*ขอคำวินิจฉัย ที่ชัดเจน จากพระคุณเจ้า*
#1
โพสต์เมื่อ 28 June 2010 - 02:16 PM
เนื่องด้วยข้าพเจ้าได้ไปสมัครบวชพระ "หนึ่งแสนรูปเข้าพรรษา" ที่วัดพรระธรรมกาย สอบสัมภาษณ์ผ่านแล้ว ตรวจสุขภาพผ่านแล้ว แต่ติดปัญหาที่ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน จากท่านที่ได้สัภาษณ์ เนื่องด้วยท่านให้เหตุผลว่า ท่านไม่สามารถรับรอง หรือตัดสินใจได้
เหตุเพราะ การเขียนที่ไม่ชัดเจน คลุมเครือ ในหัวข้อ "สิ่งของที่ไม่ควรนำมาในการอบรม" เริ่มจากหัวข้อก่อน ท่านใช้คำว่า ไม่ควรนำมา แล้วสิ่งที่ควรนำมาล่ะ คือสิ่งใด
1.หนังสืออ่านเล่นหรือสื่อที่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิ
- ข้าพเจ้าแปลไทยเป็นไทย อักนัยหนึ่งได้ว่า หนังสือหรือสื่อที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิ สามารถอ่าน หรือนำมาได้ เช่น หนังสือธรรมะ สื่อธรรมะ เป็นต้น
2.อาหารและของขบเคี้ยวทุกชนิด
- ข้อนี้ ก็ต้องย้อนไปดูพื้นฐานจาก ข้อหนึ่ง ว่าเป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิหรือไม่ รวมถึง ยกเว้นในกรณีผู้ป่วย เป็นต้น
3.เครื่องเล่นสื่อทุกชนิด เช่น วิทยุ, ซีดี, MP3, MP4
- แล้ว ทีวี คอมพิเตอร์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีลักษณะสามารถเล่นสื่อได้ สามารถนำมาได้ไหม และทำไมถึงไม่ได้ ถ้าสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิ
- ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง ของข้าพเจ้าก็แล้วกัน ข้าพเจ้ามีความจำเป็น ต้องนำ คอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วไปด้วย เพราะในนั้น มีสื่อธรรมมะ ที่นำไปฟัง รวมถึงท่องด้วย เช่น สื่อขานนาค เป็นต้น สื่ออื่นๆก็มี เช่น เพลง เกม หนัง ก็มีพอประมาณ เหตุผลเพราะ ข้าพเจ้ายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้ายังมีกิเลส ตัณหา ราคะอยู่ ข้าพเจ้าไม่สามารถตัดมันไปได้ ข้าพเจ้าจะควบคุมกิเลส ตัณหา ราคะ แทน เพราะสิ่งที่เป็นกิเลส ตัณหา ราคะ ถ้าควบคุมให้ดีก็เป็นคุณแก่ผู้เป็นมุษย์ เช่น มีความตั้งใจที่ศึกษาพระธรรม มีความตั้งใจที่ต้องการเผยแพร่พระธรรม มีความตั้งใจที่จะบวชให้ได้ 1 พรรษา สิ่งเหล่านี้ ก็คือ กิเลส ตัณหา ราคะ แต่ทว่าควบคุมมัน ให้มาเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา เป็นต้น
4.กระจกเงา รูปถ่ายญาติมิตร และกล้องถ่ายรูป
- ก็ขึ้นอยู่กับว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิหรือไม่ และรวมถึงบางกรณี ที่สามารถยกเว้นได้ เช่น ผู้ป่วย เป็นต้น
5.ของมีค่าและเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ เป็นต้น
- แล้วถ้า เป็นของไม่มีค่า และไม่ใช่เครื่องประดับล่ะ เช่น นาฬิกา เป็นต้น
6.อุปกรณ์สำหรับติดต่อสื่อสารทุกชนิด เช่น โทรศัพท์มือถือ
- ในกรณีนี้ อาจมีอุปกรณ์อื่นๆ อีก ที่สามารถติดต่อสื่อสารได้ เช่น PDA Notebook เป็นต้น
- ในข้อนี้ ข้าพเจ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่คอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วของข้าพเจ้าสามารถติดต่อสื่อสารได้ ในข้อนี้ ข้าพเจ้ามองว่า การสื่อสารเป็นสิทธิและเสรีภาพหนึ่งของมนุษย์ ผู้ใดจะจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารไม่ได้ ยกเว้นมีเหตุอันควร เช่น ในเรือนจำ ที่ต้องจำกัดอิสรภาพ หรือแม้แต่นักโทษเอง ก็มีสิทธิและเสรีภาพที่จะติดต่อสื่อสารได้แบบจำกัดจำนวน
แต่นี้ ข้าพเจ้า ไปเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไปเป็นธรรมทายาท ข้าพเจ้าเข้าวัดพระธรรมกาย ไม่ใช่เข้าเรือนจำ และอีกอย่าง ข้าพเจ้ายังมีครอบครัวที่อยู่ทางโลก มีพ่อมีแม่ มีเมียมีลูก ซึ่งข้าพเจ้า คิดถึงบ้างเป็นบางครั้ง ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิติดต่อสื่อสารอย่างนั้นเชียวหรือ
(คณะกรรมการจะตรวจและเก็บดูแลของเหล่านี้แทนท่านระหว่างการอบรม)
- ในวงเล็บนี้ก็เขียนไม่ชัดเจน แล้วถ้า คณะกรรมการปฎิเสธที่จะไม่เก็บและดูแลล่ะ จะทำอย่างไร
- แล้วในระหว่างการอบรม เจ้าของสิ่งนั้น สามารถเข้าไปดูเข้าไปใช้ ได้หรือไม่
---------------------------------------------------------------------------------------------
ข้าพเจ้าเข้าใจในความหวังดีของทางวัด
1. เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิ
2. เกรงว่าจะเกิดการลักขโมยกันเกิดขึ้น
3. เกรงว่าจะเกิดความลดละความตั้งใจที่จะบวขให้ครบ 1 พรรษา ลงกลางคัน
4. อาจมีข้ออื่นอีกที่ข้าพเจ้า นึกไม่ออก
คราวนี้ ลองมาฟัง ข้อเสนอแนะของข้าพเจ้าบ้าง
ทางวัดต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ผู้ที่มาบวชเป็นพระใหม่นั้น
-ยังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่
-ยังคงไม่สามารถลดละกิเลส ตัณหา ราคะ ได้ในทันที่ทันใด
-ถ้าตั้งสายตึงเกินไป สายก็ขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงก็ไม่ไพเราะ เพราะฉะนั้น ควรเดินทางสายกลาง
-การที่จะทำให้พระใหม่เป็นพระแท้ นั้น ไม่ได้เกิดใน 1 พรรษา ต้องเจียรไน เพชร(พระใหม่) อย่างค่อยเป็นค่อยไป
1. จัดห้องสื่อสารสำหรับพระใหม่ ที่มีทั้ง Internet โทรศัพท์ ไปรษณีย์ ไว้ให้ใช้บริการ
2. ถ้าคณะกรรการตรวจเจอของที่ไม่ควรนำมาและพระใหม่ผู้นั้นจำเป็นต้องใช้ ก็ควรมีหน่วยงานเก็บของที่ไม่ควรนำมา แล้วเปิดโอกาสให้พระใหม่ผู้เป็นเจ้าของสิ่งนั้น ได้เข้าไปดู ไปใช้ ในวันและเวลาว่าง
3. เขียนข้อความ และอธิบาย ถึง "สิ่งของที่ไม่ควรนำมาในการอบรม" ให้ชัดเจนและไม่คลุมเครือ
---------------------------------------------------------------------------------------------
สุดท้าย ข้าพเจ้าขอ "คำวินิจฉัย" ที่เป็นที่สุด จากพระคุณเจ้าที่เกี่ยวข้อง ว่า
ข้าพเจ้า มีความจำเป็นที่ต้องนำมาและใช้ "คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบกระเป๋าหิ้ว" ในระหว่างการฝึกอบรม ได้หรือไม่
ถ้าเป็นไปได้ ช่วยประกาศผล ให้ผู้อื่นทราบด้วย เพื่อที่จะได้เป็นมาตราฐานเดียวกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------
ป.ล. เหตุผลที่ต้องมาตั้งถามก็เพราะ ข้าพเจ้าเกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกันกับครอบครัว ข้าพเจ้าจักเลือกเดินในทางธรรม ที่มีผู้ช่วยธรรมเป็น"คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบกระเป๋าหิ้ว"
#2
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 02:42 AM
ในระหว่างที่รอพระมาตอบ
ก็อยากจะร่วมแชร์มุมมองเป็นการส่วนตัว ในฐานะที่เคยผ่านการอบรมมาบ้าง ในบางโครงการ
ในระหว่างการอบรมนั้น เท่าที่เคยทราบมา (ไม่แน่ใจ และไม่ยืนยันนะคะ) คือทางพระพี่เลื้องที่ดูุแลอยู่ จะมีการอนุญาติโดยกำหนดเป็นวันเวลาที่ชัดเจน ให้โทรศัพท์ติดต่อกับญาติหรือพ่อแม่ได้
และโทรศัพท์นั้น เป็นอุปสรรค ต่อการทำใจหยุดนิ่งจริงๆ
นาฬิกา ถ้าไม่อนุญาติให้ใช้เป็นของส่วนตัว ก็จะมีของส่วนรวมให้ใช้ คือจะมีนาฬิกาแบบที่่ทุกคนสามารถดูได้ มาติดตั้งไว้ให้ ในพื้นที่ที่จะใช้ในการอบรม
สือธรรมะ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีธรรมะให้ฟังในระหว่างการอบรม เพราะจะมีการสอนเรื่องธรรมะต่างๆ ตลอดการอบรม รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ที่ผู้เข้ารับการอบรมต้องเข้าร่วมกิจกรรม รับรองว่าสือธรรมะที่นำไปนั้นหาโอกาสดูหรือฟังได้ยากมากๆๆ
เรื่องของใช้ ส่วนใหญ่ จะให้ใช้เป็นของส่วนรวม พยามยามให้มีของส่วนตัวให้น้อยที่สุด
ยิ่งมีของส่วนตัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีภาระที่จะต้องดูแล เป็นเครื่องกังวล และเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง(คือทำให้ยึดติด ว่าของนั้นเป็นของเรา)
ตามพระธรรมวินัย แม้จีจร ที่เกินความจำเป็น ก็ยังต้องมีการทำวิกัป ถ้าจะใช้จีวรนั้นก็ต้องถอนหรือขออนุญาติก่อนใช้ (สิกขาบทที่ ๙ สุราปานวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์)
ขออนุญาติเอาวินัยสงค์บางส่วนมาให้อ่านค่ะ
๑. ภิกษุแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส
๒. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ จับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส
๓. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส
๔. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบำเรอตนด้วยการม ต้องสังฆาทิเสส
๕. ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องสังฆาทิเสส
๖. ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ จำเพาะเป็นที่
อยู่ของตน ต้องทำให้ได้ประมาณ โดยยาวเพียง ๑๒ คืบพระสุคต โดยกว้างเพียง ๗ คืบ วัน
ในรวมใน และต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก็ดี ทำให้เกินประมาณก็ดี
ต้องสังฆาทิเสส
๗. ถ้าที่อยู่ซึ่งจะสร้างขึ้นนั้น มีทายกเป็นเจ้าของ ทำให้เกินประมาณนั้นได้ แต่ต้องให้
สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ต้องสังฆาทิเสส
๘. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องสังฆาทิเสส
๙. ภิกษุโกรธเคือง แก้ลงหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส
๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรม
เพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
๑๑. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั้น ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะ
ให้ละข้อที่ประพฤตินั้นถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
๑๒. ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤติ
นั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
๑๓. ภิกษุประทุษร้ายตระกูล คือประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่เสียจากวัด กลับว่าติเตียน
สงฆ์ ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้อง
สังฆาทิเสส
สามารถอ่านได้เพิ่มเติมที่ http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=7708
หรือ 03_Pravinai.pdf 3.18MB 19 ดาวน์โหลด
ขออนุโมทนาบุญกับ นรอ.ตะวันด้วยค่ะ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#3
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 03:36 AM
และระหว่างอบรมก็พบว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านั้นเลยครับ
นี้เป็นข้อฝากจากอดีตธรรมทายาทนะครับ ส่วนพระอาจารย์ท่านจะว่าอย่างไรนั้นก็คงต้องติดตามกันต่อไป
#4 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 09:13 AM
#5
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 10:52 AM
***การเป็นพระแท้ อยู่ที่ตัวเราเท่านั้นครับ ไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลา หรือสิ่งอื่นที่อยู่นอกตัว มีผู้ที่ผ่านการบวช และเป็นพระแท้ ภายใต้กฎเกณฑ์นี้มาแล้ว หลายแสนคนครับ***
#6
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 10:56 AM
ของพวกนี้ ดาบสองคม มีดีก็มีเสีย
ดีคือ ไ้ด้ความรู้บ้าง ได้ทันโลก ได้ช่วยสร้างบารมีบ้าง (ได้บ้างถ้าใช้เป็นสำหรับพระใหม่นะคับ ซึ่งยังไม่มีภาระของพระศาสนาใดๆต้องรับผิดชอบ)
แต่เสีย คือ ทำให้หลุดได้ง่าย เช่น คอมพิวเตอร์ แรกๆก็เปิดธรรมะดีหรอกครับ ต่อมาๆ ชักหลบๆไปเปิดอย่างอื่นๆ เริ่มจากคลายเครียดบ้าง คลกบ้าง ไปๆมาๆ ก็เป็นเรื่องเป็นราว ไม่นานใจก็ตกต่ำ ท้อแท้ไม่มีกำลังใจ หวนระลึกถึงความสุขตอนเป็นฆราวาส โอ้ประโยชน์อะไรของการเป็นบรรพชิต เราจักสึก สึกคนเดียวไม่พอ ชวนคนอื่นสึกอีก
เพื่อนคนอื่นเห็นหมอนี้มีคอมได้ มีกล้องถ่ายรูปได้ มีมือถือได้ พาลอยากมีบ้างกันไปใหญ่ อบรมเป็นร้อยเป็นพันมีมือถือคนละเครื่อง
โทรหาที่บ้านโทรหาแฟนกันใหญ่ ที่บ้านบางคนไม่ได้เข้าใจวัด ตามมาให้สึกกันอีก
คิดถึงหัวอกคนอบรม พระอาจารย์ พระพี่เลี้ยงครับ แค่ว่ามาสักร้อยคน ให้มีชีวิตกลับไปครบด้วยอาการ32 ไม่ต้องได้อะไรเลยนะคับ แค่กราบพระเป็น จัดร้องเท้าได้ ล้างห้องน้ำเป็น เข้าใจเรื่องบุญได้ แค่นี้ก็พอใจแล้วครับ หลายคนหลายเรื่องมากคับ แต่ละคนมีมือถืออีกยิ่งไปกันใหญ่
แค่เรื่องอาหารได้ไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน เรื่องที่ที่พัก เสื้อผ้า ไม่เสมอกันก็มีเรื่องมีราวกันแล้ว ถ้ามีอุปกรณ์พวกนี้นะคับ ไม่ต้องอบรมกันแล้วครับ
ยังมีประเด็นอื่นๆจะตามมาจากสิ่งเหล่านี้อีกมาก ซึ่งเรื่องเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
สรุปว่า เสียมากกว่าได้ ทางโครงการอบรมจึงห้ามไว้
อบรมให้จบก่อนให้มีพื้นฐานพระธรรมวินัยพอจะประคองตัวให้ตลอดรอดฝั่งได้ก่อนครับ เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง
ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ขอพระอาจารย์พระพี่เลี้ยงดีกว่าครับ
เพื่อความปลอดภัยในเพศสมณะ เพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ เพื่อความอยู่เป็นสุขในพรหมจรรย์ และเพื่อประโยชน์ต่อการทำพระนิพพานให้แจ้ง
#7
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 12:36 PM
กฏ ระเบียบ ข้อบังคับ มีไว้เป็นสิ่งที่ดี เพื่อวางบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ซึ่ง กฏ ระเบียบ ข้อบังคับ ต้องถูกสร้างบนพื้นฐานที่มีความยุติธรรมด้วย
ท่านสามารถกล่าวได้ว่า "ข้อกำหนดที่กล่าวมา ผ่านการกลั่นกรอง จากข้อมูล ประสบการณ์กว่า 40 ปี จากธรรมทายาท รุ่นแรก จนปัจจุบัน รวมทั้งการบวชทุกๆโครงการก็ใช้กฎดังกล่าว"
ที่ท่านกล่าวมา มีส่วนที่เป็นความจริงอยู่ แล้ว ความจริงอีกส่วนหนึ่งล่ะ
ความจริงอีกส่วนหนึ่งกล่าวคือ
แม้พระธรรม คำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า ที่เผยแผ่กันมาหลายปี ก็ยังนำมาปฎิบัติ ไม่เหมือนกัน นำมาตีความไม่เหมือนกัน รวมถึง ปรับให้เข้ากับกาลเวลา ก็เฉกเช่นเดียว กับ "กฏ ระเบียบ ข้อบังคับ" ที่ทางวัดทั้งหลายสร้างขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเกิดจากสิ่งที่ทำไม่เหมือนก่อน สิ่งที่คิดไม่เหมือนเดิม แม้ "กฏ ระเบียบ ข้อบังคับ" ที่ทำสืบทอดกันมา 40 กว่าปี ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลง แล้วจะไม่ได้ผลตามที่มุ่งหมาย ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการ เพื่อให้ได้ผลใหม่ๆ
ข้าพเจ้า ขอกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า ข้าพเจ้าพูดถึงสิ่งที่ "ไม่ควร" ข้าพเจ้ายังไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ "ห้าม"
ถ้าทุกท่าน เห็นว่า "...ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพระพี่เลี่ยง" ข้าพเจ้าก็จะนำเหตุและผลที่ข้าพเจ้ามี ไปเสนอแก่พระพี่เลี้ยง ว่า
ข้าพเจ้า "มีความจำเป็นที่ต้องนำมาและใช้ "คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบกระเป๋าหิ้ว" ในระหว่างการฝึกอบรม ได้หรือไม่ อย่างไร"
ข้าพเจ้า หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้สืบทอดพระธรรมวินัย ของพระพุทธศาสนา ณ วัดพระธรรมกาย
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
#8
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 01:11 PM
ก่อนอื่นขออนุโมทนาบุญกับบุญบวชก่อนนะครับ และผมคงขอให้ข้อคิดที่ได้จากการอบรมบูชาธรรมที่เพิ่งผ่านมา ดังนี้ครับ
ประเด็นที่ถามมา
1.หนังสืออ่านเล่นหรือสื่อที่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิ
2.อาหารและของขบเคี้ยวทุกชนิด
4.กระจกเงา รูปถ่ายญาติมิตร และกล้องถ่ายรูป
3.เครื่องเล่นสื่อทุกชนิด เช่น วิทยุ, ซีดี, MP3, MP4
5.ของมีค่าและเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ เป็นต้น
6.อุปกรณ์สำหรับติดต่อสื่อสารทุกชนิด เช่น โทรศัพท์มือถือ
ในวันแรกของการฝึกอบรมสิ่งของที่นำติดตัวไป พระพี่เลี้ยงท่านก็จะให้สละหรือฝากไว้คงเหลือสิ่งของที่จำเป็นจริงๆ โดยท่านจะบอกอานิสงส์แล้วเราก็จะสละกันเองโดยสมัครใจครับ
พอถึงจุดหนึ่งก็เลยมานึก ว่าสิ่งที่สละไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่างๆทั้ง 6 ข้อ ไม่มีความจำเป็นในเพศสมณะเลย เหตุผลอื่นๆท่านก็จะทราบวันเข้าโครงการทั้งหมดครับ และยิ่งบวชนานไปยิ่งไม่มีสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็จะปฏิบัติสมาธิได้ดียิ่งๆขึ้นไป เพราะได้ตัดความกังวลทั้งสิ้นออกไปแล้ว
สุดท้าย ขอผากข้อความนี้ไว้ครับ
เราจะอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้อง
จะประคองกันไปให้ถึงฝัน
เปิดใจกว้าง ว่าอย่างไรว่าตามกัน
สำนึกมั่น มุ่งเน้นความเป็นทีม
ขอเป็นกำลังใจให้และขอให้ไปถึงเป้าหมาย ได้บวช 1 พรรษา ได้รับกฐินและเดินธุดงค์ก่อนลาสิกขานะครับ แล้วบุญบวชนี้ก็จะติดตามเราไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่มีลืมเลือน สาธุ
#9
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 01:23 PM
ขออนุโมทนาบุญในการบวชด้วยครับ
#10
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 02:45 PM
#11
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 09:24 PM
ถ้าไม่เคยลองไปฟังดู
มีท่อนนึงร้องว่า
มีผ้าแค่เพียง 3 ผืน ทั้งหลับตื่น มีแต่ความชื่นบาน
สมบัติมีแค่ อัฏฐบริขาร เลี้ยงสังขาร ด้วยอาหารสาธุชน
สมบัติของพระ มีแค่อัฏฐบริขาร อย่างอื่นไม่ใช่
ข้อนี้ไม่ใช่กฎระเบียบของวัด แต่เป็นพระธรรมวินัยเลย
หวังจะสืบทอดพระธรรมวินัย
แต่แค่เริ่มต้นก็ทำตามพระธรรมวินัยไม่ได้ซะแล้ว
และยังอ้างว่า ควรปรับเปลี่ยนแก้ไข เพื่อ?
ขอถามหน่อย มีเหตุผลอันใดที่ต้องใช้ notebook
#12
โพสต์เมื่อ 29 June 2010 - 11:33 PM
สังเกตุได้ว่าคุณตะวันจะเป็นแนวคนที่มีหลักมีการเป็นของตนเองดีนะครับ
และคุณก็มีความสนใจที่จะร่วมโครงการอุปสมบทกับทางวัดของเรา
จากประสบการณ์ของผมที่ได้บวชกับหมู่คณะมาแล้ว เรื่องโน้ตบุ๊ค มือถือ pda คงยังไม่จำเป็นนะครับ
ผมก็มาตัวเปล่ากับนาฬิกาเอาไว้ปลุกและดูเวลาเท่านั้นเองครับ
ถามว่าจะละ หรือตัด วาง สิ่งเหล่านั้นได้ไหม ตอบว่า คนโดยมากเป็นแสนๆคนมาแล้ว ที่บวชที่วัดนี้มาแล้ว ไม่มีปัญหาอันใดเลยครับ ผมเองก็เช่นกัน ยิ่งไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยก็ดีเหมือนกัน
แต่หากเราจะติดต่อธุระกับโลกภายนอก มันก็มีหนทาง ไม่ได้ยากลำบากอะไรเลยครับ
ส่วนเรื่องเผยแผ่นั้น เราควรมาเรียนรู้กับหมู่คณะอย่างถ้วยน้ำชาที่ว่างเปล่าก่อนนะครับ แล้วจะเผยแผ่พระธรรมได้อย่างเหมาะสมต่อไปครับ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ตรงนี้สำคัญนะครับ
ถึงตอนนั้นจะใช้มือถือ mobile, digital camea, pda, mp3, laptop, dvd player, etc. ก็คงจะได้แล้วครับ เพราะพระวิทยากรวัดเราก็ใช้กันทุกรูปครับ แต่ให้ถึงกาลอันสมควรก่อนนะครับ
หากคุณสนใจจริงๆ ขอเรียนเชิญมาลองอุปสมบทอยู่ก่อนครับ แล้วถ้าหากมันไม่ตรงแนวทาง หนทาง สไตล์ส่วนบุคคลของคุณ ค่อยว่ากันอีกทีก็ได้หนิครับ
ตรงนี้ผมเข้าใจ ผมเองก็ร่วมสร้างบารมีกับหมู่คณะนี้มา แต่ผมก็มีสไตล์ส่วนตัวของผม ที่อาจจะแตกต่างคนอื่นอยู่บ้างพอสมควรครับ แต่โดยรวมแล้วก็เข้ากันได้ดีกับจริตอัธยาศัยที่ผมสั่งสมมา หรือที่ผมมีแนวคิดอันเป็นตัวของตัวเองครับ
เรื่องของหมู่คณะนี่พระพุทธองค์ก็ดี คุณครูไม่ใหญ่ก็ดี ต่างก็สอนว่า ให้ว่าอย่างไร ก็ให้ว่าตามกัน มีแนวทางเดียวกันครับ
คือผมสังเกตุว่าคุณเองก็มีแนวคิด หลักการ เป็นตัวของตัวเองไม่เบานะครับ ก็ลองมาร่วมกันก่อนก็ได้นะครับ แล้วค่อยๆปรับกันอีกทีครับ
อาจจะไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง แต่ก็ให้ทัศนะที่ดีๆกับคุณตะวันนะครับ
ข้อเจรจาต่างๆ ก็รอพระคุณเจ้าเข้ามาตอบอีกที หรือคุณหิ้วโน้ตบุ๊คไปเจรจาหน้างานเลยครับ ได้ไม่ได้อย่างไร ค่อยๆว่ากันไปครับ ถึงที่สุดแล้ว จะเข้ากับจริตอัธยาศัยและทัศนะส่วนตัวของคุณตะวันหรือไม่ ก็จะเป็นเช่นนั้นเองครับ
ไม่แน่อาจจะราบรื่นจนคุณสามารถเป็นกำลังสำคัญที่มีไฟแรงของหมู่คณะเราอีกท่านหนึ่งก็ได้ครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#13
โพสต์เมื่อ 30 June 2010 - 12:33 AM
ในฐานะที่เคยบวช ธทย.มานะครับ
อยากจะเสริมหรือแนะนำ อะไรนิดหน่อยเผื่อเป็นประโยชน์กับท่านนะครับ
ทางวัดต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ผู้ที่มาบวชเป็นพระใหม่นั้น
-ยังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่
**มนุษย์มีข้อดีหลายๆอย่างเลยครับ เช่น ฝึกตนได้ ทำความดีได้ มีความละอายต่อบาป
เพราะฉะนั้น การมีความเป็นมนุษย์นี่ ถือว่ามีบุญอย่างยิ่งเลยครับ
-ยังคงไม่สามารถลดละกิเลส ตัณหา ราคะ ได้ในทันที่ทันใด
**ตอนผมบวช พระอาจารย์(พอจ.) และพระพี่เลี้ยง (พพล.) ท่านจะมีกิจกรรมให้เราได้ฝึกตนตลอดเวลาเลยครับ
จนไม่มีเวลาจะไปคิดถึง ตัณหา ราคะ อะไรได้เลย (แค่กิจกรรมประจำวัน เวลายังไม่ค่อยจะพอเลยครับ)
แล้วก็เวลาเราอยู่ร่วมกันมากๆมันจะมีสิ่งหนึ่งครับที่จะควบคุมตัวของเราเองโดยอัตโนมัติ
คือ สิ่งที่เรียกว่า "การอยู่ร่วมกันครับ" ในนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร เพื่อนๆสหธรรมมิกจะเป็นเหมือนกระจกสะท้อนพฤติกรรมครับ
เราทำสิ่งใดกับเค้า เราก็จะได้สิ่งนั้นกลับมาครับ ทุกคนก็อยากได้สิ่งดีๆกลับมาหาตัวทั้งนั้นแหละครับ
-ถ้าตั้งสายตึงเกินไป สายก็ขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงก็ไม่ไพเราะ เพราะฉะนั้น ควรเดินทางสายกลาง
**ผมว่าที่วัดทำนี่ก็กลางสุดๆแล้วครับ เพราะว่า เรามาจากทุกสารทิศ นิสัย ฐานะ ความรู้ อะไรต่างๆย่อมไม่เหมือนกัน
ความแตกต่าง นำมาซึ่งความแตกแยก วัดเลยต้องออกกฏมาเพื่อทำให้ความแตกต่างนั้น เหลือน้อยที่สุดครับ
เพราะฉะนั้น สิ่งของที่ใช้ที่มีก็จะเหมือนๆกัน ไม่ต้องห่วงครับ ทุกคนที่เข้าอบรม จะได้ของทุกอย่างเหมือนกันแล้วได้ทุกคนครับ
ทำไมต้องทำแบบนี้ บางที่ก็มีของใช้ส่วนตัวบ้าง
**ก็ต้องบอกว่า ถ้าเรามีสิ่งหนึ่ง ที่เรามีคนเดียว คนอื่นไม่มีใครมีเลย
จะเป็นข้ออ้างได้ว่า "ผมไม่มี ทำไมคนนั้นถึงมีได้" "คนนั้นก็มี ผมก็มีได้มั่งสิ"
แล้วจะเป็นอย่างไรหล่ะครับ ความต้องการของแต่ละคน 108 พันประการ
พอจ. พพล.ยังไงก็ทำตามความต้องการของทุกคนไม่ได้หรอกครับ
ผมถึงได้บอกว่า ที่วัดทำนี่ก็กลางของกลางแล้วครับ
-การที่จะทำให้พระใหม่เป็นพระแท้ นั้น ไม่ได้เกิดใน 1 พรรษา ต้องเจียรไน เพชร(พระใหม่) อย่างค่อยเป็นค่อยไป
**กิเลสของคนเราก็เหมือนหญ้าแหละครับ ถ้าเรามัวแต่ถอนหญ้าวันละใบ สองใบ
แล้ววันใหนหญ้ามันถึงจะหมดไปจากสนามครับ
การฝึกตนของทางวัดจึงต้องทำแบบเข้มข้น เคร่งครัด แต่ไม่เคร่งเครียดครับ
ส่วนข้างล่างนี่
1. จัดห้องสื่อสารสำหรับพระใหม่ ที่มีทั้ง Internet โทรศัพท์ ไปรษณีย์ ไว้ให้ใช้บริการ
**มีให้แน่นอนครับ แต่ต้องใช้เป็นเวลา และใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
นี่ก็เป็นการฝึกครับ เราจะได้คิดให้รอบครอบว่า ถ้าเราจะใช้
ต้องจำเป็นจริงๆเท่านั้น และเมื่อจะใช้ จะต้องทำอะไรบ้าง
เพราะการใช้แต่ละครั้งจะมีกำหนดเวลาครับ
2. ถ้าคณะกรรการตรวจเจอของที่ไม่ควรนำมาและพระใหม่ผู้นั้นจำเป็นต้องใช้ ก็ควรมีหน่วยงานเก็บของที่ไม่ควรนำมา แล้วเปิดโอกาสให้พระใหม่ผู้เป็นเจ้าของสิ่งนั้น ได้เข้าไปดู ไปใช้ ในวันและเวลาว่าง
**ในเมื่อมันเป็นของที่ไม่ควรนำมา มันจึงเป็นของที่ไม่ควรมีครับ
ยกตัวอย่างโทรศัพท์ "ผมจำเบอร์ไม่ได้ เบอร์มันอยู่ในมือถือ"
ไม่ต้องกังวลครับ ทางโครงการจะมีแจกบัตรจดเบอร์โทรศัพท์ที่สำคัญๆเท่านั้น
เพราะจดได้แค่ไม่กี่เบอร์
3. เขียนข้อความ และอธิบาย ถึง "สิ่งของที่ไม่ควรนำมาในการอบรม" ให้ชัดเจนและไม่คลุมเครือ
**สิ่งที่ไม่ควรนำมา
1.เป็นสิ่งที่อันตรายต่อพรหมจรรย์ เช่น รูปแฟน หนังสืออย่างว่า เป็นต้น
2.เป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง เช่น อาวุธ ของมีคม เป็นต้น
3.เป็นสิ่งที่เพิ่มความกังวลในจิตใจ เช่น
โทรศัพท์ (เอ่...คนที่บ้านจะเป็นยังไงมั่งนะ โทรหาดีกว่า)
MP3 (ข่าวบ้านเมืองจะเป็นยังไงมั่ง เปิดวิทยุฟังดีกว่า)
นาฬิกาปลุก -ไม่ต้องมีหรอกครับ มีเสียงปลุกของหลวงพ่อทัตตะ ใครไม่ตื่นนี่ ปรึกษาหมอได้เลยครับ confirm
ส่วนธรรมะต่างๆแค่ในโครงการก็ ฟัง/อ่าน ไม่หมดแล้วครับ
อาจจะเป็นคำแนะนำที่ไม่ได้ดีเด่นอะไร เหมือนของพี่ๆข้างบน แต่
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
สุดท้ายก็ต้อง ขออนุโมทาบุญบวชกับท่านด้วยนะครับ สาธุๆ
ขอฝากคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ด้วยนะครับ
"ใครก็ตามที่บวชเข้ามาครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว
มีความคิดอยากเป็นพระ เณรที่แท้จริง หลวงพ่อถือว่า
เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่กว่าความคิดที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่ครองโลกเสียอีก"
๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
#14
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 01:43 PM
#15
โพสต์เมื่อ 01 July 2010 - 07:34 PM
Sadhu.gif 22.04K 0 ดาวน์โหลด
อนุโมทนา คำตอบจากกัลาณมิตร ทุกท่านด้วยครับ Sadhu.gif 22.04K 0 ดาวน์โหลด
ขอชมว่า เจ้าของกระทู้เก็บรายละเอียดได้ดี ครับ
จากข้อมูล คำถาม การต่อรองความยืดหยุ่นของกฎ กติกาที่เจ้าของกระทู้บอกไว้
ผมคิดว่าถ้าลดทัศนคติ เอาตนเองศูนย์กลางของทุกอย่าง ก็ดีนะครับ
เพื่อความเจริญในกุศลจิต กุศลธรรมของตนเอง
ไม่งั้น เมื่อบวชพระแล้ว อาจเผลอตั้งข้อสงสัย ติเตียนธรรมวินัย ที่พุทธองค์ทรงบัญญัติ เพราะ
จับผิด กฎ กติกา พระอาจารย์ พระพี่เลี้ยง เพื่อนสหธรรมมิก สาธุชน และสิ่งแวดล้อมในวัด
ตารางเวลาในแต่ละวัน วิธีการบริหาร การจัดการโครงการบวชพระ ข้อวัตรปฏิบัติของหมู่คณะที่เข้าอยู่ร่วม เอาได้
ว่า มีข้อบกพร่องอย่างนั้น อย่างนี้ ควรอย่างนั้น เพราะนี้ จะดีกว่า ฯล
ผมคิดว่า
โครงการอบรมศีลธรรม ผ่านโครงการอุปสมบทหมู่ ของวัดพระธรรมกาย
ยืดหยุ่น พอเหมาะพอสมกับคนเมือง แบบเจ้าของกระทู้แล้วครับ
แต่ต้องเข้าอยู่ร่วม จึงจะเข้าใจครับ
เพราะบางวัด ฉันภัตตาหาร มื้อเดียว นอนบนหมอนไม้ ตื่นตี สาม เดินจงกรมนานหลายชั่วโมง
มีช่วงงดการพูดคุย เพื่อให้อยู่กับจิตตนเองจริง ๆ
คุณ ชอบไหมครับ
ถ้าชอบ คุณอาจเหมาะกับ การบวชพระที่วัดอื่น ๆ มากกว่า โครงการบวชพระ ของวัดพระธรรมกาย นะครับ
ถ้าเจ้าของกระทู้บวชพระ เพื่อการศึกษาธรรมและมุ่งขัดเกลาตนเอง ให้ดีขึ้น
การบวชพระทุกวัด ล้วนดีทั้งนั้น ครับ
เพราะ อาศัยธรรมวินัย เดียวกัน
ต่างกันบ้างเพียง กฎระเบียบย่อย กติกา ข้อวัตรปฏิบัติ เฉพาะด้านของวัดหนั้น ๆ บ้าง
เช่น
ฉันภัตตาหาร มื้อเดียว นอนบนหมอนไม้ ทำจีวรกันเอง
อย่างไรก็ตาม กฏระเบียบ กติกา ที่แต่ละวัด แต่ละโครงการอบรมศีลธรรม กำหนดขึ้นมานั้น
วัตถุประสงค์หลัก ก็เพื่อประโยชน์สุขของการอยู่รวมกันของคนหมู่มาก และการขัดเกลาของแต่ละคนที่อยู่ในหมู่คณะ
คล้ายวัตถุประสงค์ในการบัญญัติวินัยของพุทธองค์
ดังนั้นอย่าเคร่งเครียด หรือย่อท้อกับการรักษาศีลของพระ รวมถึงกฏระเบีบย กติกาย่อยของวัดนั้น ๆ เลยครับ
ถ้าเจ้าของกระทู้ สามารถฝึกฝนตนเอง ให้เป็น สมณะ พระแท้ สุปฏิปันโน
ก็จะได้ความเจริญในกุศลธรรม ทั้งตนเอง บุพการี ญาติ มิตร ผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนและอนุโมทนา ทั้งในโลกนี้ โลกหน้า
รวมถึงประโยชน์สุของสังมณฑล นะครับ
ถ้าความคิดเห็นส่วนตัวของผม ที่มาจากความปรารถนาดี
ทำให้เจ้าของกระทู้ไม่สบายใจ ต้องขออภัยทาน มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ได้อะไรจากการบวช
http://dmc.tv/forum/...?showtopic=3086
วัตถุประสงค์ในการบัญญัติวินัย 10
http://84000.org/tip..._item.php?i=327
#16
โพสต์เมื่อ 06 July 2010 - 06:38 AM
ความจำเป็นที่ผมต้องใช้ "notebook"
- เพื่อติดตามข่าวสาร
- เพื่อแสดงความคิดเห็น
- เพื่อเพิ่มพูนความรู้ มุมมอง
- เพื่อติดต่อสื่อสาร
คำว่า "ทีม" ไม่ได้แปลว่า บุคคลในทีมจะแตกต่าง โต้แย้ง ไม่ได้ การที่แตกต่าง และโต้แย้ง แบบมีเหตุผล ไม่ใช้ความรุนแรง แล้วเดินไปข้างหน้า นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า "ทีมเวิร์ค"
ความแตกต่าง ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกแยก การยอมรับในความแตกต่าง เป็นคุณสมบัติหนึ่ง ของประชาธิปไตย
ครับ ผมค่อนข้างเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะเรื่อง ที่ "ไม่ยุติธรรม" ต่อบุคคลคนหนึ่ง อีกบุคคลคนหนึ่ง และอีกหลายบุคคล
ผมพร้อมที่จะบวชได้ทุกวัด เพราะผมไปเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า เพียงแต่ที่วัดพระธรรมกาย ไม่เสียค่าใช้จ่ายเท่านั้นเอง(จริงๆก็มีค่าแผ่นCDขานนาค 20 บาทนะ)
ผมทดสอบตนเองก่อน 4 เดือน ถ้า "ดี" ผมอาจบวชไปเรื่อยๆ
ด้วยความเคารพและนับถือ
#17
โพสต์เมื่อ 06 July 2010 - 07:31 PM
บวชเข้าโครงการแล้วอย่าลืมแวะมาทักทายกัน ที่บูธ dmc.tv เสา E6 นะค่ะ ไม่แน่ท่านอาจจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเวปของเราำก็ได้ สาธุค่ะ
#18
โพสต์เมื่อ 07 July 2010 - 10:23 AM
ทำให้เป็นภาระ ซึ่งในตอนหลัง เราสามารถขอให้ญาติเอามาให้ก็ได้ มันจะมีช่วงได้ใช้ของพวกนั้นอยู่
ทำตัวแบบ อะไรก็ได้ ว่าง่าย จะดีที่สุด ผู้ใหญ่รัก
#19
โพสต์เมื่อ 07 July 2010 - 02:09 PM
#20
โพสต์เมื่อ 09 July 2010 - 07:18 AM
- เพื่อติดตามข่าวสาร
- เพื่อแสดงความคิดเห็น
- เพื่อเพิ่มพูนความรู้ มุมมอง
- เพื่อติดต่อสื่อสาร
- เพื่อติดตามข่าวสาร
**การบวชก็คือการเปลี่ยนเพศภาวะ จากฆารวาส เป็น พระภิกษุ
มันก็เหมือนการตาย แล้วเกิดใหม่ในอีกเพศนั่นแหละครับ
เพราะฉะนั้น จะศึกษา ถ้าจะติดตามข่าวสารทางโลกมันก็ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่
แต่ถ้าเป็นการติดตามข่าวสารทางธรรมแล้วหล่ะก็ DMC มีพร้อมเลยหล่ะครับ (ช่วง DMC news)
- เพื่อแสดงความคิดเห็น
** การที่เราบวชเป็นพระแล้วยังเข้าเว็บบอร์ดไปแสดงความคิดเห็นต่างๆ
ซึ่งคนทั่วไปไม่รู้ว่าเราเป็นพระนั้น มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการ "ปรามาส" กัน
แล้วโยมคนนั้นก็จะติดวิบากกรรมไปหน่ะครับ
- เพื่อเพิ่มพูนความรู้ มุมมอง
**แค่คุยกับเพื่อนๆสหธรรมมิก โลกทัศเราก็เปิดกว้างมากๆแล้วครับ
บางอย่างเรารู้แต่เขาไม่รุ้ บางอย่างเขารู้แต่เราไม่รู้
เรากับเพื่อนๆก็จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน
(ตอนผมบวชยังมีโอกาสได้คุยแค่ไม่กี่คนเองครับ )
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยวดก็คือพระอาจารย์ ความรู้ที่ได้จากท่านมานั้นมากมายมหาศาลจริงๆครับ
- เพื่อติดต่อสื่อสาร
** อย่างที่บอกไว้คอมเม้นข้างบนครับ
ผมเห็น จขกท.สนใจแบบนี้แล้วดีใจจังเลยครับ
ขอให้บวชเป็นอายุของพระพุทธศาสนาไปตราบนานเท่านานเลยนะครับ......สาธุ
#21
โพสต์เมื่อ 15 July 2010 - 07:21 AM