ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

วิทยาศาสตร์ทางจิต (SCIENCE OF CONSCIOUSNESS)


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
ไม่มีการตอบกลับในกระทู้นี้

#1 tooyarihc

tooyarihc
  • Members
  • 10 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 September 2013 - 01:29 PM

วิทยาศาสตร์ทางจิต
(SCIENCE OF CONSCIOUSNESS)
 

 

     เรื่องราวเกี่ยวกับสมาธิที่เกิด "อภิญญาจิต" คือ ออกมาในรูปของอิทธิปาฎิหาริย์ต่างๆ ชาวโลกก็หันมาศึกษากัน ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฎบัติในชื่อวิชาว่า "วิชาปรจิตวิทยา"

 

 

 

วิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่

     ปัจจุบัน...ด้านฟิสิกส์ใหม่ "ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป" กับ "แควนตัมอิเล็กตรอนไดนามิคส์" (QED) เป็นสองทฤษฎีที่สามารถนำมาใช้สร้างจักรวาลใหม่ แทนความเชื่อเก่าได้ทั้งหมด

 

     ส่วนอีกด้านหนึ่ง... เป็นด้านของวิทยาศาสตร์ทางจิต เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่เช่นเดียวกัน และด้วย "ทฤษฎีสนามแควนตัม" (QUANTUM FIELD THEORY) กับ "ทฤษฎี อเทศะ - ไร้กาลเวลา" (NON-LOCAL SPACE AND TIME) และวิชา "ปรัชญาทางจิต" (PHILOSOPHY OF THE MIND) ทำให้นักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่สามารถสัมผัสมิติแห่งจิตวิญญาณได้ !

 

     แม้กระทั้ง... เรื่องราวเกี่ยวกับสมาธิที่ทำให้เกิด "อภิญญาจิต" คือ ออกมาในรูปของอิทธิปาฎิหาริย์ต่างๆ ชาวโลกก็หันมาศึกษาเล่าเรียนกันทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติ ในชื่อวิชาว่า "วิชาปรจิตวิทยา" (PARAPSYCHOLOGY) นั่นเอง ซึ่งมีบางส่วนคล้ายคลึงเรื่องของอภิญญาในพระพุทธศาสนา

 

 

ปรากฎการณ์ทางปรจิตวิทยา

     ปรากฎการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรจิตวิทยา เช่น
     ...การเข้าฌาณ หรือ การทำสมาธิ
     ...การทำนายเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
     ...การอ่านจิตใจของผู้อื่นหรือ โทรจิต หรือ การส่งกระแสจิต
     ...การรักษาโรคด้วยพลังจิต หรือ พลังอันลึกลับ
     ...การใช้พลังจิต หรือ พลังอันลึกลับในระยะไกล บังคับให้วัตถุเคลื่อนที่ได้
     ...พลังแสงรังสีที่ห่อหุ้มอยู่รอบๆ พืช สัตว์ หรือ มนุษย์
     ...การมองเห็นภาพทางปลายนิ้วมือ หรือฝ่ามือ
     ...โหราศาสตร์
     ...การสะกดจิต
     ...การสำรวจแหล่งน้ำและแร่ธาตุต่างๆ ใต้ธรณีด้วยพลังจิต
     ...การฝังเข็มตามความเชื่อเกี่ยวกับพลังงานชีวิต
     ...การค้นคว้าพลังงานลึกลับภายในร่างกายมนุษย์
     ...อี.เอส.พี หมายถึง การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสพิเศษ หรือ ประสาทสัมผัสที่ 6
     ...การใช้พลังลึกลับในการยกวัตถุ หรือ การทำให้ตัวลอย เป็นต้น

 

 

ปฎิวัติความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ

     ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ได้มีการถกเถียงกันในทางวิชาการอย่างเผ็ดร้อนในเรื่องระหว่าง "จิต" กับ "สมอง"
     ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเรื่องของจิตทั้งหมดเป็นผลผลิตของการทำงานของสมองทั้งสิ้น (EPIPHENOMENON)
     อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่ารากฐานของจิตใจในทุกระดับมิติไม่ได้เป็นผลผลิตหรือมีที่มาจากสมอง "สมองเป็นเพียงทางผ่าน หรือ เป็นเพียงเครื่องมือ" เช่น โทรทัศน์ที่มีหน้าที่เพียงเป็นเครื่องรับรู้ข้อมูลเท่านั้น

     ทุกวันนี้... มีนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่รวมทั้งที่ได้รับ "รางวัลโนเบล" อยู่ในค่ายนี้ด้วยหลายคน เช่น เซอร์จอหน์ เอ็คเคิลส์ คาร์ลป็อบเปอร์ ไบรอันโจเซฟสัน เกร็กกอรี่ เบทสัน ฯลฯ และคนอื่นๆ ที่รวมกันแล้วมีจำนวนมากกว่าจำนวนคนของนักวิทยาศาสตร์ของอีกค่ายหนึ่ง

 

 

ความเชื่อเรื่องจิต
ที่เป็นผลผลิตของสมอง

     ฝ่ายนี้เชื่อว่า... เรื่องราวของจิตทั้งหมดรวมทั้งสติปัญญาของมนุษย์ล้วนได้มาจากสมอง มาจากวิวัฒนาการ "ที่เป็นเรื่องราวของความบังเอิญทั้งหมด"

 

     สมอง... ก็คือ "คอมพิวเตอร์ที่มีเลือดเนื้อแทนวัตถุ" (STRONG AL) หรือ อย่างน้อยบทบาทของสมองก็สามารถอธิบายได้ "ด้วยหลักการของเครื่องจักรเครื่องยนต์ทั้งหมด" (WEAK AL) ยิ่งความรู้ทางด้านประสาทวิทยาบทบาทของสมอง และระบบประสาทก้าวหน้าไปเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายนี้เชื่อมั่นขึ้นเรื่อยๆ ว่า "สมองก็คือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล" แน่นอน

 

 

ความเชื่อเรื่องจิต
ที่ไม่เป็นผลผลิตของสมอง

     ฝ่ายนี้เชื่อว่า...จิตของมนุษย์มิใช่ผลผลิตของสมอง
     สมอง...มิใช่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่มีโปรแกรมมีฮาร์แวร์ที่ประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วนที่แปลกแยกหลากหลาย และมีลักษณะและหน้าที่เฉพาะตัวจิตมิใช่เป็นผลผลิตของกระบวนการทำงานเหล่านี้
"ที่ต้องอาศัยแรงหรือพลังงานจากภายนอก เข้ามากระทำต่อชิ้นส่วนต่อเซลล์สมอง" เช่นเดียวกับที่ "กระแสไฟฟ้า" เข้ามาบริหารอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ที่แตกต่างกันด้วยกลไกหรือวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ อันเป็นเรื่องของฟิสิกส์และสารเคมีล้วนๆ

แต่จิตสามารถสะท้อนสิ่งที่รู้และสิ่งที่คิดได้นั้นกลับไปกลับมา "จนทำให้จิตสามารถวิวัฒนาการความรู้สึก และความรู้ได้ด้วยตนเองให้ก้าวหน้าต่อไป" เช่น ความรักความเมตตาอันดื่มด่ำลึกล้ำ อย่างที่ไม่สามารถอธิบายเป็นภาษาพูดได้ หรือตัวอย่างของวิวัฒนาการในด้านปัญญาความรู้ ที่อาจเป็นความรู้ที่สูงล้ำลึกซึ้งยิ่ง "จนทะลุผ่านเหตุผลตัวตน...เป็นญาณทัศนะ...เป็นความรู้แจ้ง" ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะหรือภาษาใดๆแม้ด้วยตรรกะแห่งภาษา ที่เรียกว่า คณิตศาสตร์

 

     เมื่ออยู่นอกเหนือตรรกะและเหตุผล "เมื่อไม่สามารถอาศัยตรรกะคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์จึงทำเช่นจิตของมนุษย์ไม่ได้" แต่คอมพิวเตอร์ทำได้ก็เพียงแค่ "เรื่องของการเก็บความจำ...การระลึกความจำ...แนะนำข้อมูลที่เก็บที่จำเหล่านั้นมาวิเคราะห์...ด้วยตรรกะการคำนวนเท่านั้น"

 

     คอมพิวเตอร์รู้สึกไม่ได้ แม้เป็นเพียงสัญชาตญาณการสนองตอบง่ายๆ เช่น การหนี การต่อสู้ ความรู้สึกผูกพัน ความห่วงใย ความรัก ความกลัว ความปีติ เป็นต้น

 

     ทั้งหมดที่กล่าวมานี้... คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้ "คอมพิวเตอร์เป็นตัวรู้ดั่งจิตเป็นไม่ได้" ที่คอมพิวเตอร์จะทำได้บ้าง ก็เมื่อสิ่งที่ต้องการรู้นั้นต้องเป็นสิ่งที่มันเคยรู้ "ที่มีโปรแกรมกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าด้วยโปรแกรมที่จิตของมนุษย์สร้างขึ้น"

 

 

คอมพิวเตอร์มิได้เป็นเช่นขันธ์ 5

     ขันธ์5... ได้แก่ขันธ์ที่เป็น รูป (รูป) เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำได้หมายรู้) สังขาร (ความนึกคิดปรุงแต่ง) วิญญาณ (ความรู้)

     ในขันธ์5... คอมพิวเตอร์อาจเป็นได้เพียงแค่รูปขันธ์ สัญญาขันธ์หรืออาจเป็น "เพียงบางส่วนของสังขารขันธ์" แต่ไม่สามารถเป็นในส่นของ "การคิดการรู้ที่ได้จากการสะท้อนความคิดจากภายในซึ่งอยู่เหนือเหตุผล" และไม่สามารถเป็นส่วนของสังขารขันธ์ ที่เป็นเรื่องของวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่กล่าวมาแล้ว

     และแน่นอนที่สุด... คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเป็น "เวทนาขันธ์" และ "วิญญาณขันธ์" ที่เป็นตัวรู้ดังเช่นมนุษย์ !

 

 

วิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งยุคใหม่

     นำโดยฟิสิกส์ใหม่ และจิตวิทยาใหม่ "ได้เชื่อมโลกแห่งจิตที่ละเอียดกับโลกที่หยาบ" เข้าด้วยกัน เป็นการ "ปฎิวัติความรู้และวิธีคิดของมนุษย์ชาติ"
     ...สู่มิติใหม่
     ...สู่การปฎิวัติทางสังคม
     ...สู่การเปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ชาติ

     วิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งยุคใหม่ เป็นหนึ่งในกระบวนการความรู้ใหม่ "เป็นเรื่องเร้นลับทางจิตที่เหนือธรรมชาติ" หรือไม่ก็เป็น "เมตาฟิสิกส์แท้ๆ" ที่ก่อนหน้านี้เป็นชั่วเวลาเพียงสั้นๆไม่กี่ปีที่ไม่ยอมรับกัน แต่ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย

     หลังทศวรรษที่ 1990... เรื่องจิตไม่ว่าจะเป็นของธรรมจิตธรรมปัญญาที่ได้มาจากญาณทัศนะ (SPIRITUAITY AND WISDOM) สูงส่งด้วยปัญญาและความดีงาม "ซึ่งได้มาจากปฎิบัติสมาธิ" หรือว่าจะเป็นเรื่องราว "พลังจิต...พลังจักรวาล...และความสามารถพิเศษต่างๆ" เช่น เรื่องของการรับรู้เหตุการณ์นอกสถานที่หรือเวลา หรือเรื่องของพลังอำนาจของจิต ที่ก่อผลเหนือความเป็นไปได้ตามธรรมชาติ "ที่เคยถือกันว่าไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริงหรือ เป็นไปไม่ได้"

     แต่ทว่า ณ เวลานี้... เรื่องที่แปลกพิศดารเหล่านี้ กลับกลายเป็นเรื่องที่มีการค้นคว้าวิจัยในวิทยาศาสตร์สายแท้สายตรงอย่างจริงจังมากมาย "ตามมหาวิทยาลัย หรือ ตามสถาบันวิทยาศาสตร์มีชื่อเสียงระดับโลก" เช่น
     ...ที่สแตนด์ฟอร์ด
     ...ที่ปริ้นซ์ตัน
     ...ฮาร์วาร์ด ฯลฯ
     ...สภาวิจัยแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา
(NATIONAL RESEARCHCOUNCIL)
    
...องค์กรบริการการวิจัยของสภาคองเกรสประเทศสหรัฐอเมริกา (CONGRESIO -NALRESEARCH SERVICE CENTER)
     ...สถาบันวิจัยทางวิทยาศาตร์อเมริกันขององค์การซีไอเอ (AMERICAN INSTITUTES FOR RESEARCH) และองค์กรย่อยของกองทัพอีกหลายแห่งของอเมริกาฯ เป็นต้น

 

 

นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่
ยอมรับพลังจิตเหนือธรรมชาติ

     ก่อนหน้านี้กว่า 20 ปีมาแล้ว... คงไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใด ที่ไม่ล่วงรู้ความตรงไปตรงมา "แบบขวานผ่าซากของจอห์น วีลเลอร์" เขาเป็นผู้หนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่กล้ายื่นหน้าออกมาต่อต้านคัดค้าน "เรื่องจิตเหนือธรรมชาติปรจิตวิทยาทุกแขนง" อย่างโจ่งแจ้ง จนเป็นที่ครื้นเครงในวงการนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกในระยะหลายปีนั้น

     บทความของจอห์น วิลเลอร์รุนแรงตรงไปตรงมา เช่น
     ... "พวกเราจงมาช่วยกันขับไล่ของเทียมของปลอมออกไป จากวงการวิทยาศาสตร์ให้หมด"
     ... "ที่ใดมีควัน ที่นั้นย่อมมีแต่ควัน"

    
     ในการประชุมใหญ่ของสมาคมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเเมริกา
(AAAS) เป็นสมาคมที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ในปี 1979 เมื่อจอห์น วีลเล่อร์ ทราบว่า จะมีการนำเสนอรายงานการเสนอวิจัย ทางปรจิตวิทยาของ เจ. บี. ไรน์ แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ดจากนอร์ธคาโรไลน่า (ต่อมาไรน์ได้ถูกขนานนามว่า บิดาของปรจิตวิทยา)

     จอห์น วีลเล่อร์ ได้เขียนหนังสือถึงนายกสมาคม ขอให้เอาเรื่องของไรน์ ที่เสนอในที่ประชุมในนั้นออกไป "ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับผลงานของวีลเล่อร์" เมื่อไม่สำเร็จในวันประชุมวันนั้นวีลเล่อร์ก็ได้ขึ้นไปพูดในที่ประชุมก่อนการเสนอรายงาน เจ. บี. ไรน์

 

     จอห์น วีลเล่อร์ได้โจมตีทั้งปรจิตวิทยา และ เจ. บี. ไรน์ เช่น
     ... "วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงย่อมให้ผลที่แน่นอนตายตัวไม่ว่าทำซ้ำกี่ร้อยครั้ง แต่การวิจัยทางปรจิตวิทยาไม่เคยให้ผลที่แน่นอนตายตัวแม้แต่ครั้งเดียว"
     ... "หากว่าจะส่งคนที่ดื้อรั้นมั่นใจตนเองเข้าคุกตอนนี้ ก็จะมีพื้นทางนิติศาสตร์เพียงพอที่สามารถส่งนักปรจิตวิทยาเข้าคุก" เป็นต้น

     อย่างไรก็ตาม เจ.บี.ไรน์ ไม่ได้โต้ตอบอะไร เมื่อถึงเวลาที่เขานำเสนอไรน์เพียงพูดทำนองว่า บางทีคนเรา "เพราะไม่น่าเชื่อหรือเพราะตั้งใจไม่ยอมรับอยู่ก่อนแล้ว เลยไม่สนใจติดตามและศึกษาผลงานทางปรจิตวิทยาจึงทำให้เกิดความไม่เข่าใจกัน"

 

     วันนั้น...จอห์น วีลเล่อร์ จำต้องนั่งฟังรายงานของ เจ.บี.ไรน์ เนื่องจากตนเองยังมีงานอภิปรายร่วม "ในทันทีเขารู้สึกสนใจในสิ่งที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อน"

 

     หลังจากวันนั้น...จอห์น วีลเล่อร์ พยายามหางานของ เจ.บี.ไรน์ "มาศึกษาอย่างจริงจังเช่นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั้งหลายทำ" ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานจอห์น วิลเล่อร์ "ถึงกับเดินทางไปหา เจ.บี.ไรน์ ถึงบ้านเพื่อขอโทษและอย่างเป็นทางการ" คือ ทำให้เป็นข่าว

 

     ปัจจุบันนี้...เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "งานฟิสิกส์ของจอห์น วีลเล่อร์ได้หันมาข้องเกี่ยวกับ เรื่องทางจิตวิญญาณ ทางอภิปรัชญาอย่างลึกซึ้ง มันกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง" (TIME-LIFE EDITORS; PSYCHICPOWER, 1985)

 

 

จิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
กับงานวิจัยเรื่องคนถูกจับตัวโดยมนุษย์ต่างดาว

     จอห์น อี.แม็ค... เป็นจิตแพทย์ที่ทำวิจัยเรื่องคนถูกจับตัวโดยมนุษย์ต่างดาวร่วมร้อยรายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่ง แม็คสนับสนุนเรื่องที่เกิดเหล่านั้นว่า "อาจเป็นไปได้จริง" ขาเป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกโจมตีอย่างหนักในระยะแรกเช่นเดียวกับเจ.บีไรน์ "จากผู้ไม่รู้และไม่เปิดโอกาสให้กับตนเองศึกษาก่อนที่จะโจมตีกล่าวหาผู้อื่น"
     หลังจากเขียนหนังสือได้รับรางวัล "พูลิตเชอร์"...
     เขาถูกนักวิทยาศาสตร์และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด "ที่ต่อต้านเรื่องจิตเหนือธรรมชาติ" โจมตีทางหน้าหนังสือพิมพ์อย่างหนัก เช่น วารสารไทม์ และโทรทัศน์อย่างอื้อฉาว จนกระทั้งมหาวิทยาลัยต้องตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนในปี 1995

     สุดท้าย... กรรมการทุกคน "ลงมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่างานวิจัยของเขาเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดเท่าที่จะทำได้และรอบที่สุดแล้ว" อธิการบดีเองยังทำหนังสืออย่างเป็นทางการและเป็นการส่วนตัวไปขอโทษด้วย

     ส่วนคนที่ต่อต้านบางคน... เมื่อเรื่องมันดังขึ้นมาเลยต้องติดตามศึกษางานของแม็คอย่างละเอียด "ในสิ่งที่ตนไม่เคยที่จะอ่านเลยแต่กลับต่อต้านอย่างหนัก" หลังจากนั้นหลายๆ คน "ก็เปลี่ยนใจแล้วหันมาเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติและการรับรู้ต่างมิติ" (JOHN MACK ; ABDUCTION 1994)