promote พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
#1
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 07:49 PM
ขอท่านผู้รู็โปรดตอบคำถามต่อไปนี้
หลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพาน ยังมีพระอัครสาวกและอรหันต์สาวกที่มีพระชนม์ชีพอยู่เช่นพระอานนท์ พระมหากัสสปะเถระและพระอรหันต์อื่นอีกหลายองค์ ที่ยังเผยแผ่พระธรรม เหตุใดจึงไม่ปรากฎหลักฐานการสร้างรูปหล่อของพระอรหันต์จำนวนมากเหล่านี้ในปริมาณมากๆเลย (เช่นรูปหล่อพระอานนท์ขนาดใหญ่ 1000 องค์) ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วนมีอานุภาพมาก แล้วทำไมพระอรหันต์เหล่านี้จึงไม่สร้างอาณาจักรธรรมของท่านเองตามแว่นแคว้นต่างๆด้วยการอนุญาตให้สร้างรูปหล่อตัวท่านเองหรือสิ่งปลูกสร้างที่แสดงว่าเป็นอาณาจักรของตนเองตามที่ผู้มีจิตศรัทธาเคารพท่าน เช่น อาณาจักรธรรมพระกัสสปะ อาณาจักรธรรมพระอานนท์ตามแว่นแคว้นต่างๆ ให้ปรากฎหลากหลาย ขจรขจายทั่วสากล ให้เป็นที่รับทราบและประจักษ์จนถึงปัจจุบัน หาเป็นเช่นนั้นไม่ ท่านอริยสงฆ์เหล่านี้ยังคงยกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด สูงกว่าตนเอง ท่านจึงไม่ยกตนเองเข้าเปรียบเทียบหรือตีเสมอ ไม่สร้างอาณาจักรของตนเองเสมือนเป็นผู้ตรัสรู้ล้ำเลิศดั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมคนปัจจุบันไม่สร้างรูปหล่อพระพุทธเจ้าแทนละครับ ไม่ดีกว่าเหรอครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุดแล้ว พระสงฆ์มีหน้าที่สำคัญคือเผยแผ่ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ซึ่งเป็นครูของมนุษย์และเทวดา เหตุใดพุทธศาสนิกชนบางกลุ่งถึงไม่ ช่วยกัน Promote พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ขจรขจายมากกว่านี้ล่ะครับ แม้นยามปรินิพานของพระอัครสาวกก็ทรงรำพึงถึงพระพุทธเจ้าหรือพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้ากล่าวโดยรวมจากอดีตถึงปัจจุบัน ในอดีตก็มีหลวงปู่ต่างๆ มากมายที่มีชื่อเสียง แล้วผู้ศรัทธาก็สร้างรูปหล่อสร้างเหรียญสร้างต่างๆมากมายเพื่อบูชาและระลึกถึง เมื่อเข้าสู่อีกยุคหนึ่งก็เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แล้วผู้ศรัทธาก็สร้างรูปหล่อสร้างเหรียญสร้างต่างๆมากมายเพื่อบูชาและระลึกถึงอีก แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปไหนครับ เป็นเพียงพุทธประวัติให้ศึกษาเและสาธุเและระลึกถึงเท่านั้นหรือ แล้วพระธรรมที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้ใครที่ผู้ค้นพบคนแรก มิใช่พระพุทธเจ้าหรือ การค้นพบสัจธรรมของพระสงฆ์ในรุ่นหลังๆ เป็นเพียงส่วนหนึ่งพี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้คันพบมาแล้วและรู้แจ้งแทงตลอดยิ่งกว่าใครๆ ผมขอเชิญชวนให้ promote พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มากขึ้นมากกว่านี้กันบ้างเถิดครับ สาธุ สาธุ สาธุ
จากผู้ไม่รู้ประสา
#2
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 08:38 PM
ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ สาธุ สาธุ สาธุ
#3
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 09:34 PM
- เห็นด้วยนะคะที่จะให้มีการหล่อรูปเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากๆ แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจคำถามนะคะว่าหมายถึงอย่างไร เพราะโดยส่วนตัวก็เห็นมีการหล่อรูปเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่มากมาย
- นับเฉพาะเท่าที่เห็น ก็อย่างเช่นที่วัดพระธรรมกายเองก็มีการหล่อรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประดิษฐานในมหาธรรมกายเจดีย์นับแสนองค์ทุกปี บางปีก็หล่อถึงสามแสนองค์
- หรือล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนทีผ่านมา ก็เพิ่งหล่อพระธรรมกายนับแสนองค์ พร้อมกับหล่อพระประธานถึง 223 องค์เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดต่างๆ ในประเทศศรีลังกา จำนวน 222 องค์ และอัญเชิญไปประดิษฐานที่ประเทศมองโกเลีย 1 องค์ ตามที่ประเทศศรีลังกาและมองโกเลียขอมา เพื่อเป็นการรักษาสัมพันธ์ชาวพุทธ เนื่องจากศรีลังกาเคยเป็นผู้นำพุทธศาสนามาเผยแผ่ยังประเทศไทย ส่วนประเทศมองโกเลียก็เคยเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากยุคหนึ่ง
ส่วนที่ถามว่าในอดีตก็มีหลวงปู่ต่างๆ มากมายที่มีชื่อเสียง แล้วผู้ศรัทธาก็สร้างรูปหล่อสร้างเหรียญสร้างต่างๆมากมายเพื่อบูชาและระลึกถึง เมื่อเข้าสู่อีกยุคหนึ่งก็เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แล้วผู้ศรัทธาก็สร้างรูปหล่อสร้างเหรียญสร้างต่างๆมากมายเพื่อบูชาและระลึกถึงอีก แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปไหนครับ
- ตามความเห็นส่วนตัวนะคะ คิดว่าผู้สร้างก็สร้างด้วยศรัทธาในพระสุปฏิปัณโณท่านนั้นๆ เพื่อระลึกถึงคุณความดีของท่านที่ช่วยสอนให้ได้เข้าใจธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นมีพระสุปฏิปัณโณท่านใดเป็นครูผู้ถ่ายทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก่ตน ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ผิดนะคะหากว่าลูกศิษย์จะกตัญญูรู้คุณครูบาอาจารย์ และแสดงกตเวทิตาตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์
- แม้แต่ในทางโลก ก็ยังมีการหล่อรูปปี้นคุณพ่อคุณแม่ของตน หรือครูบาอาจารย์ หรือบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ ไว้เป็นที่ระลึกถึงและเคารพบูชาก็ยังมีใช่ไหมคะ แล้วยิ่งหากเป็นพ่อแม่ทางธรรมที่ช่วยปิดอบายเปิดหนทางสวรรค์ให้ด้วยการสั่งสอนไห้ได้รู้ได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็น่าจะสมควรที่จะกระทำได้ จริงไหมคะ
- หากจะถามว่าการหล่อรูปพระสุปฏิปัณโณดังกล่าว ถือเป็นการลืมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า โดยส่วนตัวมองว่า ไม่ใช่นะคะ เปรียบเสมือนกรณีพระสารีบุตรที่แสดงความเคารพพระอัสสชิด้วยการนอนหันศีรษะไปทางทิศทีพระอัสสชิอยู่ จะถือว่าพระสารีบุตรลืมพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่คะที่หันศีรษะไปทางพระอัสสชิแทนที่จะหันศีรษะไปทางพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตอบได้อย่างมั่นใจว่า พระอรหันต์ผู้หมดกิเลส ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่เป็นเช่นนั้นแน่ แต่ท่านทำเช่นนั้นเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อครูบาอาจารย์ที่นำท่านมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะหากไม่มีพระอัสสชิ ท่านก็คงไม่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งความกตัญญูกตเวทีก็เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญอย่างยิ่ง การหล่อรูปเหมือนเพื่อแสดงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ผู้สอนให้ได้รู้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็น่าจะมองได้โดยนัยเดียวกันนะคะ เพียงแต่ต่างกันที่วิธีแสดงความกตเวทิตาน่ะค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 09:36 PM
เรื่องอาณาจักรแห่งธรรมของพระอรหันต์ ผมอยากให้คุณลองสังเกตเรื่องราวจากพระไตรปิฎกสักเล็กน้อยครับ พระอรหันต์ระดับมหาสาวกหลายองค์ท่านก็มีพระภิกษุในสำนักของท่านเอง ทั้งนี้เพราะได้สั่งสมบุญบารมีมาร่วมกัน แม้บรรลุธรรมแล้วก็ยังอยู่กันเป็นสมาคม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือพระมหากัสสปะ หากถามว่าในยามที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานท่านทำอะไรอยู่ ก็ต้องตอบว่าท่านดำเนินตามปฏิปทาของท่านที่สั่งสมมาแต่อดีตพร้อมกับพระภิกษุบริวารในสำนักของท่านเอง คือออกธุดงค์เรื่อยไป ในกรณีอื่นๆ อย่างเช่นพระสารีบุตร ท่านก็มีภิกษุสหายบริวารในสำนักของท่านที่ล้วนเป็นผู้มีปัญญามาก พระมหาโมคคัลลานะก็เช่นเดียวกัน หรือพระอรหันต์องค์อื่นๆ เมื่อได้อ่านพระไตรปิฎก ผมก็พบว่า มีภิกษุอยู่ในสำนักของตนห้าร้อยรูปบ้าง ลักษณะเดียวกันนี้กระจายกันอยู่ทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านสั่งสมบุญมาด้วยกันในอดีตครับ เมื่อมาพบกันอีก ก็ย่อมสมาคมกันได้ด้วยความคุ้นเคย แต่ทุกรูปก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดาเหมือนๆกัน
สรุปแล้วในเรื่องอาณาจักรแห่งธรรม ผมอยากให้มองง่ายๆครับ ว่าหมู่คณะนี้สร้างบุญร่วมกันมา เมื่อได้มาพบเจอกันอีกในภพชาติใหม่ ก็สร้างบารมีร่วมกันต่อไป เช่นเดียวกับพระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งท่านก็มีบริษัทบริวารของท่านเหมือนกัน เมื่อถึงคราวบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลเหล่านี้ก็จะกลายเป็นพุทธบริษัททั้งสี่ของท่านนั่นเอง หากถามว่าผิดไหมที่ไม่ยอมอธิษฐานบรรลุธรรมในศาสนาของพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องตอบว่าไม่ผิดอะไรครับ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านก็มีสายบุญของท่านมาอย่างนี้ ยกเว้นแต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ไม่ต้องสอนใคร รู้ได้เฉพาะตน
สำหรับเรื่องรูปเหมือนของพระภิกษุสงฆ์ที่เคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์นั้น ผมขอยกตัวอย่างของพระสารีบุตร ซึ่งแม้ท่านจะเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านก็ยังมีพระอัสสชิเป็นพระอาจารย์อีกรูป ทั้งนี้เพราะพระอัสสชิได้เกื้อกูลท่านด้วยธรรมะจนท่านบรรลุเป็นพระโสดาบันก่อนที่จะมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรมีความกตัญญูมาก เวลานอนท่านจะต้องหันศรีษะไปทางทิศที่พระอัสสชิอยู่ทุกครั้งไป
ในทำนองเดียวกันครับ พุทธศาสนิกชนจำนวนมากก็นับถือพระภิกษุผู้มีคุณประดุจครูบาอาจารย์ ซึ่งทุ่มเทเสียสละสั่งสอนศิษย์และเป็นต้นแบบที่ดีงามให้ แม้ในยามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานนานไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราลืมพระพุทธเจ้านะครับ อย่างเช่นที่วัดพระธรรมกาย ก็มีมหาธรรมกายเจดีย์เป็นหลัก เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปหนึ่งล้านองค์ และในโดมของมหาธรรมกายเจดีย์ก็มีพระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ประทับอยู่ภายในเป็นประธาน ซึ่งทุกครั้งที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาหลักๆแล้วก็จะประกอบพิธี ณ ลานธรรม และมหารัตนวิหารคดโดยรอบมหาธรรมกายเจดีย์ครับ ส่วนมหาวิหารที่ประดิษฐานรูปหล่อของพระมงคลเทพมุนี้นั้นก็เป็นการแสดงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ สมดังพุทธพจน์ที่ว่า "บูชาบุคคลผู้ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุด" ครับ
#5
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 09:48 PM
เอหิปัสสิโก.. ขอเชิญท่านมาพิสูจน์ด้วยตัวเองเถิด..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#6
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 10:31 PM
1. รู้ได้อย่างไรว่าสมัยเมื่อพันกว่าปีก่อน หรือ หลังพุทธปรินิพพาน จะไม่มีการสร้างรูปเคารพ หรือ รูปหล่อของพระสาวกผู้ใหญ่บางรูป
2. สมมติถ้ามี แล้วบังเอิญกาลเวลาผ่านไปนับพันปี หลักฐานเหล่านั้นกลับเสื่อมสลายไปตามกาล แล้วเราไปสรุปว่าสมัยก่อนไม่มีรูปเคารพของท่านเหล่านั้น อย่างนี้จะเป็นการด่วนสรุปไปหรือไม่
3. สมมติถ้าสมัยหลังพุทธปรินิพพาน สมัยนั้นไม่มีคตินิยมในการสร้างรูปเคารพของบุคคลธรรมดา ยกเว้นผู้ที่เป็นพระศาสดา แต่สำหรับพระสาวกนั้น อาจจะมีรูปเคารพในลักษณะอื่นแทน เช่น รูปวาด รูปในคัมภีร์ หรือชื่อที่จารึกในศิลา (ยกตัวอย่างเช่น สมัยที่ยังไม่มีพระพุทธรูป ก็จะมีแต่รูปแกะสลักกงล้อธรรมจักรและกวางหมอบ) แล้วอย่างนี้ถือว่าเป็นการสร้างสิ่งแทนตัวพระสาวกในสมัยนั้นได้หรือไม่ เพราะประเด็นมันอยู่ที่ว่า เรากำลังเอาความคิดของคนยุคนี้ ไปประเมิณคนยุคอดีต ซึ่งมันอาจจะเหมือน หรือไม่เหมือนกันก็ได้
4. อาจจะสงสัยว่า ถ้าสมัยก่อนไม่มีการสร้างรูปเคารพ เพราะพระสาวกท่านห้ามสร้างเป็นเรื่องจริง แต่สมัยนี้กลับสร้างรูปเคารพของพระในยุคหลัง ถามว่าเป็นเรื่องที่ผิดไหม ก็ต้องตอบว่า ต้องดูว่าสร้างเพื่ออะไร ถ้าสร้างเพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณ และคุณธรรมของท่าน และเตือนให้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านเหล่านั้น ล้วนเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ แต่ถ้าสร้างเพื่อให้หลงงมงาย อันนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร
5. ส่วนพระพุทธรูปนั้น ผมว่ามีการสร้างมาก่อนอย่างมากมายมหาศาลแล้วล่ะครับ ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยล่ะ และที่เห็นชัดๆ เลยคือคุณครูไม่ใหญ่ ท่านประกาศคุณของพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง และชักชวนให้นักเรียนทุกคนน้อมรำลึกและซาบซึ้งในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น นิทานชาดก ทศชาติชาดก หรือ เรื่องราวต่างๆ ในสมัยพุทธกาล เป็นต้น
#7
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 11:12 PM
1. "เหตุใดจึงไม่ปรากฎหลักฐานการสร้างรูปหล่อของพระอรหันต์"
การหล่อหรือทำรูปเหมื่อนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ ไม่เป็นที่นิยมในสมัย และหลังสมัย
พุทธกาลครับ มาเริ่มเมื่อสมัยกรีกมีอิทธิฺพลในอินเดียครับ (ซักพันกว่าปีหลังพุทธปรินิพพาน)
การที่จะหล่อรูปท่านก็เพราะเราสำนึกรู้คุณท่านน๊ะครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นบุคคลที่ควรบูชาอย่างไม่มีข้อ
สงสัยครับ ถามท่านครับว่าทำไม่? ท่านมีคุณอย่างไร? (ขอคำตอบน๊ะครับ ) หากทราบคำตอบแล้วก็ลองคิดดู
ครับว่าทำไมจึงจำเป็นต้องหล่อรูปเหมือนท่าน
ตัวเราเองแต่ก่อนก็เป็นชาวพุทธแบบทั่วๆ ไปที่ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบรู้หมด(คิดไปเอง)แต่อดไม่ได้ ต่อมาเมื่อ
ได้ฟังคำสอนของพุทธบุตรของพระศาสดาทาง DMC ทำให้มีกำลังใจที่จะเป็นพุทธศาสนิกที่ถูกต้องคิดว่าต้องปิด
อบายไปสวรรค์ และมุ่งตรงในเส้นทางพระนิพพาน แล้วอย่างนี้ผมต้องเชิดชูบูชาท่านหรือเปล่าครับ ท่านเองก็เชิด
ชูบูชาอาจารย์ท่าน อาจารย์ท่านก็เชิดชูบูชาอาจารย์ท่าน และอาจารย์ท่านก็๋เชิดชูพระสัมาสัมพุทธเจ้า เราทั้งหมดก็
เชิดชูบูชาพระสัมาสัมพุทธเจ้า
สมมุติน็ะครับ แต่จะไม่เหมือนซ๊ะทีเดียว สมมุติอาจารย์ได้สอนวิชากลศาตร์แล้วได้นำวิชานี้ไปออกแบบ
สร้างเครื่องและทำการค้าจนล่ำรวย เราจะนึกถึงคุณของอาจารย์ผู้นี้หรือไม่ครับ แน่นอนเราจะต้องตอบว่าผม
ต้องสำนึกในบุญคุณท่าน ซึ่งผมก็มีข้อท้วงติงว่า " อ่าว! แล้วลืมนึกถึง Newton ผู้ให้กำเนิดวิชากลศาตร์ไปได้
อย่างไร! "
เรื่่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะนำท่านมาเปรียบเทียบกัน ท่านเหล่านั้นเป็นบุคคลที่ควรบูชาทั้งสิ้น ไม่ใช่มาบอก
ว่าคุณปู่สำคัญกว่าคุณพ่อเพราะเป็นพ่อของพ่อเรา หรือคุณพ่อสำคัญกว่าคุณปู่เพราะเป็นผู้ให้กำเินดเราโดยตรง นี่
ยังไม่รวมคุณแม่คุณย่าคุณยาย ภรรยา สามี บุตร ธิดา ไปโน้น
2." แล้วทำไมพระอรหันต์เหล่านี้จึงไม่สร้างอาณาจักรธรรมของท่านเองตามแว่นแคว้นต่าง "
หากเคยศึกษาพระปัจเจกพุทธเจ้าจะทราบว่า ท่่านเสด็จดำเนินไปของท่านองค์เดียว ท่านไม่รื้อสัตว์ขน
สัตว์ ท่านไม่สร้างอานาจักรธรรมของท่าน(ตามที่ usr24924 อ้าง) ท่านต้องสร้างบารมีไม่ต่ำกว่า 2 อสงไขกับ
อีกแสนมหากัป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ตลอดระยะเวลาการสร้างบารมีก็ชักชวนให้หมู่สัตว์
ใด้ทำความดีสร้างบารมี เพื่อวันข้างหน้าเมื่อบารมีเต็มเปี่ยมก็จะได้ทำอาสวกิเลสให้หมดไปได้ ซึ่งบางส่วนก็มาเป็น
พระอรหันต์ในพุทธันดรนี้ โดยเฉพาะ 4 อสงไขกับแสนมหากัป หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมา
สัมพุทธเจ้าแล้ว
ทุกยุคทุกสมัย ก็จะมีพระโพธิสัตว์อุบัติมาพร้อมกับวงบุญของท่านเพื่อมาบำเพ็ญบารมีและชักชวนหมู่สัตว์ใด้ทำความ
ดีสร้างบารมีเพื่อการตรัสรู้ธรรมในอนาคตครับ ขึ้นอยู่กับว่าวงใหนเล็กใหญ่อย่างไร แต่อย่างไรทุกวงก็เพื่อ
อนุเคราะห์เหล่าสัตว์ผู้อาภัพซึ่งอาจจะเดินหลงทาง หลุดจากเส้นทางแห่งพระนิพพานไปได้ตลอดเวลา
อยากให้ท่านได้ใช้เวลาศึกษาหมู่คณะเราให้ถ้วนถี่ก่อนครับ เคยศึกษาพระไตรปิฏกบ้างใช่ไหมครับ ลองศึกษาดูนะ
ครับว่าการปราถนาพระโพธิญาณนั้นต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพันมากี่แสน-อสงไขชาติ กี่กัปครับ จะกล่าวอะไรกับแค่
ทรัพย์ซึ่งเป็นของนอกกาย
3. " เหตุใดพุทธศาสนิกชนบางกลุ่งถึงไม่ ช่วยกัน Promote พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ขจรขจายมากกว่านี้ล่ะครับ "
ที่วัดได้สถาปนาพระธรรมกายเจดีย์และประดิฐสถานพระพุทธรูปถึง 1,000,000 องค์ เพื่อให้คงอยู่ไปอีกไม่ต่ำกว่า
1000 ปี อย่างนี้ยังว่าไม่ Promote หรือครับ ตอนนี้น่าจะยังขาดอีก ~2 - 300,000 องค์(ไม่แน่ใจ) เรามาช่วยกัน
Promote(ทำเองและชักชวนผู้มีบุญมาสร้าง) กันดีกว่าไหม นอกจากนี้ที่ผ่านมาก็จัดสร้างพระปฎิมากร 222 กว่า
องค์ ถวายวัดในประเทศศรีลังกา
ผมทราบว่าคำถามนี้หมายถึงอะไร ซึ่งอยากตอบว่าเราจะดูแลคุณปู่แล้วละเลย
คุณพ่อ หรือดูแลคุณแม่ไม่สนคุณยาย คำตอบก็คือว่าต้องดูแลปรนิบัติท่านผู้มีอุปการะเหล่านั้นทุกท่านแหละครับ
#8
โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 11:50 PM
http://www.susarn.co...hahistory1.html
- สงสัย จขกท.อาจจะยังไม่ทราบว่าที่วัดพระธรรมกายสร้างรูปหล่อพระพุทธเจ้ามาเกือบจะล้านองค์แล้ว...ทุกๆปีในวันที่ 22เมษายน
- ในยุคนี้ผมก็ยังไม่เห็นผู้ใดจะประเสริฐไปกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
- ที่วัดพระธรรมกาย วันวิสาขบูชา Promote พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดๆเลย...ทั้งยังมีสาธุชนทุกๆจังหวัดมาร่วมงาน มีน้องๆเยาวชน V star ทำหน้าที่ Promote ขจรขจายมากๆ
- หาก จขกท.ได้ดู dmc หรือมาร่วมงานวันวิสาขบูชา จะได้ยินได้ฟังคุณอันไม่มีประมาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ในรูปแบบต่างๆที่หลากหลาย...ทั้งภาพทั้งเสียง...นิทรรศการ...เพลง...ชาดก...การเล่าพุทธประวัติจากบูรพาจารย์ ฯลฯ...ขอบอกว่าอลังการสุดๆ
ส่วนการหล่อรูปพระเดชพระคุณหลวงปู่สด...นั้น
- เป็นฉันทามติของเหล่าสานุศิษย์...ปรารถนาแสดงเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ใน 5แห่ง
- เพราะท่านเป็นบุคคลผู้ค้นพบวิชาของพระพุทธเจ้าซึ่งสูญหายไปนับพันปี(มาพิสูจน์ได้นะ) นำมาเผยแผ่ต่อชาวโลก
- ท่านมีสานุศิษฐ์มากมาย ซึ่งปรารถนาแสดงกตัญญูตเวทิตาให้ชนรุ่นหลังได้ตรึกระลึกสรรเสริญถึงคุณของท่าน ว่าท่านคือ พระภิกษุสงฆ์ผู้หน้าที่ในการเผยแผ่วิชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเป็นครูของมนุษย์และเทวดาไปทั่วโลก ผู้มีศีลาจริยาวัตรอันงดงาม สมควรเป็นผู้ได้รับการกราบไว้
ฯลฯ..พระคุณท่านนั้นมากมาย
#9
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 12:56 AM
#10
โพสต์เมื่อ 08 August 2008 - 09:01 PM
#11
โพสต์เมื่อ 10 August 2008 - 07:28 AM
#12
โพสต์เมื่อ 10 August 2008 - 07:02 PM
สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ
สิบมือคลำ ไม่เท่าทำด้วยตัวเอง
เชิญมาสัมผัส และศึกษาหาความรู้ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป และมาเป็นพุทธสานิกชนที่ดี เพื่อ promote คุณงามความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ทั่วโลกได้รู้เถิด...
อันดับแรกร่วมโปรโมทด้วยการ หล่อรูปเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักองค์ ดีไหม?? เพื่อเป็นหลักฐานให้ชนรุ่นหลังได้เคารพบูชา
อันดับสอง ถ้าอยากโปรโมทให้มากขึ้น ชวนเพือนๆ พ่อแม่พี่น้อง ญาติๆ มาช่วยกันโปรโมทด้วยดีไหม? ด้วยการชวนคนเหล่านั้นมาหล่อรูปเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัน
สาธุ สาธุ _/|\_ _/|\_
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#13
โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 10:02 AM