ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พระในบ้าน 3


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
ไม่มีการตอบกลับในกระทู้นี้

#1 Thaikeramos

Thaikeramos
  • Members
  • 12 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 August 2009 - 12:36 PM

อาจารย์ คือ ผู้ดูแลเรื่องจริยามารยาท ความประพฤติและการกระทำของศิษย์ พร้อมทั้งเป็นผู้คอยแนะนำชี้แจงศิษย์ให้รู้จักโลก มีหูตากว้างไกล และประสิทธิ์ประสาท ความรู้ความชำนาญ ให้เครื่องมือพร้อมมูลเพื่อศิษย์จะได้นำไปต่อสู้เผชิญชีวิตในโลกกว้างให้ทัดเทียมคนอื่น บางครั้งเราเรียก “อาจารย์” ว่า “ครู” หรือเรียกรวมกันว่า “ครูอาจารย์” ก็มีจะเรียกอย่างไรก็หมายถึง ผู้ให้ความรู้ ดูแลมารยาททั้งสิ้น หากคนเราปราศจากครูอาจารย์ “ศิษย์ไม่มีครู” แล้วอย่าหวังเลยว่าจะมีความก้าวหน้าในชีวิตได้ คนเราจึงต้องมีครูอาจารย์คอยให้แบบอย่างไว้สำหรับเลียนหรือลอกแม้จะเพียงชั่วครั้งคราวหรือเป็นอาจารย์ประจำก็ตาม ดังนั้นคนเราจึงมีครูอาจารย์กันมากมายหลายคนหลายสำนัก ในจำนวนนั้นพ่อแม่ก็ติดอันดับว่าเป็น “ครู” เป็น “อาจารย์” ด้วย และเป็นครูอาจารย์ที่อยู่ในอันดับหนึ่งชั้นแนวหน้ากว่าอาจารย์ทั้งหมด ทั้งดูเหมือนว่าจะสำคัญกว่า ครูอาจารยือื่นใดขนาดพอจะยกเรียกว่าเป็น “พระครู” หรือ “พระอาจารย์” ได้โดยไม่กระดากปาก และท่านเป็นครูอาจารย์ตลอดชีพ ศิษย์ของพระครูพระอาจารย์หรือพ่อแม่นั้นก็คือ เราท่านผู้เป็นลูกนั่นเอง หรือพ่อแม่นั้นจัดเป็นครูที่ยอดเยี่ยมกว่าใครหมด ถึงขั้นเป็น “พ่อคร” และ “แม่ครู” นั่นเชียว เพราะครูธรรมดาก็สอนกันแค่วิชาการในหลักสูตรเป็นพื้น แต่พ่อแม่ท่านสอนเราทั้งในหลักสูตรและนอกหลักสูตร สอนทั้งในแง่ของทฤษฎีและภาคปฏิบัติในชีวิตจริง ทั้งสอนโดยไม่ต้องมีตารางสอน ไม่มีเวลาจำกัดว่าต้องสอนตามชั่วโมงนั้นชั่วโมงนี้เหมือนครูทั่วไป เราต้องยอมรับความจริงกันว่าเวลาเราเกิดใหม่ๆ นั้นเราอาศัยตัวเองหรือพึ่งตัวเองไม่ได้เลย โลกนี้ช่างมืดมนเสียเหลือกัน สำหรับเราไม่รู้ว่าอะไรทั้งสิ้น เข้าทำนองที่ว่า “ไม่รู้เดียงสา” นั่นแหละ ต่อมาเราจึงค่อยรู้อะไรต่อมิอะไร รู้จักโลกดีขึ้นทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งกว้างไกลออกไปจากตัวเองเรื่อยๆ “ความรู้เดียงสา” ค่อยๆ มาหาเราตามลำดับๆ ความรู้เดียงสานั้น พ่อแม่ท่านให้เรา เรารับมาจากพ่อแม่เป็นอันดับแรก พ่อแม่สอนเรามาทุกอย่างตั้งแต่เริ่มจำความได้ สอนตั้งแต่เรื่องกิน เรื่องนอน เดิน นั่ง การขับถ่าย การใช้ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ไปจนกระทั่งเรื่องสูงสุด คื อ การควรทำควรเว้น เรียกว่า ท่านสอนให้เราจนกระทั่งเราสามารถพึ่งตัวเองได้จนกระทั่งเรามีความรู้ทันโลกและทันคน ความจริง การสอนคนนี่มิใช่จะเป็นเรื่องง่ายๆ หากไม่รักจริง หรือไม่เมตตากันจริงๆ แล้ว ก็ไม่อยากจะสอนกันให้เมื่อยปาก ยิ่งพ่อแม่ด้วยแล้วดูเหมือนว่าท่านจะไม่เคยเบื่อหน่ายต่อการอบรมสั่งสอนลูกของตนเลยทั้งๆ ที่ต้องปากเปียก อยู่ทุกวันนี่แหละทั้งนี้ มิใช่เพราะหน้าที่เท่านั้น หากท่านทำด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตาด้วยความรักความเอ็นดู ต้องการให้ลูกทุกคนเป็นคนดี ทำดี หนีชั่ว พาตัวให้รอดพ้นความลำบากนานนัปการได้ในอนาคต หากพ่อแม่ไม่เอาใจใส่ในเรื่องสั่งสอนอบรมเสียอย่างเดียวลูกๆ ก็ควจะไม่เห็น ทางเดินที่ถูกที่ควรแน่ หากลูกเลือกทางเดินเองจะเป็นเช่รไร ลองนึกวาดภาพ หรือมองดูคนที่เขาขาดพ่อขาดแม่ หรือไม่พ่อแม่ไม่ค่อเอาใจใส่ดูก้ได้จะเห็นภาพเด็กเกเร เหลือขอ ไม่มีการสึกษาด้อยทั้งความคิด ด้วอยทั้งปัญญา มีแต่จะก่อปัญหาใหแก่สังคมท่าเดียวท้ายสุดอนาคตก็จะฝากไว้กับสิ่งเสพติดสารพัดชนิดบรรดามี เช่น สุรา บุหรี่ ฝิ่น เฮโรอีน เป็นต้น ซึ่งบั้นปลายของชีวิตถ้าไม่จบลงด้วยคุรกตะรางก็จบลงด้วย ถูกฆ่าหรือไม่งั้นตายทั้งเป็นด้วยความทรมารเพราะฤทธิ์สิ่งเสพติดเหล่านั้น ขึ้นชื่อว่าพ่อแม่ย่อมมองเห็นลูกเป็นเด็กอยู่ร่ำไปในสายตา แม้ว่า ลูกจะโตถึงมีเหย้ามีเรือนเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้วหรือมียศมีศักดิ์ มีหน้าตาในสังคมไปแล้วก็ตามที หรือบางทีลูกเป็นครูบาอาจารย์ของคนทั่วเมืองเสียด้วยซ้ำ พ่อแม่ก็ยังเตือนอบรมลูกอยู่นั่นแล้ว ระวังเนื้อระวังตัวนะลูกนะ ลูกเป็นเจ้าคนนายคนแล้วสิ่งนั้นสิ่งนี้ อย่าทำนะ ลูกนะ สารพัดที่พ่อแม่จะสรรหามาอบรมลูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า พ่อแม่ไม่คำนึงหรอกว่าลูกจะโตใหญ่สักปานใด ท่านคิดแต่เพียงว่า เป็นลูกของท่าน ท่านก็ยังห่วงใยอยู่วันยังค่ำ และตั้งตัวเป็นพระอาจารย์ของลูกอยู่ร่ำไป คำสอนของพ่อแม่นั้นย่อมมีค่าอยู่เสมอ แม้ว่าคำสอนบางคำบางสอนจะออกมาปะปนกับถ้อยคำที่ฟังดูหยาบคายและภายใต้สีหน้าอันบึ้งตึง ก็ยงจัดเป็นคำสอนอันประเสริฐอยู่นั่นเอง เพราะว่าคำสอนนั้นกลั่นออกมาจากน้ำใจอันประเสริฐบริสุทธิ์ต่อลูกของท่าน กลั่นมาจากความรักความปรารถนาดีที่จะเห็นลูกเป็นคนดีต่อไปในอนาคต กลั่นมาจากความห่วงใยในลูกของตนคำพูดที่หยาบคายหรือสีหน้าอันบึ้งตึงนันเป็นส่วนประกอบต่างหากเป็นเปลือกนอกที่จะถือเอาเป็นอารมณ์ไม่ได้ หากจะพูดอย่างยุติธรรมแล้ว เราผู้เป็นลูกนั่นแหละมีส่วนทำให้ท่านต้องพูด หรือแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมาลองใคร่ครวญกันดูเถิด ลูกที่มีพ่อแม่คอยอบรมตักเตือนอยู่เสมอนั้นนับเป็นบุญอย่างล้นเหลืออยู่แล้ว ต่อไปภายหน้าจะเอาตัวรอดได้เสมอ หากสิ้นพ่อแม่เสียแล้ว อย่าหวังเลยว่าใครอื่นเขาจะคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นกระจกเงาหรือเป็นผู้คอยจ้ำจี้จ้ำใชบอกทางเดินให้เราด้วยความรักอย่างบริสุทธิ์ เหมือนพ่อเหมือนแม่ ดังนั้น แม้ว่าคำสอนของท่านจะรุนแรงไปบ้างก็น่าที่จะได้จดได้จำไว้ น้อมรับฟังด้วยความเต็มใจ เท่ากับว่าพ่อแม่ได้ฝากขุมทรัพย์อันมหาศาลที่จะกินที่จะใช้ไม่มีวันหมดดีกว่าท่านมอบมรดกเป็นเงินเป็นทองให้เสียอีก เพราะสิ่งนั้นอาจหมดไปเมื่อไรก็ได้ ส่วนคำสอนนั้นย่อมมีประโยชน์ใช้ได้ไม่มีวันหมด อย่างน้อยก็นไปอบรมลูกหลานของตัวต่อไปได้ มีพ่อแม่ไม่น้อยเหมือนกัน ไม่รู้จะอบรมลูกของตนให้ดีได้อย่างไรมันจะแต้มจนปัญญาที่จะหาคำสอนมาว่ากล่วแนะนำลูกได้ ทั้งนี้เพราะตอนตัวเป็นเด็กเป็นลูกของพ่อแม่นั้นไม่เคยได้รับการอบรมมาก่อน หรือได้รับการอบรมมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยสนใจที่จะฟัง ไม่เคยสนใจที่จะจดจำรับรู้ พอถึงคราวที่จะอบรมลูกบ้างก็เลยจนแต้ม อึดอัดใจด้วยว่าไม่ถูก บอกไม่ได้หนักเข้าก็เลยปล่อยลูกไปตามเรื่องตามราว ยกให้เรื่องของเวรของกรรมไป เลยเป็นกรรมของลูกไปเสียจริงๆ ลูกศิษย์กับพระอาจารย์ พ่อแม่มีสถานะเป็นพระอาจารย์ของลูก ลูกอยู่ในฐานะเป็นทั้งลูกเป็นทั้งศิษย์ ซึ่งรวมเรียกว่า “ลูกศิษย์” หรือเป็นศิษย์ในฐานะเป็นลูกอย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์คู่นี้จึงมีอย่างแน่นแฟ้น ล้ำลึกและสนิทแน่นกว่าศิษย์อื่นกับอาจารย์ เพราะมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดปนอยู่ด้วย หรือจะพูดอีกทีก็คือมีเลือดอย่างเดียวกันนั่นเอง พ่อแม่นอกจากจะเป็นอาจารย์ประจำบ้าน ประจำชีวิตประจำวันแล้ว พ่อแม่ยังหาพอใจเพียงแค่ให้ลูกรู้จักโลกเท่าที่ตนอบรมสั่งสอนเท่านั้นไม่ยังใจกว้างพอที่จะส่งให้ลูกไปศึกษาหาความรู้ จากอาจารย์อื่นให้อาจารยือื่นช่วยอบรมลูกของตนต่อไปในสิ่งที่ตนไม่อาจจะสอนให้ได้ โดยส่งให้เข้าโรงเรียนจนกว่าจะจบการศึกษาตามหลักสูตร หรือจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนหรือสถาบันนั้นๆ พ่อแม่บางคนให้ลูกเรียนในบ้านในเมืองตนยังไม่พอใจยังยอมให้ลูกไปเรียนต่อถึงเมืองนอก แม้จะรักจะห่วยอย่างไร ก็ยอมให้ลูกไปตัวเองยอมทนนอนคิดถึงลูก รอวันรอคืนที่ลูกจะได้รับความสำเร็จกลับมาให้ชื่นใจ นี่คือน้ำใจ “พระอาจารย์” ของลูกละ การที่เราต้องเข้าศึกษาเล่าเรียนนั้น พ่อแม่ต้องเป็นคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังทำนองเป็น “กองหนุน” ก็ว่าได้ เงินทอง ทุกบาททุกสตางค์ ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม ค่าหนังสือ ค่าเครื่องแต่งตัว ค่าอาหาร ขนม หรือค่าพาหนะเดินทางทุกอย่างเป็นภาะของพ่อแม่ทั้งนั้น และเงินทองเหล่านั้นแหละที่พ่อแม่ต้องอาบหงื่อ ต่างน้ำสู้หน้าดำคร่ำเครียดหามากว่าจะได้มาเป็นค่าอะไรต่อมิอะไรตนนั้น ท่านต้องลำบากไม่น้อยเลย แต่ความลำบากนั้นพ่อแม่ไม่ค่อยได้คำนึงถึงนักหรอกขอเพียงอย่างเดียวคือให้ลูกได้ศึกษา ให้ลูกได้มีวิชาติดตัวก็พอแล้ว ขอเพียงให้ลูกทัดหน้าเทียมตาเพื่อนๆ เท่านั้นเป็นพอ และหากรู้ว่าลูกได้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้เป็นประโยชน์ตามที่ตนต้องการเท่านั้น ความเหน็ดเหนื่อยความลำบากลำบนก็จะพลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง กลับได้ความสบายใจยิ้มร่าต้อนรับลูกเสียด้วยซ้ำ จริง ! เงินทองเป็นของหายาก ยิ่งสมัยนี้ยิ่งยากใหญ่แต่เวลาจะใช้น่ะเราใช้กันง่ายเหลือเกิน ตอนที่เราอยู่ในวัยเรียนหนังสือหรือในวัยเด็กนั้น เราไม่รู้หรอกว่าเงินมันหายากขนาดไหน ไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า ตอนที่เราแบมือขอนั้นพ่อแม่จะมีให้ หรือไม่มีให้ อยากได้เมื่อไรเป็นแบมือขอ พ่อแม่ไม่อาจบอกลูกได้เต็มปากว่าไม่มีเงินได้ มีไม่มีก็ต้องหามาให้ลูกตามที่ลูกต้องการเท่านั้น บางครั้งเงินที่พ่อแม่หามาได้ด้วยความลำบาก ยากแค้นใจ อย่างนี้นั่นแหละ เราผุ้เป็นลูกกลับเอาไปใช้ง่ายดายและรวดเร็วเหลือเกิน ทั้งๆ ที่บางคราวก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้นัก เรากบับนำไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย ใช้แบบไม่เห็นคุณค่าหรือแบบ “ใจเติบมือเติบ” หารู้ไม่ว่าเงินค่าดูหนัง 1 รอบของตนนั้น บางทีพ่อแม่ต้องใช้เวลาหามันมาตั้งครึ่งค่อนวันจึงจะได้มันมา ใช้ไปเถิด จ่ายไปเถิด พ่อแม่ไม่ว่า ขอให้มีความจำเป็นและตรงจุดประสงค์ที่ท่านต้องการเท่านั้น แม้ว่าจะมากกว่าที่ขอ แม้ว่าจะต้องทนลำบากหามากกว่านั้นสักร้อยเท่าตัว พ่อแม่ก็พอใจหามาให้ลูกได้ มิใช่จะให้ถึงกับไม่ให้ขอเงินจากพ่อแม่ มิใช่จะให้อดอยากปากแห้ง หรือมิใช่จะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนโดยไม่ต้องไปเปิดหูเปิดตากันบ้างหรอกหากถึงคราวจะต้องใช้แล้ว ก็ใช้ไปเถิด! ขออย่างเดียวใช้ใช้แบบประหยัดและจำเป็น กว่าลูกจะสำเร็จการศึกษาแต่ละคน พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยนัก ลำพังท้องของท่านสองท้อง สองท้องเท่านั้จะกระไรนักหนา แต่ปากท้องที่คอยอยู่ที่บ้าน ปากท้องที่อยู่ในโรงเรียนนี่สิ พ่อแม่ต้องหาไว้เผื่อ ต้องทำงานตั้งแต่บ่ายถึงค่ำ หากยังไม่พอก็ต้องหาเงินพิเศษ ทำต่ออีกจากค่ำถึงดึกดื่นเที่ยงคืน แม้ว่าจะต้องทำอย่างนี้ ท่านก็ไม่ปริปากหรือจะปริปากบ่นลำบาก บ้างก็ว่าไปตามอารมณ์เหนื่อย แต่ใจจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่บางรายบ่นไปทำไปก็มี ทุกต้นปีการศึกษาเรามักจะหาดอกไม้ธูปเทียนหาของฝากของที่ระลึกไป “ไหว้ครู บูชาอาจารย์” กันเป็นทิวแถว แต่อนิจจา! พระอาจารย์ทั้งคู่ที่อยู่ที่บ้านเราไม่เคยหันมามองหรือคิดที่จะถือดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้บูชาเลย แม้ว่าวันนั้นจะเป็นวัน “ไหว้ครู” ประจำปี หากเราท่านใดฐานะเป็นลูก พร้อมใจพร้อมหน้าประคองดอกไม้ธูปเทียน หรือ “หญ้าแพรก ข้าวตอก และดอกมะเขือเทศ” เข้าไปไหว้ท่าน พร้อมกล่าวสดุดีพระคุณของท่านเหมือนกับที่เรากล่าวในโรงเรียนแล้ว ภาพนั้นจะงดงามประทับใจผู้ทำผู้เห็นสักเพียงไหน พระทั้งสองของเราจะตื้นตันใจเพียงไร เราคงจะเห็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติจากดวงตาอันอ่อนโยนของท่านเป็นแร่ ถึงเวลาแล้วที่เราผู้เป็น “ลูกศิษย์” จะน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันใหญ่หลวงของ “พระอาจารย์” และพร้อมกับบูชาคุณท่าน แม้จะด้วยเพียง “สักการะ” คือดอกไม้ธูปเทียนหรือด้วยเพียงนิ้วทั้งสิบและสองมือของเราเท่านั้นก็พอแล้ว สำหรับบูชาพระอาจารย์ สำหรับ “ไหว้ครู” ของเราความเป็นลูกศิษย์กับพระอาจารย์จะสมบูรณ์แบบก็ต้องเริ่มกันที่ตรงจุดนี้แหละ ลองเริ่มกันดูทีหรือ? ท่านคงไม่คิดว่าเราทำพิเรนทร์ถึงกับยันเราออกมาได้ลงคอหรอกน่า!