ผลแห่งการถวายน้ำมันตามประทีป
***การถวายประทีปเป็นพุทธบูชามีมาแล้วแก่พระเถระทั้งหลายในอดีตกาล แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองเมื่อครั้งยังบำเพ็ญบารมีและพลาดพลั้งเกิดเป็นหญิง ครั้งหนึ่งเมื่อภพชาติสุดท้ายของการเป็นหญิง ก็ได้มีโอกาสสั่งสมบุญกุศลจากการถวายน้ำมันประทีปเป็นพุทธบูชาเช่นกัน
ในสมัยนั้นเป็นกัปที่มีชื่อว่า สารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกธาตุนี้พระองค์เดียว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชเช่นกัน ครั้งนั้นด้วยอปราปรเวทนียกรรมตามสนองพระโพธิสัตว์ ทำให้พระองค์ได้เกิดเป็นขัตติยกุมารี ทรงพระนามว่า ฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นพระกนิษฐภคินี น้องนางสมเด็จพระมิ่งมงกุฎพระองค์นั้น แต่ต่างพระมารดากัน
วันหนึ่ง เป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำแล้ว ฟ้าหญิงสุมิตตาราชบุตรีประทับยืนอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ทอดพระเนตรลงมาข้างล่าง ก็ได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งทรงสมณสารูป มีกิริยาอาการน่าเลื่อมใสยิ่งนักมายืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูพระราชวัง พระนางสุมิตตาทรงดำริว่า
‘ภิกษุมาบิณฑบาตในเวลาเย็น อันมิใช่กาลที่ควรบิณฑบาตเช่นนี้ คงประสงค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแน่’ คิดดังนั้นแล้ว จึงมีพระเสาวนีย์ใช้บุรุษคนหนึ่งว่า “ท่านจงลงไปถามความต้องการของพระคุณเจ้าให้รู้แจ้ง แล้วจงมาบอกแก่เรา” ราชบุรุษรับพระเสาวนีย์แล้วถวายบังคม ลงมาถามได้ความแล้วกลับไปทูลว่า
“พระคุณเจ้าประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน พระเจ้าข้า”
ฟ้าหญิงสุมิตตาจึงให้ไปอาราธนาพระคุณเจ้าขึ้นมานั่ง ณ อาสนะอันสมควร แล้วจึงมีดำรัสว่า
“พระผู้เป็นเจ้าต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด”
“ขอถวายพระพร อาตมภาพบิณฑบาตน้ำมันได้แล้ว ก็แต่งประทีป ทำการสักการบูชาแด่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียังรุ่ง ครั้นเวลาสายสว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ สำนักแห่งสมเด็จพระบรมครู อาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสาวกทั้งหลายอีกเล่า แต่เฝ้ากระทำอยู่อย่างนี้เสมอมา ขอถวายพระพร”
ฟ้าหญิงสุมิตตาเทวีได้ฟังดังนั้น มีจิตยินดีเลื่อมใสเป็นยิ่งนัก ได้ตักตวงน้ำมันพันธุ์ผักกาดจนเต็มขัน ก็ทูนเหนือเศียรเกล้านำมาในขณะนั้น พระนางยังเกิดความคิดอันสูงส่งบรรเจิดจ้าขึ้นมาว่า
‘สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของเราได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสัตวโลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า ขอให้เราได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพื่อจะได้อนุกูลแก่สัตวโลก ฉันนั้นเถิด’ คิดคำนึงดังนั้นแล้ว จึงนำภาชนะบรรจุน้ำมันนั้นลงจากเบื้องบนพระเศียรเกล้าแล้ว ก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มแล้วมีดำรัสว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายน้ำมันนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสำเร็จด้วยเถิด ขอพระคุณเจ้าจงนำน้ำมันนี้ไปบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้าของข้าพเจ้าแล้ว ขอจงมีจิตการุณช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยเถิดว่า พระกนิษฐภคินีของพระพุทธองค์ถวายมา ซึ่งพระนางได้ตั้งจิตปรารถนาว่า ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง ขอให้ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ในอนาคตพระพุทธเจ้าข้า” ความปรารถนานั้นของพระนางจักสำเร็จหรือไม่หนอ
พระบรมศาสดาทรงสดับแล้ว จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
“ดูกรภิกษุ บัดนี้สุมิตตาราชกุมารี พระกนิษฐภคินีของเรานั้นยังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรี จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับคำพยากรณ์”
“พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระกนิษฐภคินีของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพุทธภูมิเลยหรือ”
ลำดับนั้น สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถจึงทรงพิจารณาดูในอนาคตก็ทรงทราบว่า พระนางสุมิตตาเทวีได้เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้นานนักหนา ตั้งแต่ครั้งเป็นมาณพหนุ่มผู้แบกมารดาไว้บนบ่าว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรว่า ถ้าตัวเราถึงชีวิตพินาศขาดสูญลงในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่ พร้อมกับมารดา ณ กาลบัดนี้ ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหาสมุทรมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งโพธิญาณ ขอเราได้ช่วยสัตว์ทั้งหลายอันเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารให้ข้ามพ้นลุถึงซึ่งฝั่งโน้นคือ อมตมหานิพพาน
ครั้นคิดดังนั้นแล้วก็ตั้งปณิธานซ้ำลงไปอีกว่า เมื่อเราเปลื้องตนออกพ้นจากวัฏฏสงสารแล้ว ขอเราพึงนำสัตว์ทั้งหลายให้เปลื้องตนพ้นจากวัฏฏสงสารด้วยเถิด อนึ่งเมื่อเราข้ามจากวัฏฏสงสารได้แล้ว ขอให้เราพึงนำสัตว์ทั้งหลายข้ามพ้นจากวัฏฏสงสารได้ด้วยเถิด (มุนีนาถทีปนี หน้า ๑๕๐)
เมื่อทรงพิจารณาดูในอนาคตกาลแล้ว ทรงทราบว่าพระน้องนางจะสำเร็จพุทธภูมิตามความปรารถนาได้ จึงตรัสกับพระภิกษุรูปนั้นว่า
“ดูก่อนภิกษุ กาลข้างหน้าในอนาคต นับแต่นี้ไปอีก ๑๖ อสงไขยเศษหนึ่งแสนมหากัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระทีปังกร จักเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าวพยากรณ์ให้แก่พระภคินีของเรา”
เมื่อพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเช่นนั้นแล้ว พระภิกษุรูปนั้นจึงได้ทูลลา แล้วไปสู่ปราสาทของฟ้าหญิงสุมิตตาเทวี เล่าแจ้งตามที่ได้รับฟังจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อได้สดับคำบอกเล่าจบลง เจ้าฟ้าหญิงทรงโสมนัสยิ่งนัก จึงมีพระเสาวนีย์ถวายนิตยปวารณาว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้า แต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระคุณเจ้าอย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่อื่นเลย ขอพระคุณเจ้าจงมารับน้ำมันในสำนักแห่งข้าพเจ้านี้เป็นนิตย์ทุกวันด้วยเถิด”
นับแต่วันนั้นมา พระภิกษุนั้นก็ได้มารับน้ำมันพันธุ์ผักกาดจากปราสาทของเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาเทวี ไปทำประทีปบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเป็นประจำ
ฟ้าหญิงสุมิตตาจึงได้มีโอกาสบูชาประทีปแก่พระพุทธเจ้าตลอดเวลาเท่าที่พระภิกษุรูปนั้นได้ถวายบูชา อีกทั้งที่ได้ทำบุญอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดแจงอาหารอย่างประณีตเป็นอันมาก พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชา มีดอกไม้และของหอม เป็นต้น พระนางแวดล้อมด้วยบริวารไปสู่มหาวิหาร ถวายบิณฑบาตแก่หมู่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน ด้วยความเชื่อมั่นเลื่อมใสที่มากขึ้น ๆ ทำให้พระนางมีพระหฤทัยเบื่อหน่ายจากความที่ได้อัตภาพเป็นสตรีเพศนั้นยิ่งนัก จึงอุตส่าห์บำเพ็ญกุศล เช่น บริจาคทาน รักษาศีล สมาทานอุโบสถ ประพฤติพรตพรหมจรรย์เป็นประจำ ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลก หมดสิ้นเศษกรรมที่มีอยู่ ได้ไปเกิดเป็นชายในภพชาติต่อ ๆ ไป
จะเห็นได้ว่า ความเลื่อมใสจากการได้ถวายน้ำมันเพื่อบูชาประทีปแก่พระพุทธเจ้า คือจุดเริ่มต้นแห่งความเลื่อมใสศรัทธาที่เต็มเปี่ยม ทำให้มีโอกาสสร้างบุญบารมีด้านอื่น ๆ เป็นประจำ จนกระทั่งให้ได้ประพฤติพรหมจรรย์ได้โดยตลอด การบำเพ็ญกุศลเพื่อสนับสนุนให้บุคคลอื่นได้ถวายประทีปเป็นพุทธบูชา อานิสงส์ที่ได้ จึงเป็นเหตุปัจจัยที่สนับสนุนให้ได้กระทำกุศลส่วนอื่นยิ่งๆ ขึ้นไปดุจเดียวกัน