ผมเพิ่งเป็นสมาชิกไม่นานนี้เข้ามาแล้วรู้สึกดี มีเรื่องที่ได้อ่านในพระไตรปิฎกแล้วรู้สึกดี
อยากเอามาแบ่งปัน แต่คำศัพท์ในพระไตรปิฎกอ่านจะอ่านยาก
ผมจึงขออนุญาตเอามาเขียนแบบง่ายๆ แล้วอาจใส่ข้อมูลเพิ่มเติม
และความคิดเห็นส่วนตัวบ้าง ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยและน้อมรับคำติชมทุกประการครับ
เรื่องแรกเป็นเรื่องที่กล่าวถึงคุณธรรมของพระสารีบุตรอ่่านแล้วตื้นตัน
น้ำตาคลอแล้วทำให้นึงถึงคุณธรรมของคุณยายอาจารย์ของเราอีกด้วยครับ
เรื่องมีอยู่ว่าสมัยหนึ่งพระสารีบุตรท่่านจะเที่ยวจาริกไปแสวงหาที่ปฏิบัติธรรม ก็ได้ทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ออกจากวัดพระเชตวันกับบริวารของท่านอีก500รูป เหล่าภิกษุมากมายหลายร้อยรูปก็อยากจะตามท่านไปด้วย เพราะเป็นธรรมดาของผู้มีธรรมะมีความรู้ใครๆก็อยากเข้าใกล้ใครๆก็อยากจะไปด้วย เพราะพระสารีบุตรนี้ท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหมดทางด้านมีปัญญามาก เป็นพระธรรมเสนาบดี เป็นเหมือนพี่ชายของพระภิกษุทั้งหลายเป็นต้น ท่านเองคงมีความเห็นว่าภิกษุ500รูปที่เป็นบริวารของท่านก็มากแล้ว
การที่จะพาเอาภิกษุเพิ่มไปอีกคงเป็นการลำบากทั้งในการอยู่ การบำเพ็ญสมณะธรรม และการขบฉัน
จึงได้่เรียกชื่อ โคตร(เหมือนนามสกุลของคนปัจจุบัน)ของภิกษุที่ท่านพอจะรู้จัก
ยกย่องชมเชยแล้วก็บอกให้กลับ แล้วในหมู่ของพระภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุอยู่รูปหนึ่งก็อยากให้ท่านเรียกตัวเองชมเชยแล้วบอกให้กลับเหมือนรูปที่ท่านเอยถึงบ้าง
แต่เนื่องจากว่่า ภิกษุที่จะตามท่านไปนั้นมีเยอะ ท่านก็เรียกชื่อได้ไม่ครบทุกรูป
แล้วภิกษุรูปนี้ท่านไม่ได้เรียก ก็เลยผูกความแค้นพระสารีบุตรไว้ในใจก่อน
แล้วในขณะที่พระสารีบุตรเดินออกไปนั้น บังเอิญว่าชายผ้าสังฆาฏิไปเฉี่ยวโดนภิกษุรูปนี้เข้า โดยที่ท่านไม่ทราบ ภิกษุรูปนี้ก็ผูกใจเจ็บในพระสารีบุตรขึ้นไปอีก พอพระสารีบุตรท่านออกไปพ้นจากวัดแล้ว ภิกษุรูปนี้ก็รีบเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วก็กราบทูลกล่าวหาพระสารีบุตรว่า “พระสารีบุตรตีข้าพองค์เหมือนตบที่กกหูแล้วก็จาริกไปไม่ยอมขอโทษข้าพระองค์ ด้วยคิดว่า ตัวเองเป็นอัครสาวกของพระองค์อีกด้วย
เมื่อเหตุการเป็นเช่นนี้พระศาสดาจะทรงทำเช่นไร
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
อยากแบ่งปันเรื่องในพระไตรปิฎกแบบง่ายๆ
เริ่มโดย Brighten The Mind, Jan 30 2009 05:30 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 30 January 2009 - 05:30 PM
#2
โพสต์เมื่อ 30 January 2009 - 09:01 PM
มาแล้วครับตอนต่อ....
เมื่อจบคำกราบบังคมทูลของภิกษุรูปนั้นแล้ว
พระองค์ก็มิได้ทรงตรัสคัดค้านหรือทรงตำหนิภิษุรูปนั้นแต่อย่างใด
แต่ทรงมีรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งให้ไปตามพระสารีบุตรกลับมา
ในขณะนั้นเองพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย
และพระอานนท์พุทธอนุชาต่างก็คิดกันว่า
“ที่พระศาสดาของเรามีรับสั่งเช่นนั้นนะ
พระองค์ไม่ทรงทราบว่า พระพี่ชายของเราไม่ได้ตีภิกษุนี้ก็หาไม่
แต่พระองค์ทรงปรารถนาจะให้พระพี่ของเราบรรลือสีหนาทในมหาสมาคม
ดังนั้น พวกเราจะให้ประชุมบริษัท ณ บัดนี้”
ทั้งสองรูปก็ได้จัดแจงสถานที่แล้วป่าวประกาศทั่วทั้งวัดพระเชตวันว่า
“พวกท่านทั้งหลายจงรีบออกมาประชุมกันในตอนนี้ พระพี่ชายของพวกเราจะบรรลือสีหนาทต่อหน้าพระพักตร์ของพระศาสดาแล้ว”
เมื่อภิกษุบริษัทประชุมกันพร้อมหน้าแล้ว
พระสารีบุตรก็ได้เข้าไปในท่ามกลางสงฆ์หมู่ใหญ่แล้วถวายบังคมพระพุทธองค์เอกองค์บรมศาสดา
ผู้ประทับนั่งเป็นประธานในหมู่สงฆ์ประดุจเขาสิเนรุที่เป็นประธานแห่งขุนเขาทั้งหลายอันเป็นศูนย์กลางของจักวาลฉะนั้น
พระศาสดาทรงทอดพระเนตรมายังพระเถระแล้วตรัสถามเรื่องราวนั้นกะพระเถระ
ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะดุจท้าวมหาพรหม
พระเถระก็ไม่ได้กราบทูลไปตรงๆว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้ตีภิกษุนั่น” แต่กราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นนาถะของโลก ภิกษุที่กระทบกระทั่งเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในศาสนานี้แล้ว ไม่ยอมให้อภัยไม่ปล่อยวางแล้วหลีกจาริกไป ภิกษุนั้นต้องไม่มีสติอยู่กับตัว(กายคตาสติ)เป็นแน่พระเจ้าข้า”
แล้วยกอุปมาเปรียบเทียบตัวท่านเองว่า เป็นผู้มีจิตเสมอด้วยแผ่นดิน ด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลม ด้วยผ้าขี้ริ้ว ด้วยเด็กจัณฑาลน้อยๆ ด้วยโคเขาขาด และความอึดอัดรังเกียจกายท่านเองเหมือนมีซากศพพันคออยู่
และการระมัดระวังอิริยาบทของท่านเหมือนคนที่ทูลถาดน้ำมันบนหัวแล้วค่อยๆเดินไปฉะนั้น
เมื่อพระเถระยกแต่ละอุปมาขึ้นมากล่าวแผ่นดินก็ได้หวันไหว
แล้ะเมื่อยกอุปมามาถึงว่าท่านเหมือนเด็กจัณฑาลน้อยๆและโคเขาขาด
ภิกษุปุถุชนธรรมดาก็ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ พระขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวช
ส่วนอธิบายข้ออุปมาและเหตุกาลจะเป็นอย่างไรต่อไปคงต้องรอตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนจบแล้วละนะครับ
เนื่องจากว่าผมมีเวลาไม่มากแล้วพิมพ์ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่แต่ใจรักก็ขอให้อดใจรอตอนจบต่อไปนะครับ
เมื่อจบคำกราบบังคมทูลของภิกษุรูปนั้นแล้ว
พระองค์ก็มิได้ทรงตรัสคัดค้านหรือทรงตำหนิภิษุรูปนั้นแต่อย่างใด
แต่ทรงมีรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งให้ไปตามพระสารีบุตรกลับมา
ในขณะนั้นเองพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย
และพระอานนท์พุทธอนุชาต่างก็คิดกันว่า
“ที่พระศาสดาของเรามีรับสั่งเช่นนั้นนะ
พระองค์ไม่ทรงทราบว่า พระพี่ชายของเราไม่ได้ตีภิกษุนี้ก็หาไม่
แต่พระองค์ทรงปรารถนาจะให้พระพี่ของเราบรรลือสีหนาทในมหาสมาคม
ดังนั้น พวกเราจะให้ประชุมบริษัท ณ บัดนี้”
ทั้งสองรูปก็ได้จัดแจงสถานที่แล้วป่าวประกาศทั่วทั้งวัดพระเชตวันว่า
“พวกท่านทั้งหลายจงรีบออกมาประชุมกันในตอนนี้ พระพี่ชายของพวกเราจะบรรลือสีหนาทต่อหน้าพระพักตร์ของพระศาสดาแล้ว”
เมื่อภิกษุบริษัทประชุมกันพร้อมหน้าแล้ว
พระสารีบุตรก็ได้เข้าไปในท่ามกลางสงฆ์หมู่ใหญ่แล้วถวายบังคมพระพุทธองค์เอกองค์บรมศาสดา
ผู้ประทับนั่งเป็นประธานในหมู่สงฆ์ประดุจเขาสิเนรุที่เป็นประธานแห่งขุนเขาทั้งหลายอันเป็นศูนย์กลางของจักวาลฉะนั้น
พระศาสดาทรงทอดพระเนตรมายังพระเถระแล้วตรัสถามเรื่องราวนั้นกะพระเถระ
ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะดุจท้าวมหาพรหม
พระเถระก็ไม่ได้กราบทูลไปตรงๆว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้ตีภิกษุนั่น” แต่กราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นนาถะของโลก ภิกษุที่กระทบกระทั่งเพื่อนพรหมจารีรูปใดรูปหนึ่งในศาสนานี้แล้ว ไม่ยอมให้อภัยไม่ปล่อยวางแล้วหลีกจาริกไป ภิกษุนั้นต้องไม่มีสติอยู่กับตัว(กายคตาสติ)เป็นแน่พระเจ้าข้า”
แล้วยกอุปมาเปรียบเทียบตัวท่านเองว่า เป็นผู้มีจิตเสมอด้วยแผ่นดิน ด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลม ด้วยผ้าขี้ริ้ว ด้วยเด็กจัณฑาลน้อยๆ ด้วยโคเขาขาด และความอึดอัดรังเกียจกายท่านเองเหมือนมีซากศพพันคออยู่
และการระมัดระวังอิริยาบทของท่านเหมือนคนที่ทูลถาดน้ำมันบนหัวแล้วค่อยๆเดินไปฉะนั้น
เมื่อพระเถระยกแต่ละอุปมาขึ้นมากล่าวแผ่นดินก็ได้หวันไหว
แล้ะเมื่อยกอุปมามาถึงว่าท่านเหมือนเด็กจัณฑาลน้อยๆและโคเขาขาด
ภิกษุปุถุชนธรรมดาก็ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ พระขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวช
ส่วนอธิบายข้ออุปมาและเหตุกาลจะเป็นอย่างไรต่อไปคงต้องรอตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนจบแล้วละนะครับ
เนื่องจากว่าผมมีเวลาไม่มากแล้วพิมพ์ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่แต่ใจรักก็ขอให้อดใจรอตอนจบต่อไปนะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 31 January 2009 - 12:16 AM
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่ตั้งใจนำมาลงให้อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ
อนุโมทนาบุญค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 31 January 2009 - 11:25 AM
อนุโมทนาบุญกับการให้ธรรมทานของคุณBrighten The Mind ด้วยนะครับ...สาธุ
#5
โพสต์เมื่อ 31 January 2009 - 12:04 PM
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ
#6
โพสต์เมื่อ 31 January 2009 - 07:30 PM
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 01 February 2009 - 08:22 PM
ขอกราบอนุโมทนาบุญอย่างยิ่งเลยค่ะ
บุญครั้งนี้ ไม่ใช่แต่ธรรมทาน ยังได้วิริยบารมี เมตตาบารมี อีกด้วยค่ะ
รอตอนที่ ตอนจบ อย่างใจจดใจจ่อค่ะ
ปล. ถ้าใจรักน่าลอง ทำ blog นะคะ
สาธู๊
บุญครั้งนี้ ไม่ใช่แต่ธรรมทาน ยังได้วิริยบารมี เมตตาบารมี อีกด้วยค่ะ
รอตอนที่ ตอนจบ อย่างใจจดใจจ่อค่ะ
ปล. ถ้าใจรักน่าลอง ทำ blog นะคะ
สาธู๊
หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#8
โพสต์เมื่อ 02 February 2009 - 02:04 PM
รอ....ออออ
อย่างใจจรด ใจจ่อ.....
อย่างใจจรด ใจจ่อ.....
หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#9
โพสต์เมื่อ 03 February 2009 - 04:33 AM
อนุโมทนา สาธุ
#10
โพสต์เมื่อ 03 February 2009 - 10:05 PM
ขออภัยที่นะครับที่มาต่อตอนจบช้าเพราะเป็นช่วงวันอาทิตย์ต้นเดือนพอดี
เลยไม่ได้เข้ามา ก็ขอเอาบุญอาทิตย์ต้นเดือนและบุญมาฆะประทีปในวันมหาปูชนียาจารย์มาฝากนะครับ
มาต่อกันตอนจบเลยดีกว่าครับ...
ขณะที่พระเถระกำลังกล่าวอยู่นั่นเอง
ภิกษุผู้กล่าวหาท่านก็เกิดความกระสับกระสายเร่าร้อน
เหมือนอย่างกับมีไฟเผาไหม้อยู่ภายในร่างกาย
นั่งอยู่ไม่ติด คิดว่า “เราได้ทำกรรมหนักแล้ว ถ้าเราไม่ขอโทษ
หัวเราต้องแตกเป็น 7 เสี่ยงแน่ๆ”
จึงรีบเข้าไปหมอบแทบพระบาทมูลของพระบรมศาสดา
แล้วประกาศความผิดของตน ที่ได้กล่าวหาพระเถระด้วยเรื่องไม่จริง
ไม่มีเหตุ
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกับพระสารีบุตรด้วยพระสุรเสียงอันประกอบด้วยพระมหากรุณาว่า “สารีบุตร เธอจงให้อภัยบุรุษเปล่านั้นก่อนที่ศีรษะของบุรุษเปล่าจะแตก 7 เสี่ยงเถิด”
สิ้นสุดพระสุรเสียง พระเถระก็ได้่เข้าไปนั่งกระหย่ง ประคองอัญชลี*ต่อหน้า
ภิกษุรูปนั้นแล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ให้อภัยภิกษุรูปนี้ และถ้าข้าพระองค์มีโทษ ก็ขอให้ภิกษุนี้ให้อภัยข้าพพระองค์ด้วย”
เหล่าภิกษุที่อยู่ในมหาสมาคมนั้นพอเห็นเหตุการเช่นนี้ก็พูดคุยกันว่า
“พวกท่านจงดู พระเถระผู้มีคุณไม่ทรามนี้เถิด พระเถระโกรธไม่เคืองภิกษุผู้กล่าวหาท่านด้วยเรื่องไร้สาระไม่จริงนี้แม้สักนิดเดียว
แถมยังนั่งกระหย่งประคองอัญชลีขอโทษต่อหน้าภิกษุนี้อีกต่่างหาก”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สดับเสียงที่ภิกษุทั้งหลายพูดคุยกันจึงได้ตรัสถาม
ถึงเรื่องที่สนทนากัน เมื่อเหล่าภิกษุกล่าบทูลเรื่องที่พูดคุยกันให้ทรงทราบแล้ว
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ไม่มีใครหรอกที่จะสามารถทำให้สารีบุตรผู้เป็นบุตรของเราให้โกรธหรืองขัดเคืองแม้เพียงเล็กน้อย เพราะจิตของบุตรของเรานั้นเป็นดุจแผ่นดินและเสาเขื่อนที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
ขยายความคำเปรียบเทียบนิดนึงนะครับ
ที่พระสารีบุตรบอกว่า ท่านเองเหมือนแผ่นดินก็เพราะว่า
แผ่นดินนั้นไม่ว่าใครจะทิ้งของสกปรกของหอมของเหม็น
หรืออะไรก็ตามแต่ แผ่นดินนั้นก็ไม่เคยบ่นหรือเลือกที่จะรับเลย
ที่ว่าเหมือนน้ำก็เช่นเดียวกัน น้ำย่อมพัดพาเอาทุกสิ่งไปไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่ตกลงไปในน้ำ
ที่ว่าเหมือนลม เพราะลมพัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปไม่เลือก
ที่ว่าเหมือนไฟ เพราะไฟก็เผาทุกสิ่งทุกอย่างที่โยนเข้าไปในกองไฟ
ที่ว่าเหมือนผ้าขี้ริ้ว เพราะผ้าขี้ริ้วนั้นใช้เช็ดทุกอย่างจะสะอาดหรือไม่สะอาดก็ตามแต่เช็ดแล้วสิ่งที่ถูกเช็ดก็จะสะอาด
ที่ว่าเหมือนเด็กจัณฑาลน้อย เพราะในประเทศอินเดียนั้นเขานับถือกันแบบแบ่งชนชั้นวรรณะซึ่งก็มีอยู่ด้วยกัน 4 วรรณะคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์(นักธุรกิจ,พ่อค้าแม่ขาย) ศูตร(ชนชั้นแรงงาน) แต่ถ้าวรรณะใดมีบุตรข้ามวรรณะกันเช่น กษัตริย์มีบุตรกับศูตร บุตรที่เกิดมานั้นจะเรียกว่าเป็นจัณฑาล เค้าว่าเป็นคนกาลกิณี ไม่มีใครคบด้วยสังคมก็รังเกียจต้องเที่ยวขอทานคนอื่นเค้ากิน นี่ก็เช่นเดียวกันท่านเปรียบตัวท่านเหมือนเด็กจัณฑาลที่ถือเศษกระเบื้องเข้าเมืองไปขอทานต้องเจียมเนื้อเจียมตัว
ไม่มีความอาจหาญ ไม่ยกตัวเป็นต้น
ที่ว่าเหมือนโคเขาขาด เพราะปกติโคมีอาวุธคือเขาทั้งสองข้างเมื่อโคมีเขาก็คือมีอาวุธ ก็จะหยิ่งผยอง ไม่กลัวใคร แต่เมื่อเขาขาดก็เหมือน เสือขาดเขียวเล็บ ค่อยๆเดินไปไม่เกะกะระรานเพราะตนเองหมดพิษสงใดๆ
อุปมาที่ว่าเหมือนมีซากศพพันคอ ก็คือท่านเปรียบเทียบว่าเหมือนกับหนุ่มสาวที่ชอบแต่งตัวรักสวยรักงาม แล้วมีคนเอาซากศพซากสัตว์เอามาพันคอก็รังเกียจ ท่านเองก็รังเกียจร่างกายที่เปื่อยเน่านี้ที่มีสิ่งสกปรกไหลออกทางทวารทั้ง 9 ตลอดเวลา พิจารณาร่างกายโดยความไม่สะอาดอยู่เสมอ
อุปมาที่เหมือนคนทูนถาดน้ำมัน ก็คือเวลาคนทูนถาดน้ำมันไว้บนหัวก็ต้องค่อยๆเดินไปอย่างระมัดระวัง ถ้าเดินเร็ว หรือวิ่งน้ำมันก็จะหก ท่านเองก็รักษาระมัดระวังอิริยาบทอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
*วิธีทำความเคารพแบบหนึ่งของคนอินเดียคือการนั่งคล้ายๆนั่งยองๆแต่จะไม่นั่งทิ้งก้นลงไป ขาท่อนบนจะขนานกับพื้นและการประคองอัญชลีก็คือการยืนแขนท่อนล่างออกไปข้างหน้าประมาณ 45 องศาแล้วหงายฝ่ามือทั้งสองขึ้น
เป็นอย่างไรบ้างครับเรื่องที่นำมานี้พอผมอ่านแล้วรู้สึกซึ้งมากเลย
นี่ขนาดพระสารีบุตรท่านมีคุณธรรมมากขนาดนี้ แต่ท่านไม่เคยลำพอง
ไม่ถือตัว แต่กลับทำตัวติดดินมากๆนี่ละครับคนที่มีคุณธรรมดีจริงก็จะไม่โอ้อวดตน ไม่ขี้โม้ ขี้คุย แถมยังยอมขอโทษทั้งทั้งที่จริงระดับท่านแล้วไม่จำเป็นเลย
ทำให้นึกถึงคุยยายอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติตัวธรรมดามากยกมือไหว้ทุกคนก่อน ไม่เคยโกรธถือโทษใครๆ ใครจะว่าอะไรยายก็นิ่ง เหมือนที่ท่านเคยเล่า ตัดเฉพาะตอนประโยคเด็ดนะครับ “เขามีหน้าที่ด่าเขาก็ด่าไป ยายจะนั่งเข้าที่” แล้วยายก็นั่งสมาธิฟังเค้าไม่ว่าไม่โต้ตอบไม่ด่ากลับ ดูสิครับนี่แหละคุณธรรมของผู้ที่เราเคารพนับถือบูชา แค่หยาบๆก็เยี่ยมขนาดนี้แล้ว แล้วจะให้ไปหาครูบาอาจารย์อย่างนี้ได้จากที่ไหนอีก นึกแล้วก็ดีใจ และภูมิใจที่ได้เกิดมาเจอท่าน เจอคำสอนของท่าน และได้มีท่านเป็น
มหาปูชนียาจารย์
สำหรับเรื่องพระสารีบุตรก็จบบริบูรณ์แล้ว
ขออานุภาพบุญที่เกิดจากธรรมทานในครั้งนี้
จะมากหรือจะน้อยก็ตามที่ขอน้อมถวายบุญนี้แด่มหาปูชนียาจารย์
และบุพพการีทุกท่าน
และขอบุญมีจงมีถึงทุกท่านด้วยนะครับ
หวังว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย
ขอบคุณครับ
เลยไม่ได้เข้ามา ก็ขอเอาบุญอาทิตย์ต้นเดือนและบุญมาฆะประทีปในวันมหาปูชนียาจารย์มาฝากนะครับ
มาต่อกันตอนจบเลยดีกว่าครับ...
ขณะที่พระเถระกำลังกล่าวอยู่นั่นเอง
ภิกษุผู้กล่าวหาท่านก็เกิดความกระสับกระสายเร่าร้อน
เหมือนอย่างกับมีไฟเผาไหม้อยู่ภายในร่างกาย
นั่งอยู่ไม่ติด คิดว่า “เราได้ทำกรรมหนักแล้ว ถ้าเราไม่ขอโทษ
หัวเราต้องแตกเป็น 7 เสี่ยงแน่ๆ”
จึงรีบเข้าไปหมอบแทบพระบาทมูลของพระบรมศาสดา
แล้วประกาศความผิดของตน ที่ได้กล่าวหาพระเถระด้วยเรื่องไม่จริง
ไม่มีเหตุ
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกับพระสารีบุตรด้วยพระสุรเสียงอันประกอบด้วยพระมหากรุณาว่า “สารีบุตร เธอจงให้อภัยบุรุษเปล่านั้นก่อนที่ศีรษะของบุรุษเปล่าจะแตก 7 เสี่ยงเถิด”
สิ้นสุดพระสุรเสียง พระเถระก็ได้่เข้าไปนั่งกระหย่ง ประคองอัญชลี*ต่อหน้า
ภิกษุรูปนั้นแล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ให้อภัยภิกษุรูปนี้ และถ้าข้าพระองค์มีโทษ ก็ขอให้ภิกษุนี้ให้อภัยข้าพพระองค์ด้วย”
เหล่าภิกษุที่อยู่ในมหาสมาคมนั้นพอเห็นเหตุการเช่นนี้ก็พูดคุยกันว่า
“พวกท่านจงดู พระเถระผู้มีคุณไม่ทรามนี้เถิด พระเถระโกรธไม่เคืองภิกษุผู้กล่าวหาท่านด้วยเรื่องไร้สาระไม่จริงนี้แม้สักนิดเดียว
แถมยังนั่งกระหย่งประคองอัญชลีขอโทษต่อหน้าภิกษุนี้อีกต่่างหาก”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สดับเสียงที่ภิกษุทั้งหลายพูดคุยกันจึงได้ตรัสถาม
ถึงเรื่องที่สนทนากัน เมื่อเหล่าภิกษุกล่าบทูลเรื่องที่พูดคุยกันให้ทรงทราบแล้ว
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ไม่มีใครหรอกที่จะสามารถทำให้สารีบุตรผู้เป็นบุตรของเราให้โกรธหรืองขัดเคืองแม้เพียงเล็กน้อย เพราะจิตของบุตรของเรานั้นเป็นดุจแผ่นดินและเสาเขื่อนที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
ขยายความคำเปรียบเทียบนิดนึงนะครับ
ที่พระสารีบุตรบอกว่า ท่านเองเหมือนแผ่นดินก็เพราะว่า
แผ่นดินนั้นไม่ว่าใครจะทิ้งของสกปรกของหอมของเหม็น
หรืออะไรก็ตามแต่ แผ่นดินนั้นก็ไม่เคยบ่นหรือเลือกที่จะรับเลย
ที่ว่าเหมือนน้ำก็เช่นเดียวกัน น้ำย่อมพัดพาเอาทุกสิ่งไปไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่ตกลงไปในน้ำ
ที่ว่าเหมือนลม เพราะลมพัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปไม่เลือก
ที่ว่าเหมือนไฟ เพราะไฟก็เผาทุกสิ่งทุกอย่างที่โยนเข้าไปในกองไฟ
ที่ว่าเหมือนผ้าขี้ริ้ว เพราะผ้าขี้ริ้วนั้นใช้เช็ดทุกอย่างจะสะอาดหรือไม่สะอาดก็ตามแต่เช็ดแล้วสิ่งที่ถูกเช็ดก็จะสะอาด
ที่ว่าเหมือนเด็กจัณฑาลน้อย เพราะในประเทศอินเดียนั้นเขานับถือกันแบบแบ่งชนชั้นวรรณะซึ่งก็มีอยู่ด้วยกัน 4 วรรณะคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์(นักธุรกิจ,พ่อค้าแม่ขาย) ศูตร(ชนชั้นแรงงาน) แต่ถ้าวรรณะใดมีบุตรข้ามวรรณะกันเช่น กษัตริย์มีบุตรกับศูตร บุตรที่เกิดมานั้นจะเรียกว่าเป็นจัณฑาล เค้าว่าเป็นคนกาลกิณี ไม่มีใครคบด้วยสังคมก็รังเกียจต้องเที่ยวขอทานคนอื่นเค้ากิน นี่ก็เช่นเดียวกันท่านเปรียบตัวท่านเหมือนเด็กจัณฑาลที่ถือเศษกระเบื้องเข้าเมืองไปขอทานต้องเจียมเนื้อเจียมตัว
ไม่มีความอาจหาญ ไม่ยกตัวเป็นต้น
ที่ว่าเหมือนโคเขาขาด เพราะปกติโคมีอาวุธคือเขาทั้งสองข้างเมื่อโคมีเขาก็คือมีอาวุธ ก็จะหยิ่งผยอง ไม่กลัวใคร แต่เมื่อเขาขาดก็เหมือน เสือขาดเขียวเล็บ ค่อยๆเดินไปไม่เกะกะระรานเพราะตนเองหมดพิษสงใดๆ
อุปมาที่ว่าเหมือนมีซากศพพันคอ ก็คือท่านเปรียบเทียบว่าเหมือนกับหนุ่มสาวที่ชอบแต่งตัวรักสวยรักงาม แล้วมีคนเอาซากศพซากสัตว์เอามาพันคอก็รังเกียจ ท่านเองก็รังเกียจร่างกายที่เปื่อยเน่านี้ที่มีสิ่งสกปรกไหลออกทางทวารทั้ง 9 ตลอดเวลา พิจารณาร่างกายโดยความไม่สะอาดอยู่เสมอ
อุปมาที่เหมือนคนทูนถาดน้ำมัน ก็คือเวลาคนทูนถาดน้ำมันไว้บนหัวก็ต้องค่อยๆเดินไปอย่างระมัดระวัง ถ้าเดินเร็ว หรือวิ่งน้ำมันก็จะหก ท่านเองก็รักษาระมัดระวังอิริยาบทอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
*วิธีทำความเคารพแบบหนึ่งของคนอินเดียคือการนั่งคล้ายๆนั่งยองๆแต่จะไม่นั่งทิ้งก้นลงไป ขาท่อนบนจะขนานกับพื้นและการประคองอัญชลีก็คือการยืนแขนท่อนล่างออกไปข้างหน้าประมาณ 45 องศาแล้วหงายฝ่ามือทั้งสองขึ้น
เป็นอย่างไรบ้างครับเรื่องที่นำมานี้พอผมอ่านแล้วรู้สึกซึ้งมากเลย
นี่ขนาดพระสารีบุตรท่านมีคุณธรรมมากขนาดนี้ แต่ท่านไม่เคยลำพอง
ไม่ถือตัว แต่กลับทำตัวติดดินมากๆนี่ละครับคนที่มีคุณธรรมดีจริงก็จะไม่โอ้อวดตน ไม่ขี้โม้ ขี้คุย แถมยังยอมขอโทษทั้งทั้งที่จริงระดับท่านแล้วไม่จำเป็นเลย
ทำให้นึกถึงคุยยายอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติตัวธรรมดามากยกมือไหว้ทุกคนก่อน ไม่เคยโกรธถือโทษใครๆ ใครจะว่าอะไรยายก็นิ่ง เหมือนที่ท่านเคยเล่า ตัดเฉพาะตอนประโยคเด็ดนะครับ “เขามีหน้าที่ด่าเขาก็ด่าไป ยายจะนั่งเข้าที่” แล้วยายก็นั่งสมาธิฟังเค้าไม่ว่าไม่โต้ตอบไม่ด่ากลับ ดูสิครับนี่แหละคุณธรรมของผู้ที่เราเคารพนับถือบูชา แค่หยาบๆก็เยี่ยมขนาดนี้แล้ว แล้วจะให้ไปหาครูบาอาจารย์อย่างนี้ได้จากที่ไหนอีก นึกแล้วก็ดีใจ และภูมิใจที่ได้เกิดมาเจอท่าน เจอคำสอนของท่าน และได้มีท่านเป็น
มหาปูชนียาจารย์
สำหรับเรื่องพระสารีบุตรก็จบบริบูรณ์แล้ว
ขออานุภาพบุญที่เกิดจากธรรมทานในครั้งนี้
จะมากหรือจะน้อยก็ตามที่ขอน้อมถวายบุญนี้แด่มหาปูชนียาจารย์
และบุพพการีทุกท่าน
และขอบุญมีจงมีถึงทุกท่านด้วยนะครับ
หวังว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย
ขอบคุณครับ
#11
โพสต์เมื่อ 04 February 2009 - 02:11 PM
สาธู๊............................................................ธู๊
แม้ครั้งที่ 1
สาธู๊............................................................ธู๊
แม้ครั้งที่2
สาธู๊............................................................ธู๊
แม้ครั้งที่ 3
sawasdee005.jpg 26.48K 68 ดาวน์โหลด
แม้ครั้งที่ 1
สาธู๊............................................................ธู๊
แม้ครั้งที่2
สาธู๊............................................................ธู๊
แม้ครั้งที่ 3
sawasdee005.jpg 26.48K 68 ดาวน์โหลด
หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ