ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

บริสุทธิ์ด้วยปัญญา (3)


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ThDk

ThDk
  • Members
  • 259 โพสต์
  • Location:Struer, Denmark
  • Interests:จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรรหมจรรย์ เพื่อสำรอกราคะ... เพื่อละสังโยชน์... เพื่อถอนอานุสัย.. เพื่อรู้รอบสังสารวัฎอันยืดยาว... เพื่อความสิ้นอาสวะ... เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือ วิชชาและวิมมุติ... เพื่อญาณทัศนะ... เพื่อปรินิพพาน อันปราศจากอุปทาน.

โพสต์เมื่อ 30 July 2007 - 04:50 PM

unsure.gif องค์ ๕ แห่งแผ่นดิน ได้แก่ ธรรมดาแผ่นดิน ถึงจะมีคนเทของที่น่ายินดี และไม่น่า ยินดี คือ การบูน กฤษณา จันทน์ หญ้าฝรั่นเป็นต้น ก็ดี เทลง ไปซึ่งดี เสมหะ โลหิต เหงื่อ มันข้น น้ำลาย น้ำมูก มูตร คูถ เป็นต้นก็ดี ก็เป็นอยู่เช่นนั้นฉันใดพระโยคาวจรก็ควรเป็นเช่นนั้นในสิ่งที่น่าต้องการ และไม่น่าต้องการ คือ ลาภ ความไม่มีลาภ ยศ ความไม่มียศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ทั้งปวง(68) ฉันนั้น อัน นี้เป็นองค์แรกแห่งแผ่นดินฯธรรมดาแผ่นดินย่อมปราศจากเครื่องประดับตกแต่งมีแต่อบรมอยู่ด้วย กลิ่นของตนฉันใดพระโยคาวจรก็ควรปราศจากเครื่องประดับตกแต่งควรอบรมด้วยกลิ่นศีลของตน(69) ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๒แห่งแผ่นดินฯธรรมดาแผ่นดินย่อมไม่มีระหว่าง,ไม่มีช่อง,ไม่มีโพรง,เป็นของ หนาแน่นกว้างขวางฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้มีศีลอยู่เป็นนิจอย่าให้ศีล ขาดวิ่นเป็น ช่อง เป็นรู ให้ศีลหนาแน่นกว้างขวางอยู่(70) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งแผ่นดิน ฯ ธรรมดาแผ่นดิน ย่อมทรงไว้ซึ่ง คามนิคม นคร ชนบท ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง เนื้อ นก นรชนหญิงชาย ไม่ย่อท้อ ฉันใด พระโยคาวจร ถึงจะต้องเป็นผู้ว่า กล่าว สั่งสอนผู้อื่น หรือถูกผู้อื่นว่ากล่าวสั่งสอน ก็ไม่ควรย่อท้อ(71) ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๔แห่งแผ่นดินฯธรรมดาแผ่นดินย่อมปราศจากความยินดี,ยินร้ายฉันใด พระโยคาวจรก็ควรปราศจากความยินดี,ยินร้าย,ความมีใจเสมอกับแผ่นดิน(72)ฉันนั้น.อันนี้เป็นองค์ที่๕ แห่งแผ่นดินฯข้อนี้สมกับคำของอุบาสิกาจูฬสุภัททากล่าวสรรเสริญสมณะของตนไว้ว่าถึงมีผู้ถากร่างกาย ข้างหนึ่งด้วยมีดพร้า,ทาร่างกายข้างหนึ่งด้วยของหอมให้แก่ข้าพเจ้า.ข้าพเจ้าก็ไม่มีความยินดี,ยินร้าย จิตของข้าพเจ้าเสมอด้วยแผ่นดินสมณะทั้งหลาย ของข้าพเจ้า ก็เช่น เดียวกัน(73) ดังนี้

unsure.gif องค์ ๕ แห่งน้ำ ได้แก่ ธรรมดาน้ำอันตั้งอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหว ไม่มีผู้กวน ย่อมบริสุทธิ์ ตามสภาวะปกติ คือ ความเป็นเอง ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรละการ ลวงโลก การโอ้อวด การพูดเลียบเคียง เพื่อหาลาภ การพูดเหยียด ผู้อื่น เพื่อหาลาภเสียแล้ว ควรเป็นผู้มีความประพฤติบริสุทธิ์ตามภาวะ ปกติ(74) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์แรกแห่งน้ำฯธรรมดาน้ำย่อมตั้งอยู่ตามสภาพคือความเย็นฉันใดพระโยคาวจรก็ควรเป็น ผู้ทำความเย็น ให้แก่ผู้อื่นด้วยขันตี และความไม่เบียดเบียน ความเมตตา กรุณา(75)ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒แห่งน้ำฯธรรมดาน้ำย่อมทำสิ่งที่ไม่สะอาดให้สะอาดฉันใดพระโยคาวจรก็ควรทำแต่สิ่งที่ไม่มีโทษ ในที่ทั้งปวง(76)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๓แห่งน้ำฯธรรมดาน้ำย่อมเป็นที่ต้องการแห่งคนและสัตว์เป็นอันมากฉันใดพระโยคาวจรผู้มักน้อย,สันโดษ,สงัด,เงียบก็เป็นที่ต้องการแห่งโลกทั้งปวง(77)ฉันนั้น.อันนี้เป็นองค์ที่๔แห่งน้ำฯธรรมดาน้ำย่อมไม่นำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เข้าไปให้แก่ใครฉันนั้นพระโยคาวจรก็ไม่ควร ทำให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทบาดหมาง,ความเพิ่มโทษ,ความริษยาให้เกิดแก่ผู้อื่น(78)ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕แห่งน้ำฯข้อนี้สมกับคำของพระพุทธเจ้าในกัณหชาดกว่าข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งหลาย ถ้าพระองค์จะประทานพรแก่หม่อมฉันก็ขอจงประทานพรว่าอย่าให้กายหรือใจของหม่อมฉันทำให้เกิดทุกข์แก่ผู้อื่น เลย(79) ดังนี้

unsure.gif องค์๕แห่งไฟได้แก่ธรรมดาไฟย่อมเผาหญ้า,ไม้,กิ่งไม้,ใบไม้ฉันใดพระโยคาวจรก็ควรเผากิเลสทั้งภายนอก ภายในด้วยไฟ คือ ญาณ(80) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งไฟ ฯ. ธรรมดาไฟย่อมไม่มีเมตตา กรุณา ฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรมีเมตตากรุณาในกิเลสทั้งปวง(81) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งไฟ ฯ. ธรรมดาไฟย่อมกำจัดความเย็นฉันใดพระโยคาวจรก็ควรทำให้เกิดไฟ คือ ความเพียรเผากิเลส ทั้งปวง(82) ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๓แห่งไฟฯ.ธรรมดาไฟย่อมไม่มีความยินดี,ยินร้ายมีแต่ทำให้เกิดความร้อนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีใจเสมอด้วยไฟปราศจากความยินดี,ยินร้าย(83)ฉันนั้น.อันนี้เป็นองค์ที่๔แห่งไฟฯ. ธรรมดาไฟย่อมกำจัดความมืดทำให้เกิด ความสว่าง ฉันใด พระโยคาวจร ก็ควรกำจัดความมืด คือ อวิชชา ทำให้เกิดความสว่างคือญาณ(84)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๕แห่งไฟฯ.ข้อนี้สมกับพระพุทธโอวาทที่ทรงสอน พระราหุลว่าดูก่อนราหุลเธอจงอบรมจิตใจให้เสมอกับไฟเพราะเมื่อเธออบรมจิตใจให้เสมอกับไฟได้แล้ว สิ่งที่ถูกต้องซึ่งเป็นที่พอใจและไม่พอใจ ย่อมไม่ครอบงำจิตใจได้(85) ดังนี้

unsure.gif องค์๕ แห่งพายุ ได้แก่ ธรรมดาพายุ ย่อมพัดหอบเอากลิ่นดอกไม้ที่บานแล้วในแนวป่า ให้ฟุ้งไป ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรยินดีอยู่ในป่า อันมีดอกไม้ คือ วิมุตติเป็นอารมณ์(86) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งพายุฯ.ธรรมดาพายุย่อมพัดหมุนหมู่ไม้ทั้งปวงให้พินาศฉันใด.พระโยคาวจรก็ควรพิจารณาสังขารอยู่ในป่าขยี้กิเลสทั้งหลายให้แหลกราน(87)ฉันนั้น.อันนี้เป็นองค์ที๒แห่งพายุฯ.ธรรมดาพายุย่อมเที่ยวไป ในอากาศ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้ใจเที่ยวไปในโลกุตตรธรรม(88) ฉันนั้น อันนี้เป็น องค์ที่ ๓ แห่งพายุฯ.ธรรมดาพายุย่อมได้เสวยกลิ่นหอมฉันใดพระโยคาวจรก็ควรเสวยกลิ่นหอมคือศีลอันประเสริฐ ของตน(89) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งพายุ ฯ. ธรรมดาพายุ ย่อมพัดเรื่อยไป ไม่ห่วงใยเสียดายสิ่งใด ฉันใดพระโยคาวจรก็ไม่ควรห่วงใยต่อสิ่งทั้งปวง(90)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๕แห่งพายุฯ ข้อนี้สมกับที่พระพุทธพจน์ทรงตรัสไว้ในสุตตนิบาตว่าภัยย่อมเกิดจากตัณหา,ธุลีย่อมเกิดจากอาลัย ความไม่มีอาลัย ไม่มีตัณหา เป็นความเห็นของมุนี (91)ดังนี้

unsure.gif องค์๕แห่งภูเขาได้แก่ธรรมดาภูเขาย่อมไม่หวั่นไหวฉันใดพระโยคาวจรก็ไม่ควรหวั่นไหว ในสิ่งที่น่ายินดี,ยินร้ายฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๑แห่งภูเขาฯข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่าภูเขาศิลาที่เป็นแท่งทึบ ย่อมไม่ ไหวด้วยลม ฉันใด บัณฑิตทั้งหลาย ก็ไม่ไหวด้วยนินทาสรรเสริญ(92) ฉันนั้น ฯ ธรรมดาภูเขา ย่อมเป็นของแข็งไม่ระคนกับสิ่งใดฉันใดพระโยคาวจรก็ควรมีใจเข้มแข็งในสิ่งทั้งปวงไม่คลุกคลีกับกิเลส ใดๆ(93)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๒แห่งภูเขาฯข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่าผู้ที่ไม่คลุกคลีกับคฤหัสถ์บรรพชิต ไม่มีความห่วงใยมีแต่ความมักน้อยเราเรียกว่าพราหมณ์(94)ดังนี้ฯ.ธรรมดาภูเขาศิลาย่อมไม่มีพืชพันธุ์งอกขึ้นได้ ฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้กิเลสงอกขึ้นใน ใจของตน(95) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งภูเขา ฯ ข้อนี้สมกับคำ ของพระสุภูติเถรเจ้าว่า เวลาจิตที่ประกอบด้วยราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นแก่เรา เราก็พิจารณาอยู่ผู้เดียว เราไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ในสิ่งที่น่าเกิดราคะ โทสะ โมหะ เราสอนตัวเราเองว่าถ้าท่านเกิดราคะ,โทสะ,โมหะ,ก็จงออกไปจากป่าเพราะที่ป่านี้เป็นที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์, ผู้ไม่มีมลทิน,ผู้มีตบะท่านอย่าทำลายที่อันบริสุทธิ์ท่านจงออกไปจากป่าดังนี้ฯ(96). ธรรมดาภูเขาย่อมเป็นของสูงฉันใดพระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้สูงด้วยญาณ(97)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๔แห่งภูเขาฯข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่าเมื่อใดบัณฑิตกำจัดความประมาทด้วยความไม่ประมาทได้แล้วขึ้นสู่ ปราสาทคือปัญญา.เมื่อนั้นท่านก็ไม่มีความเศร้าโศกได้เล็งเห็นผู้เศร้าโศกเหมือนกับผู้อยู่บนภูเขา แลเห็นคนผู้อยู่ข้างล่างฉะนั้นฯ(98).ธรรมดาภูเขาย่อมไม่ฟูขึ้นหรือยุบลงฉันใดพระโยคาวจรก็ไม่ควร ฟูขึ้นและยุบลง(99)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๕แห่งภูเขาฯข้อนี้สมกับคำของอุบาสิกาจูฬสุภัททาว่าพระสมณะ ทั้งหลายของเรา ย่อมไม่ฟูขึ้น ยุบลง ด้วยความมีลาภ และความไม่มีลาภเหมือนกับ คนอื่น ๆ(100) ดังนี้

unsure.gif องค์๕แห่งอากาศได้แก่ธรรมดาอากาศไม่มีใครจับถือเอาได้ฉันใดพระโยคาวจรก็ไม่ควรให้กิเลส ยึดถือ(101)ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งอากาศ ฯ ธรรมดาอากาศ ย่อมเป็นที่เที่ยวไปแห่งฤาษี ดาบส ภูต สัตว์มีปีก ฉันใด พระโยคาวจร ก็ควรให้ใจสัญจรไปในสังขารทั้งหลายว่า เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา(102) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งอากาศ ฯ ธรรมดาอากาศ ย่อมเป็นที่เกิดแห่งความสะดุ้ง ฉันใด พระโยคาวจร ก็ควรทำให้ใจสะดุ้งกลัว ต่อการปฏิสนธิในภพทั้งปวง(102) ฉันนั้น อันนี้ เป็นองค์ที่ ๓ แห่งอากาศ ฯ ธรรมดาอากาศ ย่อมไม่มีที่สุด ไม่มี ปริมาณ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้มีสีลาจารวัตร ไม่มีที่สุด ไม่มีปริมาณ(103) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งอากาศ ฯ ธรรมดา อากาศย่อมไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ตั้ง ไม่พัวพันอยู่ในสิ่งใดฉันใดพระโยคาวจร ก็ไม่ควรข้อง ไม่ควรติด ไม่ควรตั้งอยู่ ไม่ควรผูกพันอยู่ใน ตระกูล,หมู่คณะ,ลาภ,อาวาส,เครื่องกังวล,ปัจจัย,และกิเลสทั้งปวง(104)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๕แห่งอากาศฯข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ทรงสอนพระราหุลไว้ว่าดูก่อนราหุลอากาศย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใดได้ฉันใด เธอจงอบรมจิตใจให้เสมอกับอากาศฉันนั้นเพราะเมื่อเธออบรมจิตใจให้เสมอกับอากาศได้แล้ว ผัสสะอันเป็นที่พอใจและไม่พอใจ ย่อม ไม่ครอบงำจิตใจได้ ดังนี้(105)

unsure.gif องค์ ๕ แห่งดวงจันทร์ ได้แก่ ธรรมดาดวงจันทร์ ย่อมขึ้นในสุกกปักษ์ คือ ฝ่าย ขาว อันได้แก่เดือนข้างขึ้น แล้วเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ฉันใด พระโยคาวจร ก็ควรให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นในอาจารคุณ สีลคุณ วัตตปฏิบัติ อาคม อธิคม ความสงัด ความสำรวมอินทรีย์ ความรู้จักประมาณในโภชนะ ความเพียร(106) ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๑แห่งพระจันทร์ฯ.ธรรมดาพระจันทร์ย่อมเป็นอธิบดีอันยิ่งอย่างหนึ่งฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีฉันทาธิบดีอันยิ่ง(107)ฉันนั้นอันนี้จัดเป็นองค์ที่๓แห่งพระจันทร์ฯ ธรรมดาพระจันทร์ย่อมเที่ยวไปในกลางคืนฉันใดพระโยคาวจรก็ควรเที่ยวไปด้วยวิเวก(108)ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งพระจันทร์ ฯ. ธรรมดาพระจันทร์ ย่อมมีวิมานเป็นธง ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีศีล เป็นธง(109)ฉันนั้น.อันนี้เป็นองค์๔แห่งพระจันทร์ฯ.ธรรมดาพระจันทร์ย่อมมีผู้อยากให้ตั้งขึ้นมาฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเข้าไปสู่ตระกูลด้วยมีผู้นิมนต์(110)ฉันนั้น.อันนี้เป็นองค์ที่๕แห่งพระจันทร์ฯ. ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในสังยุตตนิกายว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงเข้าไปสู่ตระกูลด้วยอาการ เหมือนดวงจันทร์อย่าทำกายใจให้ คดงอ ในตระกูล อย่าคะนองกายใจในตระกูล ดังนี้(111)

unsure.gif องค์๖แห่งดวงอาทิตย์ได้แก่ธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมทำพืชทั้งปวงให้เหี่ยวแห้งฉันใดพระโยคาวจรก็ควรทำกิเลสทั้งปวงให้แห้ง(112)ฉันนั้น.อันนี้เป็นองค์ที่๑แห่งดวงอาทิตย์ฯ.ธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมกำจัดมืด ฉันใดพระโยคาวจรกำจัดความมืดทั้งปวง คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต(113) ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่๒แห่งดวงอาทิตย์ฯ.ธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมเที่ยวไปเนืองๆฉันใดพระโยคาวจรก็ควรกระทำโยนิโสมนสิการเนืองๆ(114)ฉันนั้นฯ.ธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมมีรัศมีเป็นมาลาฉันใดพระโยคาวจรก็ควรมี รัศมีคืออารมณ์เป็นมาลา(115)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่๓แห่งดวงอาทิตย์ฯ.ธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมทำให้หมู่มหาชนร้อนฉันใดพระโยคาวจรก็ควรทำให้โลกนี้ กับทั้งเทวโลกร้อนด้วยอาจารคุณ ศีลคุณ วัตตปฏิบัติ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท(116) อันนี้เป็นองค์ที่ ๔แห่งดวงอาทิตย์ฯธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมกลัวภัยคือราหูฉันใดพระโยคาวจรได้เห็นบุคคลทั้งหลาย ที่รกรุงรังไปด้วยทุจริตและทุคติสวมด้วยเครื่องขนานคือทิฏฐิเดินไปผิดทางก็ควรทำให้ใจสลดด้วยความกลัวความสังเวช(117)อันนี้เป็นองค์ที่๕แห่งดวงอาทิตย์ฯ.ธรรมดาดวงอาทิตย์ย่อมทำให้เห็น ของดี ของเลว ฉันใด พระโยคาวจรก็ควร ทำตนให้เห็นโลกิยธรรม โลกุตตรธรรม ด้วยอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท(118)ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่ ๖ แห่งดวงอาทิตย์ ฯ ข้อนี้สมกับคำของพระวังคีสเถรเจ้า เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งขึ้นย่อมทำให้เห็นสิ่งต่างๆทั้งสะอาด,ไม่สะอาด,ดี,เลว,ฉันใดพระภิกษุผู้ทรงธรรมก็ทำให้ หมู่ชน อันถูกอวิชชาปกปิดไว้ ให้ได้เห็นทางธรรมต่าง ๆ เหมือนกับดวงอาทิตย์ตั้งขึ้นมาฉันนั้น ดังนี้(119)

โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน

โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่

โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง

โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.

- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้


#2 jane_072

jane_072
  • Members
  • 539 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 July 2007 - 10:36 AM

อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ สาธุๆๆ

#3 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 August 2007 - 12:58 PM

ขออนุโมทนาบุญนะครับ...สาธุ