ข้อแตกต่างระหว่างพระอริยะเจ้า กับพระโพธิสัตว์
เริ่มโดย ลูกพระพุทธ, Oct 25 2008 07:25 PM
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 25 October 2008 - 07:25 PM
คำว่า พระอริยเจ้า ใช้กับพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์
พระอริยเจ้านั้น ต่างกับพระโพธิสัตว์ เพราะ พระโพธิสัตว์ ชื่อหมายถึง สัตว์ ที่กระทำบารมีเพื่อพระโพธิญาณ หรือแปลให้ง่ายว่า คนที่ทำตัวเองให้เป็นพระพุทธเจ้า
ดังนั้น พระโพธิสัตว์ จะไม่เป็นพระอริยเจ้าเช่น โสดาบันเป็นต้นได้ เพราะเมื่อเป็นแล้ว ภพชาติจะหมดสิ้นไป ไม่มีการเกิดอีก
แต่พระโพธิสัตว์นั้น ยังต้องเกิดต่อไปอีก จนกว่าจะอบรมบ่มพลังให้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสอนคนอื่นให้เป็นพระอริยเจ้าได้ในอนาคตนั่นเอง
สรุป พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่สร้างบารมีให้ตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตรัสรู้แล้วและสอนให้คนอื่นเป็นพระอริยเจ้า มีพระโสดาบันเป็นต้น
สำหรับพระอริยเจ้าทั้งสี่ คือ พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ ทั้งสี่ท่านนี้ ได้บรรลุมรรคผลทำลายกิเลสเหมือนกัน แต่กิเลสของท่านนั้นได้ถูกทำลายไปเป็นส่วน ๆ เข้าถึงนิพพานคือการดับตัณหาทีละส่วน
และเมื่อท่านต้องการพัก ท่านสามารถเข้าสมาธิชนิดหนึ่ง ซึ่งปุถุชนเข้าไม่ได้คือ ผลสมาบัติ ผลสมาบัตินี้ จะมีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อเข้าแล้วจิตจะสงบมาก แต่การเข้าผลสมาบัติของพระอริยเจ้าแต่ละลำดับนั้นก็ต่างกันไป เช่น พระโสดาบัน จะเข้าผลสมาบัติของพระโสดาบันเท่านั้น และเมื่อเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงกว่าก็ไม่สามารถกลับมาเข้าผลสมาบัติชั้นก่อน ๆ ได้ เช่น พระสกิทาคามี ไม่สามารถมาเข้าผลสมาบัติของพระโสดาบันได้อีก เพราะท่านเลยมาแล้ว
ความต่างของพระอริยบุคคลในการละกิเลสมีรายละเอียดคร่าว ๆ ต่อไปนี้ครับ
http://www.84000.org.../v_seek.p...
พระอริยเจ้านั้น ต่างกับพระโพธิสัตว์ เพราะ พระโพธิสัตว์ ชื่อหมายถึง สัตว์ ที่กระทำบารมีเพื่อพระโพธิญาณ หรือแปลให้ง่ายว่า คนที่ทำตัวเองให้เป็นพระพุทธเจ้า
ดังนั้น พระโพธิสัตว์ จะไม่เป็นพระอริยเจ้าเช่น โสดาบันเป็นต้นได้ เพราะเมื่อเป็นแล้ว ภพชาติจะหมดสิ้นไป ไม่มีการเกิดอีก
แต่พระโพธิสัตว์นั้น ยังต้องเกิดต่อไปอีก จนกว่าจะอบรมบ่มพลังให้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสอนคนอื่นให้เป็นพระอริยเจ้าได้ในอนาคตนั่นเอง
สรุป พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่สร้างบารมีให้ตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ตรัสรู้แล้วและสอนให้คนอื่นเป็นพระอริยเจ้า มีพระโสดาบันเป็นต้น
สำหรับพระอริยเจ้าทั้งสี่ คือ พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ ทั้งสี่ท่านนี้ ได้บรรลุมรรคผลทำลายกิเลสเหมือนกัน แต่กิเลสของท่านนั้นได้ถูกทำลายไปเป็นส่วน ๆ เข้าถึงนิพพานคือการดับตัณหาทีละส่วน
และเมื่อท่านต้องการพัก ท่านสามารถเข้าสมาธิชนิดหนึ่ง ซึ่งปุถุชนเข้าไม่ได้คือ ผลสมาบัติ ผลสมาบัตินี้ จะมีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อเข้าแล้วจิตจะสงบมาก แต่การเข้าผลสมาบัติของพระอริยเจ้าแต่ละลำดับนั้นก็ต่างกันไป เช่น พระโสดาบัน จะเข้าผลสมาบัติของพระโสดาบันเท่านั้น และเมื่อเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงกว่าก็ไม่สามารถกลับมาเข้าผลสมาบัติชั้นก่อน ๆ ได้ เช่น พระสกิทาคามี ไม่สามารถมาเข้าผลสมาบัติของพระโสดาบันได้อีก เพราะท่านเลยมาแล้ว
ความต่างของพระอริยบุคคลในการละกิเลสมีรายละเอียดคร่าว ๆ ต่อไปนี้ครับ
http://www.84000.org.../v_seek.p...
#2
โพสต์เมื่อ 25 October 2008 - 09:05 PM
สาธุครับ ฟังแล้วมีกำลังใจบำเพ็ญบารมีครับ
#3
โพสต์เมื่อ 25 October 2008 - 09:22 PM
QUOTE
สาธุครับ ฟังแล้วมีกำลังใจบำเพ็ญบารมีครับ
เช่นกันค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความนี้
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#4
โพสต์เมื่อ 25 October 2008 - 09:51 PM
จากหนังสือ มุนีนาถทีปนี โดย พระพรหมโมลี
http://larndham.net/...opic=31046&st=0
ธรรมสโมธาน
นอกจาก จะทรงมีพระวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยมในการสร้างสมอบรมพระบารมีเป็นเวลานานนักหนา นับเวลาเป็นจำนวนอสงไขย เป็นจำนวนมหากัปดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงผู้ปรารถนาจะได้ตรัสเป็นเอกองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในกาลอนาคตนั้น ย่อมต้องปรารถนาธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า ธรรมสโมธาน เสียก่อน จึงจักได้สำเร็จความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าไม่มีธรรมสโมธานนี้แล้ว ก็ไม่แน่นักว่าจักได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า กล่าวอย่างนี้อาจจะทำให้งงงันไปก็ได้ จึงจะขอขยายความต่อไปดังนี้
ท่านที่จักได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้านั้น เพียงแต่ตั้งใจว่าจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ก็เป็นเวลาหลายอสงไขยแล้วจึงจะมีโอกาสได้ออกโอษฐเปล่งวาจาเป็นคำพูด จักเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายอสงไขยอีกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวปรารถนามาเป็นเวลานานเช่นนี้ก็ยังเป็น อนิยตโพธิสัตว์ คือ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นักว่าจักได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อใด ได้บรรลุถึงโอกาสำคัญ คือ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว มีโอกาสได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านั่นแหละ จึงจะเป็น นิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอนว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
-----------------------------------------------------------
http://larndham.net/...opic=31046&st=0
ธรรมสโมธาน
นอกจาก จะทรงมีพระวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยมในการสร้างสมอบรมพระบารมีเป็นเวลานานนักหนา นับเวลาเป็นจำนวนอสงไขย เป็นจำนวนมหากัปดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงผู้ปรารถนาจะได้ตรัสเป็นเอกองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในกาลอนาคตนั้น ย่อมต้องปรารถนาธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า ธรรมสโมธาน เสียก่อน จึงจักได้สำเร็จความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าไม่มีธรรมสโมธานนี้แล้ว ก็ไม่แน่นักว่าจักได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า กล่าวอย่างนี้อาจจะทำให้งงงันไปก็ได้ จึงจะขอขยายความต่อไปดังนี้
ท่านที่จักได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้านั้น เพียงแต่ตั้งใจว่าจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ก็เป็นเวลาหลายอสงไขยแล้วจึงจะมีโอกาสได้ออกโอษฐเปล่งวาจาเป็นคำพูด จักเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายอสงไขยอีกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวปรารถนามาเป็นเวลานานเช่นนี้ก็ยังเป็น อนิยตโพธิสัตว์ คือ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นักว่าจักได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อใด ได้บรรลุถึงโอกาสำคัญ คือ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว มีโอกาสได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านั่นแหละ จึงจะเป็น นิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอนว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
-----------------------------------------------------------
#5
โพสต์เมื่อ 25 October 2008 - 11:10 PM
.
#6
โพสต์เมื่อ 26 October 2008 - 08:29 AM
QUOTE
ดังนั้น พระโพธิสัตว์ จะไม่เป็นพระอริยเจ้าเช่น โสดาบันเป็นต้นได้ เพราะเมื่อเป็นแล้ว ภพชาติจะหมดสิ้นไป ไม่มีการเกิดอีก
รบกวนผู้รู้ช่วยพิจารณาประโยคนี้ด้วยครับ
#7
โพสต์เมื่อ 26 October 2008 - 12:04 PM
อนุโมทนาบุญครับ สาธุ
#8
โพสต์เมื่อ 26 October 2008 - 02:30 PM
กราบอนุโมทนาบุญค่ะ
สำหรับธรรมทาน
สาธุ สาธุ สาธุ
สำหรับธรรมทาน
สาธุ สาธุ สาธุ
"ไม่มีอะไรใหม่ ต้องแสวงหาอีกแล้ว เพราะใจของฉัน มีพระแก้วใส"
#9
โพสต์เมื่อ 26 October 2008 - 09:44 PM
แล้วคุณบ่าวอุบล คิดว่าเป็นอย่างไรครับ
#10
โพสต์เมื่อ 27 October 2008 - 11:55 AM
ก็เป็นดังที่คุณ บ่าวอุบล Comment มาน่ะครับ คือ ในบทความนี้ ผมว่า พูดย่อไปหน่อย น่าจะเติมเป็นพระโพธิสัตว์ ที่เป็นนิยตโพธิสัตว์ คือ เที่ยงแท้แน่นอนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า นั่นคือ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระัพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว ที่จะไม่เป็นพระอริยสาวกอีกอย่างแน่นอน
ส่วนพระโพธิสัตว์ที่เป็น อนิยตโพธิสัตว์ คือ ยังไม่แน่ ยังต้องสร้างบารมีอยู่นั้น อาจเปลี่ยนใจเป็นพระอริยสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งได้ครับ
ดังเช่น พระมหากัจจายนะ สร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้ามาในระดับหนึ่ง จนได้ลักษณะมหาบุรุษหลายประการ มองแต่ไกลจะดูคล้ายพระพุทธเจ้ามากๆ แต่ชาตินี้ ท่านเปลี่ยนใจขอเป็นพระอรหันตสาวกของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไงล่ะครับ
ส่วนพระโพธิสัตว์ที่เป็น อนิยตโพธิสัตว์ คือ ยังไม่แน่ ยังต้องสร้างบารมีอยู่นั้น อาจเปลี่ยนใจเป็นพระอริยสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งได้ครับ
ดังเช่น พระมหากัจจายนะ สร้างบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้ามาในระดับหนึ่ง จนได้ลักษณะมหาบุรุษหลายประการ มองแต่ไกลจะดูคล้ายพระพุทธเจ้ามากๆ แต่ชาตินี้ ท่านเปลี่ยนใจขอเป็นพระอรหันตสาวกของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไงล่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#11
โพสต์เมื่อ 27 October 2008 - 12:08 PM
ตอบคุณ บ่าวอุบล
ดังนั้น พระโพธิสัตว์ จะไม่เป็นพระอริยเจ้าเช่น โสดาบันเป็นต้นได้ เพราะเมื่อเป็นแล้ว ภพชาติจะหมดสิ้นไป ไม่มีการเกิดอีก
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พระโสดาบันจะกลับมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะบรรลุนิพพานแล้ว
ภพชาติจึงสิ้นไป ไม่มีการเกิดอีก
หากวันนี้คุณ บ่าวอุบล ปราถนาจะเป็นพระโพธิสัตว์ จะต้องสั่งสมบารมีให้เต็ม(ให้พอ) ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
จึงไม่สามารถเป็นพระอริยะได้ เพราะพระอริยะเช่นพระโสดาบัน จะนิพพานก่อนก่อนที่บารมีจะมากพอที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
คนที่ตัดสินใจจะเป็นพระอริยะ จึงเหมือนคนที่เห็นอาหารอร่อย(นิพพาน) แล้วก็ตัดสินใจหยิบทานเลย
คนที่ตัดสินใจจะเป็นพระพุทธเจ้า(พระโพธิสัตว์) จึงเหมือนคนเห็นอาหารอร่อย(นิพพาน) แต่ไม่หยิบกิน
แต่อดทนฝึกฝนจนเป็นพ่อครัวที่สามารถสอนให้คนอื่นทำอาหารอร่อยทานได้(สอนให้คนอื่นนิพพานได้)
คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าจึงต้องอดทนและสร้างบารมีมากมาย จนเราๆที่รู้จึงซาบซึ่งในพระกรุณาทิคุณ
ดังนั้น พระโพธิสัตว์ จะไม่เป็นพระอริยเจ้าเช่น โสดาบันเป็นต้นได้ เพราะเมื่อเป็นแล้ว ภพชาติจะหมดสิ้นไป ไม่มีการเกิดอีก
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พระโสดาบันจะกลับมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะบรรลุนิพพานแล้ว
ภพชาติจึงสิ้นไป ไม่มีการเกิดอีก
หากวันนี้คุณ บ่าวอุบล ปราถนาจะเป็นพระโพธิสัตว์ จะต้องสั่งสมบารมีให้เต็ม(ให้พอ) ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
จึงไม่สามารถเป็นพระอริยะได้ เพราะพระอริยะเช่นพระโสดาบัน จะนิพพานก่อนก่อนที่บารมีจะมากพอที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
คนที่ตัดสินใจจะเป็นพระอริยะ จึงเหมือนคนที่เห็นอาหารอร่อย(นิพพาน) แล้วก็ตัดสินใจหยิบทานเลย
คนที่ตัดสินใจจะเป็นพระพุทธเจ้า(พระโพธิสัตว์) จึงเหมือนคนเห็นอาหารอร่อย(นิพพาน) แต่ไม่หยิบกิน
แต่อดทนฝึกฝนจนเป็นพ่อครัวที่สามารถสอนให้คนอื่นทำอาหารอร่อยทานได้(สอนให้คนอื่นนิพพานได้)
คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าจึงต้องอดทนและสร้างบารมีมากมาย จนเราๆที่รู้จึงซาบซึ่งในพระกรุณาทิคุณ
#13
โพสต์เมื่อ 28 October 2008 - 11:31 AM
สาธุ....คุณ ณนนท์ อธิบายจากของคว่ำเป็นของหงายเข้าใจได้แจ่มแจ้งจริงๆครับ