หัวใจทองคำพองโต เต้นไม่เป็นจังหวะแล้วค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 09 October 2008 - 04:15 PM
ผู้สร้างบุญทั้งหลาย alert กันใหญ่
หัวใจพองโตตามเลยค่ะ ขับรถกลับมาถึงบ้านแล้วใจก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะเลยค่ะ
ไม่ได้ไปด้วย แต่ส่งใจไปเกินร้อยค่ะ
สาธุ กับผู้มีบุญที่ได้ไปร่วมงานบุญอันยิ่งใหญ่ หาที่เปรียบมิได้ด้วยคนนะคะ
#2
โพสต์เมื่อ 09 October 2008 - 04:54 PM
#3
โพสต์เมื่อ 10 October 2008 - 09:01 AM
#4
โพสต์เมื่อ 10 October 2008 - 03:42 PM
#5
โพสต์เมื่อ 10 October 2008 - 11:38 PM
คุณพุทธนิกายครับ หมู่คณะของเราไม่ได้ต้องการไปสวรรค์เท่านั้น แต่ปรารถนาที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพานที่สุดแห่งธรรม แต่ถ้ายังทำไม่สำเร็จก็จะไปพักที่สวรรค์ชั้นดุสิต
การจัดงานบุญใหญ่แต่ละงานนั้นก็เพื่อจะได้ไปกระตุ้นต่อมความดีที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนให้หันมาทำความดี(ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา) ซึ่งย่อมจะได้บุญแน่นอน และถ้าสามารถทำให้ได้คนทำความดีได้มากเท่าไหร่ก็จะได้บุญมากขึ้นเท่านั้น
ผมเห็นความเห็นที่คุณพุทธนิกายตอบแล้ว มีความรู้สึกว่าคุณไม่เข้าใจเป้าหมายของหมู่คณะเลย จึงเข้ามาตอบคำถามแบบเจือโมหะโดยคุณไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้กรรมนิมิตรก่อนตายไม่ผ่องใส ไม่เพียงแต่ไม่ได้ไปสู่สวรรค์เท่านั้น แต่อาจไปอบายได้เลยนะครับ
เลยอยากชวนคุณพุทธนิกายมาแสวงบุญด้วยกันจะได้เข้าใจเป้าหมายของหมู่คณะมากขึ้นครับ
อย่าได้ประมาทในการสั่งสมเสบียงบุญเลยครับ ดั่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า "ภิกษุทั้งหลาย! จงดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาทเถิด"
#6
โพสต์เมื่อ 11 October 2008 - 08:44 AM
เอาบุญมาฝากนะคะ
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย
#7
โพสต์เมื่อ 11 October 2008 - 01:28 PM
ขอตอบคุณ พุทธนิกาย นะคะ ถ้าเราอ่านเรื่องพระไตรปิฎกแล้วจะเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่าใครไปบังเกิดเป็นเทวดา และพอหมดบุญจะจุติไปยังนรกทันที อันนี้ sphere ว่า คุณพุทธนิกาย กำลังเข้าใจผิดค่ะ เพราะในพระไตรปิฎก มีคำตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเรื่องการเกิดในสังสารวัฎ ซึ่งแบ่งไว้เป็น 4 ประเภทคือ
1. มืดมา-มืดไป คือ ผู้ที่เกิดมาจากอบายภูมิ และพอตายก็ตกไปอยู่ในอบายภูมิอีก เนื่องจากกรรมที่ทำชั่วเอาไว้ในโลกมนุษย์
2. มืดมา- สว่างไป คือ ผู้ที่เกิดมาจากอบายภูมิเพราะผลแห่งกรรมชั่วในอดีต แต่พอเกิดมาอีกครั้งหมั่นทำความดีจึงเปลี่ยนภพภูมิไปอยู่ในที่ที่เป็นสุขคติ
3. สว่างมา - มืดไป คือ ผู้ที่เกิดมาจากสุขคติ เนื่องจากผลกรรมดีที่เคยก่อไว้ในอดีต แต่พอชาตินี้กลับคิดไม่ได้ ทำแต่ความชั่วจึงพลัดไปสู่อบายภูมิ
4. สว่างมา-สว่างไป คือ ผู้ที่เกิดมาจากสุขคติ ด้วยผลแห่งกรรมดีที่เคยทำไว้ พอมาชาตินี้ก็หมั่นสั่งสมความดีเป็นนิตย์ จึงได้กลับขึ้นไปสุขคติอีกครั้ง
ดังนั้น สิ่งที่คุณพุทธนิกายกล่าวมา คงยังไม่ถูกต้องทั้งหมดนะคะ ถ้าจะบอกว่ามันขึ้นอยู่กับก่อนตายคิดเป็นกุศลได้อย่างมั่นคงรึเปล่า เราลองนึกดูสิคะ ถ้าคน ๆ หนึ่งทำความชั่วมาตลอดทั้งชีวิต จะมีเวลาคิดถึงความดีมั้ย แน่นอน ผู้ที่ไม่เคยทำความดี หรือทำน้อยมาก ก็อาจจะคิดไม่ได้เลย เนื่องจากภาพที่มาปรากฎคงจะเป็นแต่ภาพที่ไม่ดี ในทางกลับกัน ผู้ที่ทำความดีมาตลอดชีวิตต่างหาก ที่จะมีจิตเป็นกุศลได้ก่อนละจากโลก น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่านะคะ
#8
โพสต์เมื่อ 11 October 2008 - 09:09 PM
O.K. เข้านิพพานกันเถอะนะ แต่ด้วยมันสมองอันน้อยนิด
ก็จะขอไปกับหมู่คณะ เพื่อนำพาสรรพสัตว์ไปด้วย เพียงขอเข้าเป็นคนสุดท้าย
อิฉันว่ามันเป็นมโนปณิธานที่ยิ่งใหญ่ และเป็นการกระทำเพื่อมวลมนุษยชาติเชียวนา
#9
โพสต์เมื่อ 11 October 2008 - 11:02 PM
ถึงจะมีใครมาขัดขวางความตื่นเต้นของเรา ก็ไม่เป็นผลหรอกน่ะ เพราะเห็นเที่่ยวตามโพสต์ทุกกระทู้
คงหวังให้พวกเราใจหมอง ขอบอกว่า ยากส์์์์ส์ส์ ค่ะ พวกเรามีภฺมิคุ้มกันดีค่ะ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป