ว่าร้ายวัดพระธรรมกาย แรงขึ้น จึงคิดรวบรวมข้อมูลที่แท้จริงไปแบ่งปัน
แต่เนื่องจากการสมัครสมาชิกของผม ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนอนุมัติ
พอดีเมื่อวาน เกิดข่าวน่าสลดใจ
ผมจึงขออนุญาต นำข้อมูลดังกล่าวมา โพสต์ ณ. ที่นี้
หากท่านใดเป็นสมาชิกที่ สิบร้อยทิป อยู่แล้ว จะนำไปโพสต์ ต่อก็ดีนะครับ
เพราะยังไม่ทราบว่า การสมัครเป็นสมาชิกของผม จะผ่านหรือเปล่า
หากผู้ดูแลระบบ เห็นว่า ไม่สมควร ก็ลบกระทู้นี้ได้นะครับ
ด้วยความนับถือ
Dangdee
R2813_9.gif 4.29K 140 ดาวน์โหลด
Post 2
ความเข้าใจที่บิดเบี้ยว ในระบบสื่อสารมวลชน กรณีวัดพระธรรมกาย
เกริ่นนำ
จากการที่ผม ไปศึกษาธรรมะที่วัดพระธรรมกาย ต่อเนื่องมาร่วม 20 ปี
ปีละมากกว่า 100 วัน ทั้งในสถานะพุทธศาสนิกชน / อาสาสมัคร / พระภิกษุธรรมทายาท
ดังนั้นเมื่อมีข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ในระบบสื่อสารมวลชน
ผมจึงพอตัดสินและชี้แจงได้บ้างว่า ข้อมูลใดที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย
ข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ บิดเบี้ยวหรือ ข่าวไหน จริง 7 เท็จ 3 หรือ จริง 2 เท็จ 8
และบอกก่อนว่า ผมไม่ใช่ตัวแทนของวัดพระธรรมกาย
ที่ได้รับมอบหมายให้มาแก้ข้อกล่าวหาใดๆ นะครับ
ผมเป็นเพียงพุทธศาสนิกชน คนหนึ่งที่ไปศึกษาธรรมะที่วัดพระธรรมกาย
เหมือนกันกับเพื่อนสมาชิกหลายท่านในกระดานสนทนาแห่งนี้
ที่มาตั้งและตอบกระทู้เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายเป็นการส่วนตัว
แต่มักมีใครโยงใยให้เข้าใจไปว่า เรามาแก้ตัวแทนเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ซึ่งไม่ใช่เลยครับ
ปกติผมชอบเป็นผู้อ่านรับข่าวสารมากกว่า ครับ
เพราะผมไม่ถนัดการโต้วาที หักล้างเหตุผล แบบในกระดานสนทนา
และอีกอย่างเท่าที่ สัมผัสได้ คือ กระดานสนทนาที่ สิบร้อยทิป
เพื่อนสมาชิกหลายท่าน ทั้งชาวพุทธและไม่พุทธ ต่างก็ประกาศรักสันติ
แต่ดูเหมือนมีไม่กี่ท่าน ที่สนทนากันแบบสร้างสรรค์ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
แสวงจุดร่วม สมานฉันท์ความต่างทางความคิด
ที่ผ่านมาผมจึงเลือกเข้ามาอ่าน เท่านั้น
แต่ช่วงนี้กระทู้ลักษณะ ว่าร้าย ป้ายสีดำต่อวัดพระธรรมกาย มีถี่ขึ้น
และมีไม่กี่ท่านที่มาชี้แจงข้อกล่าวหา
ผมจึงเข้ามาให้กำลังใจ และลองตั้งสักกระทู้ ตามสมควรครับ
วัตถุประสงค์ของกระทู้นี้ก็คือ มาเล่าถึง ข้อแท้จริง ( fact ) เกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย
ที่ผมเคยได้สัมผัสมาต่อเนื่องร่วม 20 ปี
เพื่อนำมาเป็นข้อมูลให้วิญญูชน พิจารณา กันครับ
post 3
1.สาเหตุแห่งความเข้าใจผิดพลาด คลาดเคลื่อน บิดเบือนจากความเป็นจริง
1.1การรับข่าวลือ ข่าวสาร ข้อมูล ที่ใครๆเล่ามา ในเรื่องร้ายๆกรณีวัดพระธรรมกาย
1.2 รับข้อมูลแล้วลืมใช้หลักกาลามสูตร 10 มาพิจารณา
1.3 ขาดการพิสูจน์ความจริง ด้วยตนเอง
1.4 มีอคติเป็นการส่วนตัว ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยคติ
1.5 ทำดี อย่าทำเด่น จะเป็นภัย
1.6 แนวทางการแก้ไขของวัดพระธรรมกาย ถูกต้อง แต่ ได้ผลช้า
2. สิ่งที่เห็นดีด้วยและไม่เห็นดีด้วย กับผู้ที่นิยมติติง ติเตียน ต่อต้าน กล่าวหาว่าร้าย วัดพระธรรมกาย
2.1 สิ่งที่เห็นดีด้วย
2.2 สิ่งที่ไม่เห็นดีด้วย
3. ประเด็นความเข้าใจผิดพลาด คลาดเคลื่อน บิดเบือนจากความเป็นจริง
3.1วัดพระธรรมกายเป็นพุทธเถรวาทหรือมหายาน
3.2การปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกาย เป็นภัยอันตรายต่อชาวพุทธหรือไม่
3.3กรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ( พ้นจากเพศสมณะ และอื่นๆ )
3.4กรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ( ลัทธิบ้าบุญ / พุทธพาณิชย์ ฯล )
3.10 กรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับสาธุชนที่ไปบำเพ็ญทาน รักษาศีล ฝึกเจริญสมาธิภาวนา ว่าถูกล้างสมอง
4. กฎแห่งการกระทำ ผลแห่งกรรม ที่ต้องเป็นไป
4.1 กรณีที่วัดพระธรรมกาย ทำผิดศีลธรรม เป็นสัทธรรม#####จริงตามการกล่าวหา
- ผลต่อสังฆมณฑล และชาวพุทธทั่วโลก
- ผลต่อผู้ที่พยายามติติง ติเตียน ต่อต้าน กล่าวหาว่าร้าย มุ่งล้มล้างวัดพระธรรมกาย
- ผลต่อสังคมไทย
- ผลต่อพุทธศาสนิกชนที่ไปบำเพ็ญทาน รักษาศีล ฝึกเจริญสมาธิภาวนา เป็นประจำที่วัดพระธรรมกาย
4.2 กรณีที่วัดพระธรรมกาย ทำความดีถูกต้องตามพระธรรมวินัย
- ผลต่อสังฆมณฑล และชาวพุทธทั่วโลก
- ผลต่อสังคมไทย
5. มุมมอง ของพุทธศาสนิกชนที่ไปศึกษาพระพุทธศาสนา ที่วัดพระธรรมกาย มาร่วม 20 ปี
ข้อที่เห็นดีด้วย และไม่เห็นดีด้วย เกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย
post 4
1.สาเหตุแห่งความเข้าใจผิดพลาด คลาดเคลื่อน บิดเบือนจากความเป็นจริง
1.1การรับข่าวลือ ข่าวสาร ข้อมูล ที่ใครๆเล่ามา ในเรื่องร้ายๆกรณีวัดพระธรรมกาย
หลายคน บอกว่าติดตามงานบุญและกิจกรรมของวัดพระธรรมกายมาโดยตลอด
แต่ก็ไม่ทราบว่าติดตามแบบไหนครับ
1 ) แบบติดตามข่าวทางระบบสื่อสารมวลชน , network , อ่านหนังสือ ดูสื่อธรรมะวัด
2 ) ฟังคนที่เคยไปวัดแล้วชอบ ก็ได้ข้อมูลอีกแบบ
3 ) ฟังคนที่ไม่เคยไปวัด ชอบแต่กล่าวหาวัด ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ได้ข้อมูลอีกแบบ
การเลือกเสพข่าวสารในสังคมไทย บ่งชี้ถึงด้านมืดในใจมนุษย์ว่า
- ชอบจับผิดมากกว่าจับความดีเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน บางคนถึงขนาดมีความสุข สะใจกับการจับผิดคนอื่น
คือ สนใจเฉพาะในแง่ร้ายมากกว่าด้านดี
- สอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน พูดอย่างสุภาพคือ ใฝ่เรียนรู้ความเป็นไปของเพื่อนมนุษย์
- สนใจฟังเรื่องร้ายๆ มากกว่าเรื่องดีๆ เพราะรู้สึกตื่นเต้น น่าติดตาม
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ข่าวสารตามปกหนังสือพิมพ์ หรือ hot news ในโทรทัศน์
เพื่อเรียกร้องความสนใจของมนุษย์ ต้องพาดหัวข้อข่าวให้ดูตื่นเต้น เลวร้าย น่าหวั่นกลัว
ถ้าพาดหัวข้อข่าวใหญ่ว่า
มจร. จัดงานใหญ่เนื่องในวันวิสาขบูชา เชิญชาวพุทธทั่วโลกมาบำเพ็ญกุศลที่พุทธมณฑล
แบบนี้ ยอดขายหนังสือพิมพ์ คงไม่ดีนัก แต่ถ้าเป็น
ดาราสาว อักษร กอ. เป็นเมียลับของนักการเมือง หัวหน้าพรรคอักษร ขอ.
แบบนี้หนังสือพิมพ์ คงไม่พอขาย
สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น คือ มนุษย์ส่วนมากมักเลือกเชื่อสิ่งที่นักสื่อสารมวลชนนำเสนอ เอาไว้ก่อน
โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง สตรีและสตางค์ การโกงกิน สินบน
แม้ต่อมาพิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นความจริง แต่ภาพพจน์ของผู้ถูกกล่าวหาก็เสื่อมเสีย
เป็นที่จงเกลียดจงชังของคนในสังคมไปช่วงเวลาหนึ่งแล้ว
หลายครั้งทำให้รู้สึกว่า จรรยาบรรณและจิตวิญญาณของนักสื่อสารมวลชนคนไทย หลายคน
เป็นทาสของคำสั่งเจ้านาย รับใช้นายทุน ( เพราะเกรงใจ / อยากได้เงินหรือผลประโยชน์อื่น )
เช่นกันครับถ้ามีกิจกรรมงานกุศลที่ดีงามของวัดและองค์กรการกุศล ต่างๆ
ส่วนมากมักไม่เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์หรอกครับ
ฉะนั้น การเชื่อข่าวลือ ข่าวสารใน network และทางระบบสื่อสารมวลชน โดยขาดโยนิโสมนสิการ
มีโอกาสสูงที่คุณเข้าใจ ผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไปจากความจริง ได้มากนะครับ
ในโลกนี้มีเรื่องอยู่มากมาย
หลายเรื่องไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นความจริง
หลายเรื่องเป็นความจริง แต่ ไม่น่าเชื่อและไม่มีใครเชื่อ
หลายเรื่องไม่เป็นความจริง แต่คนมากมายก็เชื่อ
คนทำความดีเพื่อชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
แต่ยังมีคนมากมายที่ไม่เชื่อว่าเป็นการทำด้วยความสุจริตใจ
……………………………….
Post 5
1.2 รับข้อมูลแล้วลืมใช้หลักกาลามสูตร 10 มาพิจารณา
กาลามสูตรกังขานิยฐาน ๑๐
หมายถึง วิธีปฏิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
— how to deal with doubtful matters; advice on how to investigate a doctrine,
as contained in the Kalamasutta)
๑. มา อนุสฺสาเวน อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
คำว่า ฟังตามกันมา หมายถึง สิ่งที่บอกเล่า ต่อๆ กันมาตาม ธรรมเนียม เป็นต้น
๒. มา ปรมฺปราย อย่าเชื่อโดยเหตุสักว่าตามสืบๆ กันมา คำว่า ทำตามสืบๆ กันมา หมายถึง การทำตามสืบๆ กันมา โดยไม่ต้องคำนึง ถึงเหตุผล แต่ถือเอาการที่ทำสืบๆ กันมานั้นเองเป็น เหตุผล ลักษณะเช่นนี้เรียกกันว่า เถรส่องบาตร
๓. มา อิติ กิราย อย่าเชื่อโดยตื่นข่าว คำว่า ตื่นข่าว หมายถึง สิ่งน่าอัศจรรย์ ที่กำลังลือกระฉ่อน กันอยู่ในขณะนั้น
๔. มา ปิฎกสัมฺปทาเนน อย่าเชื่อโดยอ้างปิฎก คำว่า อ้างปิฎก หมายถึง มีหลักฐานที่อ้างอิงในตำรับตำรา คัมภีร์ หรือแม้แต่ในพระไตรปิฎก
๕. มา ตกฺกเหตุ อย่าเชื่อโดยนึกเดาเอาเอง ๖. มา นยเหตุ อย่าเชื่อโดยคาดคะเน
๗. มา อาการปริวิตกฺเกน อย่าเชื่อโดยการตรึกตรองตามอาการ คำว่า นึกเดาเอาเอง คำว่า คาดคะเนเอาเอง และ คำว่า ตรึกตรองตามอาการ ทั้งสามนี้ คล้ายกันมาก หากแต่ว่า หนักเบา กว่ากัน ตามลำดับ คำว่า เดา หมายถึง การใช้เหตุผลชั่วแล่น ชั่วขณะ ตามวิสัยของ คนธรรมดาทั่วไป คำว่า คาดคะเน ก็มีลักษณะอย่างนั้น หากแต่ว่า มีการเทียบเคียง โดยนัยต่างๆ ที่รัดกุมกว่า ซึ่งเป็นวิสัย ของผู้มีปัญญา คำว่า ตรึกตามอาการ คือการใช้เหตุผล หรือ ใช้สิ่งแวดล้อม เป็นเหตุผล ตามที่มีปรากฏ อยู่เฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ ซึ่งรัดกุมยิ่งไปกว่า การคาดคะเน
๘. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนกฺขนฺติยา อย่าเชื่อโดยเห็นว่าถูกตามลัทธิของตน คำว่า ต้องตามลัทธิของตน หมายความว่า เข้ากันได้กับ ความคิดเห็น ของตน หรือ เข้ากับลัทธิ ที่ตนถืออยู่แล้วแต่ก่อน
๙. มา ภพฺพรูปตาย อย่าเชื่อโดยเห็นว่า ผู้พูดควรเชื่อได้ คำว่า ผู้พูดควรเชื่อได้ หมายความว่า ผู้พูดเป็นผู้ที่ใครๆ พากันเชื่อถือ เพราะเป็นบัณฑิต นักปราชญ์ เป็นคนเฒ่าคนแก่ เป็นคนเคยไปในที่นั้นๆ มาแล้ว เป็นต้น
๑๐. มา สมโฌ โน ครุ อย่าเชื่อโดยถือว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา คำว่า ถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา หมายความถึง ครูบาอาจารย์โดยตรง
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
สูตรนี้ ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติยสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาลามะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาลามะนั้นเป็นชาวเกสปุตตนิคม
A.I.189 องฺ.ติก.๒๐/๕๐๕/๒๔๑.
อย่าทิ้งแนวการถือคือเหตุผล
อย่าถือแต่ตามตำราจะพาตน
ให้เวียนวนติดตังนั่งเปิดดู
อย่าถือแต่ครูเก่าเฝ้าส่องบาตร
ต้องฉลาดความหมายสมัยสู
อย่ามัวแต่อ้างย้ำว่าคำครู
แต่ไม่รู้ความจริงนั้นสิ่งใด
อย่ามัวแต่ถือตามความนึกเดา
ที่เคยเขลาเก่าแก่แต่ไหนๆ
ต้องฉลาดขูดเขลาปัดเป่าไป
ให้ดวงใจแจ่มตรูเห็นลู่ทางฯ
…………………..
Post 6
มี FW Mail ที่เป็นข้อคิดดีๆ มาให้ศึกษาครับ
พอได้เวลาอาหาร ลูกศิษย์เตรียมตักข้าวใส่จานพร้อมสำรับอาหาร
ขณะกำลังตักข้าวอยู่ห่างๆ นั้น ท่านขงจื๊อสังเกตเห็นว่า
ลูกศิษย์หยิบข้าวจากจานของท่านขึ้นมาใส่ปากเคี้ยว
ท่านจึงสอนและชี้ให้เห็นว่า
การหยิบอาหารจากสำรับของครูบาอาจารย์ มารับประทานก่อนได้รับอนุญานั้น
แสดงถึงความ "อนารยะ" ที่น่าตำหนิอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์จึงขอโอกาสชี้แจง
"อาจารย์ครับ ที่กระผมหยิบข้าวจากจานของอาจารย์ขึ้นมารับประทานก่อน
หาใช่กระทำไปด้วยความเขลาหรือขาดคารวะก็หาไม่
แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในจานข้าวของอาจารย์ มีผงถ่านสีดำปนเปื้อนข้าวอยู่
ครั้นจะยกมาให้อาจารย์เลยก็เกรงว่าคงไม่เหมาะ
จะหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นทิ้งก็เสียดาย
เพราะข้าวหายากและจำเป็นมาก สำหรับการอยู่รอดในยามวิกฤติ
กระผมก็เลยหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นขึ้นมารับประทานเสียเองขอรับ"
แววตาที่ฉายแววดุของผู้เป็นอาจารย์ ค่อยๆ ทอประกายอ่อนโยนด้วยเมตตา
ก่อนเอ่ยวาจาขอโทษผู้เป็นศิษย์อย่างไม่ถือตัว
บ่อยครั้งที่เรามักตัดสินอะไรผิดพลาดอย่างง่ายดาย
จนเสียทั้งคน เสียทั้งงาน และบางทีก็เสียผู้เสียคน
เสียเกียรติภูมิที่สู้สั่งสมมาทั้งชีวิตในชั่วพริบตา
เพียงเพราะเราเชื่อในสิ่งที่สายตารายงาน
ขณะที่บางด้านของความจริงกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง
สามีทะเลาะกับภรรยา พ่อแม่ทะเลาะกับลูก นายเข้าใจผิดลูกน้อง เพื่อนแตกจากเพื่อน
คนรักหันหลังให้กันทั้งที่ต่างฝ่ายก็แสนดี
เพียงเพราะต่างก็เชื่อใน "สิ่งที่ตาเห็น"
แต่ละเลยการ "เมียงมอง" อย่างพินิจแยบคาย
โดยใช้ "ปัญญาจักษุ" อันสุขุม
เราจึงติดอยู่ใน "ภาพลวงตา" อันเป็นมายาคติ
พลอยทำให้หลงลืม "ความจริง"
ทีเป็นจริงอีกด้านหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย
สิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่ปัญญาประจักษ์
ไม่แน่ว่าจะสอดคล้องกันเสมอไป
จงใช้ตานอกสำหรับ "ดู" แล้วจงใช้ตาในสำหรับการ "เห็น"
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การเลือกเชื่อข่าวลือ ข่าวสารใน network และทางระบบสื่อสารมวลชน
โดยขาดหลัก กาลามสูตร 10 และการพิสูจน์ด้วยตนเอง ไม่สมควรแก่บัณฑิตผู้ใฝ่ธรรม เลยครับ
…………………..
Post 7
1.3 ขาดการพิสูจน์ความจริง ด้วยตนเอง
มนุษย์ยุคนี้ ชอบอะไรที่ สำเร็จรูป อัตโนมัติ แค่ click ๆ thumb ๆ เอาก็พอใจแล้วเพราะง่ายดี
ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องลงแรง ไม่ต้องเดินทาง ทนรถติด แดดแผดเผาให้เร่าร้อน
มีมนุษย์ส่วนน้อย ที่เชื่ออะไรก็ต่อเมื่อได้พิสูจน์มาบ้างแล้วจึงแสดงความเห็น วิพากษ์ วิจารณ์จากประสบการณ์จริงของตนเอง
ถ้าเราศึกษาศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งเพียงผิวเผิน
ผ่าน หนังสือทั้ง paper & e-books , information in network
ผ่านเพียงแค่จักษุประสาทและกระบวนการคิดของสมอง โดยใจที่ยังไม่สงบ สงัด หรือ ไม่มีสมาธิมาก
เราก็คงได้ความรู้แค่เบื้องต้น หรือความเข้าใจในระดับหนึ่ง เท่านั้น
แต่ถ้าเราศึกษาทางปริยัติหรือทฤษฎีแล้ว เพิ่มการปฏิบัติ ไปด้วย เราเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
เช่น
- ถ้าคุณอยากทำอาหารรสอร่อย แค่ได้ยินได้ฟัง สูตรอาหาร อ่านตำรา จนท่องจำ เข้าใจกระบวนการแม่นยำดีแค่ไหน
ก็ไม่ใช่ว่า คุณจะทำอาหารได้อร่อย ทันทีนะครับ มันต้องมีการสังเกต มีการปรับ ปรุงแก้ไขอะไรอีกมาก
กว่าจะทำอาหารนั้นๆอร่อย ถูกปากตนเอง และคนอื่น
- ถ้าเราบ่นว่า ราคาข้าวแพงจัง คุณภาพก็แย่ งั้นลองไปช่วยชาวนาทำนา สักฤดูกาลหนึ่งสิ จะได้รู้รสชาติชีวิตของชาวนาได้ดีขึ้น
- ถ้าไม่พอใจว่า นายกฯและคณะรัฐมนตรี ทำงานไม่ได้ดั่งใจ แล้วดีแต่วิพากษ์ วิจารณ์ในทางไม่สร้างสรรค์
แบบนี้ ต้องให้เป็นนายกฯ สักปี รับรองว่าทั้งกลุ้ม ทั้งเครียด ทั้งเข็ด ไปจนวันตายแหละครับ
เพราะทำดีก็แค่เสมอตัว เหมือนหนังหน้าไฟ หรือ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกแขวนคอ ฉะนั้น
เช่นกันครับ ใครที่ชอบบ่น ติเตียน ต่อต้าน ต่อว่า ด่าว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ โดยอาศัยข้อมูลข่าวสาร
ลองมาเป็นเจ้าอาวาส เป็นสมภารวัดพระธรรมกาย สิครับ
ท่านต้องปกครอง เลี้ยงดู ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เจ้าหน้าที่วัด กว่า 5,000 ชีวิต ทั้งในและต่างประเทศ
จริงอยู่ถ้าดูผังองค์กร แบบ Organization
ตำแหน่งเจ้าอาวาส อยู่บนสุด ชั้นถัดลงมา มีลูกพระ ลูกสามเณร อุบาสก อุบาสิกา อีก กว่า 5,000 ชีวิต
หลายท่านอาจ คิดว่า ตำแหน่งเจ้าอาวาส อยู่สูง ดูมีอำนาจ กว่าใคร
แต่ใครที่เป็นผู้บริหารองค์กร จะเข้าใจดีว่า มันไม่ใช่เลย
เพราะ ในแง่ความรับผิดชอบ และ การบริหาร การปกครอง
ผังองค์กร มันจะกลับหัวลง ครับ
นั่นคือ ผู้ที่เป็นมีตำแหน่งอยู่บนสุด เพียง 1 เดียว
ต้องย้ายลงมาอยู่ล่างสุดแล้วแบกกว่า 5,000 ชีวิตไว้เหนือหัว บ่า ไหล่ ไหปลาร้า ของตน
แล้วการบริหาร การปกครอง มนุษย์ที่ยังไม่หมดกิเลส คุณคิดว่า ง่ายนักหรือครับ
ผมว่า ครอบครัวเดียว แค่หาทรัพย์ และปกครองลูก เมีย หมู่ญาติ สัก 10 – 20 ชีวิต ก็ หืดขึ้นคอแล้วครับ
เคยได้ยินเจ้าอาวาส พระสังฆาธิการ ในต่างจังหวัด ท่านบอกว่า
วัดท่าน มีเนื้อที่ ไม่กี่สิบไร่ และมี พระ ลูกวัด แค่ 10 – 20 รูป
สัมภาระที่แบกไว้น้อยกว่า หลวงพ่อ ธมฺมชโย มากมายนัก ยัง มีเรื่องกลุ้มใจแทบไม่เว้นวันเลยครับ
…………………..
Post 8
คำแนะนำ
สำหรับท่านที่ชอบบ่น ติเตียน ต่อต้าน ต่อว่า ด่าว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ โดยอาศัยข้อมูลข่าวสาร คือ
- สำหรับท่านชาย ควรมาบวชพระธรรมทายาท อย่างน้อยสักพรรษา
จะได้เห็นความเป็นจริง ในมุมมอง ของ Insider อย่างแท้จริง
- สำหรับท่านหญิง ขอเชิญท่านและคนที่คุณรัก มาตรวจสอบด้วยตนเอง ที่วัดพระธรรมกาย
ดีกว่า ฟังเขาเล่ามานะครับ
แต่ไม่ควรคาดหวังให้ถูกใจคุณซะทุกอย่างนะครับ
เพราะแนวทางการแก้ปัญหาสังคมก็มีอยู่หลายหลายแนวทาง
แนวทางแบบลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็แบบหนึ่ง
แนวทางแบบประชาธิปไตยก็อีกแบบ
แม้แนวทางแบบระบอบประชาธิปไตยเอง
แต่ละพรรคยังมีนโยบายแตกต่างกันเลยครับ
เช่นกัน
แนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมแบบยั่งยืนของวัดพระธรรมกาย อาจแตกต่างจากแนวคิดที่คุณถูกใจบ้าง
แนวทางการขยายพระธรรม อาจแตกต่างจากแนวคิดที่คุณถูกใจบ้าง
แนวทางการบอกข่าวบุญ การสร้างทานะ ปริจาคะ อาจแตกต่างจากแนวคิดที่คุณไม่คุ้นเคยบ้าง
แต่วัดพระธรรมกายก็ดำเนินตามโอวาทปาฏิโมกข์มาตลอด
ไม่ได้โม้ !!! มาพิสูจน์ด้วยตนเองสิครับ
…………………..
Post 9
1.4 มีอคติเป็นการส่วนตัว
หลายๆท่าน ( ไม่เหมารวมทุกคนนะครับ ) ต่อต้าน ติเตียน วิชชาธรรมกาย / วัดพระธรรมกาย / เจ้าอาวาส หรือพุทธศาสนิกชนที่ไปวัดพระธรรมกาย ก็เพราะว่า มีอคติ 4 ดังกล่าวแอบซ่อนอยู่ในใจ ทั้งแบบรู้ตัว กับยังไม่รู้ตัว คือ
1.4.1 หลายท่าน มี ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ) คอยชักใย อยู่หลังเวที เช่นว่า
มีเพื่อน พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คู่รัก ครู อาจารย์ พระอาจารย์ที่เรารัก เคารพ เชื่อถือ ให้ข้อมูลด้านลบมา
เราก็เลือกที่จะเชื่อตาม ข้อมูล ข่าวสารนั้นๆ
หรือ !! เป็นเพราะมี คนในครอบครัว / ญาติมิตร / คู่รัก / คู่ครอง / ตนรู้จัก ใช้เงินไปทำบุญจำนวนมาก แล้วบริหารการเงิน เศรษฐกิจในครอบครัวไม่ดี จนเดือดร้อนเรา และญาติ มิตร
ด้วยความรัก ปรารถนาดี เราจึงคิดไปเองว่า
คนของเราคงถูกวัดพระธรรมกายล้างสมอง ล่อลวงให้บริจาคเงินจำนวนมาก
ฉะนั้น ก็เลยพลอยไม่ชอบวัดพระธรรมกาย แบบนี้ก็มี
หรือ !! หลายท่านเคยไปทำบุญที่วัดพระธรรมกาย แต่มีอะไรไม่ถูกใจบ้าง เช่น
พิธีกรรมงาบุญที่แตกต่างที่ตนเองคุ้นเคย / กระทบกระทั่งกับบางคน ในวัดบ้าง
ฉะนั้น ก็เลยพลอยไม่ชอบวัดพระธรรมกาย แบบนี้ก็มี
หรือ !!เคยศรัทธา ได้ไปวัด ได้บวชที่วัดพระธรรมกาย ที่มีกฎระเบียบเข้มงวด
มีกฎระเบียบในการอยู่รวมกันไหนต้องรักษา ปาติโมกข์ศีล ๒๒๗
บ้างก็กระทบกระทั่งกับเพื่อนสหธรรมิก ด้วยเรื่องจุกจิก
ฉะนั้น ก็เลยพลอยไม่ชอบวัดพระธรรมกาย แบบนี้ก็มี
…………………..