สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ทำไม
#1
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 12:31 PM
เหนื่อยครับ
#2
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 12:34 PM
เราอาจจะอยู่ในช่วงของการับผลของกรรมก็ได้นะคะ ทำดีต่อไปนะคะ อย่าเพิ่งเหนื่อยค่ะ...เพิ่งปีเดียวเองค่ะ (อย่างน้อยทำดีก็ไม่มีอะไรเสียหาย)
อย่าไปยึดคติที่บางคนเค้าตั้งกันนะคะ "ในเมื่อทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วซะเลย" อย่านะคะ สู้ ๆ
#3
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 12:49 PM
ทำบุญทุกบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนา แล้วก็อธิฐานจิตให้พ้นจากวิบากกรรม
เวลาผมมีปัญหา อะไร ผมก็สวดมนต์ รักษาศีล นั่งสมาธิ ทำบุญ ปัญหาเล่านั้นก็หมดไปนะครับ
หรือคุณลองขอบุญบารมีมหาปูชนียจารย์ช่วยสิครับ
ทำใจสบายๆๆ คิดว่าเป็นวิบากกรรม ของตัวเราแหละกันครับ ช่วงนี้ ถ้าเราไม่ทำก็คงไม่โดนแหละครับ
ฟ้าหลังฝน มีทุกข์ เดีวย ก็มีสุข
มีสุข เดีวยก็มีทุกข์ ผมว่าให้คุณทำใจสบายๆ ดีกว่า แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ ให้กับคนที่ทำร้ายคุณและให้กับทุกคน
แค่นี้ชีวิตเราก็มีสุขแล้ว เพราะจิตใจเราอยู่เหนือโทสะ
ผมเอาเพลงมาฝากด้วยนะครับ **สู้ๆๆนะครับ สักวันต้องได้ดีแน่นอน**
ไฟล์แนบ
#4
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 12:55 PM
ต้องดูว่า เรานี่อายุเท่าไหร่ เราทำดีบ้าง ไม่ดีบ้าง มากี่ปีแล้ว มาทำความดีเข้า 1 ปี นี่ ชดเชย ทดแทน ได้เสี้ยวนึงของที่เราเคยทำมาทั้งหมดหรือยัง
ถ้าเป็นเงินกู้ ก็ใช้ดอกเบี้ยไปก่อนค่ะ ตัดต้นหมดเมื่อไหร่ ก็สบาย ต้องหาวิธีชำระให้หมดเร็วที่สุดค่ะ ด้วยการทำบุญ ทำทาน รักษาศีลนี่แหล่ะค่ะ จะได้คืนทุนเร็วๆ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#6
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 01:28 PM
- ช่วงปีแรกที่กลับมาเข้าวัดทำบุญ บางทีก็นึกท้อเหมือนกันครับ แต่ไม่ถอย ลองมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ดูให้ทั่วๆก็จะพบว่ามีสิ่งดีๆเกิดขึ้นเรื่อยๆครับ มากบ้างน้อยบ้าง(ตอนนั้นผมก็คิดว่าเราทำไม่ดีมาก็มาก ทำดีประเดี๋ยวจะเอาผลอะไรมากมาย) ก็ตั้งใจทำดีต่อไปครับ
- นั่งสมาธิให้มาก อันนี้ผมบอกไม่ถูกนะครับ แต่ ช่วงไหนนั่งสมาธิมากอุปสรรค์น้อย ช่วงไหนนั่งสมาธิน้อยอุปสรรค์มาก อันนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
#7
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 01:58 PM
เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นนะ
หากไม่ทำบุญแบบนี้....ทุกอย่างอาจจะเลวร้ายกว่านี้ก็ได้นะครับ
ผมเคยตกงานมาปีครึ่งสมัครงานเป็นร้อยๆแห่งสัมภาษณ์งานเป็นกว่า40ที่
ผิดหวังมาตลอดระยะปีครึ่งเลย
เคยกลุ้มมากมาย
แต่ก็ไม่เคยคิดน้อยใจในบุญของตัวเอง ไม่ห่างวัด
คิดเสียว่าเป็นกรรม
เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ทำตามที่คุณครูไม่ใหญ่สอนครับ
ทำบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา
ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ทำให้ยิ่งๆขึ้นกว่าเดิม
ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
สู้ต่อไป....
#8
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 02:33 PM
แต่พินิจ กำลังจิต ที่ปันให้
ที่ทำมา ทำดีแล้ว ทำต่อไป
เพราะสุดท้าย สักวันหนึ่ง โลกเปลี่ยนแปลง
#9
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 02:33 PM
แต่ปลกคนเราไม่ค่อยดับสุข หากแต่วิธีดับทุกข์ บางคนบางท่านก็หาทางดับทุกข์แบบผิดวิธี
วิธีดับทั้งสองสิ่ง คือ ทำใจเฉยๆ (บางทีทำยากเหมือนกัน)
จะทุกข์น้อยทุกข์มากทุกข์สาหัส จะสุขมากสุขน้อยสุขสาหัส
ทำใจให้นิ่ง ไม่ยินดียินร้ายในทุกข์สุข
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในชัวิตจะทุกข์จะสุขก็แค่รับรู้ว่ามันเป็นของคู่มนุษย์คู่สัตว์โลก
จะไปยินดียินร้ายอะไรกับมันหนักหนา
พูดง่ายทำยาก แต่ต้องทำ ฝึกฝนกันไปคะ
#10
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 02:35 PM
แต่พินิจ กำลังจิต ที่ปันให้
ที่ทำมา ทำดีแล้ว ทำต่อไป
เพราะสุดท้าย สักวันหนึ่ง โลกเปลี่ยนแปลง
#11
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 02:39 PM
ในความเห้นของผม ทุกท่านคงทราบดี ว่านิสัยคนไทยนั้นเป็นอย่างไร ผมบอกได้เลยว่า ข้อเสียร้ายแรงที่สุดของคนไทย คือ
1. ไม่มีความตั้งใจจริง ผมคิดว่าหลายท่านคงเคยเป็น แม้แต่ผมก็เคยเป็น ลองสังเกตุดูตัวเองก่อนนะครับ ว่าเป็นคนมีความตั้งใจจริงหรือเปล่า เรียนตั้งใจเรียนหรือเปล่า ทำงานตั้งใจทำงานจริงหรือเปล่า เจอมาหลายคน เรียนไม่ตั้งใจเรียน การบ้านก็ลอกมาส่ง อ่านหนังสือก็ไปอ่านเอาตอนใกล้สอบ แถมบางคนยังคิดว่าตัวเองเก่งสอบเสร็จออกมา ข้อสอบหมูๆกล้วยๆ ต้องได้สอบผ่านแน่รับรอง แต่พอผลสอบไม่ผ่านขึ้นมาตีโพยตีพาย "อะไรกันเราก็ตั้งใจอ่านแล้วนะ ทำไมสอบตก อาจารย์ตรวจผิดแน่ๆเลย" นี่แค่ตอนเรียนนะครับ
อ่ะทีนี้มาดูตอนทำงานบ้าง เจ้านายให้งานมา ดองเค็มงานไว้ พอใกล้ถึงกำหนดส่งรีบทำส่งแบบลวกๆ งานเลยไม่ดีในสายตาของเจ้านาย จึงอดเลื่อนตำแหน่งหรือขึ้นเงินเดือน หรืออดโบนัส ก็มาตีโพยตีพาย "อะไรเราก็ทำงานดีส่งงานทันกำหนดเจ้านายทุกครั้ง ทำไมเราได้โบนัสอย่างเขาบ้าง"
2. เอาแต่ใจหวังสิ่งตอบแทนโดยที่ตัวเองไม่คิดทำอะไร มีให้เห็นโดยทั่วไป และมีเยอะตามศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือต้นไม้ใหญ่ๆ หรือแม้แต่ในวัด หวังให้บุญ ความศักดิ์สิทธิ์ช่วยแต่ตัวเองกลับไม่ทำอะไร พูดง่ายๆรอดวงนั่นเองครับ พอตัวเองไม่ได้ทำก็ไม่ได้สิ่งที่หวัง
3. อันนี้สำคัญ คือไม่ยอมมองดูความผิดของตัวเองแล้วโทษผู้อื่น เหมือนอย่างที่คุณเจ้าของกระทู้กำลังทำอยู่ตอนนี้ไงครับ
4. เรื่องนี้ก็สำคัญอีกเช่นกัน คือชอบแส่หาเรื่องเข้าตัวเอง เจอบ่อยครับแบบอยู่ดีไม่ว่าดีต้องขอเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย อย่างคนอื่นเดือดร้อน แทนที่เราจะเฉยกับเข้าไปยุ่งกับเขา สุดท้ายเราซวยเอง แล้วก็มาจบลงที่กล่าวตู่ว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี
สรุปคือ อยากให้คุณเจ้าของกระทู้มองดูตัวเองก่อน ว่ามีสิ่งใดผิดสิ่งใดบกพร่องบ้าง ถ้ามีให้พยายามปรับปรุงแก้ไขที่ตัวเองก่อน เพราะผมเห็นตัวอย่างมาเยอะ แม้แต่ตัวผมเองก็เคยเป็น ยกตัวอย่างนะครับ เอาตัวผมนี่แหละไม่ใช่ใครอื่น เมื่อก่อนก็เคยเป็นแบบคุณเจ้าของกระทู้ ทั้งที่เข้าวัด สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน แต่เรียนเท่าไหร่ก็ไม่จบสักที ก็เที่ยวกล่าวตู่ว่า ไหนเขาว่าว่านั่งสมาธิแล้วจะช่วยให้เรียนเก่งไง ไม่เห็นเก่งอย่างที่เขาว่ากันเลย สุดท้ายก็เลิกไปโดยปริยาย แต่พอได้บวชได้ฟังหลวงพ่อทัตตะท่านเทศน์เรื่องมงคลชีวิต เลยนึกย้อนดู เออเหะ เรามันทุเรศเองนี่หว่า เรียนก้ไม่ตั้งใจเรียน ทำงานก็ไม่ตั้งใจทำงาน ห่วงผู้หญิงมากกว่าตัวเอง สุดท้ายเราเลยมาเป็นแบบนี้ แล้วเรายังไปโทษอย่างอื่นอีก ทั้งที่ตัวเราทำตัวเราเองแท้ๆ ขอร้องคุณเจ้าของกระทู้ให้ลองมองดูตัวเองดีๆก่อนนะครับ กิริยา ท่าทาง วาจา ใจ มีสิ่งไหนที่แสดงออกมาแล้วไม่ดีบ้าง ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง เมื่อคุณเจ้าของกระทู้พบคำตอบ ผมรับรองว่าชีวิตจะดีขึ้นแน่นอนครับ
บุญจะเป็นตัวช่วยหนุนให้ชีวิตดีขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่ขับดันให้ชีวิตดีขึ้นจริงๆนั้น คือกาย วาจา ใจ ของเราเองต่างหากครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 03:16 PM
มาดแม้นว่า เติมน้ำสะอาดใสลงไปเล็กน้อย ..แต่ก็ดูเหมือนกว่า จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
จนกระทั่งเติมน้ำลงไปเรื่อย ไปเรื่อย...
ในที่สุด น้ำสะอาดก็มากล้น มากจน ชะเอาสิ่งสกปรกออกไปหมดได้
ฉันใดฉันนั้น...การทำความดี ต้องทำให้เพิ่มพูนไปเรื่อยๆค่ะ เราไม่อาจทราบได้ว่าในอดีต เราได้ทำสกปรกอะไรไว้บ้าง เพราะเรามองไม่ออก เรามองเห็นไม่ตลอดสาย..บางทีก็เลยท้อใจ ว่าทำดีไม่ได้ดี ที่จริงแล้ว บุญฤทธิ์ บาปฤทธิ์ กฏแห่งกรรม ศักดิ์สิทธิ์ค่ะ ...เชื่อมั่นไว้นะคะ
มาทางนี้ไม่ผิดแน่
#13
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 03:52 PM
ผลที่ได้รับจากการนั่งธรรมะก็คือ.....ไม่เคยรู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีมาก่อนเลยและไม่เคยสัมผัสอานุภาพของบุญ แต่ตอนนี้พอใจแล้วและได้สัมผัสแล้วเมื่อตัวเราเองนั้นรู้จักที่จะปฏิบัติดังที่ว่า หยุด คือ ตัวสำเร็จ นะคะ
อย่าเพิ่งท้อถอยนะคะ...ขอให้มุ่งมั่นและเดินหน้าปฏิบัติธรรมต่อไปดีแล้ว...ขอเป็นกำลังใจให้จนถึงที่ สุดแห่งธรรม
คุณพระรัตนตรัยคุ้มครองนะคะ
สาธุ สาธุ สาธุ
#14
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 04:30 PM
#15
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 04:34 PM
#16
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 05:22 PM
#17
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 06:05 PM
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#18
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 07:01 PM
มีทุกข์ ก็ทำบุญ
ยิ่งทุกข์มาก ก้อต้องเติมบุญมากกกกก
จริงอยู่ เราไม่รู้ว่า เรามีบัญชีบาป อยู่เท่าไร
ดังนั้น เราต้องเติมบัญชีบุญอย่างยิ่งยวด
โดยเฉพาะ บุญใหญ่ ๆ นะครับ
หมั่นเติมบุญใส ๆ ใจใส ๆ
สักวัน โลกจะเห็นของเราครับ
#19
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 10:19 PM
ทำดีได้ดีมีถมไป^^
---------------------
ปล.ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ
แต่ฟ้าก่อนหน้าฝนตกแปปนึงไม่ค่อยสวยงาม^^
--------------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#20
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 11:18 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#21
โพสต์เมื่อ 27 October 2006 - 08:59 AM
ศรัทธาเมื่อเกิดขึ้นแล้วผู้มีบุญย่อมสอนตนเองให้รักษาศรัทธาให้มั่นคงไม่คลอนแคลน
ผู้มีศรัทธาไม่มั่นคงเมื่อทำบุญแล้วเกิดอุปสรรคในชีวิตกลับคิดว่าทำบุญแล้วทำไมบุญถึงไม่ช่วย
แต่ผู้ที่มีศรัทธาที่มั่นคงเมื่อทำบุญแล้วเกิดอุปสรรคในชีวิตกลับคิดว่าเพราะเรามีบุญน้อยเมื่อมีบุญน้อยอุปสรรคจึงมากเพราะฉะนั้นเรายิ่งต้องสั่งสมบุญกุศลให้มากยิ่งขึ้นไปอีก........ปลูกลำไยใช่จะโตเพียงแค่ชั่ว 1วัน หรือ 1เดือน .... แต่ถ้าหมั่นรถน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยก็โตวันโตคืน
ซักวันหนึ่งก็จะส่งผล เหมือน กับบุญที่เราตั้งใจทำและหมั่นระลึกทุกวัน
จงทำความเพื่อความดีเถิดประเสริฐนัก
------------------------------------------------------------------------------
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#22
โพสต์เมื่อ 27 October 2006 - 12:05 PM
#23
โพสต์เมื่อ 27 October 2006 - 03:30 PM
ครับใช่ บางครั้งเราก็รู้สึกท้อแท้ใจเหมือนกันว่าเราทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี ก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่ปัจจุบันพอจะเข้าใจแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพระว่าเราทำเวรทำกรรมไว้ให้กับคนอื่นไว้ทั้งชาตินี้และขาติก่อน ทำให้ผลกรรมตามเรามา แม้จะทำซักแค่ไหนก็ไม่ดีขึ้น
แต่ลองนึกดูซิครับว่า สิ่งที่เราทำไปนั้นดีมั๊ย เกิดประโยชน์ต่อคนอื่นมากน้อยเพียงใด และทำให้คนที่ได้รับนั้นมีความสุขมากเพียงใด ...........................เป็นไงบ้างครับ รุ้สึกดีขึ้นหรือเปล่า
ตามที่เคยได้ยินมานะครับว่า การทำความดีนั้นเราไม่จำเป็นต้องหวังผลตอบแทน เหมือนกันเราทำบุญ ....ท้ายที่สุดแล้วก็ "ลูกช้างขอให้ถูกหวย" เป็นต้น ซึ่งผมเคยเป็นเช่นนั้น ตราบใดเราไม่พ้นบ่วงกรรม เราก็ไม่ได้ผลบุญนั้นหรอกครับ
งั้นก็นึกอย่างงี้แล้วกันว่า ชม. นี้ไม่ดี ชม. หน้าก็ดีเอง, ตอนนี้ไม่ดี ตอนหน้าก็จะดีเอง, ท้ายสุด ชาติก่อนทำกรรมมาเยอะ ชาตินี้ก็รับกรรมไปก่อน และสุดท้ายเราจะได้รับผลบุญนั้นมาสนองเราเอง
สาธุ.....................................
#24
โพสต์เมื่อ 27 October 2006 - 06:21 PM
1. ไม่มีความตั้งใจจริง ผมคิดว่าหลายท่านคงเคยเป็น แม้แต่ผมก็เคยเป็น ลองสังเกตุดูตัวเองก่อนนะครับ ว่าเป็นคนมีความตั้งใจจริงหรือเปล่า เรียนตั้งใจเรียนหรือเปล่า ทำงานตั้งใจทำงานจริงหรือเปล่า เจอมาหลายคน เรียนไม่ตั้งใจเรียน การบ้านก็ลอกมาส่ง อ่านหนังสือก็ไปอ่านเอาตอนใกล้สอบ แถมบางคนยังคิดว่าตัวเองเก่งสอบเสร็จออกมา ข้อสอบหมูๆกล้วยๆ ต้องได้สอบผ่านแน่รับรอง แต่พอผลสอบไม่ผ่านขึ้นมาตีโพยตีพาย "อะไรกันเราก็ตั้งใจอ่านแล้วนะ ทำไมสอบตก อาจารย์ตรวจผิดแน่ๆเลย" นี่แค่ตอนเรียนนะครับ
อ่ะทีนี้มาดูตอนทำงานบ้าง เจ้านายให้งานมา ดองเค็มงานไว้ พอใกล้ถึงกำหนดส่งรีบทำส่งแบบลวกๆ งานเลยไม่ดีในสายตาของเจ้านาย จึงอดเลื่อนตำแหน่งหรือขึ้นเงินเดือน หรืออดโบนัส ก็มาตีโพยตีพาย "อะไรเราก็ทำงานดีส่งงานทันกำหนดเจ้านายทุกครั้ง ทำไมเราได้โบนัสอย่างเขาบ้าง"
2. เอาแต่ใจหวังสิ่งตอบแทนโดยที่ตัวเองไม่คิดทำอะไร มีให้เห็นโดยทั่วไป และมีเยอะตามศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือต้นไม้ใหญ่ๆ หรือแม้แต่ในวัด หวังให้บุญ ความศักดิ์สิทธิ์ช่วยแต่ตัวเองกลับไม่ทำอะไร พูดง่ายๆรอดวงนั่นเองครับ พอตัวเองไม่ได้ทำก็ไม่ได้สิ่งที่หวัง
3. อันนี้สำคัญ คือไม่ยอมมองดูความผิดของตัวเองแล้วโทษผู้อื่น เหมือนอย่างที่คุณเจ้าของกระทู้กำลังทำอยู่ตอนนี้ไงครับ
4. เรื่องนี้ก็สำคัญอีกเช่นกัน คือชอบแส่หาเรื่องเข้าตัวเอง เจอบ่อยครับแบบอยู่ดีไม่ว่าดีต้องขอเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย อย่างคนอื่นเดือดร้อน แทนที่เราจะเฉยกับเข้าไปยุ่งกับเขา สุดท้ายเราซวยเอง แล้วก็มาจบลงที่กล่าวตู่ว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี
สรุปคือ อยากให้คุณเจ้าของกระทู้มองดูตัวเองก่อน ว่ามีสิ่งใดผิดสิ่งใดบกพร่องบ้าง ถ้ามีให้พยายามปรับปรุงแก้ไขที่ตัวเองก่อน เพราะผมเห็นตัวอย่างมาเยอะ แม้แต่ตัวผมเองก็เคยเป็น ยกตัวอย่างนะครับ เอาตัวผมนี่แหละไม่ใช่ใครอื่น เมื่อก่อนก็เคยเป็นแบบคุณเจ้าของกระทู้ ทั้งที่เข้าวัด สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน แต่เรียนเท่าไหร่ก็ไม่จบสักที ก็เที่ยวกล่าวตู่ว่า ไหนเขาว่าว่านั่งสมาธิแล้วจะช่วยให้เรียนเก่งไง ไม่เห็นเก่งอย่างที่เขาว่ากันเลย สุดท้ายก็เลิกไปโดยปริยาย แต่พอได้บวชได้ฟังหลวงพ่อทัตตะท่านเทศน์เรื่องมงคลชีวิต เลยนึกย้อนดู เออเหะ เรามันทุเรศเองนี่หว่า เรียนก้ไม่ตั้งใจเรียน ทำงานก็ไม่ตั้งใจทำงาน ห่วงผู้หญิงมากกว่าตัวเอง สุดท้ายเราเลยมาเป็นแบบนี้ แล้วเรายังไปโทษอย่างอื่นอีก ทั้งที่ตัวเราทำตัวเราเองแท้ๆ ขอร้องคุณเจ้าของกระทู้ให้ลองมองดูตัวเองดีๆก่อนนะครับ กิริยา ท่าทาง วาจา ใจ มีสิ่งไหนที่แสดงออกมาแล้วไม่ดีบ้าง ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง เมื่อคุณเจ้าของกระทู้พบคำตอบ ผมรับรองว่าชีวิตจะดีขึ้นแน่นอนครับ
บุญจะเป็นตัวช่วยหนุนให้ชีวิตดีขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่ขับดันให้ชีวิตดีขึ้นจริงๆนั้น คือกาย วาจา ใจ ของเราเองต่างหากครับ
อืม ความเห็นที่แตกต่างแต่ตรงจุดดีมากครับ
แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยืนยันว่า คุณcheterk น่ะ ได้รับผลของกรรมดีแล้วไงล่ะครับ
อย่างน้อยๆก็กำลังใจอันมากมายมหาศาลจากดวงใจใสๆๆของคนในกระทู้นี้ไงล่ะครับ
มีคุณค่ามากกว่าคำชื่นชมเยินยอของผู้ที่สนับสนุนให้คุณ cheterk ทำสิ่งเลวร้ายอีกนะครับ
#25
โพสต์เมื่อ 27 October 2006 - 07:39 PM
#26
โพสต์เมื่อ 27 October 2006 - 07:48 PM
อย่างน้อยๆก็กำลังใจอันมากมายมหาศาลจากดวงใจใสๆๆของคนในกระทู้นี้ไงล่ะครับ
มีคุณค่ามากกว่าคำชื่นชมเยินยอของผู้ที่สนับสนุนให้คุณ cheterk ทำสิ่งเลวร้ายอีกนะครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ อย่าคิดว่าไม่มีเรื่องดีๆสิคะ แค่คุณcheterk เข้ามาใน web DMC ก็มีกำลังใจมากมายให้แล้วนะคะ
อยากให้คุณ cheterk คิดว่า อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้มงคลชีวิตข้อ 2 คือ คบบัณฑิต แล้วนะคะ เพราะที่นี่มีคนมากมายที่พร้อมเป็นกัลยาณมิตรให้ค่ะ เห็นมั๊ยคะ กำลังมีสิ่งมงคลเข้ามาในชีวิตแล้ว ต่อไปจะมีสิ่งดีๆเข้ามาอีกมากมายเลยค่ะ
อยากแนะนำให้คุณ cheterk ลองมองหาสิ่งดีๆรอบตัวทุกๆวันสิคะ เริ่มจากวันละ 1 อย่างก็ได้ เช่น วันนี้ยังมีคนที่ห่วงใยเรา หรือวันนี้ยังมีหลวงพ่อที่คอยเป็นที่พึ่งให้ธรรมะดีๆแก่เราทุกๆวัน ทำแบบนี้หลวงพ่อทัตตะท่านเรียกว่า จับดีค่ะ อย่ามัวแต่จับผิดตัวเองสิคะ ลองจับดีให้ตัวเองบ้าง แล้วคุณจะรู้สึกว่าคุณโชคดีกว่าคนอื่นอีกหลายๆคนเลยนะคะ
จะเป็นกำลังใจให้ค่ะ
#27
โพสต์เมื่อ 27 October 2006 - 07:51 PM
ไม่ใช่มีเพียงแต่คุณที่กำลังประสบทุกข์ค่ะ ยังมีคนอื่นๆ อีกเยอะ
ก็เป็นกำลังใจให้นะคะ
#28
โพสต์เมื่อ 28 October 2006 - 12:00 AM
" ถึงคราวประสบทุกข์ทำไมบุญไม่ช่วย "
http://www.kalyanami...Itemid=99999999
เอาใจช่วยให้ผ่านพ้นความรูสึกไม่พึงประสงค์ไปได้ด้วยดีนะคะ
#29
โพสต์เมื่อ 28 October 2006 - 04:32 AM
ขอให้กลับไปทบทวนอีกที มันต้องมีอะไรดีๆบ้างล่ะ
อย่างน้อย ใจที่มุ่งทำความดี ความอบอุ่นความสุขใจยามอยู่พร้อมกับหมู่คณะนั้นก็เป็นพลังใจ พลังแห่งความสุข แล้วล่ะท่าน ว่ามั้ย
หรือคุณค้นหาอะไร ที่มันเป็นรูปธรรม แบบนั้นมันด่วนไปนะ
เลือกเอา ใจใสๆ
#30
โพสต์เมื่อ 29 October 2006 - 12:10 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี