ขอความรู้หน่อยครับ
#1
โพสต์เมื่อ 29 June 2009 - 08:28 PM
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#2
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 04:40 AM
http://main.dou.us/subject_desc.php
http://main.dou.us/v...ent.php?s_id=64 บทที่ 5 ความเสื่อมของจักรวาล
เนื้อหาบทที่ 5 ความเสื่อมของจักรวาล
5.1 โลกเสื่อมตั้งแต่เริ่มต้น
5.2 ลำดับเหตุการณ์ของความเสื่อม
5.3 ความเสื่อมเริ่มจากผู้ปกครอง
5.4 ความเสื่อมปรากฏในสังคมมนุษย์
5.5 ความเสื่อมขั้นวิกฤติ
5.6 สาเหตุแห่งความเสื่อมของมนุษย์
5.7 วิธีปกป้องโลกและทำให้โลกเจริญขึ้น
5.8 ประโยชน์ของการเข้าใจเรื่องความเจริญและความเสื่อมของมนุษย์
ยืนยันตัวจริงเสียงจริงเจ้าของกรณีศึกษากฎแห่งกรรม
http://video.dmc.tv/programs/life_in_samsara/page5.html
หนังสือเรียนธรรมะ DOU http://book.dou.us/d...ya-book-gl.html
GL 101 จักรวาลวิทยา http://book.dou.us/gl101.html
GL 102 ปรโลกวิทยา http://book.dou.us/gl102.html
GL 203 กฎแห่งกรรม http://book.dou.us/gl203.html
GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์ http://book.dou.us/gl305.html
#3
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 04:46 AM
http://www.84000.org...k/nana.php?q=29
นานาปัญหา
โดย คณะสหายธรรม
๒๙. เหตุใดโลกทุกวันนี้จึงรุ่มร้อน
ถาม เพราะเหตุใดโลกทุกวันนี้จึงรุ่มร้อน มีแต่จะแก่งแย่งชิงดีกัน รบราฆ่าฟันกันตลอดเวลา แม้ธรรมชาติก็พลอยเป็นใจ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือเวลาตกก็ตกเสียจนเกินพอดีจนน้ำท่วมเป็นต้น ผู้คนล้มตายกันทีละมากๆ ด้วยภัยนานาประการ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ตอบ ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อใดที่คนในโลกเป็นคนมีศีลธรรม โลกนี้ก็สงบร่มเย็นเป็นสุข แม้ธรรมชาติก็อำนวยแต่ประโยชน์สุขทุกอย่าง แต่เมื่อใดที่คนในโลกมีอกุศลหนาแน่น เมื่อนั้นโลกนี้ก็จะร้อนเป็นไฟด้วยอำนาจของอกุศล ทำให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันทั่วไป และเมื่อถึงกลียุค คนก็จะเห็นกันว่าเป็นสัตว์ ไม่คำนึงว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติมิตร จะจับอาวุธเข้าฆ่าฟันกัน
ดังที่ผู้ใหญ่ท่านเรียกว่าเป็นแดนมิคสัญญี ปัจจุบันนี้ก็เริ่มๆ จะใกล้ยุคนั้นเข้ามาแล้ว เพราะดูผู้คนโหด####มผิดปกติ แม้แม่ก็ฆ่าลูกได้ง่ายๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องของกิเลสอกุศลไปได้ เพราะยิ่งกิเลสหนาแน่นเท่าไร ผู้คนก็ขาดศีลธรรมมากขึ้นเท่านั้น เมื่อผู้ใดไม่มีศีลธรรม สิ่งร้ายๆ ทั้งหลายก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แม้ธรรมชาติก็พลอยซ้ำเติมให้ทุกข์ยากลำบากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะอกุศลวิบากของคนเหล่านั้น จึงทำให้ได้รับแต่สิ่งที่ไม่เจริญใจ จะนับว่าเป็นกาลวิบัติก็เห็นจะไม่ผิด เพราะทุกอย่างแทบจะวิบัติไปหมดสิ้น
สรุปว่า ไม่ว่าคนหรือธรรมชาติที่ผิดปกติอยู่ทุกวันนี้ เพราะผู้คนในปัจจุบันส่วนใหญ่มีอกุศลหนาแน่นนั่นเอง
________________________________________
ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
จักกวัตติสูตร
http://www.84000.org...B...9&Z=1702#47
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
มหาสุบินชาดก ว่าด้วยมหาสุบิน
http://www.84000.org...B...A=502&Z=509
อรรถกถามหาสุบินชาดก
http://84000.org/tip...ka.php?i=270077
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
ปโลภสูตร
http://www.84000.org...B...4194&Z=4226
ยืนยันตัวจริงเสียงจริงเจ้าของกรณีศึกษากฎแห่งกรรม
http://video.dmc.tv/programs/life_in_samsara/page5.html
หนังสือเรียนธรรมะ DOU http://book.dou.us/d...ya-book-gl.html
GL 101 จักรวาลวิทยา http://book.dou.us/gl101.html
GL 102 ปรโลกวิทยา http://book.dou.us/gl102.html
GL 203 กฎแห่งกรรม http://book.dou.us/gl203.html
GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์ http://book.dou.us/gl305.html
#4
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 04:52 AM
พระสูตรแรก ชื่อ อัคคัญญสูตร ว่าด้วยเรื่องกำเนิดของโลก กำเนิดของมนุษย์
และ พระสูตรที่ 2 ชื่อเรื่อง สุริยสูตร ว่าด้วยเรื่องในอนาคตดวงอาทิตย์จะขึ้นครบ ๗ ดวง และความพินาศของโลก
ทีนี้ พระสูตรทั้งสองอยู่เล่มไหน? อยากให้ลองเปิดพระไตรปิฏกฉบับเล่มหรือฉบับคอมพิวเตอร์หาดูและศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง ลองค้นคว้าเอาเองก่อนหรือหากไม่เข้าใจลองสอบถามผู้รู้ ผู้ชำนาญการ เพิ่มเติมจะดีมากๆ นะครับ หรือง่ายๆที่สุดเท่าที่ยุคสมัยนี้มีก็คือ เข้าเวบอากู๋ หรือ Mr.Google หรือwww.google.com ครับ
อย่างไรก็ตาม ขอนำบทย่อความจากพระสูตรแรก คือ อัคคัญสูตร มาเล่าให้ฟังก่อน เป็นการย่อความเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาง่ายๆ ก่อนไปอ่านพระสูตรฉบับจริงที่มีภาษาที่ต้องแปลความบ้างนิดหน่อย เพราะท่านแปลมาจากภาษาบาลี แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า ควรไปอ่านฉบับจริงด้วย บทย่อความพระสูตรอันนี้ผมได้มาจากเวบอากู๋เช่นกัน ส่วนสุริยสูตรนั้น ลองไปค้นคว้าเอานะครับ
พระพุทธเจ้าได้สนทนากับสองพราหมณ์ที่เป็นสามเณร ชื่อวาเสฏฐะกับภารทวาชะเพื่อเตรียมตัวจะบวชเป็นภิกษุเกี่ยวกับวรรณะพราหมณ์ ที่สามเณรทั้งสองถือกำเนิดมา และถูกพวกพราหมณ์ด้วยกันกล่าวประณามเพราะถือว่ามีวรรณะสูงกว่าวรรณะอื่นด้วย เกิดจากอวัยวะเบื้องบนของพระพรหม ส่วนวรรณะอื่นเกิดจากส่วนเบื้องต่ำของพระพรหม พระพุทธองค์ทรงสอนสามเณรทั้งสองว่า คำกล่าวอ้างของพวกพราหมณ์ดังกล่าวนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างไร คนทุกวรรณะเกิดมาโดยอาศัยพ่อแม่ของตน พวกพราหมณ์ก็อาศัยพ่อแม่ในวรรณะของตนเป็นผู้ให้กำเนิด โดยผ่านกระบวนการตั้งครรภ์แล้วจึงคลอดลูกตามลำดับ และเมื่อคลอดลูกแล้วก็ต้องเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จึงเป็นเรื่องเท็จที่อ้างว่า พวกพราหมณ์เกิดจากพระพรหมและตรัสสรุปว่า ท่านทั้งหลายมาบวช จากโคตร จากสกุลต่างๆ เมื่อมีผู้ถามว่าเป็นใครก็จงกล่าวตอบว่า เป็นสมณะศากยบุตร ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตรเกิดจากอุระเกิดจากพระโอฐของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นผู้ที่ธรรมเนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม เพราะคำว่าธรรมกาย พรหมกาย ธรรมภูต พรหมภูต เป็นชื่อของพระพุทธองค์ ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
พระ พุทธองค์ได้ตรัสเรื่องการอุบัติขึ้นมาของสรรพสิ่งในโลก และวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์และสังคม ว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว โลกนี้ได้พินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก และเมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นอาหาร (ยังมีอำนาจฌานอยู่) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ มีสภาพเหมือนเช่นในชั้นอาภัสสรพรหม ในขณะที่โลกวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ๆนั้น จักรวาลทั้งจักรวาล มีแต่น้ำ มีแต่ความมืด ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มีดาวนักษัตรทุกชนิด ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่ปรากฏเวลาเป็นเดือน เป็นปี มนุษย์ที่จุติจากอาภัสสรพรหม อาศัยอยู่ในโลกตอนนั้น ไม่ปรากฏเพศชาย และเพศหญิง แต่ก็รู้ตัวว่าเป็นสัตว์มนุษย์
เมื่อเวลาผ่านพ้นนานไป จึงเกิดมีง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ง้วนดินนั้นมีลักษณะเหมือนนมสดที่เคี่ยวให้งวด มีกลิ่น รส สี คล้ายเนยใสมีรสดุจน้ำผึ้ง สัตว์พวกนี้จึงลองชิมดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เมื่อแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์พระอาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดูและปี เมื่อกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นผู้อื่นเรื่องผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็พากันบ่นเสียดาย
แล้ว ก็เกิดกระบิดินที่คล้ายเห็ดสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรสขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏชัดขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น กระบิดินก็หายไป จึงเกิดเครือดินคล้ายผลมะพร้าวสมบูรณ์ด้วย สี กลิ่น รสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น
เครือดินก็หายไป เกิดข้าวสาลีไม่มีเปลือก มีกลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสุกขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็นเช้าก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก เก็บเช้าเย็นก็สุกแทนที่ขึ้นมาอีก ไม่มีพร่อง ความหยาบกระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏมากขึ้น จึงปรากฏเพศหญิงและเพศชาย เมื่อต่างเพศเพ่งกันและกันก็เกิดความกำหนัดเร่าร้อน เกิดเพศสัมพันธ์กันขึ้น การร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ จึงพากันเอาสิ่งของขว้างปา เพราะในสมัยนั้นถือว่าเป็นอธรรม เมื่ออยากเสพต้องไปกระทำนอกชุมชน เช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง
ต่อ มาจึงรู้จักสร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเร้น ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนำข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นำมาตอนเย็นเพื่ออาหารเย็น จึงนำมาครั้งเดียวให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น ต่อมาก็นำมาครั้งเดียวให้พอสำหรับ ๒ วัน ๔ วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสาลี ที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน มีการขาดแคลนเป็นตอนๆ ตั้งแต่นั้นมา ข้าวสาลีจึงมีเฉพาะเป็นบางแห่ง
สัตว์ มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันปรารภความเสื่อมลงโดยลำดับ แล้วมีการแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน ต่อมาบางคนรักษาส่วนตน ขโมยของคนอื่นมาบริโภค เมื่อถูกจับได้ ก็เพียงแต่สั่งสอนกันไม่ให้ทำอีก เขาก็รับคำ ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงครั้งที่ ๓ ก็สั่งสอนเช่นเดิมอีก แต่บางคนก็ลงโทษ ตบด้วยมือ ขว้างด้วยก้อนดิน ตีด้วยไม้
ต่อมาสัตว์ ระดับผู้ใหญ่จึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การติเตียน การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งตั้งสัตว์ผู้หนึ่งขึ้นให้ทำหน้าที่ติผู้ที่ควรติ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ โดยพวกที่เหลือจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงาม น่าเลื่อมใส น่าเกรงขาม แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองคนติและขับไล่คนที่ทำผิด คำว่า มหาชนสมมติ (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้ใหญ่ยิ่งแห่งเขต) ราชา (ยังชนอื่นให้สุขใจโดยธรรม) กษัตริย์จึงเกิดขึ้น ซึ่งมาจากสัตว์พวกเดียวกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่โดยอธรรม ธรรมะจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ต่อ มามีสัตว์บางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่ว ที่เป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้ลอยบาป) สร้างกุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ (ผู้เพ่ง) สัตว์บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้านรอบนิคม แต่งคัมภีร์ จึงถูกเรียกว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่ง) การทรงจำ การสอน การบอกมนต์ เกิดจากการไม่เพ่ง เดิมมีความหมายเลว แต่บัดนี้มีความหมายทางดี
ยังมีสัตว์บางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม ประกอบการงานเป็นแผนกๆ จึงมีชื่อว่า เวสสะ (ประกอบการค้า) และยังมีสัตว์บางกลุ่ม ประกอบการล่าสัตว์ อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีพ จึงมีชื่อว่าศูทร
ครั้นแล้วตรัสสรุปว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากสัตว์พวกนั้น มิใช่เกิดจากสัตว์พวกอื่น เกิดจากสัตว์ที่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่อธรรม แล้วตรัสต่อไปว่า มีสมัยซึ่งบุคคลในพวกทั้ง ๔ มีกษัตริย์เป็นต้น ไม่พอใจธรรมะของตนออกบวช ไม่ครองเรือน จึงเกิด สมณมณฑล ซึ่งมาจากพวกสัตว์ทั้ง ๔ กลุ่มนั่นเอง จะแตกต่างกันเพราะธรรม
ครั้นแล้วสรุปว่า ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และสมณะ ถ้าประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นผิด ประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นผิด เมื่อตายไปก็จะเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เหมือนกัน ถ้าตรงกันข้าม คือ ประพฤติสุจริต ทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นชอบ ประกอบกรรมซึ่งเกดจากความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็จะเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ เหมือนกัน หรือถ้าทำทั้งสองอย่าง ก็จะได้รับทั้งสุขทั้งทุกข์เหมือนกัน ถ้าทั้ง ๔ พวกนี้สำรวม กาย วาจา ใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๗ ก็จะปรินิพพานได้ในปัจจุบันเหมือนกัน และวรรณะทั้ง ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว หมดกิจ ปลงภาระ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นก็นับว่าเป็นยอดแห่งวรรณะเหล่านั้นโดยธรรมมิใช่โดยอธรรม เพราะธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ใน ที่สุดตรัสย้ำถึงภาษิตของ สนังกุมารพรหมและของพระองค์ ที่ตรงกันว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้ถือโคตร แต่ผู้ใดมีวิชาและจรณะ (ความรู้และความประพฤติ) ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในเทวดาและมนุษย์ ฯ
อย่างไรก็ดี ถ้าต้องการความชัดเจนเพิ่มเติม คงต้องรอผู้รู้มาขยายความหรือเสริมเพิมเติมด้วยนะครับ เพราะผมช่วงนี้เหินห่างพระไตรปิฏกมานานพอสมควรแล้ว คงให้คำตอบและช่วยเหลือได้เพียงเท่านี้ก่อน .
#5
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 07:39 AM
#6
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 08:34 AM
#7
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 09:50 AM
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#8
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 09:59 AM
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#9
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 10:08 AM
ปัพพตสูตร ว่าด้วยเรื่องกัป
สาสปสูตร ว่าด้วยเรื่องกัป
สาวกสูตร ว่าด้วยการอุปมากัป
คงคาสูตร ว่าด้วยการอุปมากัป
หรือลองอ่านในภาคขยายความหรืออรรถกถาในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 626 ได้ขยายความไว้ด้วยครับ ลองหาอ่านดูได้
#10
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 10:23 AM
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#11
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 11:59 AM
#12
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 12:53 PM
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย
#13
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 04:28 PM
#14
โพสต์เมื่อ 30 June 2009 - 06:06 PM