มี 16 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

[usr23740]

จำได้ว่าลพ.เพิ่งจะบอกเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง
แต่ผมจำไม่ได้ว่าฝ่ายไหนที่ถูกตัดออกไป ด้วยเหตุผลอะไร
ใครจำได้ รบกวนบอกที่ และมีให้ฟังให้อ่านเองตรงไหนมั้ยครับ เช่นอยู่ในบุญ เดือนไหนอ่ะครับ

ขอบคุณมากๆ ครับ

[หัดฝัน]

ผมก็จำไม่ได้หรอกครับว่าอยู่ในหนังสือเล่มไหน แต่ก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ เพราะบางยุคเราเกิดร่วมสมัยกับผู้มีบุญจำนวนมากๆ ดังนั้น ปัจจัย 4 เช่น อาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ก็จะเกิดขึ้นมาเอง ซึ่งในยุคพุทธกาลก็ยังมีอยู่ ที่มีมหาเศรษฐีมีสมบัติตักไม่พร่องบังเกิดขึ้น เช่น ท่านเมณฑกเศรษฐี โชติกเศรษฐี แต่ก็คนที่มีบาปมากเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น แม้จะมีผู้มีบุญมากมีสมบัติเลี้ยงคนทั้งโลก แต่ก็ยังมีคนอดอยากล้มตายควบคู่กันไปด้วย

แต่ถ้าเป็นบางยุคบางสมัย จะแต่ผู้มีบุญมากๆ มารวมกันอย่างเดียว ซึ่งในยุคเช่นนั้น มนุษย์ก็ไม่ต้องไปทำมาหากิน เพื่อเสาะแสวงหาปัจจัย 4 และก็ไม่มีคนอดอยากอีกด้วย

ดังนั้น หมู่คณะก็จึงไม่จำเป็นต้องมีกองเสบียง และฝ่ายปฏิสันขรณ์(ก่อสร้าง)ต่างๆ ซึ่งก็จะเหลือแต่งานหลัก คือ เผยแผ่ กับทำวิชชา นั้นเองครับ

[::: นายพีท ลูกพระธัมฯ :::]

ขอแก้คำผิดของ นักเรียนอนุบาล หัดฝัน

"ฝ่ายปฏิสันขาร(ก่อสร้าง)"

ต้องเป็น "ฝ่ายปฏิสังขรณ์"

[หัดฝัน]

ขออภัยด้วยครับ ขอบคุณนักเรียน ธรรมธาร ด้วยครับ ผมตามไปแก้ที่ตัวเองสะกดผิดแล้ว

[usr23740]

ถึงคุณหัดฝันครับ
- แล้วกองเสบียงในชาตินั้น จะทำหน้าที่อะไรเหรอครับ เมื่อใจมันไม่คุ้นกับการเผยแผ่ หรือทำวิชชา
- ถ้ามีชาติที่เป็นอย่างนั้นจริง แล้วเราจะทำบุญต่างๆ กันไปทำไมครับ ทำไมลป. ลพ.ต้องเชื่อมสายสมบัติให้ด้วย ในเมื่อไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องมีกองเสบียงมาคอยสนับสนุนปัจจัย ไทยธรรมต่างๆ
อีกทั้งบุญก็เป็นธาตุสำเร็จ เราก็สร้างบารมีด้านอื่นๆ ก็เป็นบุญซึ่งแล้วแต่เราว่าจะปรับบุญไปให้เกิดผลอย่างไรนี่ครับ

[หัดฝัน]

อ๋อ ที่ตั้งกระทู้นี่ขึ้นมา ก็เพื่อต้องการจะถามประโยคต่อไปเช่นนี้นั่นเองหรือครับ ได้ครับ ผมก็จะตอบตามที่ทราบนะครับ

กองเสบียงนั้น อย่าว่าแต่ในชาตินั้นเลย แม้กองเสบียงในชาตินี้ ทุกๆคนก็ยังต้องฝึกทำหน้าที่เผยแผ่ไปด้วยเลยล่ะครับ เผยแผ่อย่างไร อ้าว ก็เป็นผู้นำบุญชักชวนให้คนมาวัดมาบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนากันไงล่ะครับ แม้ใจไม่คุ้นกับการเผยแผ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเผยแผ่ไม่ได้นะครับ อาจจะได้มากหรือน้อย ก็แล้วแต่บุญบารมีที่สั่งสมอบรมกันมาน่ะครับ แต่ก็ OK ว่า ถ้าจะทำวิชชานั้น มันต้องว่ากันไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำไม่ได้นะครับ
เพราะการสอนของหลวงพ่อนั้น ท่านก็ว่าไปตามขั้นตอนเหมือนการสอนของพระพุทธเจ้าไงล่ะครับ คือ
ทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม การหลีกออกจากกาม อริยสัจ4
ยุคไหนทานบารมีเรายังไม่พร้อม เราก็ต้องเริ่มตั้งแต่ทานบารมีกันก่อน พอทานบารมีพร้อมหลวงพ่อท่านก็จะเรื่องศีล หากทานศีลได้แล้ว คราวนี้ก็เน้นภาวนา ชัีกชวนคนออกบวชกันล่ะ
ซึ่งหลวงพ่อก็ทำเช่นนั้นมาทุกชาติๆ นั่นแหละครับ ดังนั้น ก็หมายความว่า ทุกคนก็ถูกฝึกด้วยหลักสูตรนี้กันมาทั้งนั้น เพียงแต่จะมากหรือน้อย ขึ้นกับความถนัดของแต่ละคน มันก็เลยแบ่งเป็น 4 ฝ่าย แต่สุดท้ายผมว่า ก็จะเหลือเพียงแค่สองฝ่าย หากบารมีทุกคนมากพอ

อ้าว การทำบุญเชื่อมสายสมบัติ ก็เพื่อต้องการให้มีชาติที่เป็นเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดไป (ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นบางชาติเท่านั้น) ไงล่ะครับ จะได้สะดวกสบาย บำเพ็ญบารมีที่ยิ่งๆกว่าทานขึ้นไปได้โดยง่ายไงล่ะครับ

[usr23740]

ขอบคุณ และอนุโมทนาบุญกับคณหัดฝันมากเลยนะครับ
แสดงว่าในชาติที่สมบูรณ์นั้นๆ เราก็จะขาดทานบารมีไปน่ะสิครับ

[หัดฝัน]

ใช่ครับ นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องสร้างบุญที่ใหญ่(Big Bung) เพื่อให้สายสมบัติต่อเนื่องไปถึงที่สุดแห่งธรรมกันไปเลยทีเดียว ยกตัวอย่างในพุทธันดรที่แล้ว หมู่คณะของเราส่วนใหญ่สร้างทานบารมีเพียงถวายภัตตาหาร บางคนเช่นผมเป็นต้น ก็สร้างทานบารมีตามอารมณ์ แต่ไม่ได้สร้างบิ๊กบุญ เช่น การสร้างวัดเลย (ให้พระราชาตามหัวเมืองต่างๆ ในยุคนั้นท่านสร้างเป็นผู้เดียว ท่านก็เลยได้บุญใหญ่เพียงผู้เดียว)

[usr23740]

แล้วเรื่องบุญที่เป็นธาตุสำเร็จล่ะครับ คือไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องทานก็ได้ แต่ให้บุญด้านอื่นๆ ปรุงแต่งเรื่องสายสมบัติให้น่ะครับ

[หัดฝัน]

เรื่องบุญเป็นธาตุสำเร็จนี่จริงๆ แล้วมีรายละเอียดปลีกย่อยมากหลาย ต้องให้ผู้รู้(ผู้มีตาทิพย์)เท่านั้นจึงจะบอกได้ตรงทั้งหมด ส่วนผมสามารถบอกได้เพียงหลักการกว้างๆ เท่านั้นครับ

เหมือนอาหารที่เราทานเข้าไป มีใครสามารถบอกได้หรือไม่ว่า อาหารนั้นไปเป็นเนื้อเลือดส่วนแขนกี่เปอร์เซนต์ ส่วนขากี่เปอร์เซนต์ ส่วนลำตัวกี่เปอร์เซนต์ ย่อมไม่มีใครสามารถบอกได้ ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ที่มีเครื่องมือวิเคราะห์ละเอียด สามารถบอกได้แค่ประมาณกว้างๆ เอาเท่านั้น

บุญเป็นธาตุสำเร็จที่เห็นได้ชัดคือ เวลาบุญส่งผลให้ไปเป็นสมบัติทิพย์นั้น บุญจะปรุงให้ได้สมบัติทั้งหมด เช่น บางคนรักษาศีล 5 สิ้นชีวิตไปเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ มีสมบัติทิพย์ทุกอย่าง(แต่มีไม่มาก) บางคนแค่ทำจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า(ภาวนา) สิ้นชีวิตก็ไปเป็นเทพบุตรบนสวรรค์มีสมบัติทิพย์ทุกอย่างเช่นกัน หรือ บางคนทำทานด้วยดอกไม้ดอกเีดียว สิ้นชีวิตไปเป็นเทพธิดามีสมบัติทิพย์ทุกอย่าง เช่น วิมาน ราชรถ เสื้อผ้า รูปร่างคล้ายดอกไม้ที่ตนทำบุญ แต่ก็มีกับเขาเหมือนกัน กรณีนี้ใช่ครับ บุญส่งผลให้ได้สมบัติทิพย์ทุกด้าน

แต่เวลากลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น คนที่รักษาศีลอาจไม่ได้ทรัพย์สมบัตินะครับ คนที่ภาวนาเฉยๆ ก็อาจไม่ได้ทรัพย์สมบัตินะครับ ขึ้นกับกำลังทานในอดีตที่ทำมา เป็นต้น นี่ว่ากันแบบหลักการกว้างๆ แต่ก็มีข้อยกเว้นปลีกย่อยอีกหลายประการ เช่น บางคนรักษาศีล 8 แค่ครึ่งวัน ชาติต่อไปกลายเป็นพระราชา ซึ่งเราเห็นชีวิตเขาเพียงชาติเดียว เราไม่รู้ว่าชาติก่อนหน้าเขาทำทานมาขนาดไหน เป็นต้น

[danaiporn]

ผมว่า ทั้ง สี่ฝ่ายยังจำเป็นอยู่ครับ ไม่ว่าจะเกิดในสม้ยใดก็ตาม
มันเป็นหน้าที่คร่าว ๆ ตามความถนัดของแต่ละบุคคล เพราะว่า งานที่สำคัญ ของแต่ละคนคือ ทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ และสร้างบารมี

[DJ.]

สาธุกับคุณหัดฝันด้วยครับ อธิบายได้แจ่มแจ้งดีเหลือเกินครับ

[Tree]

สาธ ครับผม

[peter10]

เหมือนจะลอง แต่ไม่สำเร็จ



ทำบุญกฐิน จะดีกว่า

[tnawut]

กระทู้นี้ได้ประโยชน์...

[Suk072]

สาธุ ค่ะ