ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

ถวายทาน


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ดอกอุบล

ดอกอุบล
  • Members
  • 926 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 January 2009 - 07:19 PM

ถวายทานแบบไหนที่ได้บุญมากที่สุดครับ

#2 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 January 2009 - 07:53 PM

QUOTE
ถวายทานแบบไหนที่ได้บุญมากที่สุด
- พิจารณาทั้ง 3ฝ่าย- ผู้ให้บริสุทธิ์- วัตถุบริสุทธิ์- ผู้รับบริสุทธิ์อันได้แก่ทักขิไณยบุคคล

- หากวัตถุทานเป็นเครื่องไทยทาน 10ประการ+++การถวายสังฆทาน อันมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ย่อมให้อานิสงส์สูงสุด nerd_smile.gif
- ไม่รวมถึงการถวายวิหารทาน(ดังเช่น มหารัตนวิหารคด), ธรรมทานและอภัยทาน ซึ่งยังอานิสงส์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่าการถวายสังฆทาน
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#3 เด็กน้อย...หัดเดิน

เด็กน้อย...หัดเดิน
  • Members
  • 237 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 January 2009 - 09:22 AM

แนะนำให้ไปดูองค์แห่งทานที่มีผลมากคะ
น้องอาชัยอธิบายไว้เยอะเลย

อาจารย์สหัสชัย ไว องค์แห่งทานที่มีผลมาก
http://www.dmc.tv/pr...r_sahadchi.html



#4 น้ำใส

น้ำใส
  • Members
  • 778 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 29 January 2009 - 01:15 PM

กราบอนุโมทนาบุญค่ะ happy.gif happy.gif

เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม

น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม


#5 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 30 January 2009 - 09:01 AM

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ

#6 Killy

Killy
  • Members
  • 8 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 January 2009 - 05:20 PM

ตามความคิดของผมนะครับ

ถ้ายังมีคำถามว่าบริจาคทานแบบไหนแล้วได้บุญมาก แปลว่ายังไม่ได้นำ
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวันนะครับ
คำถามทีว่าบริจาคทานแบบไหนแล้วได้บุญมากนั้น เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ได้เลยในหมู่ชาวพุทธ เนื่องจากพระพุทธศาสนานั้นมีหลักสำคัญคือการลด
ตัวตนของตัวเองออกไป
ดังนั้นความคิดที่ว่าทำบุญแบบไหนได้บุญมากจึงเป็นคำถามที่เต็มไปด้วย
กิเลสและตัณหาครับ หมายความว่า ผู้ถามเองเมื่อไปทำบุญแล้วจะต้อง
คิดอยู่เสมอว่าจะได้อะไรกลับมา ซึ่งจะยิ่งเพิ่มกิเลส (หรือโลภะ) ให้กับคนๆ นั้นเอง

การที่เราคิดว่าเมื่อเราบริจาคทานแบบนี้แล้วได้อะไรกลับมานั้น เป็นการปรุงแต่งให้เกิด
เป็นตัวเราขึ้นมา คือตัวเราต้องการที่จะบริจาคทาน และตัวเราก็ต้องการสิ่งตอบแทนมา
เพื่อให้ได้กลับมาเป็นของๆเรา เช่นต้องการให้มีวิมานทองคำ เป็นต้น

ดังนั้นการให้ทานนั้นจึงไม่ควรจะมีการคิดไปว่าทำทานแบบนี้แล้วได้ผลตอบแทนเป็นอะไร
แต่ควรทำไปเพราะเป็นกิจประจำวัน เป็นสิ่งที่เราจะต้องทำเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จะดีกว่า
ซึ่งเมื่อเราคิดได้อย่างนี้ขณะให้ทานก็จะเป็นการช่วยเหลือสัตว์โลกเหล่านั้น และช่วยลดกิเลส
ที่อยู่ในตัวเราได้อีกด้วย

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเราต้องทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ครับ ทำบุญเพื่อลดโลภในตัว
และเพื่อจะลดตัวเองออกไป

ถ้าอยากจะให้ทานล่ะก็สามารถทำได้ง่ายๆ ครับและเป็นทานที่ประเสริฐที่สุดนั่นคืออภัยทาน
หลังจากอ่านดูแล้วก็ขอให้ตั้งใจให้แน่วแน่ ว่าจะให้อภัยแก่ทุกสิ่งที่เข้ามาเป็นตัวเร้าอารมณ์เราดูสิครับ
อันนี้จะเห็นอานิสงค์แน่นอนโดยไม่จำเป็นต้องเข้าวัดเลยเสียด้วยซ้ำไป
หากตั้งใจไว้แล้ว แต่กลัวว่าจะทำไม่ได้ก็ให้ลองคิดเสียว่าสิ่งต่างๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา)
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงโลกหรือ
เปลี่ยนแปลงตัวเองล่ะถึงจะอยู่ในโลกได้? ดังนั้นถ้าอยากเริ่มทำทานละก็เริ่มกับทานที่ดีที่สุด
นั่นคืออภัยทานนั่นแหละครับ

อย่าไปมีอารมณ์ยินดียินร้ายกับสุนัขที่มาฉี่หน้าบ้านเรา เพราะ สุนัขมันก็ต้องฉี่เป็นธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง
อย่าไปมีอารมณ์ยินดียินร้ายกับเพื่อนที่โทรมาขณะเรากำลังนั่งสมาธิ เพราะเขาไม่รู้ได้ว่าขณะนั้นเรากำลังทำอะไรอยู่
อย่าไปมีอารมณ์ยินดียินร้ายกับทุกสิ่ง เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ครับ

happy.gif

#7 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 February 2009 - 08:24 PM

"ดังนั้นความคิดที่ว่าทำบุญแบบไหนได้บุญมากจึงเป็นคำถามที่เต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา "

อันนี้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งนะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง การทำบุญและอานิสงค์ของบุญประเภทต่างๆไว้เสมอ

ถ้าคุณทำบุญแบบไร้เป้าหมาย หรือขาดอธิษฐานบารมี เวลาทำบุญก็ทำไปอย่างนั้นเอง คุณคงจะไม่สนใจหรอกว่า

ทำบุญแบบไหนได้บุญมาก


แต่ว่าถ้าหากคุณมีเข็มทิศชีวิตที่แน่นอน มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน เช่นตั้งความปราถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

,เป็นพระอรหันต์, เป็นพระเจ้าจักพรรดิ ฯลฯ คุณจะต้องคำนึงถึงหลักวิชชาที่ถูกต้อง ที่จะทำให้คุณไปสู่เป้าหมายได้

นั่นคือการมีบุญบารมีมากๆนั่นเอง พระพุทธเจ้าเอง ก็ต้องสร้างบารมีอย่างน้อย 20 อสงไขย เศษแสนมหากัปล์

ถึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังั้นการที่อยากจะมีบุญมากๆ จึงไม่ใช่เรื่องของกิเลสตัณหา แต่เป็นการวางแผนชีวิต

เหมือนคุณ อยากสร้างวัด แต่คุณยังมีเงินไม่พอ คุณก็จะต้องวางแผนหรือหาวิธีการว่า จะทำอย่างไรจึงจะได้ทรัพย์มามากๆ

จะได้สร้างวัดให้เสร็จโดยเร็ว จะได้เป็นประโยชน์แก่สาธุชน

หรืออยากสร้างบ้าน เพือ่ความสุขของครอบครัว หรืออยากจะหาตังค์ซื้อข้าวเลี้ยงชีวิตของตน

ล้วนต้องหาวิธีที่จะได้มีทรัพย์มาก ไม่ใช่เพราะโลภ แต่เพื่อความอุ่นใจ(ความสบายใจ) ว่ามีกำลังพอจะทำในสิ่งที่ต้องการได้

เช่นกัน การอยากได้บุญมากๆ ก็เพื่อความมั่นใจว่าเราได้เข้าใกล้เป้าหมายชีวิตที่ต้องการมากขึ้น

การแสวงหาวิธีการสร้างบุญให้ได้บุญมากๆ จึงเป็นหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราตั้งเป้าหมายชีวิตไว้สามระดับคือ

1. เป้าหมายเบื้องต้น คือ การอยู่เป็นสุขและประสบความสำเร็จในปัจุบันชาติ

2. เป้าหมายเบื้องกลาง คือ การไปสู่สุคติโลกสวรรค์ หลังจากละโลกไปแล้ว ,การได้เกิดในสุขคติภพในชาติหน้า

3. เป้าหมายสูงสุด คือการหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์

การจะไปสู่เป้าหมาย แต่ระดับล้วนต้องใช้บุญมากทั้งสิ้น การพยายามทำบุญให้ได้บุญมากๆนั้น

จึงเป็นการแสวงหาหลักประกันให้ชีวิตว่า จะสามารถ ไปสู่เป้าหมายแต่ละดับได้

ดังนั้นการที่จะสรุปว่าการอยากได้บุญมากๆนั้น เป็นกิเลสและตัณหานั้น ขอให้พิจารณาให้รอบคอบ และแยบคายก่อน

และอยากให้ไปศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาระการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า และพระสาวก ให้เข้าใจก่อน

จะดีกว่า

อีกประการหนึ่งที่สำคัญมากๆเลย คือ ถ้าชาวพุทธไม่อยากได้บุญมากๆ

ก็จะไม่ค่อยไปทำบุญ วัดก็จะขาดแคลนการบำรุงรักษา

พระภิกสงฆ์ก็จะไม่มีกำลังใจบวชต่อ เพราะคนใส่บาตรมีน้อย แล้วพระพุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร ลองไปคิดดูนะครับ


ปล. หากการตอบของผมทำใหใจขุ่นก็ต้องขออภัยนะครับ ไม่ได้มีเจตนาจะขัดแย้ง แต่ความจริงเป็นเช่นนี้

เลยอยากให้เข้าใจให้ถูกต้อง ในหลักของการสร้างบุญตามแนวทางพระพุทธศาสนา

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ