ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

องค์ประกอบที่หล่อรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำทองคำได้สำเร็จ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 17 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 11:27 AM

การหล่อรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำฯทองคำ เมื่อ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗


องค์ประกอบที่ทำให้เราหล่อรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำฯทองคำได้สำเร็จนั้น นั้นมีหลายประการ


๑. พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำมีพระคุณอยู่จริง

๒. มีการประกาศพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำด้วยความชัดเจน ต่อเนื่อง เป็นวงกว้างอย่างทั่วถึงและเหมาะสม

๓. ได้ผู้มีคุณธรรมมาเป็นหลักและเป็นประธานในการรวมศรัทธาทั้งคนใหม่และเก่า

๔. บรรดาศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ทำหน้าที่กัลยาณมิตร
ประกาศข่าว เชิญชวนผู้อื่นให้มาบูชาหลวงพ่อวัดปากน้ำฯทั้งอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา

๕. ต้องมีวิริยะที่จะถอดแบบหลวงพ่อวัดปากน้ำฯด้วยทองคำให้เหมือนกับตัวจริงมากที่สุด

๖. มีความพร้อมใน#####เทส


*** เนื่องจากนำข้อมูลมาจากหลายแห่ง ต่างวาระกัน
จึงคัดมาบางส่วนแล้วเรียบเรียงใหม่ให้เนื้อหาสอดคล้องกัน

ดังนั้นหากมีข้อบกพร่องประการใด ๆ ผมก็ขออภัยทาน มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

แนบไฟล์  photo_2683.gif   4.29K   25 ดาวน์โหลด


#2 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 11:34 AM

ปัจจัยใหญ่ๆ ที่หลวงพ่อพอมองเห็นนั้นมีหลายประการ แต่จะขอเริ่มต้นกันที่ใกล้ตัวอย่างนี้ก่อน

๑. พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำมีพระคุณอยู่จริง

ในการประกาศพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯนั้น

วัดพระธรรมกายได้ทำให้ชัดเจน ต่อเนื่อง เป็นวงกว้างอย่างทั่วถึง และเหมาะสมมานาน

ถามว่า

ระยะเวลาที่เราประกาศคุณของหลวงพ่อท่านนี้ ทำกันมานานขนาดไหน

เราก็ทำมาตลอดอายุของวัดของเรานั่นแหละ


สำหรับพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯนั้น

วัดพระธรรมกายได้ชี้แจงให้ญาติโยมเห็นชัดๆ ว่า

ถ้าเราไม่ได้หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ เอาคัมภีร์พระไตรปิฎกมาศึกษา เจาะลึกทำความเข้าใจภาคทฤษฎีจนเสร็จ

แล้วก็ท่านเอาชีวิตเป็นเดิมพันไปปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์จนค้นพบศูนย์กลางกาย และธรรมกายในตัว


เมื่อท่านพบแล้ว ก็ไม่เก็บความรู้ไว้ ท่านยอมเหนื่อยพร่ำสอนแทบขาดใจ

และวิธีการสอนก็แสนจะชาญฉลาด
ท่านไม่สอนธรรมะให้ลูกศิษย์แบบต้องหอบหิ้วกันเข้าป่า
แล้วก็มีแต่ผู้ชายคือพระเท่านั้นที่จะเข้าไปเรียนได้ ส่วนลูกสาวแทบจะหมดสิทธิ์กันเลย
หลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านสอนกันกลางเมืองเลย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงได้เรียนกันทั่วหน้าหมด

จะยกตัวอย่างให้ฟัง อย่าว่าธรรมะที่ลึกซึ้งเลย

แค่ท่านั่งที่พอเหมาะในการนั่งสมาธิ นั่งอย่างไรจึงจะพอเหมาะ
นั่งอย่างไรจึงจะถูกส่วน

แค่หาคำตอบคำนี้
ไปค้นคว้าตำรับตำราถึงแผ่นดินจีนแผ่นดินอินเดีย ที่มีตำรับตำราการนั่งสมาธิ จะหาตำราชัดเจน
ที่บอกว่า ท่านั่งที่เหมาะสมในการนั่งสมาธิ นั่งแล้วเมื่อยยาก นั่งแล้วใจรวมง่าย
นั่งแล้วเข้าศูนย์กลางกายได้ ท่านั่งท่านั้นคือท่าไหน
พลิกพระไตรปิฎกหมดตู้ พลิกคัมภีร์หมดเป็นห้อง ๆ ยังหาคำตอบไม่เจอ

แต่มาเจอคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านพูดเอาไว้ชัดเจนว่า
พระธรรมกายนั่งอย่างนี้
เท้าขวาต้องทับเท้าซ้าย
มือขวาต้องทับมือซ้าย
นิ้วชี้มือขวาต้องจรดหัวแม่มือข้างซ้าย กายต้องตั้งตรง
ชัดเจนลงไปอย่างนี้ แล้วท่านยังขยายความให้ลุ่มลึกลงไปอีกว่า
แม้แต่ปลายนิ้วต้องไม่กระดก

แค่บอกว่านิ้วชี้จรดหัวแม่มือก็วิเศษแล้ว
แต่ด้วยกลัวว่า เราจะทำไม่ได้อย่างใจท่าน จึงแนะว่า
นิ้วชี้ต้องอย่าให้กระดก ไหล่อย่าเผลอยก ท้องอย่าเกร็ง ตาอย่าหยี นั่งพอดี ๆ
หน้าอมยิ้มสบาย ๆ ต้องสอนอย่างนี้ด้วย แล้วจึงจะนั่งได้เป็นสมาธิ

แล้วหลวงพ่อฯท่านไปได้สิ่งนี้มาจากไหน
ไม่ใช่ค้นคว้าจากตำรา เพราะตำราทั้งแผ่นดินทั้งโลกไม่มีเขียนไว้

ท่านค้นจากการเข้าถึงธรรมกายภายในของท่าน ไปนั่งดูกันจริง ๆ จัง ๆ ว่า

พระธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั่งอย่างไร
อย่างนี้ถึงจะรู้จริง ทำได้จริง ละเอียดลออจริง อย่างนี้เป็นครูเราได้

นี่เป็นเพียงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับท่านั่ง เพียงเท่านี้ก็ต้องยอมกันแล้ว
เพราะไม่เคยมีปรากฏว่า ใครบอกเราอย่างนี้ แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านบอกไว้

เท่านั้นยังไม่พอ ท่านใช้ระบบการศึกษาแบบปัจจุบัน ทำเป็นหลักสูตรออกมาชัดเจน
ของเดิมที่เราอ่านในพระไตรปิฎกนั้น
เมื่อจะวัดผลว่าสมาธิก้าวหน้าไปได้เพียงไหนเขาวัดด้วยอะไร

เขาวัดด้วยอารมณ์
การวัดอารมณ์ก็มีคำว่า
ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ มีสุข เหล่านี้เป็นต้น

ซึ่งถ้าใช้วิธีตีความตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
โอกาสที่จะตีความเข้าข้างตัวเองมันก็สูง แล้วทำให้เลอะเลือนได้

หลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านทำอย่างไร
ท่านก็เอาเนื้อหาในพระไตรปิฎกไว้เพื่อการศึกษาทางปริยัติ

ส่วนการวัดผลสมาธิทางภาคปฏิบัติ
ท่านวัดผลด้วยการเห็น

แล้วพอถึงเวลานั่งสมาธิ ท่านก็อธิบายให้สอนวัดตัวเองได้
ท่านเรียงมาเลย ตั้งแต่
ปฐมฌาน คือ ปฐมมรรค
ถ้าปฐมฌานแก่ๆ เรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด
ทุติยฌาน ก็คือ กายทิพย์
ตติยฌาน ก็คือ กายพรหม
จตุตถฌาน ก็คือ อรูปพรหม

ท่านใช้การเห็นวัดผลชัดเจนลงไป
และถ้าจะให้ยิ่งขึ้นไป ท่านบอกให้เอาใจจรดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายของกายอรูปพรหมนั่นแหละ
จนกระทั่งอรูปฌานเกิดขึ้น เกิดแล้วก็เกิดอีก ในที่สุดจะเข้าถึงธรรมกาย

พอถึงธรรมกายก็แสดงว่า ทั้งรูปฌาน อรูปฌาน ได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว
หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ท่านวัดด้วยการเห็น
และผู้ปฏิบัติก็วัดด้วยตัวเองได้

โอกาสจะตีความเข้าข้างตัวเองก็น้อยลงไป
เพราะหลวงพ่อสอนให้แต่ละคนที่มาปฏิบัติกับท่าน
วัดความคืบหน้าของการนั่งสมาธิด้วยการเห็น

เมื่อทำแล้ว ท่านก็โดนโจมตี แต่พอโดนโจมตี
ท่านก็ตอบว่าท่านเทียบให้นักปริยัติดูได้ว่า ปริยัติกับปฏิบัตินั้นตรงกันอย่างไร

กายทิพย์หรือเทวกายนั้น เกิดขึ้นด้วยอะไร ?
เกิดด้วยเทวธรรม หลวงพ่อท่านก็ยืนยันกลับมาได้ เพราะคำว่ากายทิพย์

เวลาพระภิกษุ หรือเราปฏิบัติธรรม แล้วบุคคลที่ปฏิบัติแล้วไปเจอกายทิพย์ในตัวนั้นก็มีอยู่
หลวงพ่อท่านก็ใช้คำว่า กายทิพย์นั่นแหละ เอามาจากคำว่าเทวดา
แล้วก็โยงให้เห็นว่า ก่อนที่ใครจะไปเป็นเทวดาได้ ก็ต้องมีกายทิพย์เกิดขึ้นในตัว
เมื่อตายไปแล้ว จึงค่อยอาศัยกายทิพย์ไปเป็นเทวดา
ท่านสามารถโยงได้ทั้งภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติชัดเจนออกไป

พรหมกายนี้ก็มี แต่ส่วนมากจะพูดถึงกันแต่พรหมกายภายนอก คือพระพรหม
ไม่มีใครพูดถึงพรหมกายซึ่งอยู่ข้างใน
มีแต่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านพูดออกมา ถ้าไม่เห็น ท่านพูดออกมาไม่ได้

ท่านบอก คนจะไปเป็นพรหมได้ พรหมกายต้องเกิดในตัวก่อน
ถึงเวลาตายไปแล้ว พรหมกายก็เป็นกายพรหมอยู่ในพรหมโลก
นี่ท่านปฏิบัติแล้วสอนให้ผู้อื่นวัดผลตัวเองด้วยการเห็นอย่างนี้

แม้แต่คำว่า ธรรมกาย
หลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านก็ไม่ใช้การตีความ
ท่านเอาภาคปฏิบัติมาวัดผลการนั่งสมาธิอีกเช่นกัน


คำว่า “ธรรมกาย” นั้น
นักปริยัติ แปลความว่า หมวดหมู่แห่งธรรมะ
เพราะฉะนั้น จึงกลายเป็นว่า ธรรมกาย คือ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เป็นหมวดๆ

มีแต่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯบอกว่า
ธรรมกาย คือ กายภายในของคนเรานั่นแหละ เมื่อปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แล้วจะเข้าไปถึงเอง
เท่ากับบอกว่าธรรมกาย มีอยู่แล้วภายในตัวทุกคน
แต่ละคนมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อเข้าไปให้ถึง

เหมือนน้ำที่มีอยู่ใต้ดิน ถ้าข้างบนดินแห้งแล้งนัก อยากจะได้น้ำใต้ดินมาใช้ก็ขุดเอา
ถ้าไม่ขุดแล้ว จะบอกว่าน้ำใต้ดินไม่มี ก็เป็นไปไม่ได้
ถ้าเป็นอย่างนั้น เรียกว่า พูดไม่ถูก

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะรู้ว่า น้ำใต้ดิน มี หรือไม่มี ก็ต้องไปขุดดู
เมื่อไม่ขุดก็ย่อม ไม่เจอ แล้วมาบอกว่า ไม่มี อย่างนี้ใช้ไม่ได้
แล้วมาบอกว่า ธรรมกายที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯพูดไว้นี้ ไม่มี
ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทดลอง ก็ใช้ไม่ได้อีกเหมือนกัน


หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ท่านก็สู้ฝ่าฟันสิ่งเหล่านี้มา แล้วก็เอามาสอนประชาชน
แล้วเมื่อท่านจะวัดประเมินความรู้ ท่านก็ประเมินด้วยการเห็น
ไม่ประเมินด้วยความรู้สึก หรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม

เท่านั้นยังไม่พอ ครั้นถึงเวลาสอน ท่านก็สอนด้วยวิธีที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง
ซึ่งสิ่งนี้แสดงถึงภูมิธรรม และความรู้จริงของท่าน

แต่เดิมหลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านฝึกสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก
ที่เรียกว่า “อานาปาณสติ” นั่นแหละ

ท่านฝึกอย่างนั้นมาก่อน พอฝึกแล้ว ท่านก็มาเห็นกายในกายต่างๆ
แม้ตอนปีแรกๆ ที่ท่านสอนอยู่ที่วัดปากน้ำฯ ท่านก็ยังสอนให้กำหนดลมหายใจอยู่
แต่ต่อมาจากความชำนาญของท่าน พบว่า
การสอนคนเป็นหมู่มาก ให้กำหนดบริกรรมด้วยการเห็นจะดีกว่า
ท่านจึงได้กำหนดให้ผู้มาฝึกสมาธิบริกรรมนิมิตเป็นองค์พระ หรือเป็นดวงแก้วขึ้นมา


การสอนเป็นหมู่มากนี้ดี เพราะเป็นการปูพื้นฐานให้เกิดทิพยจักขุ
พอเกิดทิพยจักขุแล้ว จึงได้สิ่งนี้ไว้ใช้เป็นมาตรการในการประเมินผลการฝึกสมาธิด้วยการเห็น
อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯได้อธิบายคำสอนของท่านมา

และด้วยประสบการณ์การสอนสมาธิเป็นหมู่มากของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯนี้เอง
ทำให้เราเห็นความเป็นอัจฉริยะของท่านชัดเจน
เพราะเมื่อสมัยที่ท่านให้กำหนดลมหายใจเป็นพื้นฐาน แล้วใช้การวัดอารมณ์เป็นการประเมิน
พบว่า
เวลาคนมาปฏิบัติเป็นหมู่มาก ทำการประเมินผลได้ยาก เช่น
ถ้าลูกศิษย์มานั่งสมาธิเป็นพันอย่างนี้ ก็ไม่รู้จะประเมินผลอย่างไร
ถ้าต้องไปตามตรวจดูวาระจิตของแต่ละคน ก็จะใช้เวลามาก
เพราะเวลาชีวิตเป็นของมีจำกัด
แต่ถ้าประเมินด้วยการเห็น
ทุกคนก็รู้ด้วยตัวเองว่า เราเห็น หรือไม่เห็น
อย่างนี้จะง่ายต่อการประเมินผล


#3 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 12:00 PM

เมื่อหลวงพ่อท่านจับจุดตรงนี้ได้ ท่านจึงปรับวิธีการจากกำหนดลมหายใจมาเป็นองค์พระ มาเป็นดวงแก้ว
ซึ่งการปรับครั้งนี้ ก็ยังอยู่ในวิธีนั่งสมาธิ ๔๐ วิธีในพระพุทธศาสนาที่มี บันทึกอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค

เท่านั้นยังไม่พอ หลวงพ่อวัดปากน้ำฯยังพัฒนาการสอนต่อไปอีก
นั่นคือเรื่องแม้นั่งสมาธิ ก็พูดจาโต้ตอบได้อย่างที่เราเห็นกันมาแล้ว

เราเคยสังเกตไหม เวลาหลวงพ่อธัมมชโยเทศน์ เป็นต้องหลับตา
ถามว่าเอามาจากไหน
เอามาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ
แต่หลวงพ่อธัมมชโยไม่เคยเจอหลวงพ่อวัดปากน้ำไม่ใช่หรือ ?
ใช่ มาไม่ทันกัน
แล้วไปเอามาได้ยังไง ?
คุณยายอาจารย์บอก

พอถึงเวลาที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯเทศน์
ตอนเริ่มต้นเทศน์อารัมภบท หลวงพ่อท่านลืมตา
พอเทศน์โน้นน้าวอารมณ์ไปสักหน่อย จนใจของผู้ฟังเริ่มสงบกันดีแล้ว
เดี๋ยวท่านหลับตาเทศน์ สอนให้เข้ากลางของกลาง กลางของกลางศูนย์กลางกาย
แล้วก็เทศน์ตามที่เห็นอยู่ข้างใน
เห็นยังไง ท่านก็อธิบายเป็นฉากๆ ตามนั้น

เพราะฉะนั้น ใครได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ จะรู้สึกว่า
ฟังแล้วจะดึงดูด
ทำไมจึงดึงดูดเพราะว่า
เป็นการควักใจเทศน์ ท่านมองเข้าไปในศูนย์กลางกาย เห็นเป็นภาพขึ้นมายังไงก็เทศน์ตามนั้น

เพราะฉะนั้นถ้าใครส่งใจตาม ก็จะเห็นตามนั้นอีกเหมือนกัน
ซึ่งนี่ไม่ใช่การสะกดจิต

นี้เป็นการนำร่องล่วงหน้า ใครตามไปก็จะเห็น เช่นเดียวกัน

โดยวิธีการอย่างนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว จะถือว่าเป็นวิธีใหม่ก็ได้
แต่ความจริงเป็นการรวมเอาวิธีเก่าที่กล่าวไว้ในคัมภีร์หลายๆ วิธีมาใช้

วิธีเก่าในคัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งเป็นคัมภีร์ฝึกสมาธิมาแต่โบราณนั้น มีอยู่ ๔๐ วิธี

เนื่องจากหลวงพ่อวัดปากน้ำฯเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
พอเกิดความชำนาญเข้า ท่านจึงเอาทั้ง ๔๐ วิธีมาหลอมกลายเป็นวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งก็มาจาก ๔๐ วิธีนั่นแหละ

โดยขั้นต้นของการเริ่มนั่งสมาธิให้ใจนิ่ง แท้ที่จริง คือ
การปรับลมในตัว เป็น อานาปานสติ อยู่ในนั้น

แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ สอนลงภาคปฏิบัติเลย พอกำหนดเป็นดวงแก้ว นั่นคือ การกำหนดกสิณ

กสิณ คือ วัตถุที่กำหนดในการทำสมาธิ
มีอยู่ตั้ง ๑๐ อย่าง
ได้แก่ กสิณดิน กสิณน้ำ กสิณไฟ กสิณลม กสิณอากาศ กสิณแห่งความสว่าง ฯล

ยกตัวอย่าง
เวลาฝึกกสิณน้ำ โบราณเขาทำยังไง ?
เขาก็เอาน้ำใส่ขัน หรือใส่บาตร แล้วก็มองวงกลมของน้ำ

ถ้าฝึกกสิณดิน
เขาก็เอาดินมาปั้นเป็นแผ่นกลมๆ เส้นผ่าศูนย์กลางกว้างสักคืบหนึ่ง ตั้งอยู่ข้างหน้า

ถ้าฝึกกสิณความสว่าง เขาทำยังไง ?
เขาเจาะหลังคาให้เป็นรูหน่อยหนึ่ง พอแดดส่องลงมาก็เป็นวงกลมๆ ติดอยู่ที่ผนัง

ลองนึกภาพ ถ้าหลังคาบ้านรั่ว ก็จะมีวงกลมๆ ติดอยู่
หลวงพ่อท่านก็เอาประสบการณ์จากการฝึกสมาธิเหล่านั้นมา แล้วบวกกับความชำนาญในการฝึก
ท่านจึงบอกให้รู้ว่า ฝึกวิธีไหนก็ตาม พอเสร็จเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวมันเกิดเป็นดวงใสขึ้นมาภายใน
หลวงพ่อท่านก็เลยเอาดวงแก้วมาเป็นนิมิต

ดวงแก้วก็จัดเป็นกสิณอะไร ?
เป็นอาโลกกสิณ คือ กสิณแห่งความสว่าง

แต่แทนที่จะสว่างๆ เป็นดวงแปะอยู่ที่ข้างฝา ท่านไม่เอา
ท่านให้กำหนดนึกเป็นดวงกลมใสขึ้นมาไว้ภายใน
แล้วก็ทำให้เกิดเป็นอาโลกกสิณในตัวด้วย

นี่เป็นความชาญฉลาดยอดอัจฉริยะของท่าน
คือนำของเก่ามาผสมกลมกลืนลงไปให้ง่ายต่อการปฏิบัติและประเมินผลกันเป็นหมู่มาก

เท่านั้นยังไม่พอ คำที่ใช้ภาวนาว่า “สัมมา อะระหัง”
ก็เป็นธรรมานุสติไปในตัว
แต่เพราะคนในเมืองไทยนั้น กราบไหว้พระพุทธรูปกันมาตลอดชีวิต
ถ้าอย่างนั้น ถ้าใครไม่เอาดวงแก้ว ก็กำหนดองค์พระพุทธรูปขึ้นมาในตัว
พอกำหนดองค์พระก็เป็นพุทธานุสติขึ้นมา
แล้วถ้าองค์พระนั้นกำหนดว่า เป็นองค์พระที่ใสเป็นแก้ว
ก็เป็นพุทธานุสติบวกกับอาโลกกสิณเข้าไ

ท่านจับรวมเอาวิธีในพระพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ออกมาอยู่ในลักษณะนี้
มีวัตถุประสงค์ คือ
ทำให้ง่ายต่อการสอนสมาธิให้คนหมู่มาก

เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเวลาเผยแผ่ จะฝึกคนหมู่มาก ภูมิธรรมของท่านในการเอาภาคปริยัติมาอธิบายภาคปฏบัติจึงยิ่งแน่นเปรี๊ยะเข้าไป

ปริยัติในพระไตรปิฎกกับผลการปฏิบัติตรงกัน
เพราะฉะนั้น แนวการสอนสมาธิของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯจึงกลายเป็นสำนักเดียว
ที่สอนการนั่งสมาธิด้วยการเห็น

พูดจาโต้ตอบอธิบายสภาวะธรรมภายในได้ แล้วใครเห็นชัดไม่ชัด หลวงพ่อก็บอกได้ถูก
ขณะนี้เห็นไปถึงไหนก็บอกได้ นี้เป็นอัจฉริยภาพของท่าน

เท่านั้นยังไม่พอ ครั้นเวลาเคี่ยวเข็ญจะให้ลูกศิษย์มีความชำนาญอย่างจริงๆ จังๆ ขึ้นมา
ท่านก็ใช้ระบบโรงงานเข้ามา จับนั่งสมาธิแบบเข้ากะเลย

เมื่อก่อนนี้ ไม่มีการเข้ากะนั่งสมาธิกัน แต่หลวงพ่อท่านทำ
เดี๋ยวนี้ เราได้เห็นตามโรงงาน เขาต้องการโอเวอร์ไทม์ (overtime) ทั้งนั้น
แต่ก่อนตามโรงงานไม่มี พวกที่จะเข้าเวรเข้ากะก็มีเฉพาะแพทย์ พยาบาลที่ต้องดูคนไข้ตลอดเวลา
แต่ว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านลุยแล้ว

อย่าลืมว่า เมื่อ ๗๐ - ๘๐ ปีที่แล้ว ระบบโรงงานยังไม่มี แต่ท่านก็เอามา
แล้วท่านก็ตั้งชื่อโรงงานทำสมาธิของท่านว่า
“โรงงานทำวิชชา”
โรงงานทำวิชชานี้ ไม่มีปล่องอย่างกับโรงสี เป็นอาคารธรรมดานี่แหละ
แต่ว่าหลวงพ่อให้ลูกศิษย์มานั่งสมาธิกันเป็นกะๆ ไปเลย

ยิ่งกว่านั้น ท่านบอกชัดเจน คำว่า กองทัพเดินด้วยท้อง นี้
เขาใช้กันมาตั้งนานแล้ว จากคำนี้หลวงพ่อท่านบอกว่ายังไง
ท่านบอกว่า
คนไทยศรัทธาพุทธศาสนามาด้วยกันทั้งนั้น
แต่ที่ไม่ค่อยเข้าวัด เพราะว่าปัญหาหนึ่งคือปัญหาเศรษฐกิจ


ทำอย่างไรให้ประชาชนที่มานั่งสมาธิแล้ว งานก็ไม่ขาดตกบกพร่อง
เพราะถ้าจะไปขอเงินภรรยา แล้วมานั่งสมาธิ เดี๋ยวภรรยาก็จะด่าเอา
หลวงพ่อท่านจึงตั้งโรงทานให้ ท่านเลี้ยงทั้งพระ เลี้ยงทั้งคนกันไปด้วยในตัวเสร็จ
แล้วใครที่มาปฏิบัติธรรม เขาก็เป็นเนื้อนาบุญได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน

ถ้าทำอย่างนี้ แล้วสามีจะมาวัด ภรรยาก็ไม่ว่า ดีไม่ดีเมียก็เลยตามสามีมาทำบุญ
เพราะเกิดความรู้สึกว่ามาทำบุญเลี้ยงพระ ไม่ใช่มาเลี้ยงผัว แบบนี้จึงไปกันได้

ยิ่งกว่านั้น ใครเขามาช่วยงานวัดก็ต้องทิ้งงานของเขามา แล้วยังต้องให้เขาไปจ่ายเงินซื้อข้าวซื้อปลากินอีก
เดี๋ยวภรรยาก็ไม่ให้มาทำงานเท่านั้นแหละ
แล้วทำยังไง ?
ก็ต้องมีโรงทาน พอไปช่วยงานวัดเสร็จ ก็กินข้าวที่วัดนั่นแหละ อย่างนี้ ใครก็ว่าไม่ได

จึงกลายเป็นว่า หลวงพ่อท่านขับเคลื่อนกองทัพด้วยโรงครัวหรือโรงทานไปทันที
โรงทานวัดปากน้ำฯจึงได้เกิดขึ้นมาอย่างนี้
ี้

สมัยนั้น ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน แต่หลวงพ่อท่านทำ
ตอนทำทีแรก เขาก็ว่าคงไปไม่รอด หลวงพ่อท่านบอกว่า
“เราไม่ได้เอามากินเพียงลำพัง นี่เราจะมาเลี้ยงลูกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าใช้เราให้ทำงาน แล้วท่านจะไม่ส่งเสบียงมาเลี้ยงลูกท่านก็ให้รู้ไป”
แล้วหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านก็ลงมือทำ และทำสำเร็จด้วย

และเมื่อคุณยายมาสร้างวัดพระธรรมกายก็ได้ทำต่อกันมาเป็นระลอกคลื่นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น
การตั้งโรงทานนี้ ท่านทำขึ้นมาเพราะต้องการขับเคลื่อนกองทัพธรรมให้เดินหน้าต่อไปได้ไม่ติดขัด

#4 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 12:02 PM

บทความนี้มีประโยชน์ ขอเรียนถามว่า ฌาน๑ถึง๔ เป็น สมถะ ใช่ไหม

แล้วตั้งแต่ธรรมกายโคตรภูขึ้นไป เรียกว่า ฌานอะไร เป็น วิปัสสนา ใช่ไหม

ขอบคุณครับ

#5 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 12:16 PM

เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ สร้างอาคารนั่งสมาธิ สร้างโรงงานทำวิชชา
ลูกศิษย์คนไหนพอถึงธรรมกายแล้ว ท่านจับมาเคี่ยวธรรมะให้ละเอียด
ถ้าใครยังเข้าไม่ถึงธรรมกาย ท่านจะเอาไว้สอนรวมที่ศาลาทั่วไปอีกทีหนึ่ง

ส่วนผู้ที่เข้าถึงธรรมกายแล้ว ท่านจัดแบ่งเป็นกะ

กะแรกเข้าโรงงานทำวิชชาตั้งแต่ตอนหกโมงเช้า นั่งสมาธิอยู่ในนั้นจนถึงเพล แล้วหลวงพ่อท่านให้กะแรกไปพัก

ส่วนกะที่ ๒ เข้าไปนั่งสมาธิตอนเพล ต่อจากชุดกะแรก แล้วออกตอนหกโมงเย็น

กะแรกที่ได้พักตอนเพล ก็เข้ามานั่งสมาธิต่อกะสองตอนหกโมงเย็น แล้วไปออกอีกทีตอนเที่ยงคืน
สลับกับกะที่ ๒ ซึ่งพักตอนเย็น แล้วมาเข้าตอนเที่ยงคืน ไปออกอีกทีตอนหกโมงเช้า

วนกันไปอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ท่านให้เข้ากะกันอย่างกับโรงงานอุตสาหกรรม
หลวงพ่อท่านทุ่มเทกันสุดชีวิตอย่างนี้ โดยท่านเป็นประธานรับคุมทำวิชชาเองทุกกะเลย

คุณยายอาจารย์ (มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) เคยเล่าให้ฟังว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ท่านทำโรงงานทำวิชชาให้มี ๒ ชั้น มีเก้าอี้โยกตั้งไว้ในโรงงาน
แล้วหลวงพ่อท่านก็มานั่งคุมลูกทุกกะ
พอร่างกายมันง่วงมากเข้า ท่านก็ไปเอนหลังเดี๋ยวหนึ่ง สักหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง
แล้วเดี่ยวท่านก็ลุกขึ้นมาคุมต่อ


เพราะฉะนั้น ท่านจึงสร้างขุนพลขึ้นมาได้เยอะ
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครนำมาพูดให้รู้กันในวงกว้าง จะมีพูดอยู่กับกลุ่มคนเล็กๆ เท่านั้น

แล้วทำอย่างไรจะให้คนอื่นเขารู้

วัดพระธรรมกายจึงเอาสิ่งเหล่านี้ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านทำมาขยายวงกว้างออกไป
ซึ่งใช้เวลามาตลอดการสร้างวัดพระธรรมกาย เพื่ออธิบายเรื่องเหล่านี้
เป็นการประกาศให้ชาวโลกรู้มากขึ้นว่า
เหตุที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าท่านทำมาอย่างที่เล่านี้

เมื่อเป็นอย่างนั้น คนที่เคยเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ
ก็รู้ว่าเบื้องหลังความศักดิ์สิทธ์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
เมื่อเขารู้แล้ว เขาก็ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น
แล้วก็มีกำลังใจที่จะปฏิบัติธรรมต่อจากที่เขาเคยปฏิบัติกับหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ

ส่วนใครที่ไม่เคยเจอหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ
สงสัยอยู่ว่า สิ่งที่เลื่องลือมานั้นจริงหรือไม่จริง

ครั้นเมื่อได้ฟังการขยายความอย่างถูกต้องร่องรอยตามความเป็นจริงแล้ว
พอเขาอ่านแล้ว ได้ยินแล้วก็เข้าใจ
เมื่อเข้าใจก็หมดความคลางแคลง เกิดเป็นความศรัทธา แล้วก็เกิดการปฏิบัติธรรมตามมา

และเพราะการปฏิบัติธรรมตามมานี้เอง นี่คือคำตอบว่า

ทำไมที่วัดพระธรรมกายจึงมีคนมาวัดทุกวัน ทุกอาทิตย์ ทุกเดือน และทุกงานบุญใหญ่ ก็จะมีคนมาวัดเยอะแยะไปหมด

กลายเป็นวัดที่มีผู้มาฟังเทศน์มาปฏิบัติธรรมมากที่สุดในประเทศไทย
สาเหตุเพราะปฏิบัติตามแบบที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯให้ไว้สืบต่อกันมาเป็นทอดๆ อย่างนี้

โดยสรุปตรงนี้ก็อยากจะบอกว่า
พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ มีความสำคัญต่อพวกเรา และพระพุทธศาสนามาก เพราะ

๑. คนที่จะเอาชีวิตเป็นเดิมพันปฏิบัติธรรมนั้นหายาก

๒. คนที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันปฏิบัติธรรมแล้ว
ยังทั้งเฉลียว และฉลาด มีความเป็นอัจฉริยะที่จะหาศูนย์กลางกายให้เจอนั้นก็หายาก

๓. ผู้ที่หาศูนย์กลางกายเจอจนกระทั่งเข้าถึงธรรมกายนี้ก็หายาก

๔. ผู้ที่เข้าถึงธรรมกายแล้ว จะสามารถสอนคนอื่นให้เข้าถึงธรรมกายตามก็หายาก

๕. ผู้ที่มีความสามารถในการสอนคนให้เข้าถึงธรรมกายแล้ว สอนกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะใหญ่ๆ นี้ก็หายาก

แต่ในความยากเหล่านี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำผ่านอุปสรรคมาหมดแล้ว
แล้วหลวงพ่อท่านก็มาเป็นต้นแบบการเผยแผ่ให้กับเราในยุคนี้ี้

#6 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 12:24 PM

๒. มีการประกาศพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯด้วยความชัดเจน ต่อเนื่อง
เป็นวงกว้างอย่างทั่วถึงและเหมาะสม


วัดพระธรรมกายมาถึงจุดนี้ได้ เพราะอาศัยแบบอย่างของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ
หลวงพ่อธัมมชโย เห็นการณ์ไกลที่จะบูชาพระคุณของท่าน
จึงมีนโยบายให้ประกาศออกไปทั้งวิทยุ ทีวี สิ่งพิมพ์ เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้
แล้วก็ยังส่งข่าวนี้ข้ามประเทศไปด้วย คนไทยที่เคยปฏิบัติธรรมในเมืองไทย

เมื่อเขาไปอยู่กันที่ไหน เขาก็ไปรวมกันเป็นกลุ่มที่ไต้หวัน ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ออสเตรเลีย
เขาไปรวมกลุ่มกันมา แล้วหลวงพ่อธัมชโยก็เทศน์ให้ฟัง แล้วก็ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมไปทุกเดือน
กระจายพระคุณความดีของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯไปทั่วโลก

นี้คือการประกาศพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ
ที่วัดพระธรรมกายทำกันมาอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง เป็นวงกว้าง และทั่วถึงอย่างเหมาะสม

ถ้าจะย้ำกันให้ชัดเจน และกระชับอีกทีหนึ่ง ต้องบอกว่า
การบูชาพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯนั้น

ปัจจัยแรกนี้ คือ หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ท่านมีพระคุณจริง ไม่ใช่การอุปโลกน์ขึ้นมา
ปัจจัยที่สอง คือ การประกาศพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯให้ชัดเจน ต่อเนื่อง
เป็นวงกว้างอย่างทั่วถึงและเหมาะสม

คำว่า ประกาศ คำนี้ ภาษาบาลี เรียกว่า กตเวที
กตเวท
ี คือ ประกาศคุณ
ส่วนกตัญญู คือ รู้คุณ

หลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านมีลูกศิษย์ดีที่ทั้งเห็นคุณ รู้คุณ และประกาศคุณของท่าน
หลวงพ่อธัมมชโยและพวกเราเกิดความซาบซึ้งรู้คุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ แล้วเราก็ช่วยกันประกาศคุณของท่าน

หลวงพ่อวัดปากน้ำฯท่านได้ลูกศิษย์ดี
ทำไมหลวงพ่อท่านได้ลูกศิษย์ดี
ก็เพราะวิธีการสั่งสอนที่ท่านทิ้งเป็นมรดกธรรมไว้ให้เป็นของดี
จึงสามารถหล่อหลอมลูกศิษย์ดีๆ เกิดขึ้นมาได้

เมื่อหล่อหลอมศิษย์ที่ดีๆ เกิดขึ้นมาได้ จึงมีการเห็นคุณ และรู้คุณ
เพราะว่าเห็นคุณ แล้วจึงรู้คุณ จึงต้องประกาศคุณ
และเป็นการประกาศอย่างชัดเจน ต่อเนื่อง ทั่วถึง และเหมาะสมดีเหลือเกิน

นอกจากประกาศคุณของท่านออกมาแล้ว ยังคิดจะตอบแทนคุณของท่านให้ยิ่งขึ้นไป
ด้วยการจะให้คนทั้งโลกที่ยังไม่รู้คุณของท่าน ได้รู้
ส่วนที่รู้แล้ว ก็จะได้ศรัทธาที่จะปฏิบัติธรรมตามท่านยิ่งขึ้นไป


#7 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 12:30 PM

๓. ได้ผู้มีคุณธรรมมาเป็นหลักและเป็นประธานในการรวมศรัทธาทั้งคนใหม่และเก่า

คือ พระเดชพระคุณพระธรรมปัญญาบดี (ปัจจุบันเป็นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ )
เจ้าอาวาส วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ,
และคุณยายอาจารย์ มหาอุบาสิกา จันทร์ ขนนกยูง

พระเดชพระคุณพระธรรมปัญญาบดี
ท่านเป็นทายาทโดยตรงของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ให้ความเมตตากรุณาแก่พวกเรา
ท่านมาเป็นประธานให้

คำว่า ประธาน นั้น ไม่ใช่มานั่งเฉยๆ
แต่เป็นประธานรวมศรัทธาลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่กระจัดกระจายกันไปปฏิบัติธรรมตามสำนักต่างๆ
ทั้งที่วัดปากน้ำฯซึ่งเป็นวัดแม่เองและวัดลูกๆ ที่มีกระจายกันอยู่ในทั่วแผ่นดินนั่นแหละ
เมื่อท่านมาเป็นประธานให้ เราก็จัดงานได้

อีกทั้งการคณะสงฆ์ยังมั่นคงเป็นปึกแผ่น พระเถรานุเถระทั้งหลาย พระมหาเถรานุเถระทั้งหลาย
ท่านก็ซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯเป็นอย่างดี เพราะท่านได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมมามาก
ท่านรับภาระกิจการของการคณะสงฆ์มามาก
ท่านซาบซึ้งกันดีว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำฯมีพระคุณอัน่ขนาดไหน
ท่านก็เห็นดีเห็นงามด้วย ไม่มีรูปใดเลยที่จะคัดค้านเลย

เท่านั้นยังไม่พอ นับเป็นบุญของเรา ที่แม้พวกเราในที่นี้ส่วนมากก็ไม่ทันได้เจอหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ
แต่เรามาทันคุณยายอาจารย์ ซึ่งเป็นบุคคลที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯได้สรรเสริญเอ่ยเอาไว้ว่า
เป็นลูกศิษย์ที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง

คุณธรรมที่สำคัญของคุณยายฯที่ถอดแบบออกมาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำฯได้มากๆ คือ
ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของท่าน คุณยายฯเด็ดขาดเหลือเกิน

ตลอดเวลาที่คุณยายฯฝึกหลวงพ่อ และฝึกคนของวัดพระธรรมกายมา
คุณยายฯใช้มาตรการเด็ดขาดเหลือเกิน

ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯประเภท พอลงมือนั่งสมาธิปุ๊บ หลวงพ่อไม่เลิก ท่านก็ไม่ขยับ
ท่านถูกฝึกมาอย่างนั้น ถอดวิญญาณนักปฏิบัติธรรมมาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำฯเลยทีเดียว

ติดขัดตรงที่ว่า ท่านเป็นผู้หญิง จึงไม่ได้บวชเท่านั้น นอกนั้นคุณยายฯถอดแบบออกมาเลย
บางครั้งท่านถึงกับปรารภว่า
“เสียท่ามารมัน มันเอาสังขารร่างกายที่เป็นหญิงมาครอบเราได้
ไม่อย่างนั้นเราจะได้บวชเป็นพระภิกษุเดินตามรอยหลวงพ่อวัดปากน้ำให้สมบูรณ์แบบมากกว่านี้
ชาติหน้า ยายไม่ยอมมันหรอก จะตามปราบมารให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ”

คุณยายฯท่านใช้คำนี้ คือ
ปราบไม่ปราบเปล่าๆ จะปราบให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ให้เข้าไปในต้นในต้น
ซึ่งไม่มีต้นอีกต่อไปของมัน จะกุดให้เตียนทีเดียว
ท่านพูดของท่านแบบนี้

ตรงนี้นับเป็นบุญของเราที่มีคุณยายฯมาเป็นหลักเป็นประธานให้
ถ้าไม่มีคุณยายฯ ทำไม่ได้นะ

เพราะต้องมีผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้จริง แล้วเขายอมรับกันทั่วบ้านทั่วเมืองมานั่งเป็นประธานให้จึงจะได้
เราจะต้องได้บุคคลที่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อวัดปากน้ำฯด้วย

คือ พระเดชพระคุณพระธรรมปัญญาบดี
และคุณยายอาจารย์ มหาอุบาสิกา จันทร์ ขนนกยูง

แล้วท่านมาเป็นหลักเป็นประธานให้ ความสำเร็จนี้จึงเกิดได้

#8 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 12:54 PM

๔. บรรดาศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ทำหน้าที่กัลยาณมิตร
ประกาศข่าว เชิญชวนผู้อื่นให้มาบูชาหลวงพ่อวัดปากน้ำฯทั้งอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา


ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนที่ยังไม่ได้รู้คุณท่านจะได้รู้
และคนที่รู้แล้วจะได้ศรัทธาที่จะปฏิบัติธรรมตามท่านยิ่งๆ ขึ้นไป ?

ก็บูชาท่านด้วยการหล่อรูปของท่านด้วยทองคำ
แล้วก็ประกาศออกไปว่า ใครจะบูชาคุณของท่านก็มาเลย เพราะท่านผู้นี้ควรแก่การบูชา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ มีอยู่ ๒ อย่าง คือ
อามิสบูชากับปฏิบัติบูชา

อามิสบูชา คือ นำสิ่งของที่เหมาะสมมาถวาย

ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ก็มีดอกไม้ธูปเทียน ข้าวปลาอาหารหวานคาว เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มที่เหมาะสมกับสมณเพศ เป็นต้น
ซึ่งเรื่องนี้ เราก็ทำกันมายี่สิบกว่าปี
ถ้าจะใช้อามิสบูชาก็ต้องเป็นอามิสที่ประณีต แล้วก็ปลูกฝังกันมายี่สิบกว่าปี
วัดพระธรรมกายไม่เคยสอนเลยให้ถวายทานชุ่ยๆ ไม่มีเลย
มีแต่ประณีตทานตลอดมา
เพราะหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น

เราพูดอย่างนี้มาตลอด แล้วเราก็ทำเองอย่างนี้มาตลอด
เวลาเราเอาอะไรไปฝากแม่ เราก็เลือกของที่ประณีตไป
จะเอาไปฝากพ่อ เราก็เลือกของที่ประณีตไป
แม้ที่สุดจะซื้อข้าวซื้อของไปฝากลูก ฝากผัว ฝากเมีย ฝากเพื่อน เราก็ยังใช้ของประณีตเอาไป

คราวนี้ เราจะบูชาคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯด้วยทองคำ ไม่มีใครขัดแม้แต่นิดเดียว
เพราะเราซาบซึ้งและเห็นคุณ เห็นอานิสงส์ของการถวายประณีตทานกับใครต่อใครมาเยอะแยะแล้ว
การถวายทองคำประณีตทานกับหลวงพ่อวัดปากน้ำฯจึงแสนจะเต็มใจ
เพราะอยากจะทำมาให้ล้นหัวใจเต็มที่


ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่ของที่เกิดได้เองลอยๆ
แต่เพราะมีองค์ประกอบอย่างนี้ นี่เป็นภาพที่เราต้องมองให้ชัด

แม้ว่าอานิสงสของอามิสบูชา ์จะสามารถปิดนรกเปิดสวรรค์ได้
ทำให้เกิดความเลื่อมใสต่อพระรัตนตรัยและ ต่อการเกิดคุณธรรมอีกเยอะแยะเลย
ก็ยังสู้ปฏิบัติบูชาไม่ได้


ซึ่งตรงนี้ก็เป็นนัยที่บอกให้เรารู้ว่า
จะเอาแต่อามิสบูชาก็ไม่ได้ ต้องเอาปฏิบัติบูชาด้วย
และจะเอาแต่ปฏิบัติบูชา ไม่เอาอามิสบูชาก็ไม่ไม่ดี

สู้ทำทั้งสองอย่างดีกว่า นั่นคือ
ทั้งหล่อรูปท่านด้วยทองคำ ทำให้ใครมองเห็นแล้ว เกิดความเลื่อมใสเป็นอามิสบูชาแล้ว
แล้วเราก็ควรจะเอารูปหล่อทองคำของท่าน มาใช้เป็นสื่อให้เกิดการปฏิบัติธรรม

เพราะฉะนั้น แทนที่จะหล่อรูปทองคำของท่านเป็นท่าอื่น เราก็ไม่เอา
เราหล่อรูปของท่านในท่านั่งสมาธิเต็มองค์เสียเลย ให้เห็นท่ามาตรฐานว่าผู้จะเข้าถึงธรรมะ
แม้ในการนั่งสมาธิเขาจะต้องนั่งอย่างไร เราทำมาให้ดูกันให้ชัดๆ ให้เขาได้เห็นเต็มองค์
แล้วก็โตพอที่จะได้เห็นเต็มตาอีกด้วย


และเนื่องจากว่าถ้าทำเท่ากับตัวท่านจริงๆ พอไปตั้งประดิษฐานในที่สูงเข้า เดี๋ยวก็จะรู้สึกว่าท่านเล็กเกินไป
จึงทำขนาดใหญ่กว่าตัวจริงถึงเท่าครึ่งของท่าน
ซึ่งก็ใช้ทองคำน้ำหนักประมาณ ๑ ตัน หรือ ๑,ooo กิโลกรัม

ซึ่งในการทำงานเกี่ยวกับศาสนา มีสิ่งที่ต้องระมัดระวังอยู่มากๆ
แต่ทั้งๆ ที่หลวงพ่อและหลวงพ่อธัมมชโยระมัดระวัง ก็ไม่วายถูกทั้งชมทั้งโจมตี
ฝ่ายที่ชมก็ชมกันเต็มที่ ฝ่ายที่โจมตี ก็โจมตีกันอย่างหนัก

แต่ในการหล่อรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำฯด้วยทองคำ เสียงโจมตีนั้นน้อยมากๆ เลย
แล้วถ้าสงสัยก็มักมาถามด้วยตัวเอง หรือฝากคำถามกันมา ซึ่งก็เป็นคำถามที่ไม่แรง

รายที่แรงที่สุด ก็เป็นคำถามที่มาจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่บริหารบ้านเมืองท่านหนึ่ง
ท่านตรงมาด้วยตัวเอง แล้วตั้งคำถามไว้เยอะแยะเลย
เพราะว่าข้อมูลเกี่ยวกับที่ใครโจมตีวัดพระธรรมกายมีเท่าไหร่ๆ ไปอยู่ที่ทำงานของท่านทั้งนั้น
ท่านเลยมาด้วยตัวเอง
ท่านถามว่า
หลวงพ่อไม่กลัวอันตรายกับวัดหรือ เอาทองคำมาหล่อเป็นรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำ

หลวงพ่อก็ตอบว่า
ไม่อันตรายหรอก เพราะว่า
๑. เพราะป้องกันอันตรายกับญาติโยมที่ชอบใส่ทองคำอยู่แล้ว
๒. การหล่อรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ถ้าจะมีอันตรายคือหล่อองค์เล็กๆ
ขนาดกำลังคว้าใส่กระเป๋าได้ คว้าติดมือได้ ถ้าอย่างนั้นอันตราย
แต่ที่เราหล่อนั้นองค์โต ขนาดใหญ่กว่าเท่าครึ่งขององค์จริง
ซึ่งก็หนักสักประมาณ ๑ ตัน ไม่สามารถคว้าใส่กระเป๋าหรือคว้าติดมือได้
แนบไฟล์  280_L.jpg   206.38K   65 ดาวน์โหลด
ท่านนั้นก็ถามต่อว่า
“แล้วหลวงพ่อจะต้องใช้คนมาเฝ้าเท่าไหร่ หรือว่าจะต้องทำเป็นสัญญาณนิรภัย ไม่ต้องติดรอบไปหมดหรือนี่”

หลวงพ่อก็บอกเขาว่า
“ไม่หรอก หลวงพ่อทำขึ้นมาเพื่อให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติธรรม
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อไม่เอาท่านไปเก็บกัก ใส่โซ่ใส่ตรวน
ไม่ต้องใส่ลูกกรง เอาโซ่ล่ามอาคาร หรือกรรมวิธีอื่นๆ อีกเยอะแยะ
หลวงพ่อจะเปิดพื้นที่กว้างให้โล่งไปเลย แล้วก็ให้ทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา

หมุนเวียนกันมานั่งสมาธิเหมือนอย่างกับสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
คุณยายอาจารย์ได้ยืนยันไว้แล้วว่า ยุคนั้น เขานั่งสมาธิกลางวัน ๖ ชั่วโมงรวด และกลางคืน ๖ ชั่วโมงรวด

ในรอบที่คุณยายนั่งสมาธินั้น คือเริ่มตั้งแต่ ๖ โมงเช้า กินข้าวเสร็จแล้ว
ก็ไปนั่งสมาธิกับหลวงพ่อวัดปากน้ำฯจนกระทั่งถึงเพล แล้วก็ไปพัก

ชุดที่เขานั่งสมาธิชุดที่ ๒ ก็เข้ามานั่งตอนช่วงเพล แล้วก็ไปออกประมาณ ๖ โมงเย็น
ชุดที่พักตอนเพล ก็มาเข้า ๖ โมงเย็นออกเที่ยงคืน
และชุดที่ออกตอนหกโมงเย็นก็มาเข้าเที่ยงคืน ไปออกตอน ๖ โมงเช้า
หมุนกันอย่างนี้ตลอดชีวิตที่หลวงพ่อท่านวัดปากน้ำฯทำภาวนามา

เพราะฉะนั้น เราก็จะถอดแบบอันนี้มาปฏิบัติกันต่อไป
ซึ่งไม่เฉพาะภายในวัดเท่านั้น ทั้งญาติโยมที่ประกาศตัวว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ
ก็ให้มานั่งสมาธิกันให้รอบทีเดียว ”


หลวงพ่ออธิบายให้มองภาพให้ชัดๆ ท่านก็เลยร่วมบุญสร้างหลวงพ่อวัดปากน้ำทองคำกับหลวงพ่อมา
ก็เป็นรายที่ซักถามหลวงพ่อมากที่สุด ส่วนนอกนั้น ไม่มีใครมาซักถามจ้ำจี้จ้ำไชอะไรมากไปกว่านี้เลย

#9 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 01:11 PM

๕. ต้องมีวิริยะที่จะถอดแบบหลวงพ่อวัดปากน้ำฯด้วยทองคำให้เหมือนกับตัวจริงมากที่สุด

หลวงพ่อธัมมโย ท่านย้ำคำ เหมือนอย่างที่คุณยายฯพูด
ท่านบอกว่า
ถ้าไม่มีหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ไม่มีท่านค้นวิชชาธรรมกายกลับมาให้เราแล้ว
ต่อให้พวกเราค้นพระไตรปิฎก อ่านพระไตรปิฎกให้ทะลุปรุโปร่ง
หรือจะอ่านให้จนกระทั่งพระไตรปิฎกขาดไปแล้วกี่ตู้กี่ตู้ก็ตาม
ก็ยังไม่สามารถที่จะค้นวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกได้อยู่นั่นเอง


เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่หลวงพ่อท่านนำนั่งสมาธิ หรือทุกครั้งที่พวกเราในวัดพระธรรมกายจะนั่งสมาธิ
เป็นต้องกราบระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำฯก่อนทุกที


เพราะรู้แก่ใจตัวเองว่า
หากไม่มีหลวงพ่อวัดปากน้ำฯมาค้นวิชชาธรรมกายรอท่าไว้ให้แล้ว
ก็ยากที่จะสามารถหาแก่นสารที่แท้จริงในพระพุทธศาสนาได้

และด้วยความซาบซึ้งในพระคุณของท่านนี้เอง หลวงพ่อธัมมชโย
ท่านก็บอกว่า
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องบูชาพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯให้เต็มที่ ให้เต็มอิ่ม ให้เต็มใจ
แล้วท่านก็ลงมือปั้นรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำฯออกมา
โดยอาศัยรูปถ่ายของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ได้เก็บสะสมกันเอาไว้กันตั้งแต่สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่
ได้อาศัยรูปปั้นของท่านที่มีเป็นแม่แบบอยู่ ที่วัดปากน้ำด้วย
แล้วก็มาขยายส่วนสร้าง มาปั้นขึ้นมา
แล้วก็จะตั้งใจหล่อท่านด้วยทองคำบริสุทธิ์


ความจริงทองคำนั้นถึงจะมีค่ามากในสายตามนุษย์ทั้งหลาย
แต่ถ้าเทียบกับคุณค่าของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ และพระคุณที่ท่านมีต่อพวกเราแล้ว
พระคุณของท่านก็เหนือกว่าทองคำมากมายนัก จะเทียบจะเปรียบกันไม่ได้

เพียงแต่ว่า ทั้งๆ ที่เราอยากจะไดัวัสดุอื่นที่มีคุณค่ากว่าทองคำ เราก็ไม่รู้จะเอาอะไร
ถ้ามีวัสดุอื่นที่มีคุณค่ามากกว่าทองคำ แล้วก็มันหาได้ในโลกนี้แล้ว

หลวงพ่อมั่นใจว่า
หลวงพ่อธัมมชโยท่านก็คงคิดจะเอาวัสดุนั้น มาทำรูปเหมือนของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯอีกเช่นกัน

แต่ว่าปัจจุบันนี้เท่าที่เรารู้ที่เราเห็น ที่เราสามารถจะทำได้ก็คือ
ใช้ทองคำบริสุทธิ์มาหล่อรูปของท่าน เป็นการบูชาธรรมและเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีด้วย

ด้วยน้ำจิตน้ำใจของหลวงพ่อธัมมชโย อย่างนี้
ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าการหล่อรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำฯด้วยทองคำเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

ยากเพราะทำด้วยวัสดุอันมีค่า
ยากแก่การรวบรวม
ยากเพราะว่าหาช่างมีฝีมือหล่อทองคำนั้นในโลกนี้แทบจะหาไม่ได้
หรือถ้าช่างฝีมอนั้นอาจจะมี แต่ความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจของเขามีพอที่จะมาทำงานนี้ไหม ?
นั่นก็เป็นความยาก
ตลอดจนการที่จะเก็บที่จะรักษา ก็เป็นการยาก

แต่จะยากอย่างไรก็ตาม
เพื่อเป็นการบูชาพระคุณของท่านหนึ่งและเป็นการเตือนสติให้ชาวโลกได้หันหน้ามาประพฤติปฏิบัติ
ตามหลวงพ่อท่านอีกหนึ่ง เพียงสองประการนี้
ก็มีคุณค่ามากเกินพอที่เราจะต้องทุ่มเทหล่อรูปของท่านด้วยทองคำบริสุทธิ์ขึ้นมา

พูดถึงในการที่จะถอดแบบรูปของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ออกมาเป็นรูปหล่อทองคำนั้น
ขอบอกก่อนว่า ไม่ใช่ของง่าย
ได้ลองทำกันแล้วทำกันอีก ลงมือซ้อมทำกันมาหลายปีเต็มที แต่ว่าไม่ได้ประกาศให้ญาติโยมทราบ

พูดง่ายๆ คือ เตรียมงานกันมานาน เราค่อยๆ ขยายรูปของท่าน ตั้งแต่
ขั้นแรก เราเอารูปปั้นของท่านขนาดเท่าตัวจริงจากวัดปากน้ำฯ มาดู

คนปั้น คือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
ท่านผู้นี้เป็นผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านเป็นชาวอิตาเลียน
แต่บั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านก็เปลี่ยนมาเป็นคนไทยเรียบร้อย
ท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ปั้นเอาไว้ ตั้งแต่หลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่

แต่ว่าการปั้นตอนนั้นเป็นภาพก่อนหลวงพ่อท่านจะมรณภาพถึงสิบปี
เราก็จะเอาโครงสร้างนั้น มาบวกกับรูปถ่ายของท่านในอิริยบถต่างๆ ที่เรารวบรวมเอาไว้
แล้วก็ปรับให้สมกับอายุของท่านในครั้งสุดท้ายก่อนที่จะลาพวกเราไป

ช่างแต่ละคนนั้น เราก็ฝึกแล้วฝึกอีก ทั้งพระทั้งฆราวาส
ซึ่งแต่ละคนก็ซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อวัดปากน้ำทั้งนั้น
ทุกคนทำแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แก้แล้วแก้อีก เพื่อให้ออกมาดีที่สุด
นำคอมพิวเตอร์มาใช้งานกันเลย จนกระทั่งปั้นหุ่นของท่านออกมาได้สำเร็จ

ทุกคนที่เคยเห็นท่านเมื่อมีชีวิตอยู่ พอมาเห็นแล้ว ออกปากเลยว่า
เหมือน อย่างกับท่านมีชีวิตอยู่จริงๆ
ต้องบอกว่าเป็นบุญของพวกเรา เพราะว่าเทคโนโลยี และช่างในยุคนี้ที่ฝีมือถึงนั้นยังมีอยู่
ถ้าไม่มีช่างฝีมือดีอย่างนี้ ทำไม่ได้อีก

และในเรื่องนี้หลวงพ่อธัมมชโยลงเป็นประธานเองเลย ลงมือปั้นด้วยตัวเองด้วย
และกรมศิลปากรมีช่างฝีมือดีเท่าไหร่ ไปตามเอามาช่วยกันทำ จึงได้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา

สำหรับเทคนิคเชี่ยน (technician) ในการหล่ออีกเช่นกัน ต้องบอกว่า
ถ้าจะไปตามใครในโลกที่เคยหล่อรูปทองคำน้ำหนักมากขนาดนี้ ไม่มีหรอก

เราได้แต่ศึกษาในเรื่องของการหล่อผ่านจากการหล่อชนิดอื่น
ศึกษาเรื่องคุณสมบัติของทอง และการทำทองจากช่างทองฝีมือดีของเมืองไทยเท่าที่มีอยู่
เพราะว่าศิษย์ของเราที่เป็นช่างทองอยู่ในวงการโลหะมีมากพอสมควรทีเดียว

เราไปตามท่านเหล่านี้มาปรึกษากัน
และที่สำคัญทดลองหล่อแล้วหล่ออีกด้วยโลหะอย่างอื่นที่มีคุณสมบัติพอจะใกล้เคียงกับทองคำ
ครั้งสุดท้ายที่เราทราบคือที่หล่อกันกลางแจ้ง นั่นหล่อกันด้วยตะกั่ว

ในบรรดาโลหะด้วยกันแล้ว จุดหลอมเหลว ความแข็งแกร่งของตะกั่วนี้ใกล้ทองมากที่สุด
จึงได้เอาสิ่งนี้มาทดลองทำดูกัน เพื่อจะหาข้อบกพร่องต่างๆ ก็ทุ่มฝีมือ ฝีไม้ลายมือทำกันมาอย่างนี้
เพราะฉะนั้นมั่นใจว่าทำได้ แม้ว่าไม่ได้เป็นช่างทองเอง ก็ทำได้

ยุคนี้เทคนิคทางด้านโลหะวิทยาโดยเฉพาะทองคำ ของเราดีพอ
เรามั่นใจว่าเราศึกษามาพอ และทองคำในยุคนี้หาไม่ยากจนเกินไปนัก
เราก็เลือกเอาทองคำมาทำ เพราะว่าเห็นว่า “ทองคำ” นั้น

๑. เป็นวัตถุที่บริสุทธิ์โดยธรรมชาติ คือไม่มีออกไซด์ ไม่มีสนิม
๒. เป็นวัตถุที่คงทน
๓. มีความสวยงาม
๔. โดยเนื้อของทองคำ ตกแต่งให้งานประณีตยิ่ง ๆ ขึ้นได้

เพราะฉะนั้น
การที่หลวงพ่อธัมมชโยได้ชักชวนพระภิกษุสามเณร
ได้ชักชวนพวกเราเหล่ากัลยาณมิตรให้มาสร้างรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำ ด้วยทองคำบริสุทธิ์ครั้งนี้
ไม่ใช่เพื่อหวังเด่นหวังดังอะไร

แต่ตั้งใจจะบูชาพระคุณของท่านให้สมกับที่ท่านได้ปิดนรก
และเปิดสวรรค์ นิพพานให้แก่พวกเราด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ขอประกาศเป็นความบริสุทธิ์ใจของพระภิกษุสามเณรทั้งวัดพระธรรมกายให้พวกเราทราบ


#10 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 01:30 PM

๖. มีความพร้อมใน#####เทส

อาวาส ต้องมีสถานที่ใหญ่พอที่จะรองรับประชาชนที่มีความศรัทธาต่อหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ
ทั้งบริเวณพิธีหล่อ ที่นั่งสาธุชน ห้องน้ำ พื้นที่จอดรถยนต์จำนวนมาก ฯล

อาหาร สำหรับคนจำนวนมาก หลักแสนคน

บุคคล จำเป็นต้องมีทีมงาน หรือญาติโยมที่มาช่วยเป็นเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร
ในระดับที่มากพอจะช่วยกันจัดงานใหญ่ให้ลุล่วงไปได้
ถ้าทีมงานน้อยก็ทำไม่ได้อีก
และต้องเป็นทีมงานที่ มีระเบียบ วินัย งดงามตามวัฒนธรรมชาวพุทธที่ดี
คือ มีทีมงานที่ต้อนรับ ปฏิสันถารดี น่าประทับใจ

และที่ขาดไม่ได้ คือ ธรรมะ การต้อนรับ ปฏิสันถารด้วยธรรมะ
ซึ่งวัดพระธรรมกาย มีความพร้อมอยู่แ้ล้ว

ดังนั้นในการมาหล่อหลวงพ่อวัดปากน้ำในวันมาฆบูชา ( ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗ ) ที่จะถึงนี้
จึงขอฝากพวกเราด้วย อย่ามาเพียงลำพังคนเดียว ให้ชักชวนญาติสนิทมิตรสหาย
ผู้ที่เรารัก ผู้ที่เราเคารพ ผู้ที่เรานับถือ

ผู้ที่เราอยากจะให้ไปนิพพานร่วมกันกับเราด้วย ตามเขามาให้หมด

แม้บางท่านเขาอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
ก็อย่าเบื่อหน่ายในการที่จะอธิบาย อย่าเบื่อหน่ายในการที่จะชักชวนเคี่ยวเข็ญเขามาร่วมบุญ
ตอนแรก เขายังอาจจะมองไม่เห็นคุณค่า
แต่ว่าเมื่อเขามาแล้วก็ดี

รวมกระทั่งเมื่อเขาละโลกไปแล้วก็ดี เขาจะรำลึกถึงพระคุณของเรานี้ตลอดไป

เพราะฉะนั้น ความรู้ ความสามารถ สติปัญญาของเรามีมากมายมหาศาลเพียงไหน
ช่วยกันคิด ช่วยกันเค้น ที่จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วมาช่วยกันหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำฯด้วยทองคำ
เป็นการบูชาธรรมของท่านโดยพร้อมเพรียงกัน

หลวงพ่อขอให้ภาพรวมทั้งหมดแก่พวกเราเพียงเท่านี้ก่อนนะ


ขออานุภาพแห่งพระธรรมกายของพระต้นธาตุต้นธรรม บารมีธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ
และบารมีธรรมของพวกเราทั้งหลาย ที่จะร่วมสร้างกันต่อไปในอนาคต
จงประมวลรวมกันเข้าด้วยกัน
ให้เป็นตบะ เดชะ พลว ปัจจัย ให้พวกเราทุกคนในที่นี้ แตกฉานในวิชชาธรรมกาย

ได้รู้แจ้งแทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ตามหลวงพ่อวัดปากน้ำฯไปได้ทันทุกวาระจิต ตราบวันเข้าพระนิพพานเทอญ

เพลง ร่มธรรม
แนบไฟล์  1.mp3   4.08MB   245 ดาวน์โหลด
แนบไฟล์  167_L.jpg   103.57K   136 ดาวน์โหลด


#11 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 02:20 PM

DJ96.25PM2-3
QUOTE
ถามว่า ฌาน๑ถึง๔ เป็น สมถะ ใช่ไหม

QUOTE
แล้วตั้งแต่ธรรมกายโคตรภูขึ้นไป เรียกว่า ฌานอะไร เป็น วิปัสสนา ใช่ไหม


ขอตอบตาม ความรู้จำเคยที่ได้ทราบมา นะครับ
ก่อนอื่น ควรเข้าใจว่า
คำตอบ คำอธิบาย ในทางปริยัติ กับทางปฏิบัติ อาจแตกต่างกันได้ในทางภาษาศาสตร์ นะครับ

เพราะการแปลความหมาย ของ คำว่า สมถ และคำว่า วิปัสสนา นั้น
ในทางปริยัติธรรม ก็ยังอธิบายได้หลายนัยยะ
ซึ่งผมไม่เชี่ยวชาญ
ขอข้ามไปตรงประเด็นความหมายคำแปล ในทางปฏิบัติ
ตามที่พระเดชพระคุณ หลวงปู่ วัดปากน้ำฯ ขยายความไว้แล้วกันนะครับ
โดย น้อมนำการแสดงธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณท่าน มาให้พิจารณาดังนี้ครับ
แนบไฟล์  01.jpg   278.86K   180 ดาวน์โหลด
*** จากหนังสือ สาระสำคัญพระธรรมเทศนา ๖๙ กัณฑ์ พระมงคลเทพมุนี ( สด จนฺทสโร )

ดังนั้นที่
QUOTE
ถามว่า ฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔ เป็นสมถะ ใช่ไหม

ตอบว่า ใช่ ครับ

ที่จริง ฌาน ๕ ถึง ๘

คือ อรูปฌาน ที่ ๑ อากาสานัญจายตนฌาน
อรูปฌาน ที่ ๒ วิญญาณัญจายตนฌาน
อรูฌานที่ ๓ อากิญจัญญายตนฌาน
อรูปฌานที่ ๔ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

ก็ยังอยู่ใน ขั้น สมถะ อยู่ครับ

เพราะบรรดานักเจริญสมาธิ เข้าถึงฌานต่าง ๆ เช่น ฤาษี ดาบส พราหมณ์ นักพรต
ดังเช่น อุทกดาบส อาฬารดาบส แม้เข้าถึงอรูปฌาน ก็จริง
แต่ก็ยังรู้ เห็นได้ในขอบเขตภายในภพสาม
ยังไม่สามารถ ดับสังโยชน์เบื้องต่ำ เบื้องกลาง เบื้องสูงได้
(คคห. ส่วนตัว )

#12 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 02:50 PM

Sa Thu Krub

#13 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2008 - 04:26 PM

Thank you very much, Khun Dd2683.

#14 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 02 May 2008 - 02:39 PM

อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ คุณ Dd2683

เป็นความรู้ที่ดีมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




#15 usr18211

usr18211
  • Members
  • 6 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 May 2008 - 11:10 PM

ผมศรัทธาหลวงปู่สดมากๆๆๆๆๆ พอมาอ่านแล้วก็ยิ่งศรัทธามากขึ้นไปอีก...


เพราะถ้าไม่มีหลวงปู่สด...ผมก็คงเกิดมาฟรีแล้วก็ตายฟรี...ชีวิตไร้ค่า...


ก็คงไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม....และจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรชีวิตจึงจะเจอความสุขที่แท้จริง...ไม่ใช่สุขแค่โลกนี้แต่ลำบากในนรกอีกยาวนาน...

#16 Kodomo_kung

Kodomo_kung
  • Members
  • 323 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 04 May 2008 - 12:47 AM

สาธุ อนุโมทนาบุญสำหรับกระทู้ดีๆแบบนี้

#17 สุรชัย (กัปตัน)

สุรชัย (กัปตัน)
  • Members
  • 407 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 May 2008 - 10:14 PM

ขออนุโมทนาบุญครับ

#18 ยามเย็น

ยามเย็น
  • Members
  • 53 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 May 2008 - 09:02 AM

ขอยกให้เป็นสุดยอดกระทู้ ให้ความรู้ น่าติดตามเท่ากับหนังสือหนึ่งเล่มเลยค่ะ ขอกราบอนุโมทนาบุญค่ะ.................สาธุ