ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

จะทำอย่างไรให้ปล่อยวางได้?


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 19 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 PS-Junior

PS-Junior
  • Members
  • 247 โพสต์
  • Location:Bangkok
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 08:20 PM

เนื่องจากคุณแม่ท่านปรารถณาดี อยากให้ลูกๆได้ถือพรมจรรย์เป็นอุบาสิกา สร้างบารมีให้เต็มที่ไม่อยากให้มีครอบครัว แต่มีปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเราก็เลือกทางเดินที่จะมีครอบครัวแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียน ท่านก็ทราบแต่ยังไม่ยอมรับ และไม่ยอมให้แต่งงานกัน และขอให้กลับไปคบกันแบบเพื่อน ถ้าจะคบกันต่อก็อย่าให้ท่านรับรู้เรื่องราวของเรา ทุกฝ่ายก็คิดไม่ตกไม่รู้จะทำอย่างไรดี เนื่องจากว่าเรากับแฟนในขณะนี้สร้างบารมีกับหมู่คณะคงได้แบบกองเสบียงไปก่อน จนกว่าธรรมะในตัวจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้หน่ะค่ะ
ตอนนี้ท่านก็เขียนจดหมายมาเป็นระยะ ให้เลิกกัน และบอกว่าเราทำให้ท่านเป็นทุกข์ นั่งนิ่งๆไม่ได้ ไม่ใส เราก็ต้องติดวิบากกรรมด้วย เราควรจะทำอย่างไรดีค่ะ อยากให้คุณแม่ท่านปล่อยวางเรื่องของลูกบ้างเพราะเราก็ไม่ได้ไปทำผิดศิล และก็ร่วมสร้างบารมีมาโดยตลอด ไม่ทราบสมาชิกพอมีความเห็นอย่างไรบ้างค่ะ *-)

#2 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 09:26 PM

คุณcoala โชคดีมากนะครับ ที่มีคุณแม่รักและห่วงใยคุณมากอย่างนี้

ที่ท่านแนะนำคุณอย่างนั้น เพราะท่าน

๑ ) ท่านรักและห่วงใยคุณCoaca มากจริงๆ

๒ ) เห็นทุกข์โทษของชีวิตการครองเรือน รู้ว่า แม้คุณได้คู่ครองที่มาสร้างบารมีด้วยกัน

แต่ก็สร้างบารมีได้ไม่เต็มที่เหมือน ชีวิตไม่ครองเรือน หรือชีวิตที่ประพฤติพรหมจรรย์

โดยเฉพาะถ้าคุณ Coala ได้เป็นอุบาสิกา มันเป็นอะไรที่ต่างกันมากๆ ในปรโลก


( แต่ท่านคงมองข้ามไปว่า แต่ละคนก็มีวิถีชีวิตของตนเอง
ธาตุธรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรายังไม่สามารถทำให้ทุกคนคิดพูดทำเหมือนกันได้ ฯล )


โดยความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า ถ้าคุณCoala ทำได้อย่างที่คุณแม่ ปรารถนาดี

ผลดีจะเกิดกับตัวคุณ Coala มากกว่าใคร และต่อไปคุณจะเป็นที่พึ่งให้ตนเองได้ทั้งโลกนี้โลกหน้า

แต่ถ้าคุณทำตามความปรารถนาของคุณ คุณก็ต้องยอมรับว่า

๑ ) คุณCoala มีภาระหนักในอนาคตทั้งการแสวงหาทรัพย์ เพราะยุคนี้การสร้างครอบครัว

มีภาระค่าใช้จ่ายหลายล้านบาท ทั้งบ้าน รถยนต์ รักษาโรค ค่าเลี้ยงบุตร
การการศึกษาจนจบปริญญา ฯล

๒ ) แต่ละคนมีวิบาก ไม่มีใครรู้ว่าตัวเรา หรือคู่ครองเรา มีคดีเก่ามากแค่ไหน เช่น

ผิดศีลปาณาติบาตฯมาก โรคภัยก็เบียดเบียนมาก
ผิดศีลสุราฯมาก ก็โรคทางสมอง ประสาท มีมาก

ในฐานะหุ้นส่วนชีวิต คุณต้องกระทบไปด้วยอย่างแน่นอน

ชีวิตเป็นของคุณ Coala คุณสามารถลิขิตชีวิตเองได้ อยู่ที่ตัวคุณเองว่า

จะเลือกเส้นทางชีวิตครองเรือนที่สุขน้อย ภาระมาก กังวลมาก ทุกข์มาก ในโลกนี้
หรือ ......



ใ น โ ล ก นี้

… จะมีใครบ้าง … ที่รักเราก่อน … ตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าค่าตาของเรา

… ใครบ้าง …….. ที่รักเราก่อน … โดยที่เราไม่เคยทำความดี ทำคุณประโยชน์ ต่อท่าน

… ใครบ้าง …….. ที่ยอมเจ็บปวดกาย ใจ … ยินดีเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ยากลำบาก กาย ใจ เพื่อเรา
… ใครบ้าง …….. ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข ได้รับความสะดวกสบายตลอดมา
… ใครบ้าง …….. ที่มอบความเมตตา ความปรารถนาดีให้เราเสมอมา รวมทั้ง " ให้อภัยทาน "
แก่เราตลอดมา แม้ว่าเราทำให้ท่าน เสียใจ ช้ำใจ ตรอมใจ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
… ใครบ้าง …….. ที่เฝ้าคอยดูแลเรา ในที่ยามเราเจ็บป่วย คอยปลอบโยน ในยามที่เราเสียใจ และผิดหวัง
… ใครบ้าง …….. ที่ทำหน้าที่เสมือน " ธนาคารพิเศษ " ที่เราสามารถเบิกเงินมาใช้ได้ตลอดชีวิต
… โดยที่เราไม่ต้องมีเงินฝากแม้แต่สตางค์เดียว
… ใครบ้าง …….. ที่ปลาบปลื้ม ยินดี มีความสุขใจร่วมกับเรา อย่างจริงใจใสบริสุทธิ์
…. ไม่มีใครอีกแล้ว ที่รักเราอย่างสุดขั้วหัวใจ เช่นนี้


ใครคนนั้น นั่นแหละ แม่ ... ของลูกทุกคน

*** โปรดอย่าลืมว่า เพียงเพราะคุณแม่รักและห่วงใย คุณ Coala มากเกินกว่าจะดูเบา

เกินกว่าจะห้ามใจ แนะนำสิ่งที่ดีให้คุณ ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางใด

คุณแม่ก็ยังรักคุณมากเหมือนเดิม เพียงแต่จะกังวลใจมากข้ึนบ้าง

ขอให้คุณรักและแสดงความรักต่อท่านมากๆด้วยนะครับ

**** แค่ความเห็นส่วนตัว + ความปรารถนาดี นะครับ

dangdee










#3 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 09:46 PM

เชิญคุณ Coala อ่าน หนังสือ คำสอนคุณยาย เล่ม ๑ , ๒

dangdee

#4 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 10:19 PM

แล้วถ้าหากกรณีนี้ทั้งคู่เป็นคู่บุญคู่บารมีกันมา รักกันมาก ไม่ใช่แบบความหลง ทั้งคู่ก็เป็นกัลยาณมิครให้แก่กันและกัน แต่ว่ายังไม่ถึงขั้นตัดกิเลสได้ทั้งหมด จะแตกต่างมั้ย เพราะที่จริงจากฝันในฝันก็มีคู่หลายคู่ที่รักกันมาก และได้ไปดุสิตบุรีด้วยกันก็มีเยอะนะค่ะ


#5 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 11:22 PM

สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลกใบนี้ เช่น..มนุษย์,สัตว์เดรัจฉาน..ล้วนไม่ชอบให่้ใครมาบังัคับ
แต่.......บางครั้งการที่พ่อแม่บังคับ..
ให้เราทำในสิ่งที่ดี ๆ ..ก็....
เพื่อตัวของ โคอาล่า เองทั้งนั้น ..
................................................................
ถึงแม้..คุณแม่ท่านโคอาล่า ..ท่านปรารถณาดี อยากให้ลูกๆได้ถือพรมจรรย์เป็นอุบาสิกา สร้างบารมีให้เต็มที่ไม่อยากให้มีครอบครัว...้มันจะเป็นสิ่งที่ดี...ทุกๆฝ่ายรุ้ดี..
ที่พ่อแม่หยิบยื่นมาให้ลูก
แต่ .. บางครั้งมันก็เหมือนกับ
การทำร้ายลูกทางอ้อม ......(ทำร้ายจิตใจทางอ้อม)...เพราะพยายามคิดแทน แทนที่จะให้คิด แล้ว แนะนำ..คุณ โคอาล่า..ให้คิดเอง..
.................................................................
พ่อแม่..(ที่ดี)..ควรจะปล่อยให้ลูกตัดสินใจ
เรื่องบางเรื่องด้วยตัวของลูกเอง ..
ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่สนใจ .. ไม่ช่วยชี้แนะ.........
เพียงแต่ให้ลูกคิดด้วยตัวเองก่อน ..
.......................................................
แล้วพ่อแม่ก็คอยชี้แจง ..
ข้อดี .. ข้อเสีย ในสิ่งที่ลูกจะกระทำ
ไม่ใช่บังคับลูก ..ให้ทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ ..เมื่อเขาไม่ทำตามที่พ่อแม่ แนะนำ ก็อย่าเอาตำแหน่ง พ่อและแม่(ความเป็นคนอกตัญญูมาอ้าง) อย่างนี้เรียกว่า WIN-LOSS ; Loss-WIN..
.................................................
โคอาล่า ควรตัดสินใจเรื่อง ”ชีวิตของ โคอาล่า”
ด้วยตัวของ...โคอาล่า... เอง
...................................................
แต่คุณ โคอาล่า ก็..ควรยอมรับความคิดเห็น
ของพ่อแม่บ้าง ........WIN-WIN Theorem ครับ...คุณโอาล่า..
้เพราะสิ่งที่บ่งบอกการเป็นคนดีคือการเป็นคนที่มีความกตัญญูกตเวที ต่อบิดา-มารดา
คุณ โคอาล่า ต้องอดทนเข้มแข็งต่อการกระทบกระทั่ง กระแทก กระทั้น แต่คุณ โคอาล่า ต้องไม่กระเทือน นะครับ ไม่งั้น เป็นกองเสบียงก็ไม่ก้าวหน้า ต้องอดทนต่อการ ฟรอส..จากทุกๆฝ่ายที่หวังดีต่อคุณ โคอะล่าให้ได้ครับ ไม่งั้นนั่งธรรม ก็ไม่ก้าวหน้า....ทุกอย่างเกิดที่เราต้องดับที่เรา ครับ..
...............................................
เราทุกคนรู้ว่า ..
พ่อแม่รักและหวังดีต่อ..คุณ โคอาล่า

แต่อย่าให้ความหวังดีของพ่อแม่นั้น
มาบั่นทอน ..จิตใจ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ธรรมดา ครับ
“พ่อแม่”ไม่เคยรังแก”ลูก” .. ไม่เคยทำร้าย”ลูก”
“พ่อแม่” มีแต่ รัก … แท้ .. สำหรับ “ลูก”..ครับ..แต่ต้องรู้จังหวะของมันครับ เหมือนดนตรีล่ะครับ..ไม่งั้นมันจะเป็นทุกข์..ครับ...

...................................................................


ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#6 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 11:51 PM

QUOTE
ตอนนี้ท่านก็เขียนจดหมายมาเป็นระยะ ให้เลิกกัน และบอกว่าเราทำให้ท่านเป็นทุกข์ นั่งนิ่งๆไม่ได้ ไม่ใส

มุมมองของคนที่ยังติดในกาม กับมุมมองของผู้ที่เห็นโทษของกามต่างกันครับ
ถ้าเรายังติดในกามอยู่ใครจะบอกว่ากามเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นความเดือดร้อน สุขน้อยทุกข์มาก เราก็จะยังมองไม่เห็นโทษครับ

ขณะเดียวกันสายตาของผู้ที่มองเห็นโทษของกาม คือ มารดา ของคุณ โคอาร่า ได้มองเห็นแล้วครั้นจะปล่อยให้บุตรอันเป็นที่รักต้องไปเสวยทุกข์ เพราะเหตุคือกามคือความทุกข์ ท่านจึงปล่อยไปไม่ได้เป็นธรรมดาครับ และขณะนี้ทุกข์ที่เกิดจากความรักในบุตรก็กำลังส่งผลกับท่านแล้วเช่นกันครับ ขึ้นชื่อว่า "รัก" สุขน้อยทุกข์มาก

หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#7 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 12:22 AM

BUDDISH PROVERBS....
.................................
The annihilation of craving results in the conquest over all suffering
Dh. 25/63
...................................................................................................
ความสิ้นตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง... ขุ. ธ. 25/63
..................................................................................................
1.กามตัณหา 2. ภวตัณหา 3.วิภวตัณหา... ตัณหาทั้ง 3 นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดทีเดียว กับการทำความเพียรในพระพุทธศาสนา..ครับ
ความเข้าใจในตัณหาทั้ง3แตกต่างกันไปครับด้วยเหตุว่ายังไม่เห็นลักษณะของตัณหาได้อย่างชัดเจนนัก.
...............................................................................................
กามตัณหา คือความอยากในกาม อยากในกามคุณทั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
..............................................................................................
ภวตัณหา ความอยากในภพ "อยากที่จะเป็น อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้" เป็นความอยากที่จะดำรงอยู่ เพราะเห็นแล้วว่า กามนั้นแปรปรวน เป็นทุกข์ จึงอยากจะดำรงอยู่เฉยๆ ไม่ว่าจะอยากดำรงอยู่ในภพแบบไหน ทั้งรูปราคะ และอรูปราคะ รูปพรหม และ อรูปพรหม ได้ทั้งสิ้น
....................................................................................................
วิภวตัณหา แปลว่า "อยากที่จะไม่เป็น ไม่อยากให้เป็นอย่างโน้อย่างนี้" เพราะเห็นโทษทุกข์ของ "ภพ" จึงปราถนาที่จะไม่ให้ดำรงอยู่ภพใดๆทั้งสิ้น (ไม่อยากให้ลูกหรือสามี หรือใครๆ หรือสิ่งใดๆเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)...คุณครูไม่ใหญ่ท่านได้อบรมสั่งสอนเราว่าจิตเราจะผูกพันกับ คน-สัตว์-สิ่งของ..ผูกกันไปกันมาอย่างนี้ ครับ.(โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันครับ)
คุณโคอาล่า....ต้อง้ตระหนักถึง "คุณค่า" ของ "มัชฌิมา ปฏิปทา" หรือ ทางสายกลางอย่างยิ่ง และเห็นด้วยว่า "ปัญญาธิคุณ" ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีมากมายเพียงใด เพราะใครเล่าจะนึกออกว่า ทางสายกลาง อันเป็นทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัณหาทั้ง 3 จะเป็นอย่างไร ทางใดที่เดินไปท่ามกลาง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เพื่อความหลุดพ้น สำรอกเสีย ซึ่งตัณหาเหล่านี้เอง..
...ยกเหตุนี้ไปสนทนาธรรมกับท่านแม่ของคุณ โคอาล่า ก็อาจจะพอบรรเทาใน ภวตัณหา และ วิภวตัณหา..ของท่านได้บ้างครับ..(หรือไม่ก็อาจจะโดนข้อหามิบังอาจไปสอนท่านก็ได้ครับ)
ก็ให้ดูจังหวะดีๆ ดูตอนท่านอารมณ์แจ่มใส อารมณ์ดีๆ ค่อยๆคุยเป็นไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย ถ้าดูทิศทางลมแรงก็ถอยมาก่อน ก่อนที่จะพูดคุยครับ เป็นไปอย่างนี้แล้ว คุณโคอาล่า ปราถนาในสื่งที่เป็นไปเพื่อสร้างบุญกุศล พอกพูนบารมี ก็ย่อมสำเร็จครับ...

ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#8 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 03:33 AM

รู้สึกว่าคำถามนี้ ได้ถูกโพสต์มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า nan_coala) ฉะนั้น ผมจึงมีข้อแนะนำสำหรับพี่ดังต่อไปนี้ คือ

๑. ย้อนกลับไปดูคำแนะนำต่างๆ ที่กัลฯ ทุกท่านได้เคยแนะนำไว้ในกระทู้เก่า เพื่อนำมาใช้ประกอบกับคำแนะนำในกระทู้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
๒. ต้องหมั่นนั่งสมาธิให้มากขึ้นกว่าเดิมนะครับ เพราะ "สมาธิ" เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา อย่าหนักการทำบุญแต่ในเรื่องทานเพียงอย่างเดียว
๓. ทำบุญทุกครั้งต้องหมั่นอธิษฐานล้อมคอก เพื่อเป็นการตอกย้ำเป้าหมายและมโนปณิธานในการมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมให้หนาแน่นอยู่เสมอ ทั้งยังต้องอธิษฐานจิตเพิ่มเติมด้วยว่า "ด้วยอานุภาพแห่งบารมีกุศลนี้ ขอจงเป็นเครื่องนำทางชีวิตของข้าพระพุทธเจ้า ให้พบกับทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ได้แบบไม่ร้อนเรา ร้อนท่าน และเมื่อพบทางออกของปัญหาแล้ว ขอให้ได้อยู่ในฐานะ/เพศภาวะที่สามารถสั่งสมบ่มบารมีได้โดยง่ายโดยสะดวก คล่องตัวทั้งทางโลกและทางธรรมไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ"


#9 extra

extra
  • Members
  • 409 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 06:25 AM

คุณโคอาล่า ลองทำตามคำแนะนำตามของท่านอื่นๆ ดูนะคะ
สำหรับสิ่งที่อยากบอกคุณโคอาล่าคือ

1. กัลยาณมิตรคือที่สุดแห่งพรหมจรรย์

2. การใช้ชีวิตคู่ บ่งถึง ความต้องการในกามราคะ
ซึ่งเป็นอุปสรรคในการประพฤติพรหมจรรย์
อุปมาเหมือนเอาตัวของเรา (ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่เท้า หรือลงไปจนถึงครึ่งตัว)
ไปจุ่มอยู่ในอ่างที่มีน้ำ ตัวเราก็จะเปียก
เมื่อเราอยากให้ตัวแห้ง เราก็เอาตัวเราออกมาจากอ่าง
อีกสักพักเราคิดถึงน้ำในอ่างน้ำ อยากให้ตัวเองได้รับความเย็นหรือความอุ่นจากน้ำนั้นอีก
เราก็จะเอาตัวเราไปจุ่มในน้ำนั้นอีก
จุ่มลงไป เอาออกมา วนเวียนอยู่เช่นนี้
อย่างไรเลย ตัวจะแห้ง

3. "หากได้คิด แล้วจะคิดได้"
คุณอาจทดลองรักษาศีล 8 เป็นระยะเวลาหนึ่ง
เพื่อดูใจของตนเองว่า อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง
หลังจากใช้ปัญญาของตนเลือกทางใดทางหนึ่งได้แล้ว
(ย้ำว่า คุณเลือกได้ทางเดียวเท่านั้น "ใจสู้ ชูนิ้วเดียว")
ให้อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอเพื่อเตือนตนให้มุ่งสู่หนทางนั้นได้สำเร็จ


4. คุณรู้ไหมว่าใครคนหนึ่งเขาคอยคุณอยู่
เขาอยู่กับคุณตลอดเวลา เขาคือผู้รู้ มีมหากรุณา และงามกว่าผู้ใดในจักรวาล

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ happy.gif


#10 Trai072

Trai072
  • Members
  • 225 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 11:40 AM

^^~*

ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจ ของตัวเราเองแล้วหละครับ ว่า...

เราจะไปหาความสุข ของตัวเราเอง หรือ ...

เราจะสร้างความสุขให้กับผู้มีพระคุณ ...

ฟังจากประโยค ดูเหมือนจะใจร้าย แต่เราก็ต้องเลือก ... ครับ

เราต้องมองดู ถึงความเป็นลูกที่ดี ลูกที่กตัญญู รู้คุณ ... ครับ

ลองทบทวนเคสต่างๆ ที่ผ่านมาครับ ...

ทำใจใสๆ..... มองลงไปที่ปัญหา

ทำใจนิ่งๆ..... แล้วจะได้คำตอบ ครับ

ถ้าใจไม่ใส ใจไม่นิ่ง ก็ยังมีคำตอบที่ 2 แง่ 2 มุมครับ ...

ขออนุโมทนาบุญ ด้วยนะครับ ... สาธุ ครับ ...




เ มื่ อ เ ร า ส ว่ า ง * * * โ ล ก * * * ก็ ส ว่ า ง ด้ ว ย ^^~*

ส า ธุ . . . ค รั บ ^^~*





#11 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 12:30 PM

น่าเห็นใจครับ ถ้าคุณยังเรียนหนังสืออยู่ขอให้ทำตามที่คุณแม่ขอร้องนะครับ เพราะทุกคนที่ยังอยู่ในวัยเรียน ย่อมยังไม่สมควรที่จะมีคู่ครองครับ เนื่องจากยังไม่ได้หาเลี้ยงชีพได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอนาคตเขาจะตัดสินใจประพฤติพรหมจรรย์หรือไม่ก็ตาม แต่ถ้ายังอยู่ในวัยเรียนต้องเรียนให้จบให้เรียบร้อยก่อนครับ

แม้แต่คุณครูไม่ใหญ่ สมัยมาพบคุณยายใหม่ๆ ตอนยังเป็นนักเรียน มาถึงก็ขอบวช คุณยายยังบอกว่า ต้องไปเรียนให้จบเสียก่อนน่ะครับ (แต่ปัจจุบัน ผู้ที่มีใจจะบวชจริงๆ แม้ยังเรียนไม่จบ ก็สามารถบวชก่อนได้ครับ เพราะปัจจุบันมีหลักสูตรให้พระสามารถเรียนต่อได้ แต่ปรับหลักสูตรให้เข้ากับความเป็นพระ)

แต่ถ้าคุณจบทำงานแล้ว ก็ขอให้คิดซ้ายขวาหน้าหลังให้รอบคอบนะครับ ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร ก็โปรดนึกไว้ด้วยว่า ผู้ที่รับผลของการตัดสินใจสุดท้ายนั้น ได้แก่ตัวคุณเองครับ ผู้อื่นเป็นเพียงผู้แนะนำเท่านั้น




ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#12 krittiya

krittiya
  • Members
  • 77 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:56ถถนฟากอง อ.เมือง จ.น่าน

โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 10:52 AM

คุณโคอาล่าโชดดีที่คุณแม่บังคับไม่ให้แต่งงานแต่อิฉันถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน อิฉันยังไม่แต่งงานเล้ย ยังงัยคุณโคอาล่าตัดสินใจเองเหอะเพราะที่อ่านมาคุณแม่ท่านก็ปรารถนาดีและถูกต้องด้วย ถ้าบังคับให้แต่งงานก็ว่าอย่าง จริงอยู่บางเรื่องเราก็มีวิถีชีวิตของเราเอง บางอย่างเราก็เก็บเรื่องบางอย่างควรเอามาพิจารณาด้วย ยังนับว่าคุณโคอาล่าโชดดีกว่าใคร ๆ ที่มีแม่เป็นกัลยาณมิตร เพราะคุณแม่คงจะเบื่อหน่ายในการครองเรือนด้วย ท้ายที่สุดเห็นด้วยกับความเห็นทุกท่านที่เสนความคิดในแนวเดียวกับอิฉัน


#13 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 03:19 PM


กล่องของแม่

แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย “หนักมั๊ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน”

ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่าๆนั้น จากมือแม่แต่ไม่สำเร็จ
แม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัดระวัง ส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง

วันสุดท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉัน
เมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมาก
สุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น

แน่นอน ตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่ ทุกคนจะมีความสุข เพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ ความคิดอ่าน
และอะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่าง ที่เหมือนกันมาไว้ใต้ชายคาเดียวกัน

มันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง! ทฤษฎีของการแยกประเภท แยกโลกออกจากกันให้ชัดเจนเพื่อลดความขัดแย้ง
ในต่างประเทศ ที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้


“ไปก็ไปซี ว่าแต่แกจะกินอยู่ยังไงล่ะ” แม่ตอบง่ายๆ หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กพูดวกวนอยู่เป็นนาน สองนาน
ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงฉัน จะอยู่จะกินยังไงต่อไป

“แม่อย่างห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว” ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้าง


นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตปกติ เพื่อรอวัน ‘ย้ายบ้าน’
แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้
แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอยอย่างที่พวกเราพี่ๆ น้องๆ กลัวกัน
และแม่ไม่ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่นๆที่เคยเป็นมา
พวกพี่ๆ และบรรดาสะใภ้กับเขยทั้งหลายเสียอีก ที่รุมถล่มฉันอยู่หลายวัน

“แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กีปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักไสแกไปอย่างนั้น” นี่พี่สาวคนโต
“คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้างจะอะไรกันนักหนาชั่วดีก็แม่เราจะส่งแกไปทำไมกัน
แถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็นบ้า” ส่วนนี่ก็พี่เขยจอมตืด

“แม่คงเสียใจพิลึก แกลองไปคิดดูใหม่ดีๆแล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ”
“แกก็หัดใจเย็นๆ ลงมั่งซี ลูกผัวก็ไม่มีแม่คนเดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้”

เออ..เอาเข้าไปได้พวกดีแต่พูด พูดกันดีนักแต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ซักคน
นอกจากนั้น!ก็ไอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ ก็เพราะแม่นั่นแหละ

วันๆเวลาที่เหลือจากการทำงานต้องอุทิศ ให้แม่ไปจนหมดแล้ว
จะไปพักร้อนยาวๆ ก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครยอมมาดูแม่ให้
พวกปากดีที่ว่าตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละ
วันหยุดยาวทีไรต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง

“โอ๊ย! ไม่ได้หรอกฉันจองโรงแรมไว้แล้วแกไว้ไป
คราวหน้าซี เอาเถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝาก”
อ๊วกจะแตก ใครอยากได้ของฝากพรรค์นั้น

ขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ลูกหยี กล้วยฉาบ และของบ้าๆ บอๆอีกเป็นพะเรอ
แม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่กินเดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหาก ทุเรศ!
แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ไม่มีคำว่าพักร้อน

ไม่มีวันหยุดยาวอย่างใครๆ เขา ไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำไม่มีงานวันเกิดเพื่อน
หรืองานสนุกอะไรทั้งนั้นสรุปแล้วฉันจะหาโอกาส ที่ไหนไปมีแฟนล่ะ
เลยกลายเป็น ‘ลูกเหลือขอ’อยู่คนเดียวในบ้าน นี่แหละ

ลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมา ‘ขอ’ ไปหมด ยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉัน
ใครจะมาซาบซึ้งกับความเป็น‘ลูกเหลือขอ’ ได้ดีเท่าฉัน
ใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่าพี่อ้อย พี่แอ๊ว และพี่อ๋อม และใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่นๆ
เพียงแต่แม่พวกนั้นมันเกิดก่อน เลยได้โอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกันไปหมดแล้ว

ฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะฉิบ
ตกที่นั่ง ต้องมานั่งเลี้ยงแม่ ทนฟังแม่บ่นและคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่อง
ตั้งแต่เรื่องเสื้อตัวใหม่ ผมทรงใหม่อาหารเย็นของแม่แต่ละวัน
และวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่างๆ
ก็ไม่รู้เป็นไงให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้ง แม่จำเพราะต้องไปไหว้พระไหว้เจ้า
เอาวันที่ฉันอยากออกไปช็อปปิ้งหรือมีนัด กับใครต่อใครซะทุกทีซิน่า

“แม่ไปวันอื่นไม่ได้เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน”
แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและเสียงสะบัดของฉันเลย
“วันนี้เป็นวันดี วันเทวดาลงมาจากสวรรค์วันอื่นไปไม่ได้”
หรือไม่ก็“วันนี้วันพระใหญ่ ปีนึงมีไม่กี่วันเองไม่ไปไหว้ได้ไง”

โอ๊ย! จะบ้าว่ะอยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจนัก
ไอ้เรื่องไหว้พระไหว้เจ้าของแม่นี่ยังถือเป็นวาระจรนะ
นอกเหนือจากพวกเจ้าประจำคือไปหาหมอทุกเดือนและซื้อยา

ส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษก็ชักบ่อยจนกลายเป็นเจ้าจำนำกันไปคือ
เดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสียวันดีคืนดีก็หกล้มหกลุกให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน
ก็จะไม่อารมณ์จะไม่เสียได้ไง ฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงาน
หรือมีอันต้อง มีเหตุให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุด

จนแค่เดินเข้าไปหาเจ้านายโดยไม่ต้องอ้าปากพูด นายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว
ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่า คงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่ง
หรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่นๆหรอก จนกว่าแม่จะตาย!
แล้วเมื่อไหร่ล่ะแม่ถึงจะตาย ฉันอาจจะตายก่อนแม่ก็ได้ใครจะรู้!!


แม่ขึ้นรถเรียบร้อยพร้อมเอากล่องของแม่วางบนตัก โดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลัง
พอพ้นซอยเท่านั้นแหละ รถติด เป็นแพเต็มถนน
ฟ้าที่ดำทะมึนตั้งกะเช้าก็สำแดงอาการทันที กลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมีอารัมภบท
มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถติด

“แม่หนาวมั๊ย จะได้หรี่แอร์” แต่แเม่สั่นหน้า ตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย
“แม่เอาของมาน้อยจัง”ในเมื่อแม่ไม่พูดฉันเลยต้องพูดไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้า
กับประโยคนี้ของฉันแม่เริ่มพูดขึ้นมาได้

“ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้ว อย่างอื่นไม่รู้จะเอาไปทำไมมันไม่จำเป็น
เสื้อสองชุด รองเท้าแตะคู่ก็พอเอาไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี”

ฉันลอบถอนใจ
ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้างแม้จะเป็นการพูด แบบมองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตาม
แม่ก็ยังงี้แหละกลัวของหายกลัวคนมาขโมยของของตัว
บางทีโวยวายแทบตายปรากฎว่า ของที่ว่าหายนั้นอยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ๆ

รถบนถนนขยับได้ทีละนิดสลับกับอาการหยุดนิ่งอยู่กับที่ทีละนานๆ
ฝนบนฟ้าก็เทลงมายังกะเทวดากำสรวล

ฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้านใหม่
มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ด้วยกาลเวลา กล่องแบบนี้เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้ว
และผงซักฟอกยี่ห้อนั้นก็เลิกผลิตไปนานหลายปีแล้ว
ยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรงข้างกล่องยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียว

ลังผงซักฟอกของแม่จะว่าไปจริงๆขนาดกำลังพอดี
เพราะพอวางบนตักแล้วขนาดพอดีกับตักแม่เลย
มีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่ง รวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่น
ที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรง

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่ ทั้งที่เราก็มีกล่องแบบนี้หลายใบอยู่
วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบามือ มันดูน่าขันยังกะพวกบ้านนอกเวลาจะกลับบ้าน

วันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่แม่ไม่เอา
“ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสับสนกันหมด เอาไว้ในกล่องน่ะดีแล้ว”
ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้าๆ ออกๆอยู่หลายหน
แต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักทีว่ามีอะไรในนั้น
พวกเรามักเรียกว่า ‘กล่องของแม่’ ก็เท่านั้นและเป็นอันรู้กันว่าห้ามย้าย ห้ามรื้อกล่องของแม่เป็นอันขาด


“มีอะไรในกล่องมั่งล่ะ” ไหนๆ แม่จะไม่อยู่แล้วฉันเลยถามขึ้น
แม่มีอาการกระตือรือร้นเชียว เวลาพูดถึงกล่องของแม่
รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบนกล่องออกมาอย่างเบามือ แล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู

“มีแต่ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ
บนๆนี่ก็รูปพวกหลานทั้งหลายล่างๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก”

แม่หยิบสมุดอัลบั้มใส่รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม แล้วเปิดดูทีละหน้าพร้อมกันยิ้มกว้าง
“นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ๆ ตัวมันแดงเชียวหน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะ
พอโตแล้วซนเป็นบ้ายายมันเลี้ยงซะเสียคน” นี่ก็เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่
คือมีช่องว่างเป็นต้องจิกลูกสะใภ้ และครอบครัว

แม่ยังหยิบโน่นหยิงนี่ออกมาอย่างช้าๆ พวกรูปทั้งนั้นแหละ
มีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลานย่า รูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิดใหม่
รูปที่พวกลูกๆหลานๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันแม่เก็บไว้ยังกะของมีค่า
แล้วก็มาถึงบรรดากระดาษรุ่งริ่ง กระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทบจะกระจาย
เมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้ารถ
“อุ๊ย! อะไรน่ะ”ฉันรีบปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้นหน้าตักแม่
่ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้นจะร่วงปลิวไปตามแรงลม

“วันเกิดพวกแกกลับพวกหลานๆไงฉันเก็บไว้ทุกคนแหละ
ไม่ยังงั้นเวลาไหว้พระจำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อไหร่
เรามันครอบครัวใหญ่จำไม่หมด นี่..นี่..แผ่นนี้วันเกิดตาอึ่ง
ตอนมีลูกคนแรกมันสับสนวุ่นวายไปหมด ทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไงดี
แต่ยายน่ะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือ บอกว่า เอ้า! วันเกิดลูกเก็บไว้ซะ

ตั้งแต่นั้นมาพอใครเกิดฉันก็ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกที
ฉันมันคนไม่รู้หนังสือไม่เหมือนพวกแกหรอก มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกัน
แต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดแม่ได้ซักคน
วันตายพ่อยังไม่รู้เลย ฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุกปี”

น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจ อาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้
ปฏิทินที่แม่ว่านั้นเป็นกระดาษสีนวลบางๆ ใบใหญ่บ้างเล็กบ้าง
ตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตปฏิทินออกมาขนาดไหน
ตอนเด็กๆอาเจ๊ร้านขายของชำแถวบ้านจะเอามาแจกให้ทุกปี
พอเขาเลิกแจกแม่ต้องไปซื้อที่ตลาดเก่าเยาวราชนู่นแหละ

ตอนหลัง พี่อึ่งเป็นคนเอามาให้ทุกปีเพราะที่บ้านเขามีคนเอามาให้
แต่เขาไม่แขวนเพราะเชย มันเป็นปฏิทินทางจันทรคติ
ที่แยกวันที่ออกเป็นวันละหนึ่งแผ่นตัวเลขวันที่พิมพ์ตัวโตสีดำเด่นอยู่กลางหน้ากระดาษ
ถ้าเป็นวันหยุดตัวเลขจะเป็นสีแดงแทน พวกเราทุกคนคุ้นกับปฏิทินของแม่ดี
เพราะแม่สอนพวกเราทุกคนหัดอ่าน หนึ่ง สอง สามจากปฏิทินพวกนี้แหละ
พี่อั๋นนั้นโดนแม่ตีมือมากที่สุด เพราะอ่านไปฉีกเล่นไป

“อย่าฉีก เดี๋ยวแม่ไหว้เจ้าไม่ถูก” แม่จะหวงปฏิทินมาก เพราะบนกระดาษแต่ละใบนั้น
นอกจากวันที่ตัวมหึมาเห็นเด่นชัด โดยไม่ต้องใส่แว่นแล้ว
ยังมีคำทำนายสั้นๆ อยู่ด้วย สำหรับคนเกิดในวันนั้น
และมีฤกษ์ผานาทีกำกับไว้ว่าวันนั้นควรทำการมงคลหรือไม่ควรทำอะไร
และที่สำคัญใบ้หวย...แม่น!

“ลูกแปดคน ก็มีแต่แกนี่แหละที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอันกินอันนอน”
“อ้าว! ทำไมล่ะ” เออ นี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน

“ตอนแกเกิดในปฏิทินเขาเขียนไว้ว่าชะตาไม่ดี เลี้ยงยาก
ไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรคเป็นเวรพ่อแกเค้าหาว่าบ้า
เฮ้อ!จริงไม่จริงคนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนน่ะแหละ
ของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือน ใครไม่รักไม่หวงก็บ้าแล้ว*
ผู้ชายจะมารู้อะไรเค้าไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรานี่”

พูดถึงพ่อแล้วแม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า
"พอออกจากโรงพยาบาลอยู่เดือนยังไม่ครบดี ฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลย
ย่าแกด่าซะไม่มีดีเค้าห่วงกลัวเราไม่สบายใจ

้ตอนนั้นเราก็ไม่รุ้เลยเสียอกเสียใจยกใหญ่
พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซีก็พูดเหมือนกัน เค้าว่าแกเลี้ยงยากเพราะดวงมันมายังงั้น
แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อ!ไอ้ฉันน่ะเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้มเลย
กลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้าให้แคล้วคลาด
เวลาไปไหนๆก็ต้องบนพระทุกที่ให้แกไปดีมาดี กว่าจะโตมาได้เฮ้อ! "

แม่ถอนใจอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดจบได้
ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่ นอกจากเสียงฝนและเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้ว
มันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนซักแห่งในโลก
ที่ไม่ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้

“แกจะเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์สซิ่งโฮมของแก
ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้วมีที่นอนมีข้าวกินสามมื้อก็พอ
ห่วงก็แต่แกน่ะแหละอีกไม่กี่ปีจะสามสิบห้าอยู่แล้วต้องระวังตัวให้ดี
อย่าลืมไปทำบุญไหว้พระซะจะได้อายุมั่น ขวัญยืน ถ้าฉันยังอยู่กะแกก็จะได้ไปจัดการให้
แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้ว ค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย”

แม่พูดพร้อมกับที่ค่อยๆเรียงกระดาษและรูปทั้งหมด ลงไปในกล่องของแม่อย่างเดิม

"ไอ้กล่องนี่ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะตั้งกะมีลูกคนแรก มีอะไรฉันก็เรียงลงไปเรื่อยๆ
หลายสิบปีแล้วแต่มันยังกะคอมพิวเตอร์พวกแกเลยนะ แถมแม่นไม่มีอะไรเท่า
พวกแกซะอีกหลงๆลืมๆ "

ฉันไม่เคยรู้เลยว่ากล่องของแม่จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้
มิน่าแม่จะจำวันสำคัญของพวกเราได้แม่น อย่างไม่น่าเชื่อ จนพวกเราแอบเรียกแม่ว่า
“สมองคอมพิวเตอร์” ที่แม้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่เอง
เห็นแม่ลากออกมาดูบ่อยๆ แล้วเก็บไว้อย่างดีทุกที

ฉันคงนั่งนิ่งไปนานถ้าแม่ไม่พูดขึ้นว่า
“แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลยฉันรู้ว่าพวกพี่ๆ เค้าเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉัน
แต่คนเดียวเดี๋ยวนี้มันก็ภาระแยะ ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียน
ไหนจะเอาลูกไปสอบไปวิ่งเต้นเรื่องนั้นเรื่องนี้
ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีกแม่พวกสะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดู พ่อแม่เค้า อะไรๆ ฉันก็ร
ู้
แต่ทำไงได้ล่ะคนมันยังไม่ถึงคราวตายมันก็ต้องอยู่ไปยังงี้แหละ
ใช่ว่าอยากตายก็จะได้ตายซะที่ไหนแก่แล้วลำบาก
ไปไหนต้องอาศัยคนอื่นทำอะไรก็ต้องออกปาก ไหว้วานคนนั้นคนนี้
มันเหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเค้าไอ้ที่เคยคล่องๆ ก็กลายมาเป็นภาระ
ความจริงไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกัน บางที ถ้าไม่มีภาระเรื่องแม่
แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที”


เงาดำในใจฉันเริ่มคลี่ขจายออกกลายเป็นเพียงหมอกบางๆ
ฉันแหงนหน้าไปดูท้องฟ้านอกรถ ฝนเริ่มบางตาแสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้บ้าง

“แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่า ไอ้ที่ฉันจะไปอยู่มันคงดีเพราะราคามันแพง
จะมีคนแก่ซักกี่คนที่ได้ไปอยู่ที่แพงๆอย่างนั้น
ห่วงตัวเองเถอะถ้าเจอคนดีพอใช้ได้ก็อย่าเลือกมากมาย
รีบแต่งงานรีบมีลูก แก่แล้วจะได้ไม่ลำบาก ดูอย่างชั้นซิ
อย่างน้อยถึงลูกไม่มีเวลาให้ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้ ถ้าไม่มีลูกจะยิ่งลำบากมากกว่านี้”

ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกันไปพักหนึ่งฉันบอกแม่ว่า
“อิ๋วจะไปหาแม่บ่อยๆ”

“อย่าพูดยังงั้นเลย เดี๋ยวนี้การจราจรมันสาหัสเหลือเกินเวลาก็ไม่ค่อยมี
เรื่องต้องทำก็มีแยะไปหมดเอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกัน
แต่ถึงพวกแกไม่มาฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก ชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมดแล้ว
อยากเห็นหน้าลูกก็ดูเอาในนี้อยากเห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้
ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสียเวลาเปิดกล่องของแม่มาก็เห็น หน้าพวกแกได้ทันที”

แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับขึ้น
รถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ พร้อมกันฝนที่ขาดเม็ด
อีกไม่กี่เมตรจะถึงสี่แยกแล้ว และมีป้ายให้กลับรถได้
ฉันพารถเบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถ แม้รถคันอื่นจะบีบแตรด่ากันเสียงขรม


แต่ฉันไม่สนใจฉันกำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่
และมีกล่องอย่างแม่สักใบคงดีไม่น้อยที่จะได้อวดลูกๆ




#14 Pro

Pro
  • Members
  • 134 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:33 PM

อนุโมทนาครับ สาธุ
ยิ้มแล้วรวย อ่านกระทู้อยู่ก็ยิ้มได้ครับ

#15 JOYSA

JOYSA
  • Members
  • 234 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 08:52 PM

ลองอ่านดูนะจ๊ะ
ปล่อยวาง


สุพจน์นั่งอยู่ในร้านกาแฟชื่อดัง แต่แทนที่จะมีความสุขกับคาปูชิโนรสโปรด กลับมีสีหน้าขุ่นเคือง ไม่เสบยเอาเสียเลย
เพื่อนคนหนึ่งเผอิญเดินเข้าไปในร้าน เห็นอาการของสุพจน์แล้ว แปลกใจจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
"ก็เจ้าพนักงานเก็บเงินที่เคาน์เตอร์น่ะสิ" สุพจน์ตอบ " ดูสายตาของมันสิ"
"ทำไมเหรอ เขาก็ดูปกติดีนี่" เพื่อนว่า
"แกไม่รู้อะไร มันรังเกียจคนอีสาน ดูมันมองฉันสิ "
"เพิ่งรู้ว่าแกเป็นคนอีสาน"
"ใครว่า หน้าตาฉันแค่เหมือนอีสาน แต่ฉันเป็นคนกรุงเทพ ฯ ทั้งแท่ง"


ถ้าคุณเป็นเพื่อนของสุพจน์ คงอดงงงวยไม่ได้ พนักงานคนนั้นดูถูกคนอีสานจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถึงจะจริง สุพจน์ก็ไม่น่าจะไปหัวเสีย ก็ในเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นอีสานสักหน่อย จะไปเดือดร้อนทำไม ถ้าจะทุกข์ร้อนแทนคนอีสานก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับไปรับสมอ้างว่าเป็นคนอีสาน แล้วก็เลยทุกข์เสียเอง
ฟังเรื่องของสุพจน์แล้ว ใคร ๆ ก็ต้องบอกว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี
แต่เอ๊ะ บ่อยครั้งเราก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ เวลาคนอื่นเข้าใจผิดคิดเราว่าคดโกง ไม่รับผิดชอบ เห็นแก่ตัว ฯลฯ ทำไมเราถึงโกรธในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักหน่อย เหตุใดเราถึงไปรับสมอ้างว่าเป็นอย่างเขาว่า
ลองคิดดูว่าวันหนึ่ง ๆ เราเป็นทุกข์เพราะไปรับสมอ้างในเรื่องที่เราไม่ได้เป็น กี่สิบกี่ร้อยครั้ง ใหม่ ๆ ก็รับสมอ้างด้วยความเผลอ แต่ในที่สุดก็อาจปักใจเชื่อว่าตัวเองแย่อย่างที่เขาว่าจริง ๆ ไม่มีอะไรที่แย่กว่านี้อีกแล้ว
มีเหมือนกันที่บางครั้งเรารู้ดีว่าตัวไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า แต่ก็ยังทุกข์อยู่ ถามว่าเป็นเพราะอะไร คำตอบก็คือ เราทนไม่ได้ที่เขาเห็นเราแย่ เราเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าคนอื่นเห็นเราอย่างไร "เป็น" กับ "เห็น"นั้นต่างกันมาก แต่บ่อยครั้งเรากลับให้ค่ากับความเห็นหรือสายตาของคนอื่น ยิ่งกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่จริง ๆ
นี้คือปัญหาของตัวตนที่ครอบงำใจเรา ตัวตนหรืออัตตานั้นปรารถนาการพะเน้าพะนอ ไม่มีอะไรที่ทำให้มันพองโตเท่ากับคำยกย่องสรรเสริญหรือการพินอบพิเทา เมื่อมีคนชื่นชม เราไม่ค่อยสนใจเหตุผลของเขามากเท่ากับคำว่า "คุณเก่ง" หรือ "คุณสวย" ในทำนองเดียวกันเมื่อมีคนตำหนิ เหตุผลของเขามีความหมายต่อเราน้อยกว่าคำว่า "เธอแย่" หรือ "เธอขี้เหร่" ตัวตนใหญ่โตเท่าไหร่ ก็เจ็บมากเท่านั้น เพราะรับเอาแรงกระแทกไปเต็ม ๆ ทั้ง ๆ ที่หลบได้ แต่ไม่หลบเพราะไปยึดถือเอาคำต่อว่านั้นมาเป็น "ของฉัน" หรือ "ของกู" ที่จริงเหตุผลของเขาอาจจะดี แต่พอไปคิดแค่ว่า "เขาว่าฉัน ๆๆ" ก็เลยได้แต่ฟูมฟาย ไม่เอาเหตุผลของเขามาพิจารณาว่าถูกต้องหรือไม่
เป็นธรรมดาของตัวตนที่ชอบยึดถือสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็น "ของฉัน" เช่น บ้านของฉัน แฟนของฉัน ชื่อเสียงของฉัน ปัญหาก็คือ พอยึดจนเคยตัวแล้ว ของไม่ดีก็ยึดว่าเป็นของฉันด้วย ผลก็คือแบกเอาคำตำหนิติเตียนมาไว้ในใจทั้งวันทั้งคืน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะวางก็วางไม่เป็น เพราะยึดไว้เป็นนิสัยเสียแล้ว
พอยึดถือหนักเข้า ทีนี้อะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แม้ไม่เกี่ยวข้องกับตัว ก็ไปยึดไปแบกเอาไว้จนเป็นทุกข์ เพียงแค่มีเสียงดังเท่านั้น ก็ไปคว้าเอาเสียงนั้นมาเล่นงานตัวเอง เสร็จแล้วก็ไปต่อว่าเจ้าของเสียงนั้น แทนที่จะหันมาดูจิตใจของตัวเอง
คราวหนึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโรได้รับนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้านโยมในกรุงเทพ ฯ เมื่อฉันเสร็จโยมก็นิมนต์ให้ท่านเอนกายพักผ่อนก่อนเดินทางกลับวัดที่สิงห์บุรี
ระหว่างที่ท่านพัก ก็มีเสียงเกี๊ยะดังมาจากข้างบ้านซึ่งเป็นร้านขายของ ศิษย์คนหนึ่งซึ่งอุปัฏฐากท่านอยู่ก็บ่นขึ้นมาดัง ๆ ว่า "แหม เดินเสียงดังเชียว"
หลวงปู่แม้จะหลับตาอยู่ แต่ก็รับรู้ตลอด จึงพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า "เขาเดินของเขาอยู่ดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง"
ไม่ใช่หูเท่านั้น แต่ตาของเราก็ชอบหาเรื่องไม่ใช่ย่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะใจของเรานั่นเองที่ชอบเผลอไปยึดไปแบกอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ปล่อยวางเสียบ้าง แล้วอะไรต่ออะไรจะดีเอง


#16 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 04:50 PM

เห็นด้วยกับ JOYSA .....
...........................
เลี้ยงได้แต่ตัว แต่เลี้ยงใจไม่ได้
.............................


#17 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 09:11 PM

เรียน.คุณโคอะล่า ลองอ่านเรื่องดีๆ.........
ที่ พิง ลำพระเพลิงเขียนมา (อ่านให้จบนะ...ซึ้งมากกกก)
รับรอง ปฎิสัมพันธ์ทางความคิด คำพูด และการกระทำกับท่านแม่ของคุณโคอะล่า (แต่แม่ของ พิง ลำพระเพลิง เป็นคนบ้านนอก ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ หรือความต้องการทะยานอยากอะไรเป็นพิเศษ) ต้องเป็นไปในทางเกื้อกูลเพื่อ กรุยทางสู่การสั่งสมบุญ สร้างบารมี กับหมู่คณะไปจนถึงที่สุดแห่งธรรม ครับ ผ๊ม...
................................................................................................
ค่าน้ำนม

ถ้าให้จัดเรียงความสำคัญของ ’ผู้หญิง’ ในชีวิตเรามาสามอันดับแรก น่าเป็นดังนี้
อันดับที่หนึ่ง คือ “แม่”
อันดับที่สอง คือ “แม่”
อันดับที่สาม คือ “แม่”
ใช่ครับ ผมกำลังจะพูดถึง “แม่” สิ่งที่เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ว่าอาจมีบ้างบางครั้งที่เราหลงลืมไป จนขาดความใส่ใจกับบุคคลใกล้ตัวท่านนี้
จำได้มั๊ยครับ ครั้งสุดท้ายที่คุณกอดแม่น่ะเมื่อไหร่? อย่าบอกนะว่าคุณอายุมากเกินไปแล้ว...เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะกอดแม่หรอก
ผมอยากอวดแม่ของผมครับ
แม่ผมเป็นคนบ้านนอก เชยๆ ผมชอบนั่งแอบมองแม่เวลาแกเผลอ หล่อนอยากทำอะไร ผมก็ปล่อยให้แกทำ ล่าสุดนี่เธอเหยาะน้ำยาปรับผ้านุ่มลงไปในน้ำสุดท้ายของการอาบน้ำให้หมาด้วย ด้วยเหตุผลของคนซื่อ คือเธอบอกว่า ทำตั้งหลายครั้งแล้ว ก็ไม่เห็นหมามันบ่นอะไร
แม่ผมเรียนมาน้อย เรียกว่าไม่ได้เรียนเลยก็เกือบจะว่าได้ เธอศึกษาทุกอย่างด้วยการจำ เห็นเขาพูดเขาทำอะไรในโฆษณาก็พยายามเอามาใช้กับลูกชาย ครั้งนึงผมน้ำเข้าหู เธออวดภูมิด้วยการบอกให้ผมใช้ไม้สำลีเช็ดหูของ จอห์นสันไมโครบัส
ผู้หญิงคนเดียวกันนี้เองที่ลากครกกับสากกะเบือออกไปตำน้ำพริกมะม่วงนอกบ้าน เพราะเห็นลูกชายกำลังนอนหลับอยู่ในบ้าน ไม่ใช้ตำแค่นอกบ้านนะ แต่เธอออกไปตำนอกรั้วบ้านเลยทีเดียว
ผมกับแม่ ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ด้วยกันที่ต่างจังหวัด ทุกครั้งที่ผมขับรถเข้ามาคุยงานในกรุงเทพฯ เธอยังคงทำกับข้าวใส่กล่องมาให้ผมกินอยู่เสมอ และเธอไม่เคยลืมที่จะเด็ดดอกจำปีหน้าบ้าน มาใส่ในกล่องข้าวด้วยทุกครั้ง
ผมตื้นตัน แต่! แม่ครับ ผมอยากจะบอกแม่ว่า...ดอกจำปีมันไม่อร่อยเลยครับ
เมื่อไม่นานมานี้ครอบครัวของเราได้มีวาสนาไปออกรายการโทรทัศน์ รายการ “ เจาะใจ ”
ผมบอกแม่ว่า “นี่เธอ ชั้นจะพาเธอไปออกโทรทัศน์นะ ดีใจมั๊ย”
แม่อิดออด แบ่งรับแบ่งสู้ “ไม่เอาดีกว่ามั๊งลูก เดี๋ยวเขาถามอะไรแล้วแม่ตอบไม่ได้”
“แม่ครับ รายการเขาไม่ได้มีสิบหกคำถาม สามตัวช่วย ถามใครก็ได้ ตอบได้สองครั้ง หรือว่าเปลี่ยนคำถาม ถึงแม่จะตอบผิด เกมส์เขาก็ไม่ได้จบลงทันทีซะเมื่อไหร่ นะแม่นะ ไปด้วยกันเถอะนะ”
“ไม่เอาหรอก แม่ไม่ไปดีกว่า”
“เอาน่าแม่ ไปด้วยกันเถอะ”
“ไว้ถึงวันนัดก่อนแล้วกัน แม่จะให้คำตอบ”
แล้วคำตอบของแม่ก็คือ การตื่นไปทำผมตั้งแต่มืด ร้อยวันพันปีเธอเคยเข้าร้านเสริมสวยกับเขาซะที่ไหน แต่ผมก็รู้ดีว่าเธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง...เธอทำเพื่อชายไทยทั้งประเทศต่างหาก!!!!!!!!!!
เรื่องราวแม่มีมากมายไม่รู้จบ เป็นนิทานให้เรานั่งมองได้ไม่รู้เบื่อ ถ้าเราจะหาเวลาว่างๆ นั่งลอบมองดูเธอคนนั้นบ้างเท่านั้นเอง
ผมเชื่อว่า แม่ของพวกเราทุกคนมีมุมน่ารัก ให้เราได้อมยิ้มอยู่เสมอ
เป็นเรื่องน่าแปลก ที่เรามักจะรู้กันอยู่ในใจว่าเรารักผู้หญิงคนนี้ แต่ทว่าเรากลับนั่งกินข้าวกับเธอน้อยกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ซะอีก
เราถูกสอนมาให้รักแม่ แต่เรากลับซื้อของขวัญให้คนอื่นบ่อยกว่าซื้อให้แม่ของเราซะอีก
เดี๋ยวนี้ผมอายุมากขึ้น แม่ก็อายุมากกว่าเราอีกเท่าตัว ผมยังคงนั่งแอบมองแม่อยู่ แม่ผมแก่ลงไปมาก หล่อนจะมีเวลามาโพสต์ท่าให้เรานั่งแอบมองได้อีกสักกี่ปี
บนโลกกลมๆใบนี้ ผมมัวแต่วิ่งวนเร็วจี๋จนแทบจะชนหลังตัวเองอยู่ร่อมร่อ ตลอดเวลาเราไขว่คว้าหาอะไรอยู่ก็ไม่รู้จนเกือบลืมผู้หญิงคนนี้ กว่าจะนึกขึ้นมาได้ เวลาก็ผ่านไปมากมาย
ถ้าบทความนี้ สะกิดให้ใครนึกถึงแม่ขึ้นมาได้มั่งล่ะก้อ ขอร้องล่ะ อย่าทำได้แค่นั่งมองแม่ เพราะเกรงว่าเพียงแค่นั้นจะไม่ทันการณ์ เลวไม่ได้มีเหลือเฟือ...เวลาไม่ได้มีอยู่จริง สิ่งที่เรามี มันเป็นแค่นาฬิกา มันเป็นแค่ปฏิทิน เวลาที่แท้จริงมันเป็นของวัฏจักรเขา
เพราะฉะนั้น เรามาเตรียมคำตอบกันเอาไว้ดีกว่า เผื่อมีใครถามเราว่า ครั้งสุดท้ายที่กอดแม่น่ะ มันเมื่อไหร่ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเอียงคอนึกกันอีกว่า ครั้งสุดท้ายที่คุณกอดแม่น่ะเมื่อไหร่?
........(ไปกอดท่านซะนะคุณ โคอะล่า แล้วกระซิบข้างหูท่านว่า หนูโตแล้วค่ะท่านแม่)


ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#18 PS-Junior

PS-Junior
  • Members
  • 247 โพสต์
  • Location:Bangkok
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 09:57 PM

ซึ้ง..จัง

#19 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 06 February 2007 - 01:17 PM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ

#20 krittiya

krittiya
  • Members
  • 77 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:56ถถนฟากอง อ.เมือง จ.น่าน

โพสต์เมื่อ 11 February 2007 - 11:09 AM

เห็นด้วยกับคหที่8


เห็นด้วยกับคหที่8
ถ้าจะให้ดียืดการแต่งงานไปสักระยะแล่วคุณก็เริ่มเห็นสัจจธรรมขอความจริง