1.) พระศรีอาริยเมตไตรย
ในอดีตพระองค์ คือพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช แห่งอินทปัตนครในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า
วันหนึ่ง พระองค์ได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า ทรงเกิดความเลื่อมใสในสามเณรนั้น
พระองค์จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม หลังจากที่พระองค์ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าสิริมิตรแล้ว พระองค์จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์เองแด่พระพุทธเจ้าเพื่อบูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์
แล้วทรงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต
และด้วยอานิสงค์แห่งบารมีนี้เอง จึงทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา
ขณะนี้พระองค์ทรงเสวยทิพยสมบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ในวรรณะพราหมณ์
เกิดในครรภ์ของนางพรหมวดีซึ่งเป็นภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราชแห่งเกตุมดีนคร
เมื่อทรงประสูติจะมีนิมิต32ประการปรากฏขึ้น
และมีมหาปราสาทสำหรับเป็นที่ประทับ ปรากฏขึ้น3หลังๆละ7ชั้น ประดับประดาด้วยรัตนะ7ประการ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีพระสรีรกายสูง 88ศอก(44เมตร)
และทรงกระทำความเพียรเพื่อตรัสรู้นาน7วัน
พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์จะแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างตั้งแต่อเวจีมหานรกถึงภวัคคพรหม
2.)พระรามพุทธเจ้า
คือ อดีตนารทมาณพ ซึ่งเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว)
นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะบูชาแด่พระพุทธเจ้า
หลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรย
ก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก่อนจะมาจุติเป็นพระรามพุทธเจ้า และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 90,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
มีพระฉัพพรรณรังสีส่องสว่างตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
3.)พระธรรมราชาพุทธเจ้า
คือ อดีตพระเจ้าปเสนทิโกศล
ที่จะมาบังเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ สุทธมาณพ
หาเลี้ยงชีพโดยเก็บดอกบัววันละ2ดอกไปขาย ทรงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
เมื่อได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์
เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าพระธรรมราชา และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 50,000ปี จะมีพระสรีรกายสูง 16ศอก(8เมตร)
ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้นเป็นนิจ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
4.)พระธรรมสามีพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยามาราธิราช (พญาวสวัตดีมาร)
ผู้เป็นจอมเทวดาฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้นสูงสุด(ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี)
พระองค์จะได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีนามว่าโพธิ
และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ากัสสปะว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
และเมื่อไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็จะจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์
และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทรงมีพระนามว่าพระธรรมสามี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 100,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีจะสว่างดังแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์
5.)พระนารทพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยาอสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูร
ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าสิริคุต
ครองนิรมลนครในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่านารทะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 10,000ปี ทรงมีพระสรีรกายสูง 120ศอก(60เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีบังเกิดขึ้นทั้งกลางคืนและกลางวัน
6.)พระรังสีมุนีพุทธเจ้า
คือ อดีตโสณพราหมณ์
ที่จะมาบังเกิดเป็นพ่อค้ามีนามว่า มาฆมาณพในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
มาฆมาณพเป็นพ่อค้าที่ฉลาด แต่ประสบทุกข์
สูญสิ้นทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้จำนวนมากถึง3ครั้ง3คราว
จึงเดินทางไปเมืองโกสัมพี เพื่อรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญขึ้น15ค่ำ
พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มาฆมาณพจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 5,000ปี มีสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมีสว่างไสวในเวลากลางวันเหมือนดังแสงทอง และสว่างไสวในเวลากลางคืนดังแสงสีเหลือง
7.)พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตสุภพราหมณ์
บรมโพธิสัตว์ที่มาบังเกิดเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ริมฝั่งสระฉัททันต์ในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า
พระยาช้างฉัททันต์ได้เห็นสรีระของพระสาวกอันมีพระนามว่าพระอัญญาโกณฑัญญะ
ซึ่งดับขันธปรินิพพานที่ริมสระฉัททันต์นั้น จึงได้อธิษฐานขอบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมา
ทำให้เกิดเลื่อยมาเลื่อยเอางาทั้งสองของตน โดยเอางาช้างหนึ่งมาทำเป็นราง
อีกข้างหนึ่งทำเป็นรูปนกยูง เพื่อประดิษฐานสรีระของพระเถระไว้กับราง
แล้วรวบขนบนศีรษะของตนจุดไฟบูชาสรีระของพระเถระ และตั้งความปรารถนา
ขอให้การถวายงาจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
สุภพราหมณ์ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ทรงมีพระนามว่า พระเทวเทพ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
มีฉัพพรรณรังสีประดุจดังช่อดอกไม้ ไม่มีความหนาวร้อน ส่องสว่างไปทั่วสากลโลก
8.)พระนรสีหสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตนันทมาณพ
ซึ่งเคยถวายผ้ากำพล1ผืนและทองแสนตำลึงแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยหนึ่ง
ได้ตั้งความปรารถนาในคราวนั้นว่าขอให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
มีอำนาจแผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
ต่อมาเมื่อนันทมาณพตายไปแล้วก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
แล้วจึงจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ เสวยสัมบัติในเมืองมนุษย์ก่อนจะมาเกิดเป็นโตเทยยพพราหมณ์
ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธองค์ได้พยากรณ์โตเทยยพพราหมณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีพระนามว่าพระนรสีหะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งแก้วมณี กลางคืนมีสีประหนึ่งสีทอง
เบื้องบนพระเศียร จะมีเศวตฉัตรอันประกอบด้วยรัตนะ7ประการ ขนาด3โยชน์ ลอยอยู่เป็นนิจ
9.)พระติสสสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างธนบาลบรมโพธิสัตว์(ช้างนาฬาคีรี)
ที่เคยเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของพระธรรมราชาแห่งแคว้นจำปานคร ทรงมีพระนามว่าธรรมเสน
ต่อมา พระองค์ได้เสด็จออกผนวชอยู่ในสำนักพระฤาษีธรรมเสนได้ฟังธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า
จนเกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์บูชาพระโกนาคมนพุทธเจ้า
และตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่าพระติสสะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 80,000ปี มีพระสรีรกายสูง 80ศอก(40เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีประดุจเปลวเพลิง สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน
แสงสว่างจากพระอุณาโลมเป็นประหนึ่งแวดล้อมด้วยเศวตฉัตรนับพัน
10.)พระสุมลสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างปาลิไลยกะ
ซึ่งได้เคยบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอดีตชาติ ทรงพระนามว่ามหาปนาทะ
ทรงผนวชในสำนักพระกกุสันธพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต มีพระนามว่าพระสุมงคล
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ 100,000ปี มีพระสรีรกายสูง 60ศอก(30เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีในเวลากลางวันเป็นเช่นเดียวกับแสงสีทอง และในเวลากลางคืนเป็นเช่นเดียวกับแสงสีเงิน
และในปัจจุบันชาตินี้เราได้เกิดมาสร้างบารมี
จึงเร่งสั่งสมบุญสร้างบารมีตามติดมหาปูชนียาจารย์กันอย่างไม่มีเว้นวรรค(ว่าอย่างไร ว่าตามกัน)
บุญใหญ่ในขณะนี้คือ การสร้างอาคาร100ปีคุณยาย มีความสำคัญมากในการเผยแผ่วิชชาธรรมกายไปทั่วโลก
เป็นแหล่งเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(รร.พระปริยัติธรรม)
ยังสันติสุขอันไพบูลย์ให้ผู้คนได้ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรม(ปิดประตูอบาย เปิดทางสวรรค์)
และได้ค้นพบกับความสุขที่แท้จริงภายในด้วยการเจริญสมาธิภาวนา
ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นประดุจดั่งกองบัญชาการงานบุญ
ที่จะใช้ในการสร้างบารมีทำความเจริญรุ่งเรืองแผ่ไพศาลของพระพุทธศาสนาไปทั่วโลกนานนับพันปี
และภาพที่ผมประทับใจไม่ลืมเลือนคือ
วันที่ได้อยู่ในพิธีตอกเสาเข็มต้นแรก อาคาร100ปีคุณยาย ในเพศสมณะ(กองพลสถาปนา)
เป็นภาพที่ติดตราตรึงใจที่มีพระภิกษุสงฆ์นับหมื่นรูปและสาธุชนจำนวนมาก
มาร่วมพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนั้น(วันครูวิชชาธรรมกาย 4 ก.ย.2552)
และในวาระโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนนักสร้างบารมีลูกพระธัม หลานคุณยาย ผู้มุ่งไปสู่ที่แห่งธรรมทุกท่าน
มาร่วมกันทอดกฐินในวันที่1 พ.ย.2552 ทำความสำเร็จในการสร้างอาคาร100ปีคุณยายให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์
แล้วเราจะได้กล่าวคำว่า..ชิตังเม!!พร้อมๆกัน..ด้วยใจที่เบิกบานเปี่ยมล้นในบุญ
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
จากที่ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้ว
จะเห็นได้ว่าอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นๆมากมายนัก
เมื่อเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบันเพียงแค่75ปี
ดังนั้น ผู้ที่หมั่นสั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา
จึงเป็นผู้ที่มีปัญญา ดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท และคือผู้ออกแบบชีวิตภายภาคหน้าในระยะยาว
เพราะถ้าบุคคลใดมีความตระหนี่ในการทำทาน เมื่อใดที่ได้ไปเกิดในยุคที่อายุขัยมนุษย์เป็นหมื่นเป็นแสนปี
วิบากกรรมแห่งความตระหนี่ก็จะทำให้ยากจน มีความลำบากเป็นหมื่นเป็นแสนปี..นึกแล้วขนแขนStand Up!
แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุคคลใดหมั่นสั่งสมบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา อยู่เป็นนิตย์
ด้วยอานิสงค์ผลบุญที่ได้สั่งสมมา
จะทำให้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยที่สุดแห่งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ มีความสุขสบายเป็นหมื่นเป็นแสนปี
และมีอุปกรณ์ในการสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย เป็นเสบียงบุญติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม