ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

วิธีลดพุงหลาม .. ด้วยพุทธวิธี


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 13 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 05 February 2006 - 10:32 PM

คัดลอกมาจาก วิธีลดความอ้วนแบบพุทธ


ปัจจุบันนี้วงการแพทย์ถือว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและจะก่อเกิดโรคอันตรายอื่น ๆ ตามมา
อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ในพระไตรปิฎกท่านก็กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่าร่างกายอ้วนเกินไปเป็นสิ่งไม่ดี
เพราะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดอุ้ยอ้าย อายุสั้น
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วนตามหลักพุทธศาสนาท่านว่าเกิดจากความไม่รู้จักประมาณในการบริโภค

ดังนั้นในวันนี้เราจึงขอเสนอเทคนิคการควบคุมอาหารแบบพุทธอันอาจจะช่วยให้ ท่านลดความอ้วนอย่างได้ผลดียิ่งขึ้น

๑. พิจารณาถึงผลดีของการควบคุมอาหาร
ในสมัยพุทธกาล ยังมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งชื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ทรงมีพระวรกายที่อ้วนมาก
เพราะทรงเสวยพระกระยาหารจุเกินไป ความอ้วนทำให้พระองค์ไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะสะดวก
วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงสังเกตเห็นความอุ้ยอ้ายอึดอัดในพระวรกายของพระเจ้าปเสนทิโกศล
จึงทรงตรัสพระคาถาว่า

บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ รู้ประมาณในอาหารที่ได้มา จะมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า มีอายุยืนนาน

(สุตตันต.เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๓๖๕ หน้า ๑๑๖ )

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้พระราชนัดดา (หลาน) ของพระองค์คอยว่าคาถานี้ทุกครั้งที่พระองค์กำลังจะเสวยพระกระยาหาร
ปรากฏว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลสามารถลดความอ้วนได้สำเร็จเพราะคาถานี้เอง

คุณสามารถที่จะใช้วิธีแบบพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ได้เช่นเดียวกัน
โดยคุณอาจจะเขียนข้อความพรรณนาถึงผลดีของการบริโภคแต่พอดีว่ามีผลดีต่อสุขภาพร่างกายเพียงไร (ให้เขียนเอาเองนะครับ)
จากนั้นเวลาจะรับประทานอาหารคราวใดก็ให้หยิบกระดาษโน้ตนี้ขึ้นมาอ่านไปพลางรับประทานอาหารไปพลาง
วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสติยั้งคิดในการรับประทานอาหารตลอดเวลา
ทำให้สามารถควบคุมการบริโภคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


๒ . เห็นความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมโลก
วิธีคิดแบบนี้นอกจากจะฝึกลดความต้องการบริโภคแล้ว ยังเป็นการ ฝึกจิตใจของตนเองให้เกิดความเมตตากรุณาอีกด้วยครับ
วิธีคิดนี้ได้มาจากพระไตรปิฎก
มีพระสูตรหนึ่งที่สอนให้เราไม่ควรบริโภคอาหารด้วยความสนุกสนานเมามัน
แต่ควรบริโภคด้วยความรู้สึกเห็นคุณค่าของอาหารที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอดต่อไป
เพื่อพัฒนาตนให้พ้นจากสังสารวัฏอันยาวไกล โดยให้คำนึงถึงความทุกข์ยากของสรรพสัตว
์ที่ต้องยอมเสียสละชีวิตเพื่อให้เราอยู่รอด อุปมาพ่อแม่จำใจต้องรับประทานเนื้อบุตรของตนเอง
กลางทะเลทรายเพื่อเอาชีวิตรอดเดินทางต่อไป

( สุตตันต.เล่ม๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ข้อ ๒๔๐ หน้า ๑๐๘)

จากหลักการที่กล่าวมาข้างต้น เราสามารถที่จะนำมาประยุกต์เป็นวิธีคิดลดความต้องการบริโภคของเรา แบบง่าย ๆ
คือเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นโฆษณาหรือภาพของอาหารน่ากินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด
ให้คุณมีสติตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ภาพของสิ่งของที่น่ากินต่าง ๆ เหล่านี้
มากระตุ้นจิตใจของคุณให้เกิดความต้องการบริโภค พร้อมกันนั้นให้ใช้พลังจินตนาการของคุณสร้างความคิด "เชื่อมโยง"
มองให้เห็นภาพความทุกข์ยากของ

สรรพสัตว์ที่อยู่เบื้องหลังภาพอาหารอันน่าเอร็ดอร่อยต่าง ๆ นี้เป็นการภาวนาตามหลักพุทธศาสนา
คือสร้างความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
และด้วยคุณธรรมที่เกิดขึ้นนี้เองจะบรรเทาความรู้สึกต้องการบริโภคให้น้อยลงไป
แต่อย่าลืมว่าคุณต้องมีสติตั้งมั่นอยู่เสมอ เพราะระบบบริโภคนิยมที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณนั้น
พร้อมที่จะปรุงแต่งจิตใจของคุณให้ต้อง การบริโภคอยู่ตลอดเวลา

ยกตัวอย่างนะครับ


เห็นร้านไก่ทอดชื่อดัง อึม..ม ชักหิวแล้วสิเรา
คิดในใจ เห็นภาพไก่น้อยน่าสงสารถูกขังอยู่ในกรง ถูกป้อนสารเคมี แถมกลางคืนก็ไม่ให้ได้หลับนอน
ด้วยการเปิดไฟสว่างไว้ทั้งวันทั้งคืน เพื่อเร่งให้โตเร็ว ๆ โถ..น่าสงสารจริง ๆ เจ้าไก่น้อย

เห็นใส้กรอกน่าอร่อย หู..ว ใส้กรอกทอดหอมกรุ่นบนเตา
คิดในใจ เห็นภาพเจ้าหมูนอนคุดคู้อยู่ในกรงเหล็กอันร้อนระอุ
เจ้าคงจะไม่รู้สินะว่าเขาจะพาเจ้าไปฆ่าเพื่อนำไป เป็นอาหารของมนุษย์

เห็นช็อคโกแล็ตน่ากิน หีบห่อน่ารัก คิกขุ น่าขบเคี้ยว
คิดในใจ เห็นคนในชนบทต้องลำบากตากแดดตัดอ้อยเพื่อมาทำน้ำตาลใส่ช็อคโกแล็ต
ชาวชนบทเหล่านี้นอกจากจะถูกกดขี่ค่าแรงแล้ว บางทีก็ถูกมอมเมายาเสพติดอีกด้วย
โถ..น่าสงสารจริงๆ
ถัดจากนั้นก็ให้นึกเห็นโคนมที่ถูกรีดนมจนเจ็บระบมเพื่อเอานมไปเป็นส่วนผสมกับโกโก้เพื่อผลิตเป็นช็อคโกแล็ต ฯลฯ


เพียงแต่เราจะต้องมีสติคิดให้ทันกับสิ่งที่มากระทบสายตา ซึ่งสามารถพบเห็นได้อยู่ทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาในโทรทัศน์ อาหารน่ากินต่าง ๆ ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารต่าง ๆ ฯลฯ

การปรุงแต่งความคิดเพื่อให้เกิดความเมตตากรุณานี้จะเป็นคุณค่าทางอารมณ์ใหม่
ที่มาทดแทนความรู้สึกต้องการบริโภคที่คุณถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาจากสิ่งรอบ ๆ ตัว
วิธีคิดเช่นนี้จะช่วยให้ความต้องการบริโภคของคุณลดลงไปเองโดยธรรมชาติ แน่นอนครับ
เมื่อความต้องการบริโภคลดลง ความอ้วนก็ย่อมลดลงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน


๓. ฝึกจิตคิดเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลในขณะบริโภคอาหาร
ตามปรกติปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปเมื่อรับประทานอาหารที่มีรสชาติอร่อย
จิตใจของเขาก็จะรู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับรสชาติของอาหารนั้น
ทำให้รู้สึกอยากจะรับประทานเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะแน่นท้องรับประทานไม่ไหว
หรือ คิดติดใจว่านี้คืออาหารโปรดของเรา ที่จะต้องกลับมารับประทานบ่อย ๆ อะไรทำนองนั้น
นี่คือความคิดปรุงแต่งที่เป็นไปเองตามธรรมชาติของปุถุชนที่ไม่ได้รับการศึกษา

วิธีการต่อไปนี้จึงเป็นท่าไม้ตายในการทำลายความยึดติดในรสชาติของอาหาร นั่นคือ
ฝึกจิตคิดเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลในขณะบริโภคอาหาร
ด้วยการนึกเห็นสภาพของอาหารว่าเป็นปฏิกูลในขณะที่เราขบเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก เช่น

อาจจะนึกจินตนาการให้เห็นภาพอาหารที่เราขบเคี้ยวอยู่นี้อยู่ในใจว่ามีสภาพเป็น อาจม หรือ อาเจียน
หรือนึกให้เห็นอาหารนั้นอยู่ในสภาพที่เน่าบูดมีแมลงวันตอมก็ได้ ฯลฯ

คือ จะนึกปรุงแต่งอย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้เห็นภาพความเป็นปฏิกูลของอาหารในขณะที่เราขบเคี้ยวอาหารอยู่เป็นใช้ได้
เป็นวิธีคิดที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาพระว่า

"อาหาเรปฏิกูลสัญญา"

เป็นเทคนิคการคิดที่ทำให้จิตใจของเราคลายจากความยึดติดในรสชาติของอาหาร ถอยกลับคืนสู่ความเป็นปรกติ
ทำให้เกิดการบริโภคอย่างพอดี ไม่บริโภคมากจนเกินไป
และสามารถควบคุมจิตใจของตนเองไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับอาหารโปรดแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
โดยไม่มีความจำเป็นต้องไปพึ่งอาศัยยาแต่อย่างใด

อ้อ.! คุณไม่ต้องกลัวว่าการนึกเช่นนั้นจะทำให้คุณผะอืดผะอม กระอักกระอ่วน หรือ
รับประทานอาหารไม่ลงนะครับ เพราะนี้เป็นเพียงแค่การนึกภาพในใจไม่ใช่การเห็นของจริงแต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้าม หากคุณพิจารณาความเป็นปฏิกูลของอาหารตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง
คุณจะได้สัมผัสความรู้สึกสงบสันติสุขในขณะรับประทานอาหารเป็นความสุขทางใจ
ที่คุณอาจจะไม่เคยได้พบมาก่อนในชีวิต นี้เป็นเทคนิคกระทำในใจอันแยบคาย(โยนิโสมนสิการ)

ในทางพุทธศาสนาที่จะทำให้จิตใจของท่านหลุดพ้นจากอำนาจราคะที่เกิดจากรสชาติอาหารนั่นเอง

อนึ่ง อันที่จริงแล้วการควบคุมอาหาร หรือ การลดความอ้วน

นี้เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้ของคิดแบบ "อาหาเรปฎิกูลสัญญา" เท่านั้นเอง

แต่ผลตอบแทนอันคุ้มค่าสำหรับการฝึกคิดเช่นนี้ ท่านว่ามีอานิสงส์มากทีเดียว คือ

สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากกิเลสหยาบ ๆ ได้ ทำให้เรามีสุขภาพจิตผ่องใส มีสติปัญญาสว่างไสว

อันเป็นบาทฐานไปสู่การหยั่งลงสู่อมตะ (ความไม่ตาย หลุดพ้น หมดทุกข์สิ้นเชิง)
เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธองค์เลยทีเดียว ดังจะขอยกพระสูตรมาอ้างดังต่อไปนี้

....... ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันภิกษุเจริญ
แล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ
มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยอาหาเรปฏิกูล-
สัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากตัณหาในรส
ไม่ยื่นไปรับตัณหาในรส อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่
เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหดงอเข้า
หากันไม่คลี่ออก ฉะนั้น....


สุตตันต.เล่ม ๑๕ ข้อ ๔๖

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  tubbycat.jpg   26.59K   81 ดาวน์โหลด


#2 เด็กหญิงบ้านนา

เด็กหญิงบ้านนา
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 February 2006 - 10:54 PM

เป็นบทความที่มีประโยชน์มากเลยค่ะ...
จะลองไปพยายามดู

#3 wir

wir
  • Members
  • 290 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 February 2006 - 06:04 PM

บทความนี้น่าอ่านมาก หากปฏิบัติโดยการรักษาศีล 8 ควบคู่ไปด้วยและนั่งสมาธิประกอบด้วยจะยิ่งดีมาก

#4 huy072

huy072
  • Members
  • 168 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:เชียงใหม่

โพสต์เมื่อ 06 February 2006 - 06:52 PM

เข้าใจคะว่าสื่งที่คุณบอกมาดีๆแต่ยังปฏิบัติไม่ได้เลยคะ


#5 ps072

ps072
  • Members
  • 10 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 February 2006 - 07:36 PM

ถ้าเป็นชายนะครับ มีอีกวิธี ได้ผลมาแล้วครับรับรองได้
คือ บวชรุ่นเข้าพรรษา ครับที่วัดพระธรรมกายเรานี่แหละ มีการฝึกที่ยอดเยี่ยมมาก มีอดีตพระธรรมทายาทก่อนบวช 85 กก ลาสิกขามาเหลือแค่ 72 เอง
แต่ที่บอกมาไม่ได้หมายความว่าไปบวชเพื่อลดน้ำหนักนะครับ ควรบวชเพื่อต้องการศึกษาธรรมะ สร้างบารมีนะครับ สาธุ

ถ้าเป็นหญิงวิธีง่ายๆคือถือศิล 8 อย่างที่หลวงพ่อทัตตะ บอก กินอาหารถ้าจะอิ่มอีก 2-3 คำให้เลิกก่อน เพราะถ้ากินจนอิ่นแล้ว อีก 2-3 คำจะถือว่าเกินไป การถือศิล 8 งดมื้อเย็นถือว่าเป็นการกำจัดส่วนเกินที่เรากินเกินมาทั้งอาทิตย์นะครับ

#6 ปาลินารี

ปาลินารี
  • Members
  • 258 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 February 2006 - 09:57 PM

บวชแล้วลดทีเป็น 10 กิโล เป็นผลพลอยดีนะคะ

#7 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 06 February 2006 - 11:29 PM

แต่ก็ต้องระวังเหมือนกันนะครับ เพราะลดเร็ว (หากควบคุมไม่ดี) ก็ขึ้นเร็วเหมือนกันครับ

#8 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 02:39 AM

โอ โห เป็นบทความที่ดีมากๆคะ กำลังหาวิธีอยู่เชียว ขอบคุณมาก นะคะ อนุโมทนาคะ สาธุ
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#9 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 10:20 AM

Great!! I-m trying to lose about ***** kilo right now. Toooooo overweigh kah..... thank you for he tips kah
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#10 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 12:36 PM

ดห้ เป็นสิ่งที่ดีมาก เลยสำหรับคนที่พยยามลดความอ้วน
เป็นกำลังใจให้

#11 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 08:47 PM

คุณของการกินแต่น้อย

พระผู้มีพระภาคทรงเป็นประโยชน์อย่างไร จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุบริโภคอาหารน้อย ?

“..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว เมื่อเราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว

ย่อมรู้สึกคุณคือ ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีกำลัง และอยู่สำราญ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายจงมา จงฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียวเถิด

ด้วยว่าเมื่อเธอทั้งหลายฉันอาหาร ในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว จักรู้สึกคุณคือ

ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบามีกำลัง และอยู่สำราญ.....”

ภัททาลิสูตร ม. ม. (๑๖๐)
ตบ. ๑๓ : ๑๖๓ ตท.๑๓ : ๑๔๒
ตอ. MLS. II : ๑๐๘


#12 thanasub

thanasub
  • Members
  • 47 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 August 2006 - 08:00 PM

เอาแบบ ง่ายๆ ลดแบบสุดๆ คือ..........ฉัน แบบ พระ กินไท่เกินเที่ยง เท่านี้ ก็ลด หวบๆ แน่นอนครับ

เอาแบบ ง่ายๆ ลดแบบสุดๆ คือ..........ฉัน แบบ พระ กินไม่เกินเที่ยง เท่านี้ ก็ลด หวบๆ แน่นอนครับ

#13 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 07 August 2006 - 08:54 PM

QUOTE

เอาแบบ ง่ายๆ ลดแบบสุดๆ คือ..........ฉัน แบบ พระ กินไม่เกินเที่ยง เท่านี้ ก็ลด หวบๆ แน่นอนครับ


หน&ไม่เห็นลดเลยค่ะ
ยิ่งกินเก่งเข้าไปอีก
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#14 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 12:17 AM

QUOTE
หนูไม่เห็นลดเลยค่ะ
ยิ่งกินเก่งเข้าไปอีก


เป็นธรรมดาน่ะครับ
ใครที่ทานอาหารเพียง 2 มื้อแบบพระ ส่วนมากมักเน้นหนักอาหารเที่ยง จึงดูกินจุไปหน่อย

ยิ่งถ้ามีอาหารจานโปรดที่จัดสวยงาม กับคนที่คุ้นเคย เป็นใครก็ยอม break แตกกันทั้งนั้น

เรื่องน้ำหนักตัว หลายคนน้ำหนักดูเยอะ แต่ดูไม่อ้วนก็มี เพราะ หนักกล้ามเนื้อที่ได้สัดส่วน


สำคัญที่
สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัยเบียดเบียน
สุขภาพใจ สงบ ใส สว่าง มั่นคงในพระรัตนตรัย
ได้บำเพ็ญกุศลกรรมบถ ทุกๆวัน
สร้างสรรค์บารมีให้เต็มเปี่ยมยิ่งๆขึ้นไป


ขอให้บุญรักษา พระธรรมกายคุ้มครอง คุณ Omena นะครับ

ป.ล. ลองแวะไปที่ Blog ของ คุณ กิ่งไม้ไทย Ontario Canada เธอมีธรรมะดีๆแบ่งปันด้วย

http://www.bloggang....maithai&group=5


ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม