แลกเปลี่ยนประสบการณ์
#1
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 12:45 PM
มีช่วงหนึ่ง โทรทัศน์ที่บ้านเสีย เอาไปซ่อม ช่างใช้เวลาซ่อมนานถึงเกือบหนึ่งปี แต่เราก็ไม่ยอมซื้อใหม่ เพราะถ้าซ่อมเสร็จแล้ว ไม่รู้จะเอาของเก่าไปทิ้งไว้ไหน จึงรอจนกว่าจะซ่อมเสร็จ ที่ซ่อมนานก็เพราะมันเป็นรุ่นสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ของพ่อแม่ให้มา ไม่ยอมทิ้งค่ะ
เป็นเหตุให้ในช่วงหนึ่งปี ไม่ได้ดูหนัง ละคร เลย แม้แต่เล็กน้อย ส่วนเรื่องเข้าโรงเรียนอนุบาลฯ ก็ไม่มีปัญหา เพราะเราเข้าเว๊ปทุกวันอยู่แล้ว ไม่ตกเทรนแน่นอน
ในช่วงหนึ่งปี ก็หมั่นไปวัดทุกวันอาทิตย์ ถึงแม้จะไม่ได้นั่งสมาธิเป็นประจำได้ทุกวัน แต่เมื่อนั่งครั้งใด ใจมันเบา สบาย รวมใจได้ง่าย หยุดใจได้เร็ว จนตัวเองสังเกตุการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ในเวลาปกติ ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ ใจก็จะใสๆ เย็นๆ เหมือนติดเครื่องปรับอากาศในใจเลย
แต่แล้ว เจ้าหนูโทรทัศน์ก็กลับมาบ้าน ใหม่ๆ ก็เปิดเฉพาะช่อง DMC ช่องนี้ช่องเดียว แต่สองเดือนหลังนี้ มือเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ไปเปิดช่องละครน้ำไม่ดีดู ได้เรื่องเลย พอดูวันที่หนึ่ง ก็มีวันที่สอง มีวันที่สามตามมา ตอนดูก็สนุกดี น่ะ ละครแย่งโน้น แย่งนี้กัน บางทีก็แย่งหนุ่มๆ สาว ๆ บางทีก็แย่งสมบัติ ดูข่าวการเมือง ข่าวดุเดือด โอ๊ แม่เจ้า ทำไมมันเป็นกันได้ขนาดนี้ ไม่ได้ดูข่าวมาหนึ่งปี เป็นกันถึงขนาดนี้เลย
มารู้ตัวอีกที เวลาผ่านไปสองเดือน เราดูเกือบทุกวัน มาสังเกตใจตัวเอง มันหมอง ๆ มัวๆ ค่ะ เวลานั่งธรรมะ ก็ไม่ค่อยรวมง่ายเหมือนเมื่อก่อน เวลาเผลอๆ ตัว เมื่อก่อน จะ สัมมา อะระหัง แบบฮัมเพลง เวลาสบายใจ จะออกมาเองเป็นอัตโนมัติ แต่ตอนนี้ ดันฮัมเพลงในละคร
นั่นไง ใครบอกไม่มีผล เข้าใจแล้วว่า ทำไม มหาปูชานียาจารย์ท่านถึงสอนว่า อย่า ดู หนัง ดู ละคร เพราะมันเป็นข้าศึกกับเรา
ใจใสๆ กับใจ มัวๆ มันต่างกัน ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่หากสังเกตตัวเองสักนิด จะรู้ถึงความแตกต่างได้ง่ายมาก
ตอนนี้ ต้องเข็กหัวตัวเองแรงๆ แล้วเริ่มต้นใหม่ค่ะ (โอ๊ยเจ็บหัวจัง) เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะไปล้างใจ ไปปฏิบัติธรรมสามวัน จะได้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เอาใจใสๆ ของเราคืนมาให้จงได้ ฮิ ฮิ
ใครยังติดละครน้ำไม่ดีอยู่บ้างเอ่ย ยกมือขึ้น
hands_up_kitten_t.jpg 2.2K 80 ดาวน์โหลด
#2
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 01:19 PM
ประมาณปี พ.ศ.2497 มีการถ่ายทอดทีวีครั้งแรกในประเทศไทย ถือเป็นข่าวใหญ่ของเมืองไทย ศิษย์หลวงปู่วัดปากน้ำท่านหนึ่งแบกทีวีขาวดำมาวัดปากน้ำเพื่อให้พระเปิดหูเปิดตาว่าเครื่องนี้คืออะไร ทีวีมีการถ่ายทอดข่าว ตกกลางคืนมีการละเล่น หลวงปู่วัดปากน้ำเห็นปุ๊บตบเข่าท่านฉาด พร้อมกับอุทานว่า ฉิบหายใหญ่!
พวกญาติโยมเขากำลังดีใจที่ได้เอาทีวีมาให้พระดู พระเองก็ตื่นตาตื่นใจ พอหลวงปู่ฯอุทานมาอย่างนั้น ทุกคนเงียบหมดเลย ท่านนั่งเงียบมองไปสุดสายตา โยมที่เอาทีวีมาให้ดูก็เข้ามากราบหลวงปู่ฯแล้วถามว่า มันไม่ดีอย่างไร รัฐบาลหวังอย่างยิ่งเลยว่า ต่อแต่นี้ไปในเรื่องการสื่อสาร รัฐบาลจะกระจายข่าวให้ประชาชนได้เปิดหูเปิดตากว้างขวางทั่วโลก แล้วทำไมหลวงปู่ฯว่าไม่ดีล่ะ หลวงปู่ฯท่านก็ตอบว่า “นี่น่ะฉิบหายใหญ่ เรื่องได้กับเสียมันไม่คุ้มกันหรอก โดยเฉพาะกับคนไทยเรามีวินัยหย่อน จะไม่มีการควบคุมที่ดี คอยดูนะ เราแพ้มารอีกแล้ว...นี่ต้องเรียกว่ามาร มันเอาอบายมุขส่งเข้าถึงห้องนอน แต่พระเทศน์ไม่มีสิทธิเข้าไปถึงห้องนอนใครหรอก ถูกจำกัดเวลา ถูกจำกัดสถานที่ แต่นี่มารมันแซงหน้าเราไป เราแพ้มัน มารมันแซงหน้าเราเข้าไปถึงห้องนอน เมื่อก่อนนี้พวกโขน ละคร ยี่เก ถ้ามีก็ต้องไปแสดงตามวัด พูดง่ายๆเขาไปแสดงตามงานวัด พระเทศน์ก็เทศน์ที่ศาลาวัด อย่างนี้ยังพอสู้ แต่ตอนนี้พระเทศน์ที่ศาลาวัด ส่วนมารมันมุดเข้ามุ้ง เข้าห้องนอนได้ขึ้นเตียงไปฉิบ เราแพ้มารมันอีกแล้ว”
#3
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 01:21 PM
แล้วก็ชอบลุ้นซะด้วย...แรกๆ ก็ดูสนุกสนาน นานๆ ไป ก็ตามติดค่ะ
ก็จริงๆ แล้วสังเกตุตัวเองมานานแล้วเหมือนกันค่ะ...แต่ว่า ตัดใจจากละครไม่ไ้ด้เสียที...ว้า แย่จัง
อย่างนี้ ต้องฝึกตนใหม่แล้ว ว่าแต่จะไปล้างใจ ปฏิบัติธรรม 3 วันที่ไหน คะ อยากไปด้วยจัง...
#4
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 01:36 PM
#5
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 01:53 PM
กระผมขอเห็นต่างนิดหน่อยนะครับ อย่าถือสา ตู่น้อยนะครับ...
สังคมมนุษย์ตั้งแต่ต้นกัล์ป เป็นสังคมที่เป็นพลวัตร มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด อันนี้เราต้องยอมรับ
การตามให้ทันสังคม รู้เท่าทัน และเข้าใจใช้เทคโนโลยีตามหลัก Buddhist Economics เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเมื่อไร เป็นทาสเทคโนโลยี เป็นทาสแฟชั่น ความฟุ้งเฟ้อล่ะก็ ก็ตามที่หลวงปู่ท่านได้เตือนไว้ พร้อมกับอุทานว่า ฉิบหายใหญ่! นั่นแหละครับ
การดูทีวี การเมือง สังคม ข่าว ต่างๆ ก็เพื่อ ให้ทันการเปลี่ยนแปลง
ถามว่าถ้าเราไม่ศึกษาหาความรู้จากหลายๆด้าน หลายๆมิติ มองนอกกรอบ
เราก็ไม่มีองค์ความรู้ที่หลากหลายมาเป็น ข้อมุลที่จะขับเคลื่อนองคาพยพ เราได้
เราต้องมีความรู้ทั้งทางโลก ทางธรรม และมีความลึกซึ้ง อันความลึกซึ้งนี่ต้องอาศัยการนั่งธรรมะ จริงไหมครับ
..
แต่ทางที่ดี ก็ทำตามครูบาอาจารย์ท่านสอนดีที่สุดครับ....ท่านสั่งอย่างไร ทำตามนั้น เต็มที่เต็มกำลัง
ท่านสั่งลุย เราลุย ท่านสั่งถอยเราถอย กองทัพที่สุดแห่งธรรมกำลังเริ่มต้นครับ
ผมสัญญาคราวหน้ากองพลแสนรูป บวชแน่นอน
โชคดีครับ กองทัพไซเบอร์ที่สุดแห่งธรรม
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#6
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 02:07 PM
เลยติด TV (ช่อง Hallmarks) งอมแงมเลยค่ะ แย่จัง รอให้เจ้าของเค้าซ่อมมาเดือนแล้วยังไม่สามารถทำได้
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย
#7
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 02:21 PM
พวกละคร หรือหนัง นี่ไม่ได้ดูมา หลายปีแล้วคะ
ยิ่งทีีวี อยู่ในห้องนอน แต่ไม่เปิด เพราะ เวลาเข้าห้อง จะ ไม่รับสื่อต่างๆเลย เหมือนทั้งวันเรารับมามากแล้ว ขอเบรคตัวเอง
ใครยังติดละครอยู่ลองหัดหักดิบนะคะ แต่ข่าวสารบางอย่างควรรู้ไว้ เหมือนพี่เถลิงเกียรติบอกอะคะ
#8
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 02:56 PM
"การดูทีวี การเมือง สังคม ข่าว ต่างๆ ก็เพื่อ ให้ทันการเปลี่ยนแปลง"
แต่ Kay:) ว่าดูเรื่องพวกนี้ยังไงก็หมองค่ะ แค่มากหรือน้อยเท่านั้น
เรารู้ไม่เท่าทันเขา(มาร) หรอกค่ะ
และก็ไม่ต้องถึงกับ "เป็นทาสเทคโนโลยี เป็นทาสแฟชั่น ความฟุ้งเฟ้อ"
ยังทะเลาะกันจะแย่แล้ว เพราะเสพข่าวนี่แหละค่ะ
แม้แต่หมู่คณะเราบางท่าน ยังเคยเข้าใจวัดคลาดเคลื่อนก็ไม่ใช่เพราะ
"การดูทีวี การเมือง สังคม ข่าว ต่างๆ ก็เพื่อ ให้ทันการเปลี่ยนแปลง" หรือค่ะ
ตราบใดที่เรายังไม่เข้าถึงธรรม คงยากที่จะรู้เห็นหลังฉากค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 04:36 PM
ขออนุโมทนาบุญกับคุณเถลิงเกียตริครับ มาบวชเร็วๆนะครับ สาธุ
#10
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 04:54 PM
ผมจึงดูแต่ DMC เท่านั้นแหละครับพี่น้อง แต่ก็มีแว็บไปซื้อหนัง DVD มาดูบ้างเป็นครั้งคราว แฮ่ะ แฮ่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 10 September 2009 - 11:48 PM
นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่บอกว่า ให้ล้างใจเราตอนก่อนนอน และก่อนออกจากบ้านไปทำงานด้วยการนั่งสมาธิ
จำได้ว่าบางครั้งที่ดูหนังเสร็จแล้วไปนอน (แน่นอน..ถ้าดูหนังแล้วนั่งสมาธิไม่ค่อยสงบ) บางครั้งถึงกับเก็บไปฝันวุ่นวาย ตีกันยุ่งไปหมด ทั้งเรื่องหนัง เรื่องงาน เรื่องชีวิตประจำวัน
จากประสบการณ์ของตัวเอง เวลาติดตามข่าว เพื่อให้ทันสถานการณ์ โดยที่ไม่ให้ใจหมอง ก็ต้องดูเฉพาะสรุปข่าวสั้นๆ ที่ไม่มีการใสสี ตีไข่ ใส่อารมณ์ของคนอ่่านข่าว ถ้าเป็นแค่ SMS สั้นๆ ก็จะดีมากๆ แค่ 1-2 ประโยค เพราะจะเป็นการส่งข่าวทีี่เป็นกลางที่สุด ไม่มีการใส่อารมณ์
ในหลายๆ ครั้งที่ติดตามข่าว สถานการณ์ต่างๆ ก็รู้สึกว่าทำให้รู้ข่าวสารต่างๆ ดี
แต่ในหลายๆ ครั้งที่ไม่ได้ติดตามข่าวพวกนี้ ก็รู้สึกว่าไม่ได้ทำให้เป็นคนล้าหลังแต่อย่างใด ในบางครั้ง..ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า แท้จริงที่เราติดตามข่าวสาร ก็เพื่อสนองกิเลศความอยากรู้ของตัวหรือไม่
พูดถึงเรื่องข่าวสารมาตั้งนาน ก็ทำให้อยากทราบว่า คนที่เอาเรื่องเศร้า มาเล่าให้คนอื่นฟังตอนเช้าๆ นั้น จะมีวิบากกรรมเป็นอย่างไรบ้าง เพราะทำให้คนฟังใจหมองตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเช้าตรู่ของวัน ด้วยวิบากกรรมนั้น จะทำให้เมื่อเริ่มต้นคิดทำอะไรก็ต้องพบกับความยากลำบากหรือป่าว?
แต่เรื่องดูหนัง ก็ยังเลิกไม่ได้อ่ะค่ะ อ่าาา...น่าตีจริงๆ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#13
โพสต์เมื่อ 12 September 2009 - 10:32 AM
เพราะก่อนที่จะมาเกาะติดขอบจอ ช่อง DMC ชอบดูละครหลังข่าวมาก่อน
(น้ำเน่าบ้างไม่เน่าบ้าง) โดยเฉพาะเรื่องที่เพิ่งจบไป ตบกันสนั่น..ไฟลุกเต็มจอ
พอมาเจอช่อง DMC ดิฉันก็ติดตามและปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กันด้วย
นั่งสมาธิทุกวัน โดยเฉพาะก่อนนอน ทำให้นอนหลับสบาย
แต่บางคืนที่แอบเผลอไปตามติดละครเรื่องนั้นต่อ แล้วกลับมานั่งสมาธิก่อนนอน
ตอนนี้ยากเลยค่ะ สงบจิตสงบใจลำบากมาก สับสนว๊อกแว๊กตลอด
แล้วก็ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ เล่นเอาเพลียไปทั้งวัน
ช่วงนี้ห่าง ๆ ละครไปเลยค่ะ หันมานั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน บางวันก็หลายครั้งแล้วแต่ช่วงเวลาว่าง
รู้สึกได้ด้วยตัวเอง..ว่าใจเย็นลงเยอะเลย ไม่โกรธง่ายเหมือนเมื่อก่อน
จะมีสติหยุดคิดก่อนเสมอ แล้วก็เย็นลง..
ในที่สุดอารมณ์โกรธก็ไม่เกิด
แต่ยังไงก็ยังติดตามข่าวสารบ้านเมืองเทคโนโลยีอยู่ค่ะ ยกเว้นเรื่องการเมือง
เพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์จริง ๆ มีอะไรที่สลับซับซ้อนจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนลวง
แค่เป็นพลเมืองดี ทำหน้าที่และรักษาสิทธิของตัวเองตามระบอบประชาธิปไตยดีกว่า...
#14
โพสต์เมื่อ 15 September 2009 - 12:03 PM
ถ้าดูก็...ดูละคร แล้วย้อนดูตัวเรา...ก็จะได้ข้อคิดหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน แต่อย่าไปอินกับละครมาก...ถ้าบังเอิญได้ดูและลูกๆ ดูด้วย ก็จะอธิบายให้ลูกฟัง เพราะส่วนมากละครก็จะจบด้วยการให้ข้อคิดที่ว่า "คนไม่ดี คนทำชั่ว สุดท้ายความชั่วก็มาปรากฏ และต้องได้รับผลกรรม"
บุญโตก็ได้ดูบ้าง...แต่ดูตอนที่ตอนนั้นไม่มี DMC ดูจริง ๆ
#15
โพสต์เมื่อ 19 September 2009 - 01:38 AM
"นี่น่ะฉิบหายใหญ่ เรื่องได้กับเสียมันไม่คุ้มกันหรอก โดยเฉพาะกับคนไทยเรามีวินัยหย่อน จะไม่มีการควบคุมที่ดี คอยดูนะ"
หลวงปู่ท่านมองการณ์ได้ไกลและชัดจริงๆ ครับ