ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

การกินเจ และกินเนื้อสัตว์ บาปหรือบุญ????


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ลูกพระพุทธ

ลูกพระพุทธ
  • Members
  • 136 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 01:47 PM

อ้างอิงจากพระไตรปิฏก
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย เทวทัตต์ ภิกษุใดปรารถนา ก็จงอยู่ป่า ภิกษุใด
ปรารถนา ก็จงอยู่บ้าน ภิกษุใดปรารถนา ก็จงเที่ยวบิณฑบาต ภิกษุใดปรารถนา ก็จงยินดีการ
นิมนต์ ภิกษุใดปรารถนา ก็จงถือผ้าบังสุกุล ภิกษุใดปรารถนา ก็จงยินดีผ้าคหบดี ดูกรเทวทัตต์
เราอนุญาตรุกขมูลเสนาสนะตลอด ๘ เดือนเท่านั้น
เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ
๓ อย่าง คือ ๑. ไม่ได้เห็น ๒. ไม่ได้ยิน ๓. ไม่ได้รังเกียจ

เจตนาของพระพุทธองค์ที่ทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ฉันอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ
๑. ไม่ได้เห็น ๒. ไม่ได้ยิน ๓. ไม่ได้รังเกียจ
นอกจากที่กล่าวไว้ข้างต้นรู้สึกว่าจะมีกล่าวถึงไว้ในพระไตรปิฏกด้วยนะครับ ว่าการที่ไม่ทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์งดเว้นการฉันปลาและเนื้อสัตว์นั้นป็นไปเพื่อความกินง่ายอยู่ง่ายไม่ทำตนให้เป็นภาระของชาวบ้านผู้ศรัทธาทำนุบำรุงพระศาสนาครับ

อ้างอิงจากหลวงปู่ดูลย์
“ดีทีเดียวแหละ ท่านผู้ใดสามารถฉันมังสวิรัตได้ก็เป็นการดีมาก ขอนุโมทนาสาธุด้วย ส่วนท่านที่ยังฉันมังสะอยู่ หากมังสะเหล่านั้นเป็นของบริสุทธิ์โดยส่วนสามคือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่สงสัยว่าเขาเจาะจง ได้มาด้วยความบริสุทธิ์แล้ว ก็ไม่ผิดธรรมผิดวินัยแต่ประการใด อนึ่ง ที่ว่าจิตใจสงบเยือกเย็นดีนั้น ก็เป็นผลเกิดขึ้นจากพลังของการตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่เกี่ยวกับอาหารใหม่ อาหารเก่าที่อยู่ในท้องเลย”

หากกำหนดให้งดเว้นโดยเด็ดขาด นอกจากจะทำให้พระภิกษุสงฆ์กลายเป็นผู้ที่อยู่ยากกินยาก เลือกฉัน
เป็นภาระของชาวบ้านแล้วยังอาจเป็นพลวปัจจัยให้เกิดแนวคิด หรือการกระทำ
ที่อยู่ในลักษณะ
”สำคัญตน-เพ่งโทษท่าน-ก้าวล่วงพระพุทธวจนะ-แตกศาสนา”…..
ก็จะก้าวพลาด เช่นเดียวกับที่เทวทัตเคยพลาดมาในอดีต


ธรรมสากัจฉา

พระโพธิญาณเถร ( หลวงพ่อชา สุภทฺโท )

แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี , ๒๕๒๔

ว. เตชะปัญโญ เรียบเรียง

..................................................................................

( คัดมาบางส่วน )


ผู้ฟัง :

" เมื่อพูดถึงเรื่องความถูกต้อง กระผมก็มีความสงสัยอยู่บ้างเหมือนกัน

คือว่าการปฏิบัติธรรมะในทุกวันนี้ เท่าที่ดูๆ แล้วก็มีมากมายหลายสำนักหลาย

ครูบาอาจารย์แตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กระผมสงสัยมากก็คือ เรื่อง

การกินเนื้อสัตว์กับการกินเจคือมังสวิรัตินี้ อย่างไหนจะถูกอย่างไหนจะผิด สำนัก

ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นบาป เพราะเป็นการเท่ากับว่าสนับสนุน

ให้เขาฆ่าสัตว์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นกรรมร่วม แต่บางสำนักที่กินเนื้อสัตว์ท่านก็ปฏิเสธ

ว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นบาปเพราะมีข้อยกเว้นให้กินได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ถูกต้องนั้น

เป็นอย่างไรครับ? "


หลวงพ่อ :

" มันก็เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ คุณว่ามันเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรล่ะ?

กบกับคางคกมันเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร? กบมันดีวิเศษกว่าคางคกหรือ

หรือว่าคางคกมันดีมันวิเศษไปกว่ากบ ฉันใดก็ฉันนั้นแหละ เรื่องการปฏิบัติที่ถูกต้อง

นี้ อย่างพระพุทธเจ้าของเรานั้นน่ะ แท้จริงท่านไม่ได้ฉันอะไร ท่านไม่ได้ฉันเนื้อ

และท่านก็ไม่ได้ฉันเจ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไรไม่ได้เป็นอะไร คุณพอจะฟัง

ออกไหม? ถ้าอาตมาจะพูดว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ท่านไม่ได้เป็นอะไร

อย่างนี้คุณจะฟังออกไหม? ความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้ง

หลายนั้นท่านสรรเสริญความไม่ยึดมั่นถือมั่นต่างหาก ท่านสรรเสริญความไม่ยึดมั่น

ถือมั่นในรูปธรรมนามธรรมทั้งหลายทั้งปวงต่างหาก ท่านไม่ได้สรรเสริญการกินเนื้อ

หรือกินเจแต่อย่างใด ท่านสอนไม่ให้เรายึดมั่นในศีลและข้อวัตรปฏิบัติทั้งหลาย

ท่านไม่ให้ยึดในเรื่องดี ท่านไม่ให้ยึดในเรื่องชั่ว ไม่ให้ยึดในสุข ไม่ให้ยึดในทุกข์

ท่านสอนให้เป็นผู้มักน้อยสันโดษ ให้ยินดีในสิ่งที่เรามีอยู่ตามมีตามได้ ให้เป็น

ผู้เลี้ยงง่าย ไม่ให้เป็นผู้เลี้ยงยาก

เมื่อว่าถึงความถูกต้องในการปฏิบัตินั้น สัมมาทิฏฐิเป็นหัวใจของอริยมรรคทุกข้อ

สัมมาทิฏฐิเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นคนปล่อย

วางกิเลสเครื่องเศร้าหมอง อาสวะเครื่องหมักดองในสันดานทั้งหลาย ถ้านักปฏิบัติ

ขาดสัมมาทิฏฐิแล้ว หลงยึดในเรื่องดี มันก็กลายเป็นกบไป ถ้าหลงไปยึดในเรื่องชั่ว

มันก็กลายเป็นคางคกไป ไม่ใช่นักปฏิบัติ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิมันก็

ต้องพ้นไปจากเรื่องดีเรื่องชั่ว พ้นไปจากความเป็นกบ พ้นไปจากความเป็นคางคก.


( มีต่อ )

ธรรมสากัจฉา

โดย. พระโพธิญาณเถร ( หลวงพ่อชา สุภัทโท )


( ต่อ )

เรื่องทุกข์ที่เป็นผลมาจากกิเลสทั้งหลายนั้น เราจะดับมันจะทำลายมันด้วย

ข้อปฏิบัติภายนอกไม่ได้หรอก มันจะดับได้ก็ด้วยอาศัยปัญญาเท่านั้น และเรื่อง

ปัญญานี้ระวังให้ดี ถ้าระวังไม่ดีมันจะกลายเป็นกบเป็นคางคกขึ้นมาได้นะ มันไม่ใช่

หนทางทั้งนั้นเลย จะให้ถูกทางถูกอริยมรรคจริงๆ แล้ว คุณอย่าไปติดอยู่ในสิ่งเหล่า

นี้ ใครจะฉันเจก็ฉันไป ใครจะฉันเนื้อก็ฉันไป ขอแต่ให้ทุกคนรู้จักตัวเองก็เป็นพอ

คนที่ฉันเนื้อก็อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยอย่าเห็นแก่ปากแก่ท้องให้มากจนเกินไป

อย่าบริโภคให้เป็นกาม ให้บริโภคดื่มกินแต่เพียงเพื่อเป็นยาระงับความหิวกระหาย

เพื่อให้ร่างกายนี้ตั้งอยู่เพื่อการประพฤติปฏิบัติต่อไปได้เท่านั้น สำหรับคนฉันเจ

ไม่ฉันเนื้อไม่กินเนื้อก็ทำไปตามเจตนานั้นๆ แต่อย่าไปโกรธคนที่เขากินเนื้อก็แล้วกัน

ถ้าคนกินเจไปโกรธคนที่กินเนื้อจนถึงกับบริภาษดุด่าก้าวร้าวกันแล้ว มันก็ยิ่งโง่ไปกว่า

คนกินเนื้อกินปลาเสียอีก มันเหมือนกับกบกับคางคกอย่างที่ว่านั่นแหละ ที่มันยาก

มันก็ยากตรงที่คนไม่รู้จักตัวเองนี่แหล่ะ

เคยมีพระฝรั่งลูกศิษย์ของอาตมาองค์หนึ่งแกปฏิบัติเคร่งมาก เคยอ่านพระ

ไตรปิฎกมา มันรู้มากรู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง พระวินัยอย่างนี้ต้องเคร่งครัดถูกต้อง

ตามพระไตรปิฎกทุกตัวอักษรเลย มาอยู่กับเพื่อนๆ เขา ปฏิบัติร่วมกัน ตอนเช้ามาก็

ไปฉันจังหันรวมกันที่โรงฉัน แกก็ดูพระองค์โน้น ดูเณรองค์นี้ ดูไปดูมามีแต่คนปฏิบัติ

ผิดทั้งนั้นเลย ฉันเร็วก็ผิด ฉันช้าๆ ก็ผิด ฉันคำข้าวใหญ่ก็ผิด ฉันคำข้าวเล็กก็ผิด

ตัวเองกลายเป็นบ้าไปเลย มัวแต่ดูคนอื่น ความผิดมันไปอยู่ที่เขาคนอื่นหมด เราถูก

คนเดียวเลยกลายเป็นบ้าไปเลย มันเป็นอย่างนี้ อาตมาจึงว่ามันยากนักไอ้คนที่ไม่

รู้จักตัวเองนี่น่ะ

ฉะนั้น ใครจะฉันอะไรจะกินอะไรจะปฏิบัติข้อวัตรอย่างไรก็ทำไปเถิด ให้เชื่อมั่น

ในข้อปฏิบัติของตัวเอง แล้วประคับประคองไว้ อย่าให้หลงทาง แล้วก็อย่าไปยึดมั่น

ในข้อวัตรปฏิบัติทั้งหลายเหล่านั้น ความถูกต้องมันก็จะเกิดขึ้นมาได้ ทุกข์ก็จะหมดไป

เพราะการปฏิบัติที่ถูกต้องนั้น. "


#2 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 02:10 PM

ความหมายของคำว่า "เจ"

คำว่า "เจ" ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า "อุโบสถ"

คำว่า "กินเจ" ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน

ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือ "รักษาศีล 8" จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว

แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีล ของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์

จึงนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" ไปรวมกันคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย

ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ"

ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนกินเจ" มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม

มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน

เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง" ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ "ถือศีลกินเจ"

จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว

ตามร้านขาย "อาหารเจ" เราจะพบเห็นตัวอักษร คำนี้อ่าน "ไจ" (เจ) แปลว่า "ไม่มีของคาว"

เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน 9 จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง

ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจมองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต

สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์

ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสอมว่า

"การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาวคือ การปฏิบัติธรรม รักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรม

โดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก"



คัดลอกมาจาก http://www.banfun.co...lture/je01.html

ขอบพระคุณสาหรับความรู้ค่ะ
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#3 Doramon

Doramon
  • Members
  • 468 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 06:00 PM

โอ้ ได้ความรู้ ดีดี

#4 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 06:40 PM

สาธุๆๆๆ
กิน J
มากราบบูชา มหาธรรมกาย JD กัน Dกว่านะครับ
หุหุหุ

นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก

#5 บุญเลี้ยง

บุญเลี้ยง
  • Members
  • 267 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 08:39 PM

มาเพิ่มเติมข้อมูลค่ะ บาปหรือบุญ ลองพิจารณาดูนะคะ

โดยหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
พระองค์ไม่ได้ทรงห้ามพุทธบริษัท 4 บริโภคเนื้อสัตว์
จะมีข้อยกเว้นเนื้อสัตว์บางประเภทสำหรับพระภิกษุเท่านั้น
แต่พระองค์ก็ได้ทรงตรัสถึงอานิสงส์ของการงดเว้นการฆ่า ปรากฏดังต่อไปนี้
"สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย
พระพุทธองค์ ์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า “บุคคลใด หยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น
บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูล ทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ ทั้ง 10 ประการ
อันได้แก่
1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์####มโหดเคียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
7. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ "

#6 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 10:13 PM

ผมมีเพื่อนคนนึงอยู่ฟาร์มเลี้ยงเพาะพันธุ์เป็ด เพื่อให้เกษตรกรมาซื้อไปเลี้ยงอีกทีนึง เขาบอกว่า ไม่ว่าจะเจ หรือไม่เจ ยอดจำหน่ายลูกเป็ดในแต่ละเดือนก็ไม่เคยแตกต่างกันมากนัก โดยเฉลี่ยแล้วยังถือว่าเท่าเดิม ไม่มีความแตกต่าง เพียงแต่โรงงานทำเป็ดหยุด "ฆ่า" บางส่วนในช่วงกินเจมากหน่อยเท่านั้น พอพ้นช่วงก็กลับมาเหมือนเดิม เพราะเป็นอุตสาหกรรม มีลูกค้ารอสินค้ามากมาย

ต่างจากสมัยก่อนที่ฆ่าเองกินเอง หยุดกินคือหยุดฆ่า แต่สมัยนี้เป็นการไปซื้อสำเร็จมา เขามีขายฉันเลยซื้อ ไม่เห็นผิดอะไร จะหยุดซื้อก็ต่อเมื่อไม่มีขาย ฉันไม่ได้สนับสนุนการฆ่านะ แต่ของมันมีอยู่นี่

เราจะว่ายังไงกันครับ
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#7 เดือนเพ็ญ

เดือนเพ็ญ
  • Members
  • 20 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 September 2008 - 12:55 AM

ถ้าเราบอกว่า " เพราะมีคนซื้อ ก็เลยมีคนขาย " (ถ้าไม่มีคนซื้อ ก็ไม่มีคนขาย)
ก็จะมีคนแย้งว่า "เพราะมีคนขาย ก็เลยมีคนซื้อ " (ถ้าไม่มีคนขาย ก็ไม่มีคนซื้อ)

สรุปก็คือ โทษใครไม่ได้ เพราะอุปสงค์(ความต้องการซื้อ) จะคู่กับอุปทาน(ความต้องการขาย)เสมอ
เป็นเหมือนงูกินหาง จะไปบอกว่าใครผิดก็บอกยากอยู่


#8 500 G

500 G
  • Members
  • 3 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 September 2008 - 02:01 AM

โดยส่วนตัวแล้วจะใช้หลักอย่างนี้ครับ

ใครจะลองเอาไปใช้ก็ได้

เพราะว่าพุทธศาสนา สอนให้เรายึดติดกับความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก หรือความนึกคิดเอา เรื่องกฎแห่งกรรมเป็น เป็นเรื่องของเหตุและผล แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตรงกับที่มนุษย์ทั้งชอบคิดกัน

ในเรื่องกินเจนั้น

เท่าที่ศึกษาพระไตรปิฎกและฟังเทศน์มา ก็ยังไม่เคยพบหรือเคยได้ยินว่า ขอเน้นนะครับ ยังไม่เคยมีกรณีไหนเลย ที่...

เทวบุตรหรือเทพธิดาองค์นี้ ได้มาเสวยสุขในสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ เพราะกินเจ หรือ กิจผัก เป็นประจำหรือตลอดชีวิต

หรือในอีกกรณีหนึ่ง ก็ยังไม่เคยได้ยินเลยว่า

สัตว์นรกนี้ มาทุกข์ทรมาน อยู่ยาวนานในนรก เพราะกินเนื้อสัตว์ เป็นประจำ หรือชอบกินเนื้อสัตว์


อันแสดงว่าอะไรหรือครับ

ก็แสดงได้ว่ากินเนื้อ หรือ กินผัก มันไม่ได้ก่อให้เกิดบุญหรือบาปแต่อย่างใด

แต่ถ้าฆ่าสัตว์ นี่ซิ มีตกนรกมากมาย

ความจริงก็อย่างหนึ่ง ความเชื่อก็อีกอย่างหนึ่ง


#9 garu42

garu42
  • Members
  • 8 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 September 2008 - 02:23 AM

อย่าทะเลากันเลยครับ จะกินเจหรือไม่กิน ทุกข์ย่อมถึงเรา เป็นปกติ ใครจะกินไม่กินก้อไม่ได้ห้ามการเกิดแก่เจ็บตายได้

แต่จิตที่เศร้าหมอง ถือทิฐิจะนำความทุกข์มาสู่พวกท่านนะครับ

http://www.palungjit...anners/garu.gif

http://www.thaipeaceful.com/ เวปของเรา

http://garu.diaryis.com/ ไดอารี่ของเรา

#10 Nida49

Nida49
  • Members
  • 456 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 September 2008 - 09:24 AM

หากกินเจเพื่อสุขภาพ คื่อ งดกินเนื้อสัตว์ สักระยะเวลา 7-9 วัน ก็อาจจะทำให้ระบบการทำงานในร่างกายภายในดีขึ้น

ทั้งนี้ ระหว่างกินเจ ก็ควรรักษาศีล ทำบุญ บำรุงจิตใจไปด้วย

ส่วนตัว เคยกินเจตามเทศกาลมาหลายปี แต่ 5 ปีหลังจากมารู้จักวัดพร้อมได้รับความรู้จากพระอาจารย์ของเรา

ก็หันมารักษาศีล 5 และ ศีล 8 ในวันพระและวันเกิด แทน


#11 สวญ.

สวญ.
  • Members
  • 33 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 October 2008 - 12:53 AM

การกินเจ หรือมังสวิรัติ ถ้ามีวัตถุประสงค์เพื่อสุขภาพก็จะเป็นการดีต่อสุขภาพร่างกาย เป็นจริงตามความห็นของคุณ Nida49

ในเรื่องของการจะได้บุญหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นได้ประกอบกุศลกรรมบท 10 หรือไม่เป็นสำคัญ สิ่งที่เป็นผลดีประการหนึ่งคือทำให้ไม่ต้องมีวิตกวิจารณ์(ครุ่นคิดกังวล)กับอาหารที่ทาน กล่าวคือนึกรังเกียจว่าอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์(รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสัตว์)จะมีที่มาไม่บริสุทธิ์

ส่วนการกินอาหารประกอบด้วยเนื้อสัตว์(รวมถึงผลิตภัณฑ์จากสัตว์) จะเป็นบาปก็ต่อเมื่อ
1. ผู้นั้นได้ลงมือฆ่า หรือมีส่วนร่วมในการฆ่า (รวมถึงการเบียดเบียนชีวิตร่างกาย)
2. ผู้นั้นได้รู้เห็นการฆ่า ยินดีในการฆ่า
3. ผู้นั้นรังเกียจ เช่น อาหารนั้นเขาปรุงมาเฉพาะเพื่อตนโดยมีการฆ่า

รายละเอียดข้อสงสัยเพิ่มเติม ให้ลองไปสืบค้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้จากหัวข้อ "หลวงพ่อตอบปัญหา" มีคำตอบครบทุกประเด็นครับ


#12 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 03 October 2008 - 12:55 PM

เมื่อวานผมไปลองทานเจดู รสชาิดิอร่อยมากๆ ครับขอบอก ทานแล้วก็สบายใจ ที่ได้รักษาสุขภาพให้ยืนยาว เพราะผมอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ทานเนื้อสัตว์บ่อยๆ จะย่อยยาก ทานผักมากๆ ผมว่าดีนะ สุขภาพจะได้แข็งแรง อายุยืนๆ

แต่เสียดาย มันมีแค่เทศกาลปีละครั้ง ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ก็เลยนานๆ ทานที ถ้ามีร้านมาขาย
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร