ช่วยด้วยใจหมองค่ะ ทะเลาะกับแม่เรื่องทำบุญ
#1
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 05:35 PM
#2
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 06:08 PM
หนึ่งใน ทิศ 6 ครับ
ดูๆ แล้วเหมือนคุณ SUREPORN SAEANG กำลังจะสื่อออกมาว่า ไม่เข้าใจคุณแม่ ที่ คุณ SUREPORN SAEANG ใช้ชี้วิตอยู่กับท่านมาเกือบ 30 ปี นะครับ แต่ก็ไม่แปลกหรอกครับ ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ค่อยเข้าใจคนในครอบครัวตัวเองซักเท่าไหร่ ไม่ว่าน้องที่บอกให้มาวัดเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมมา พ่อที่ ผมคิดว่า ผมรู้มากกว่าท่าน เรื่องหวย(บอกให้เลิกเล่นเท่าไหร่ก็ไม่เลิก) แต่ใน
ความเป็นจริง เราลืมทำความเข้าใจ คนไกล้ๆตัว ลืมทำความเข้าใจคนที่ รักเรา หรือปล่าว?
แม่ท่านก็มีเหตุผลของท่านในการตัดสินใจอะไร
เราก็มีเหตุผลของเราในการตัดสินใจอะไร
..แล้วเหตุผลของใครถูกหละ!!!
ส่วนตัวผมทุกเหตุผลของแม่ เกิดจากความห่วงใยคนในครอบครัวทั้งสิ้น
ปล
บริหารทัศนคติ ให้ดี ชีวิตจะมีความสุข ...
#3
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 06:08 PM
พี่เข้าว้ดไม่นาน อาจจะตอบไม่ได้ดีมากนัก แต่พี่ก็มีแม่เหมือนกัน เลยจิตนาการพอได้
ก่อนอื่น น้องต้องหัดไม่โกรธก่อนน่ะ เพราะความโกรธไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากทำให้ความรู้สึกของเราต่อแม่ไม่ดีแล้ว ใจของเราเองยังขุ่นมัว ยิ่งไม่สามารถเป็นกัลยาณมิตรให้กับทั้งตัวเองและคนอื่นได้ดีอย่างที่ควรจะเป็นได้
คนเป็นพ่อเป็นแม่ หวงแหนทรัพย์สินเงินทอง ส่วนใหญ่ก็เพื่อลูก เก็บไว้ให้ลูก อะไรทำนองนี้ แต่จะแสดงออกหรือพูดอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ต่อให้ท่านไม่ดีอย่างไร ก็ให้นึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่สุดที่จะประมาณได้ คือการให้กายมนุษย์เรามาสร้างบุญ สร้างบารมี อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง
เมื่อใดที่ใจน้องคิดอยากที่ทำบุญ บุญในวาระแรกก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ถึงคุณแม่จะขัดไม่ให้ได้ทำบุญจริงๆ ก็ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป
อย่าให้เป็นว่า บุญก็ไม่ได้ทำ ใจก็ขุ่นมัว สร้างกรรมใหญ่ โดยการสร้างวจีกรรม หรือกรรมอื่นๆ กับคุณแม่เลย แค่เราบึ้งตึงใส่ท่าน คนเป็นพ่อเป็นแม่ ก็เป็นทุกข์ ไม่สบายใจแล้ว
นี่ยังดี ยังเข้าวัดมาด้วยกันน่ะ ใจเย็นๆ จ้า หมั่นหาสื่อเกี่ยวกับอานิสงค์ของการให้ทาน เปิดให้ท่านฟังบ่อยๆ
#4
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 06:59 PM
จะเกลียดท่านนะคะ เพราะแม่ย่อมรักและเมตตาลูกอยู่แล้วค่ะ
ไปไหนมาก็ซื้อของฝากที่ท่านชอบให้ท่านบ่อย ๆ พยายามเข้าใกลั ๆ ทำโน่นทำนี่
ให้ท่าน กอดท่านบ้าง หอมแก้มท่านบ้าง แรก ๆ อาจจะเขิน กระดากทั้งแม่
และลูก แต่พยายามทำบ่อย ๆ ก็จะทำให้ใจท่านอ่อนลง แล้วก็พูดคุยถึงเหตุผล
และบุญกุศลที่เกิดจากการบริจาคทรัพย์หรือสิ่งของ ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง
เอาใจช่วยคุณSUREPORN SAEANG ค่ะ
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม
#5
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 07:35 PM
#6
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 07:50 PM
เป็นอย่างที่พี่ Lucky Girl กล่าวไว้ครับว่าบุญเกิดใน 3 เวลาคือ ก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ ตอนนี้คุณ SUREPORN SAEANG ตั้งใจทำ บุญก็เกิดแล้วครับ ถึงแม้จะยังไม่ได้ทำจริงแต่จิตที่เต็มไปด้วยกุศลศรัทธาก็นำพามาซึ่งบุญ อาจจะใช้เวลานิดในการทำให้ความตั้งใจนั้นเป็นจริง ก็ไม่เป็นไรครับ เมื่อใหร่ที่ทำได้เราก็จะได้บุญอีก 2 กาลที่เหลือ แถมยังได้บุญจากการเป็นกัลยาณมิตรชักชวนให้คุณแม่ได้เข้าใจ ท่านก็จะปลื้มและมีส่วนแห่งบุญนี้อีกด้วย
โยนความขุ่นข้องหมองใจออกไปจากตัวเรา แล้วนั่งสมาธิทำใจใสๆ อฐิษฐานให้ท่านเข้าใจ ในทุกๆ ครั้งที่ทำบุญ สักวันครับ ฝันจะเป็นจริง ตอนนี้เราก็ทำหน้าที่ของลูกไปก่อน ได้บุญเหมือนกัน อนุโมทนาบุญคร้าบผม
#7
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 08:26 PM
กระทู้นี้ขอตอบเป็น "ส่วนหนึ่ง" ของการนำไปพิจารณาปรับใช้ละกัน : )
ขอแยกเรื่องที่คุณว่ามาเป็น ๔ ประเด็น ดังนี้...
๑. เรื่องการถวายของเก่า จริงๆ แล้ว การถวายของเก่าแด่พระภิกษุสามเณรไม่ควรทำ เพราะทานไม่ประณีต ของเก่าในที่นี้คือ ของที่เราใช้แล้ว หรือบางทีเราไม่ได้ใช้ แต่เก็บเอาไว้จนสภาพมันเก่า จิตขณะทำทานจะไม่ผ่องใสเต็มที่ เพราะเรารู้ว่า มันไม่ใหม่ เหมือนอย่างนี้ ...เราสั่งก๋วยเตี๋ยวมา ๑ ชาม เราเอาตะเกียบคีบลูกชิ้น ๑ ลูกใส่ปาก ขณะกำลังเคี้ยวอยู่นั่นเอง เราเหลือบไปเห็นสามเณรรูปหนึ่ง คุยกันไปคุยกันมา...รู้ว่าท่านยังไม่ได้ฉันเพล เราจึงอยากเอาก๋วยเตี๋ยวชามที่อยู่ตรงหน้าเราไปถวายท่าน ก๋วยเตี๋ยวที่ลูกชิ้นหายไป ๑ ลูก นั่นแหละ... ลองนึกภาพตาม...พอเข้าใจ feel ตอนถวายมั้ย เรารู้ว่า..มันไม่ pure noodle พอเข้าใจใช่มั้ย หรือแม้เรายังไม่ได้แตะต้องก๋วยเตี๋ยวชามนั้นเลย แต่ว่ามันถูกวางทิ้งไว้ ๑ ชม. จนมันเย็นไม่น่าทานแล้ว ทำให้เวลาทำบุญใจเราใสไม่สุด ไม่ใช่ไม่ใสนะ แต่ "ใสไม่สุด" ดังนั้น..ถ้าเรามีเงินพอ เราซื้อก๋วยเตี๋ยวชามใหม่ให้ท่านจะดีกว่า นี้ในกรณีที่ราคาของสิ่งของนั้นไม่มาก ในกรณีที่ของราคาแพง ตามทรรศนะของมาริโอ้แล้ว เอาของนั้นไปขาย ได้ปัจจัยมาเท่าไหน ก็ประเมินราคาของแบบเดียวกัน แต่ราคาลดหลั่นลงมา แล้วซื้อของใหม่ให้พระท่านจะดีกว่า หรือรอรวบรวมปัจจัยเพิ่มอีกระยะหนึ่ง หรือไปชวนเพื่อนๆ หรือคนรู้จักมาร่วมบุญด้วย แล้วซื้อของใหม่แบบเดียวกันให้พระสงฆ์หรือสามเณร ไม่รู้เหมือนกันนะ...ถ้าเป็นมาริโอ้แล้ว จะถวายทั้งที ถวายของที่ดีที่เลิศไปเลยดีกว่า "ถวายของเลิศ ย่อมได้ของเลิศ"
อาจจะเป็นไปได้ว่า...คุณแม่เกรงว่า เวลาบุญส่งผล คุณจะได้ของไม่เลิศกลับมา เลยพยายามขัดคุณไม่ให้คุณถวาย แต่อาจจะไม่มีโอกาสที่เหมาะสมจะอธิบายคุณก็อาจจะเป็นไปได้
๒. ครอบครัวของคุณเริ่มไม่อบอุ่น เพราะคุณแม่เริ่มไม่ลงรอยด้วย ให้คุณย้อนไปศึกษาเรื่องสังคหวัตถุ ๔ (ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา) ลองตรวจสอบตัวของคุณเองว่า คุณได้ประพฤติตามหลักการ ๔ ข้อนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใด คุณธรรมทั้ง ๔ นี้คือ สิ่งที่เชื่อมใจของคุณและคุณแม่เอาไว้ ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกหรอก แต่บางที "ทิฐฺมานะ" มันมาบดบังดวงปัญญาอยู่ บดบังความดีที่จะเกิดขึ้น เพราะ "ก็ชั้น..เป็นแม่เธอนี่"
๓. การทำบุญแล้วหงุดหงิด คุณต้องหมั่นสอนตนเองทุกครั้ง ในยามที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ว่าถ้าทำบุญตอนนั้น ใจคุณไม่ใสเต็มที่ เวลาสมบัติเกิดจะมี "วิบัติ" เจอปนด้วย บุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข เวลาทำบุญแล้วคุณจะต้องมีความสุข แต่ถ้าเมื่อใด มี factor ใดๆ ก็ตามมาทำให้คุณทำบุญแบบมีเรื่องโน้นเรื่องนี้มาทำให้ใจขุ่น แสดงว่า ...คุณขาดอะไรไปสักอย่าง คือคุณยังทำไม่ตรงตามหลักวิชชาทั้ง ๑๐๐ %
๔. การแนะนำผู้อื่น คำว่า "แนะนำ" แบ่งออกเป็น แนะ ซึ่งแปลว่า "พูดให้ทำ" ส่วนคำว่า นำ แปลว่า "ทำให้ดู" การจะเปลี่ยนคนที่มีวุฒิภาวะสูงกว่า คือคุณแม่ของเรา จะใช้วิธีการพูดให้ทำ บางทีท่านอาจจะยังรับไม่ได้ เพราะท่านถือว่า ท่านเป็นแม่เรา ส่วนเรื่องการ "นำ" ส่วนนี้เราทำได้เสมอ ส่วนการ "แนะ" ควรต้องมีศิลปะในการแนะ และต้องทำควบคู่ไปกับประเด็นข้อที่ ๒
มาริโอ้คิดว่า...ตัวคุณเองเท่านั้น ที่จะรู้ว่า "รากเหง้า" ของปัญหานี้เกิดจากอะไร ให้คุณลองนั่งสมาธิมากขึ้นซัก ๓ ชม. ๔ ชม. ติดต่อกัน หลายๆ วัน (นั่ง ๑ ชม. พัก ๑๐ นาที แล้วมานั่งต่อก็ได้นะ) พอใจของคุณผ่องใสแล้ว คุณจะเห็นคำตอบเองแหละ : )
#8
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 08:54 PM
^
^
สุดยอดครับ ขอบอก MarioღUK FC
#9
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 09:19 PM
ผมมองว่าท่านอาจไม่ได้ต้องการขวางอะไร แต่ท่านมีปมในใจลึกๆ ท่านอาจรู้สึกว่าคุณไม่ต้องพึ่งท่านเลย ผมว่าเอาเป็นว่าก่อนจะทำอะไรตั้งเป้าไว้ แต่คุณลองประเหลาะคุณแม่ทำเป็นปรึกษาท่านก่อนดีไหมครับ เช่น อยากถวายจักรยาน คุณก็ไปเลียบเคียงถามท่านว่า พระท่านลำบาก จักรยานท่านเก่า พอดีเรามีเหลืออยู่ เป็นของไม่ใหม่...ถ้าถวายพระจะเหมาะสมไหม ทำนองนี้เเหละครับ ท่านว่าไงเราก็ว่าเอาตามแม่ว่าก็แล้วกัน สักครั้งสองครั้งเดี๋ยวน่าจะดีเอง
#10
โพสต์เมื่อ 04 January 2009 - 09:51 PM
สาธุน่ะค่ะ ที่คอยมาแนะนำและ สอนในตัวหนังสือ
ทำใจใสๆ ไว้น่ะค่ะ คุงSUREPORN SAEANG เข้าใจค่ะ
เค้าบอกว่า การทำบุยกะคนในบ้านยากสุด และคนในบ้านเรานี้แหละค่ะ ที่จะทำให้เราใจไม่ใสใน3 ขณะ
ค่อยๆปรับทัศนคติน่ะค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 02:22 AM
จากประสบการณ์ของเรา ทำให้เข้าใจสภาพจิตใจของคุณ SUREPORN SAEANG ต้องพยายามรักษาใจอย่าให้หมองนะคะ ถึงจะเป็นเรื่องยากแต่ต้องพยายามทำให้ได้ เราขอเป็นกำลังใจให้นะ เชื่อว่าคุณ ก็ทำได้เช่นกัน
#12
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 09:51 AM
#13
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 11:05 AM
ยกตัวอย่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากท่านบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านยังไม่ได้ไปโปรดพุทธบิดา พุทธมารดา และประยูรญาติในทันที ท่านได้เผยแผ่คำสอนจนมีผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และพระอริยะบุคคลตามท่านมากมาย จนชื่อเสียงเลื่องลือไปจนถึงบ้านเมืองของท่าน พุทธบิดาส่งคนมาตามถึง 6 ชุดด้วยกัน ท่านก็ยังไม่กลับแถมหนำซ้ำกลับพากันบวชจนหมด จนส่งชุดที่ 7 ไปตาม ก็พากันบวชจนหมดแต่คราวนี้ท่านยอมกลับไปโปรด พระประยูรญาติแล้ว แต่เมื่อไปถึงกลับไม่มีใครทำความเคารพท่านเลยสักคน เนื่องจาก ศากยวงศ์มีความถือตัวสูงมาก ท่านจึงแสดงปาฏิหารย์เหาะขึ้นไปเดินจงกรมบนอากาศ ทรงทรมานมิจฉาทิฏฐิพระประยูรญาติจนหมดสิ้น ทรงทำให้ฝนโบกขรภัตตกลงท่ามกลางพระญาติ จนเกิดศรัทธากันถ้วนหน้า
หรือแม้แต่พระอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างพระสารีบุตร กว่าท่านจะสามารถโปรดมารดาของท่านซึ่งเป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง 7 รูปให้เป็นสัมมาทิฏฐิได้ ก็จนถึงวันสุดท้ายก่อนท่านจะปรินิพพานแล้วจึงสำเร็จ โดยท่านเห็นด้วยธรรมจักษุว่ามารดาของท่านมีอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรค หากท่านขวนขวายน้อยไม่ไปหาก็จักยังแทนคุณโดยไม่สมบูรณ์ คนทั้งหลายก็จักกล่าวว่า พระสารีบุตรเป็นที่พึ่งของคนมากมายแต่กลับไม่สามารถกำจัดความเห็นผิดของมารดาตนเองได้ จึงตกลงไปโปรดโยมมารดาในวันสุดท้ายจนทสำเร็จได้บรรลุโสดาบัน แล้วหลวงพ่อทัตตะท่านก็หันมาถามคนที่ตั้งคำถามนี้ว่า “ ขนาดพระสัมาสัพุทธเจ้าท่านมีอานุภาพขนาดนี้ยังต้องใช้เวลา แล้วเอ็งน่ะ แสดงฤทธิ์ได้ยัง” ถ้ายังก็ทำหน้าที่กัลยาณมิตรต่อไป อย่าหยุด อย่าขวนขวายน้อย
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างนะคะ ขอเอาใจช่วยให้สำเร็จและทำใจให้ใสๆโดยเร็วค่ะ
#14
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 11:24 AM
#15
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 12:34 PM
#16
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 01:04 PM
อาทิตย์-สองอาทิตย์ นั่งมองดูใจของตัวเองไปก่อน นึกทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา หาเหตุ
และผลที่เกิดขึ้น น้องต้องเข้มแข็งนะจ๊ะ เพราะพี่ก็ไม่รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงของน้องคืออะไร ใจเย็น ๆ
...นะเอาใจช่วยให้ผ่านพ้นปัญหานี้ไปให้ได้จ่ะ
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม
#17
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 01:49 PM
#18
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 02:17 PM
จนตอนนี้รู้สึก ท้อเเท้ รู้สึกเหมือนเคยมี case study คล้ายๆของคุณเลย เเต่จำไม่ได้อ่า ชื่อเคสอาไร (>_<)
สำหรับผม ผมคิดว่า พี่ควร ดูเเลตนเองก่อน อาจจะไปเที่ยว ไปเล่น ทำอาไรที่ชอบ หรือไป นั่งสมาธิ ผ่อนคลาย
ให้ใจเบิกบาน สบายๆ อย่าคิดมาก เรื่องคุณเเม่ เพราะยิ่งคิดก้ยิ่ง เศร้า
อืม ผมคิดว่าพี่ ใจใหญ่ มากเลย เป้นคนทำอาไร ทุ่มเทเต้มที่ อย่างเรื่องได้เงินมา ก็เอาให้คุณเเม่หมด ตัวเองใช้เล็กน้อย
อันนี้เป้นเรื่องที่ทำได้ยาก เเต่พี่ควร เเบ่งเงินที่ได้มาเป็นส่วนๆ เหมือนที่เคยอ่านมา มี 4อย่างมั่ง จำไม่ค่อยได้
1 ทิ้งลงเหว ใช้เองส่วนตัว 2 ใช้ทำบุญ 3 สงเคราห์ญาติ 4 จำไม่ได้ พี่ก็ควรปะมานเองอะคับอันไหนเท่าไรจึงจะพอ
ถ้าให้อันไหนอันหนึ่งมากไป มันจะไม่พออะคับ
เเล้วก็เวลาทำบุญอย่าลืมอธิษฐานจิตให้คุณเเม่เข้าใจเรา
ผมก็บอกได้ทำนี้อะคับ ถ้ามีอาไรผิดก็ขออภัยด้วยคับ รอไว้ให้พี่ๆ ท่านอื่น มาช่วยเเนะนำต่อ
#19
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 02:51 PM
วิธีแก้ฟังดูง่ายๆ แต่ทำยากค่ะ แต่ทำได้ค่ะ ค่อยๆ ฝึกใจไป คือ อย่าคาดหวังมากนัก เมื่อทำดีหรือให้อะไรใครไป ก็ให้คิดว่านั้นเป็นความสุขของเราที่ได้รับจากการให้แล้ว ส่วนผู้รับจะมีปฏิกริยาอย่างไร ให้เราพยายามวางใจเฉย ๆ ฝึกไปเรื่อยๆ ใหม่ๆ จะยากหน่อย เหมือนต้องคอยยิ้มกับคนที่แยกเขี้ยวใส่เราตลอดเวลา นานๆ ไปคุณจะทำได้ดีขึ้น เป็นการฝึกไม่ยินดีทั้งคำสรรเสริญและคำนินทา ภาษาทางพระ พูดอย่างไรจำไม่ได้ค่ะ
ของคุณเป็นคุณแม่ยังโชคดีน่ะ เพราะอย่างไรแม่ก็รักเรา จะแสดงออกหรือพูดอย่างไร ก็ให้เราเกิดมา เลี้ยงเรามาก บางคนโชคร้ายกว่าคุณน่ะ เป็นสามี นอกจากไม่ดีกับเราแล้ว ยังนอกใจ อาจทำร้ายร่างกายอีก โอ๊ยสารพันความทุกข์ยากค่ะ แถมไม่ได้ให้กำเนิดเรามา ไม่ได้มีบุญคุณกับเราเลย แต่ว่า เรารักเขา จึงยอมทุกข์กายทุกข์ใจประมาณนี้ (อันนี้ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างค่ะ ไม่ได้หมายถึงผู้ตอบน่ะค่ะ อย่าเข้าใจผิด)
คุณเป็นลูกที่น่ารักมากค่ะ รักษาความดีของคุณไว้ พวกเราเป็นกำลังใจให้
#20
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 07:41 PM
คิดดีๆ พูดดีๆ ทำดี๊ดีค่ะ นั่งสมาธิมากๆนะ
และขอน้อมแบ่งบุญทุกบุญที่เราได้ทำมา ให้คุณด้วยจ้า
ขออานิสงส์ผลบุญช่วยให้คุณกับคุณแม่เข้าใจกันเร็วๆน๊า สาธุ
#21
โพสต์เมื่อ 05 January 2009 - 11:49 PM
- ผิดถูกอย่างไรคงมาตัดสินกับพระในบ้านได้ลำบาก
- อย่างไรก็ตาม...กำจัดใจหมองไว้...เดี๋ยวบาปได้ช่องส่งผล...อย่างน้อยก็เสียใจไปบ้างแล้ว...ไม่คุ้มนะ...กลับมาพลิกสถานการณ์ด้วยปัญญาใจใสๆ
#22
โพสต์เมื่อ 06 January 2009 - 12:07 PM
ที่เข้ามาอ่านคอมลัมน์นี้เพราะ.. เจอปัญหาเดียวกับคุณเลยค่ะ..
แต่คุณยังโชคดีที่คุณยังสามารถเลี้ยงดูคุณแม่คุณได้ด้วยตัวของคุณเอง คุณยังสามารถให้เงินท่านได้ทีละมากๆ และคุณยังโชคดีที่ยังมีงานที่สามารถให้เงินคุณได้ทีละคราวมากๆ มีรถ มีบ้าน มีทุกสิ่ง ทุกอย่าง..
ต่างกับดิฉันที่เรียนจบสูง แต่ยังไม่สามารถเลี้ยงดูคุณแม่ได้ ด้วยลำพังเงินเดือนของดิฉันไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูให้ท่านหรือหยิบยืมให้ท่านในคราวที่ท่านลำบากได้ และดิฉันเองก็ทราบว่าท่านรักดิฉันมาก เพียงแต่ทุกครั้งที่ดิฉันไปวัดหรือทำบุญ ก็มักจะเจอปัญหาที่คล้ายกับคุณ โดนต่อว่าเป็นประจำ เพียงเพราะท่านศรัทธาไม่เสมอเหมือนกับเรา ท่านนับถือพุทธชอบทำบุญ ชอบทำทาน และสวดมนต์ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ลงมาช่วย ...เดินทางไปทำบุญวัดโน้น วัดนี้ สักแต่ว่า เพียงขอพร..ซึ่งแต่ก่อนที่ดิฉันเข้าวัดก็ทำแบบท่าน แต่พอมาเจอวัดเราแล้ว มันแตกต่าง ได้มาเรียนรู้เรื่องการทำใจหยุดใจนิ่ง.. จนดิฉันเริ่มแยกตัวมาวัดของดิฉันเอง หมู่คณะที่ดิฉันรัก..ทำให้คุณแม่ต่อว่า...จนใจดิฉันไม่สบาย หรือมีความรู้สึกคล้ายคุณ เพียงแต่อาจน้อยกว่า
จนเมื่อปีใหม่ ได้ไปอยู่ธุดงค์ที่วัด..จนต่อเนื่องมาถึงวันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ผ่านมา ได้ไปนั่งสมาธิกับพอจ. ตั้งแต่สองทุ่มถึงสี่ทุ่ม และต่อด้วย เนสัจฯกับพอจ.ท่านสอนดิฉันนำนั่งสมาธิดีมาก ... จนใจดิฉันสบายขึ้นมากๆๆ อย่างประหลาด ... และแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลจากการนั่งสมาธิให้คุณแม่ และได้นั่งสมาธิต่อเนื่องในวันอาทิตย์กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ อาจมีหลับบ้าง นิ่งบ้าง แต่ก็ใจสบาย และแผ่ส่วนบุญทุกบุญที่ได้กระทำ ให้คุณแม่ที่รักยิ่ง..
และได้เล่าให้พอจ.ที่เคารพนับถือฟังถึงเรื่องดิฉันทะเลาะกับคุณแม่... พอจ.ท่านก็ให้ข้อคิดว่า..ดิฉันเป็นตัวแทนของวัดเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับวัด เคยเป็นครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ให้กราบเท้าพ่อแม่ แต่ตัวเองเคยทำบ้างหรือเปล่า และท่านก็ให้ข้อคิดเหมือนพี่ๆเพื่อนๆข้างบนให้ข้อคิดมา ...และถ้าเราเป็นท่าน ที่มีลูกแบบนี้เราจะรู้สึกเป็นอย่างไร..ให้รู้อัธยาศัยของแม่..และใช้ปัญญา...
ดังนั้น พอดิฉันกลับมาบ้าน สิ่งแรกที่ทำคือ ก้มกราบเท้าท่าน ....และขอขมา...และกอดท่าน...
.....
ก็ขออวยพรน๊ะค๊ะ ให้ค่อยคิด ค่อยทำ นั่งสมาธิเยอะๆๆ ใจจะสบายและจะมีทางออกเองค่ะ...
ไม่งั้นก็ลองอยู่ห่างแม่ ทำงานไกลแม่ อยู่ไกลบ้าน ห่างท่านสักพัก ...อาจจะดีขึ้น...
ทุกอย่างแก้ได้ด้วยตัวคุณเองค่ะ...
#23
โพสต์เมื่อ 08 January 2009 - 09:41 AM
#24
โพสต์เมื่อ 08 January 2009 - 10:57 AM
#25
โพสต์เมื่อ 07 May 2009 - 04:04 AM
เปลียนเป็นให้เงินกับท่าน เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านที่ได้ให้กำเนิดเรามา ตอนแทนท่านที่ท่านได้เลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่ ตอบแทนท่านที่ท่านคนปกป้องเราจากสิ่งอันตรายต่างๆ ตอนที่เรายังเป็นเด็กทารก
ถ้าคิดได้แบบนี้ แม้เราให้เงินแม่ แล้วแม่ไม่ยิ้ม ไม่พูดคุยกับเรา เราก็มีความสุข เพราะเราได้ตอบแทนบุญคุณของท่่าน
เพราะการได้รูปกายเนื้อ ครบ 32 ประการนั้น เพื่อให้เราได้สร้างบารมี ให้เราได้ใ้ช้รูปกายนั้นเพื่อรักษาศีล เพื่อนั่่งสมาธิ เพื่อศึกษาความเป็นจริงของชีวิต ได้ให้รูปกายเนื้อถือเป็นบุญคุณมหาศาลที่ ลูกจะต้องตอบแทนพ่อแม่ทุกๆ คนอย่างถึงที่สุด
ส่วนเรื่องที่ทะเลาะกัน หรือคำพูดของแม่ ที่ฟังแล้วเจ็บปวดใจ น่าจะเป็นวิบากกรรมของคุณนะคะ ที่ส่งผลมาจากชาติก่อน ให้ตั้งใจละเลิกวงจรกรรมนี้ให้ได้ ไม่งั้นชาติต่อไปก็ต้องเจอแบบนีอีก หรือไม่ก็ผลัดกันเป็นฝ่ายกระทำและถูกกระทำด้วยใจที่ผูกพยาบาทต่อกัน วิธีแก้ก็ต้องอธิษฐานจิตทุกๆ วัน และตอนที่ทำบุญทุกๆ บุญ ให้หลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป