการะก็จะน้อยลง

การออกบวช
ด้วยเหตุที่ท่านนุ่งห่มเปลือกไม้ ฉะนั้นท่านจึงมีชื่อว่า "พาหิยทารุจิริยะ" แปลว่า พาหิยะผู้มีเปลือกไม้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ท่านเลี้ยงชีวิตอยู่อย่างนี้ จนวันหนึ่ง พรหมองค์หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนเก่าในอดีตชาติ ซึ่งสังเกตดูท่านอยู่ตลอดเวลาก็มาจากพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ปรากฏกายให้ท่านเห็นพร้อมทั้งบอกให้ท่านทราบว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์และไม่ได้ปฏิบัติตามทางที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ด้วย พรหมองค์นี้เป็นเพื่อนเก่าของท่านครั้งสมัยพระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะและออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมด้วยกัน หลังจากเพื่อนของท่านบรรลุอนาคามิผลแล้วก็มรณภาพไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส เห็นท่านประพฤติผิดจึงมาเตือนด้วยความปรารถนาดี และยังได้บอกอีกว่า บัดนี้พระอรหันต์ที่แท้จริงอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์คือพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล

เมืองสาวัตถีไกลจากอปรันตชนบทประมาณ ๑๒๐ โยชน์ (๑,๙๒๐ กิโลเมตร) พระพาหิยะทันทีที่ได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วเท่านั้น ท่านก็เกิดปีติอย่างแรงกล้า รีบเดินทางจากท่าเรือสุปปารกะด้วยอาการรีบร้อน เช้าวันหนึ่งจึงมาถึงเมืองสาวัตถึ ขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมืองพอดี

ท่านไปที่วัดเชตวันและได้ทราบจากพระในวัดว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง จึงรีบลาจากพระในวัดแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมืองสาวัตถีทันที เหตุที่ท่านรีบร้อนเช่นนี้ก็เพราะไม่มั่นใจว่า ชีวิตของท่านหรือของพระพุทธเจ้าจะอยู่ได้นานเพียงไร ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวนี้ท่านอาจตายหรือพระพุทธเจ้าอาจปรินิพพานก็ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็คงจะพลาดโอกาสจากการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ด้วยความคิดดังกล่าวทำให้ท่านรีบออกตามหาพระพุทธเจ้าไปทั่วเมืองสารวัตถี จนในที่สุดก็มาพบขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จพุทธดำเนินอยู่กลางถนน ทันทีที่เห็นพระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดปีติท่วมท้น ถลาเข้าไปหมอบกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า พลางทูลขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง

"พาหิยะ" พระพุทธเจ้าตรัสห้าม "เวลานี้มิใช่เวลาแสดงธรรม เห็นไหมตถาคตกำลังบิณฑบาตอยู่กลางถนน"
พระพาหิยะหยุดระยะนิดนึง ครั้นแล้วก็ทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงให้ฟังอีกเป็นครั้งที่ ๒ พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้าม ครั้นแล้วท่านก็ทูลขอเป็นครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ท่านมีอุปนิสัยสมควรฟังธรรมได้ จึงตรัสว่า
"พาหิยะ เธอควรศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทราบก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกก็สักแต่ว่ารู้สึก"

พระพาหิยะพิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ท่านได้บรรลุอรหัตผลทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบ จากนั้นจึงทูลขอบวช แต่ด้วยเหตุที่ท่านไม่เคยสร้างบุญด้วยบาตรและจีวรมาเลย พระพุทธเจ้าจึงทรงรับสั่งให้ท่านไปหาบาตรและจีวรมาก่อน ท่านก็ทำตาม ขณะที่กำลังแสวงหาบาตรและจีวรอยู่ ท่านก็ถูกแม่วัวขวิดตายเสียก่อน ท่านจึงนิพพานโดยท่านยังมิทันได้บวช

การบรรลุธรรม
ท่านได้บรรลุอรหัตผลก่อนแล้วจึงทูลขอบวชโดยได้ฟังธรรมว่าด้วยเรื่องการรู้ทันขณะเห็นรูป ได้ยิน ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสิ่งสัมผัสทางกาย และนึกคิดอารมณ์ที่เคยได้รับรู้มาแล้วซึ่งเรียกว่า "รู้ทันวิญญาณ ๖" ท่านบรรลุอรหัตผลได้เร็ว แต่การที่พระพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไขต้องให้ท่านทูลขอฟังธรรมถึง ๓ ครั้งก็เพราะทรงเห็นว่าท่านเดินทางมาไกล ร่างกายอ่อนเพลีย สภาพจิตยังไม่พร้อม เพราะเกิดปีติมากเกินไป พระองค์จึงทรงประวิงเวลารอให้สภาพร่างกายและจิตใจพร้อมเสียก่อน จึงทรงแสดงธรรม ซึ่งก็ได้ผล คือ เมื่อฟังธรรมจบแล้ว ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลทันที

บั้นปลายชีวิต
หลังจากบรรลุอรหัตผลแล้วได้ไม่ถึงวันก็นิพพานโดยถูกแม่วัวขวิดตาย ทั้งนี้ด้วยเป็นเพราะบาปกรรมเก่าในอดีตชาติตามมาให้ผล กรรมเก่านั้น คือ ท่านร่วมกับเพื่อนลวงโสเภณีนางหนึ่งไปฆ่าชิงทรัพย์ เรื่องมีว่า ในชาตินั้นท่านเกิดเป็นลูกเศรษฐี วันหนึ่งได้ร่วมกับพวกอีก ๓ คนว่าจ้างโสเภณีนางหนึ่งไปหาความสุขสำราญกันในสวน ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจด้วยราคา ๑,๐๐๐ กหาปณะ ตกเย็นครั้นจ่ายค่าตัวให้นางแล้ว รู้สึกเสียดายจึงวางแผนฆ่านางทิ้งแล้วชิงเอาเงินคืนพร้อมทั้งปลดเอาเครื่องประดับในตัวนางไปด้วย ฝ่ายโสเภณีเมื่อรู้ว่าจะถูกฆ่าแน่ ทั้งที่ตัวเองไม่มีความผิด ก็อ้อนวอนขอชีวิต แต่ก็ไร้ผล ก่อนจะสิ้นชีวิต นางได้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้ฆ่าคนเหล่านั้นเป็นการแก้แค้นบ้างในชาติหน้า แรงอาฆาตทำให้นางไปเกิดเป็นนางยักษิณี ฝ่ายพระพาหิยะและเพื่อนอีก ๓ คนนั้น เวียนว่ายตายเกิดและตกนรกเพราะกรรมนั้นส่งผล แล้วมาในชาตินี้พระพาหิยะก็มาเกิดเป็นมนุษย์ นางยักษิณีอดีตโสเภณีจึงได้แปลงเป็นแม่โคมาขวิดตายหมดทุกคน โดยเพื่อนของท่าน ๓ คน คือ พระปุกกุสาติ (พระเจ้าปุกกุสาติแห่งแคว้นคันธาระ) เพชฌฆาตตัมพทาฐิกะ (โจรเคราแดง) และ สุปปพุทธกุฏฐิ (ชายขอทานขี้เรื้อน)

หลังจากพระพาหิยะถูกแม่โคขวิดตายแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จมาพบ ทรงรับสั่งให้พระช่วยกันเผาศพท่านแล้วนำอัฐิไปบรรจุไว้ในเจดีย์ตรงทาง ๔ แยก เพื่อให้คนได้บูชาและน้อมนึกถึงมาเป็นเครื่องเตือนใจอันเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้ได้สังฆานุสติ (การระลึกถึงพระสงฆ์)

เอตทัคคะ-อดีตชาติ
ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าปทุมุตตระพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมได้เร็ว(ขิปปาภิญญา) ท่านเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง

ท่านได้ทำความดีต่างๆ ตามที่พระพุทธเจ้าปทุมุตตระตรัสสอนจนเป็นเหตุให้ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
"ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้บวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมเร็ว"

ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าปทุมุตตระตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

ชาติที่ท่านพบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองพาราณสี หลังจากที่พระพุทธเจ้ากัสสปะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้นานแล้ว ช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนากำลังใกล้สูญสิ้นไปจากโลก ท่านได้ออกบวชและได้เห็นพระสาวกต่างประพฤติผิดธรรมวินัยกันเป็นจำนวนมากแล้วเกิดความสลดใจ ท่านพร้อมกับเพื่อนพระอีก ๖ รูป (รวมเป็น ๗ รูป) จึงชวนกันหลีกออกจากหมู่คณะขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขาโดยตั้งใจว่าจะไม่กลับลงมาอีก ล่วงไปได้ ๕ วัน เพื่อนพระที่เป็นพระเถระก็ได้บรรลุอรหัตผล และล่วงวันที่ ๗ เพื่อนพระที่เป็นพระเถระรองลงมาก็ได้บรรลุอนาคามิผล ส่วนพระที่เหลืออีก ๕ รูป เมื่อยังไม่ได้บรรลุมรรคผลขั้นใดเลยก็ไม่ยอมฉันอาหารจนร่างกายซูบผอมแล้วมรณภาพลงในที่สุด

พระเถระรูปแรกนิพพานและพระเถระรูปที่ ๒ มรณภาพและได้ไปเป็นพรหมอยู่ชั้นพรหมโลกปัญจสุทธาวาส ส่วนพระอีก ๕ รูปมรณภาพแล้วก็ไปเกิดอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน (พระพุทธเจ้าโคดม) ทั้งหมดนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง

พระพาหิยะมาเกิดเป็นบุตรของกุฎุมพีในแคว้นพาหิยะ ครั้นแล้วก็ได้บรรลุอรหัตผลแต่นิพพานก่อนจะได้บวช อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติประกอบกับความสามารถในปัจจุบันชาติที่สามารถบรรลุธรรมได้เร็ว พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมได้เร็วดังกล่าวมาแล้ว

วาจานุสรณ์
ไม่มีกล่าววาจาใดไว้เป็นอนุสรณ์เพราะด่วนนิพพานก่อน
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#2 gioia

gioia
  • Members
  • 593 posts

Posted 28 July 2006 - 06:08 PM

แม้ท่านได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ก็ยังไม่รอดพ้นจากวิบากกรรมได้
เป็นข้อให้พิจารณา หิริ โอตตัปปะ ได้เป็นอย่างดี

อนุโมทนาบุญค่ะ



#3 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2,378 posts
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

Posted 23 September 2006 - 04:19 PM

อนุมทนาด้วย
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#4 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4,109 posts
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

Posted 15 March 2007 - 11:59 AM

กราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ ละเอียดดีครับ