ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พระหลานคุณยาย


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 5 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 admin

admin
  • Members
  • 143 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 October 2009 - 04:52 PM

พระหลานคุณยาย
พระสมศักดิ์ จันทสีโล

พิธีบำเพ็ญกุศลคุณยายอาจารย์ มหาอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง วันที่ ๒๓
วันจันทร์ที่ ๙ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
--------------------------------------------------------


ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสธรรมอันประเสริฐ ขอน้อมกราบคารวะพระมหาเถรานุเถระทุกรูป ขอคารวะพระคุณเจ้าผู้เป็นสหธรรมิกทุกรูป เจริญพรสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นลูกหลานทุกท่าน (สาธุ)

เมื่อปี ๒๕๔๑ ตั้งแต่ต้นปี ได้มีเหตุการณ์ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่งของวัดพระธรรมกายของ เราก็คือได้มีการเปลี่ยนเวลาการลงอุโบสถเพื่อฟังพระปาฏิโมกข์ของพระภิกษุ จากตอนกลางคืนซึ่งประมาณ ๖ โมงหรือประมาณหนึ่งทุ่ม มาเป็นตอนเช้า ๘ โมงครึ่งบ้าง ๙ โมงบ้าง

สาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือพระภิกษุล้นโบสถ์ เพราะเวลาพระไปฟังปาฏิโมกข์ตอนกลางคืนนั้น พระภิกษุนั่งเข่าชนเข่า เรียงกันมารอบราวบันไดจนถึงพื้นที่อยู่นอกโบสถ์ ต้องมาพบกับทั้งแมลงทั้งยุงมาทำความรบกวนเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีการเปลี่ยนเวลาการฟังปาฏิโมกข์เป็นตอนเช้า

สิ่งนี้คือภาพสะท้อนให้เรามองเห็นว่า พระพุทธศาสนาได้เจริญงอกงามที่วัดพระธรรมกายของเราจนปรากฏให้เห็นชัดเจนว่า มีพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนานับวันแต่จะเพิ่มมากขึ้น และพระที่มาบวชที่วัดพระธรรมกายแห่งนี้ แต่ละรูปแต่ละองค์ทุกท่านทุกรูปล้วนมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นพระของคุณยาย เป็นพระหลานคุณยาย เพราะว่าวัดนี้คุณยายตั้งใจจะสร้างวัดให้เป็นวัด สร้างคนให้เป็นคน และสร้างพระให้เป็นพระ

อาตมาเองก็เป็นหนึ่งในพันกว่ารูปที่เป็นพระหลานคุณยาย มีความภาคภูมิใจที่เป็นพระวัดพระธรรมกายแห่งนี้

บัดนี้ อาตมาถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่สุดในชีวิตวาระหนึ่ง ที่ได้มาเล่าให้กับทุกๆ ท่านได้ทราบว่าอาตมาเองมีความประทับใจคุณยายอย่างไร

เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ ปีนั้นอาตมายังรับราชการ เป็นนักวิชาการที่กระทรวงคมนาคม ได้พบกับพี่ท่านหนึ่งท่านชวนมาวัด ความรู้สึกที่ถูกชวนตอนนั้น อาตมาสามารถบอกได้เลยว่าตัวเองก็ชอบเหมือนกัน เพราะอยากจะศึกษาอยากจะเรียนรู้ เลยถามพี่เขาว่าไปวัดไหน “วัดพระธรรมกาย” “อยู่แถวไหน” “รังสิตโน่นแน่ะ” ในใจไม่เคยรู้จักวัดพระธรรมกายมาก่อน ก็นึกว่า ถ้าอยู่แถวรังสิตก็คงจะเป็นวัดชนบทธรรมดา น่าเป็นวัดเล็ก ๆ วัดหนึ่ง ก็อยากจะลองมาวัดกับพี่เขา

แต่ก็ยังนึกขำในใจ เพราะว่าที่พี่เขาชวนเข้าวัด พี่เขาคงลืมว่า เราก็เป็นเด็กวัดอยู่แล้ว เพราะว่าตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ อาตมาก็เคยมาเป็นเด็กวัดอาศัยอยู่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร อยู่แถวตลาดโบ๊เบ๊ จนต่อมาสอบเรียนต่อมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดได้ ครั้นพอเรียนจบมาก็มาอยู่วัดเหมือนเดิม เป็นเด็กวัดเหมือนเดิม พอสอบทำงานราชการได้ก็อยู่ยังอาศัยอยู่วัด ตื่นเช้าก็ถือปิ่นโตพร้อมถังพลาสติกตามหลังพระบิณฑบาต กลับมาก็จัดสำรับภัตตาหารถวายพระอาจารย์ แล้วรีบไปทำงานเป็นข้าราชการในกระทรวง ก็นึกขำเหมือนกันว่า ทำไมพี่เขาชวนเราเข้าวัด เราเองก็เป็นเด็กวัดอยู่แล้ว

ก็ตกลงตัดสินใจมาวัดพระธรรมกาย แต่การมาวัดพระธรรมกายครั้งแรกนี้ไม่ได้มาในฐานะของสาธุชน แต่มาในฐานะที่จะมาประชุมเพื่อตั้งแผนกน้ำ ก่อนหน้านี้อาจจะมีการบริการน้ำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่คิดว่า คงจะยังไม่มีการตั้งเป็นหน่วยเป็นแผนก หรือเป็นองค์กรอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

นับ จากนั้นเป็นต้นมา ทุกวันอาทิตย์อาตมามาวัดไม่เคยขาด เพราะว่าตอนนี้เป็นเจ้าหน้าที่แผนกน้ำแล้ว ต้องมาเตรียมภาชนะ เตรียมน้ำ เตรียมน้ำยาอุทัยอะไรต่างๆ ผสมน้ำ เพื่อที่จะบริการสาธุชนที่มาวัด อาตมารับรองได้เลยว่า น้ำที่สาธุชนได้ดื่มได้กินทุก ๆ ครั้ง มีความสะอาดมาก นับตั้งแต่แก้วน้ำ มีการ ล้าง ตาก เช็ดอย่างดี แล้วก็เก็บไว้อย่างมิดชิดที่ห้องเบอร์ ๔ และก็เป็นประจำในทุกวันอาทิตย์ตอนเช้ามืด เราก็มาจัดเตรียมจุดบริการน้ำ ซึ่งขณะนั้นศูนย์กลางพิธีกรรมยังอยู่ที่ศาลาจาตุมหาราชิกา และการได้อยู่แผนกน้ำนี่เอง เป็นจุดสำคัญเปลี่ยนแปลงชีวิตของอาตมาอย่างมาก เพราะว่าที่แผนกน้ำนั้น มีการเก็บอุปกรณ์ แก้วน้ำ คูลเล่อร์ต่าง ๆ ไว้ในที่โรงทาน คือ ที่ห้องเบอร์ ๔ อาคารยามา ซึ่งเป็นครัวของวัด

การได้มาอยู่แผนกน้ำที่อยู่ใกล้ครัวนี้เอง ที่ทำให้อาตมาได้พบกับคุณยาย เคยแต่ได้ฟังจากแต่ละคน เขาบอกว่า คุณยายรักความสะอาด อาตมาเองก็มีความกริ่งเกรงเหมือนกันที่จะทำอะไรไม่ดีที่จะทำให้คุณยายไม่ ชอบ ก็พยายามดูแบบอย่างจากพี่ ๆ เขาทำ อาตมาสังเกตว่า การดูแลรักษาสิ่งของเครื่องใช้อย่างดี เช่น แค่เห็นการดูแลรักษาแก้วน้ำก็มองเห็นครูบาอาจารย์แล้วว่า ท่านต้องเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง เพราะแก้วน้ำแต่ละใบสะอาดหมดจด เจ้าหน้าที่เองก็ดื่มกินได้อย่างสนิทใจ แล้วสาธุชนที่มาดื่มน้ำ ผู้บริการเองก็มีความภาคภูมิใจว่าได้ให้การบริการเป็นอย่างดี เพราะได้เอาสิ่งที่บริสุทธิ์ เอาสิ่งที่ดีที่สุดมาบริการกับสาธุชน

มีวันหนึ่งอาตมาเก็บงานเลยกลับช้า ขณะกำลังมัดกระสอบแก้วน้ำ จะเอาไปเก็บไว้ที่ห้องเบอร์ ๔ อยู่ ๆ มีอุบาสิกาท่านหนึ่ง รูปร่างผอมเกร็ง สง่า รูปร่างก็ไม่ใหญ่โต เดินผ่านมาพอดี ยังไม่เคยรู้ว่า คุณยายท่านลักษณะเป็นอย่างไรมาก่อน แต่ในใจก็นึกเดาว่า “นี่แหละคุณยาย” ก็เลยก้มกราบท่าน ๓ ครั้ง คุณยายก็เลยให้พรว่า “ขอให้บุญรักษานะ” แค่คำสั้น ๆ แต่ก็ทำให้ปลาบปลื้มใจมาก

หลังจากนั้นเป็นต้นมา เพราะการที่ได้เป็นเจ้าหน้าที่แผนกน้ำ จึงทำให้บางครั้งอาตมาก็ต้องมาค้างคืนที่วัดเพื่อเตรียมงานล่วงหน้าก่อน พอมาค้างคืนที่วัด ก็ต้องมาอาบน้ำที่ห้องน้ำ ๒๐ ห้อง อาบน้ำก็ต้องอาบอย่างประหยัด ทำเสียงดังไม่ได้ เพราะอยู่ใกล้กุฏิคุณยาย แล้วก็มาสวดมนต์ที่อาคารดาวดึงส์ ตื่นเช้าหลังจากเตรียมจุดบริการน้ำเรียบร้อยก็มานั่งทานข้าวร่วมกับพี่ อุบาสกที่อาคารยามาซึ่งแต่ก่อนเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โรงทาน”

การ ทานข้าวของอุบาสกของวัดพระธรรมกายนี้ แต่ก่อนก็นึกว่า ใครตักข้าวมาแล้วก็คงไปนั่งหลบอยู่มุมของใครมุมของคนนั้น รับประทานข้าวเสร็จก็คงจะแยกย้ายกันไป แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพอตักข้าวมาแล้วก็นั่งเรียงกันเป็นแถว นั่งตัวตรง อาจจะสนทนากันก็เพียงเบาๆ อาตมาประทับใจมาก เพราะไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อนเลย การนั่งเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ เป็นภาพที่งดงามมาก สักครู่คุณยายก็จะมาคุยธรรมะ มาเล่าเรื่องนรกสวรรค์ เรื่องบาปบุญคุณโทษ บาปมีจริง บุญมีจริง เป็นต้น ให้กับผู้ที่มาทานข้าวฟัง

สิ่งนี้ทำให้อาตมาเองฉุกคิดขึ้นมาในใจว่า คุณยายท่านได้ปลูกฝังสัมมาทิฐิให้กับพวกเราทุกๆ วัน เพราะคนเราทุกวันนี้ ถ้าไม่เข้าวัดหรือว่าไม่ได้ซาบซึ้งในธรรมะ จะไม่ค่อยเชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง บุญบาปมีจริง แต่คุณยายท่านพูดทุกวัน ๆ ทำให้เราได้คิดว่า ผู้มีคุณธรรมสูงส่งอย่างท่าน คงต้องพูดจากสิ่งที่ท่านได้เห็น คือ เห็นในสมาธิจิต เพราะการที่ท่านเห็นอย่างนี้ ท่านถึงกล้ายืนยัน ท่านถึงมาบอกจ้ำจี้จ้ำไชเราอยู่บ่อยๆ เลยนึกเปรียบในใจว่า เหมือนอย่างคนทำเหมือง ถ้าเขาสำรวจพบว่าพื้นที่ตรงนี้มีทอง เห็นหลักฐานว่าเป็นทองอย่างแน่นอน เขาจะขุดอย่างเต็มที่เพื่อจะเอาทองมาให้ได้ แต่ถ้าไม่มั่นใจว่า เป็นทองก็คงขุดอย่างพอสุ่มไปเท่านั้นเอง เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เพราะพวกเราเชื่อมั่นว่า นรกสวรรค์มีจริง บุญบาปมีจริง เราถึงทำบุญกันอย่างเต็มที่ ทำกันอย่างไม่เสียดาย ใครไม่เคยเห็นพวกเราทำ เขาอาจจะประหลาดใจ แต่พวกเราทุกคนทำบุญกันจนเคยชิน เพราะคุณยายได้ปลูกฝังสัมมาทิฐิให้กับพวกเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เริ่มเข้าวัดทีเดียว

ต่อมาไม่นาน อาตมาก็ลาออกจากราชการมาเป็นอุบาสกที่วัด แม้อาตมาจะเป็นอุบาสกประจำแล้ว คุณยายท่านก็จะเมตตาสอนให้ระมัดระวังเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์ ดังมีครั้งหนึ่งอาตมาไปที่หน้ากุฏิยายกับเพื่อนอุบาสกเพื่อไปกวาดใบไม้ สักครู่หนึ่งคุณยายก็เดินมา พวกเราก็เดินเข้าไปหาท่าน หวังจะฟังธรรมะจากคุณยาย คุณยายท่านทักทายสักครู่หนึ่ง ท่านก็ชี้มาที่ตาแต่ละคนและพูดว่า “นี่ ๆ อย่าไปทำสายตาช๊อตกะใครนะ” คุณยายมีศัพท์ทันสมัย ถ้าเป็นทุกวันนี้ก็เรียกว่า “อย่าไปปิ๊งกะใครนะ” ก็เลยได้รับการถ่ายทอดคุณธรรมจากคุณยายว่า ท่านเมตตาเราที่จะสั่งสอนที่จะให้เราเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ อาตมาซาบซึ้งตรงที่ว่าเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์นี้ คุณยายท่านปลูกฝังมาตั้งแต่หมู่คณะรุ่นบุกเบิกก่อสร้างวัด นับตั้งแต่หลวงพ่อลงมาเรื่อยๆ จนถึงพระมหาเถระทุกรูป คุณยายก็ปลูกฝังมาอย่างนี้ และยังมีเมตตาสั่งสอนถ่ายทอดมาถึงเรา เรายังมีโอกาสได้ฟังคำสั่งสอนของคุณยายถึงขนาดนี้ นับเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

ตั้งแต่ได้มาเป็นอุบาสก มาทุ่มเททำงานร่วมกับหมู่คณะที่จะดำเนินตามปฏิปทาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อและ คุณยายนั้น มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ ได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดตั้งกลุ่มวิทยากรแก้ว เป็นหมู่คณะเล็ก ๆ ออกไปบรรยายธรรมะตามต่างจังหวัด ทำให้คุ้นสภาพของต่างจังหวัด เห็นสาธุชน เห็นผู้นำบุญจัดรถมา แล้วก็ไปช่วยสนับสนุน ทำให้มีความคุ้นเคย จนต่อมาได้รับหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องแก้วภูธร คือ การประสานงานบุญกับสาธุชนต่างจังหวัด ทำให้ทุกสัปดาห์ต้องออกต่างจังหวัด เหมือนกับเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับงานใหญ่ของคุณยาย


งาน ใหญ่ที่ว่านี้เป็นสิ่งที่อาตมาเองจะจดจำอย่างไม่มีลืมเพราะถือว่าเป็นครั้ง หนึ่งครั้งสำคัญในชีวิตก็ว่าได้ โดยในปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ ปีนั้นคุณยายได้รับฉันทานุมัติจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อและคณะสงฆ์ให้เป็น ประธานใหญ่กฐินสามัคคีเป็นปีแรก เป็นกฐินครบรอบ ๘๐ ปี ของคุณยาย คุณยายเคยบอกเสมอว่า “ยายสร้างวัดก็อยากจะเป็นประธานกฐินกะเขาสักครั้งหนึ่ง คราวนี้ยายได้เป็นประธานแล้ว หลวงพ่อให้ยายเป็น ยายก็จะไปตามคนเก่า ๆ แก่ ๆ มาสร้างบารมี จะได้ตามยายไป เกิดไปภพหน้าชาติหน้าจะได้มาเกิดด้วยกัน จะได้มาสร้างวัด แล้วจะได้ทอดกฐินด้วยกัน” คำกล่าวนี้อาตมายังจำได้ อาตมายังจำได้ติดใจ เวลาคุณยายไปไหนมาไหนก็จะพูดเรื่อง “กฐินยาย” ตลอด เจออุบาสกก็จะบอกว่า “นี่อุบาสก อยากจะไปนิพพานกะยายไหม ถ้าอยากจะไปก็ทำบุญกับยาย มีมากมีน้อยก็ทำ จะได้เป็นเชื้อเป็นแถวติดตามยายไป” คุณยายท่านพูดอย่างนี้

ไม่พูดเฉยๆ คุณยายเองก็ทำด้วย คุณยายพูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น “กฐินยาย” เป็นบุญใหญ่ครั้งแรกที่คุณยายได้เป็นประธานหลังจากสร้างวัดมาอย่างเหน็ด เหนื่อย หากเราลองคิดดูว่าคุณยายเริ่มสร้างวัดเมื่อปี ๒๕๑๓ ตอนนั้นท่านอายุ ๖๐ ปี อายุขนาดนี้เขาเกษียณกันแล้ว แต่คุณยายมาเริ่มต้นสร้างวัดในตอนอายุแม้ขนาดนั้น และตอนนี้คุณยายอายุตั้ง ๘๐ ปี จิตใจยังอาจหาญร่าเริง อยากจะสั่งสมบุญ เป็นผู้นำบุญอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วทำให้เราได้คิดว่า เรายังหนุ่มยังแน่น เห็นคุณยายอย่างนี้แล้วเราก็ต้องรีบทุ่มเทตามคุณยายให้ได้

อยู่ ๆ โยมพี่อารีพันธ์ ซึ่งเป็นอุปัฏฐากคุณยายมาบอกว่า กฐินคุณยายปีนี้ คุณยายจะไปตามศิษยานุศิษย์ลูกหลานยายตามต่างจังหวัดให้มาทำบุญกฐินด้วยกัน เลยร่วมปรึกษาวางแผนจัดกำหนดการดูว่า จะไปที่ไหนบ้าง ด้วยความที่อาตมาเป็นผู้คุ้นเคยในพื้นที่ต่างจังหวัด คือไปทั่วประเทศก็ไปมาแล้ว มีความปีติยินดีมาก ก็เลยกำหนดการว่า ไปภาคอีสานก่อน คือ ไปที่จังหวัดขอนแก่น

ที่ขอนแก่น คุณยายไป ๒ ครั้ง ครั้งแรกไปพักที่บ้านคุณป้าปัทมา - คุณลุงพรหมา หอมจู ไปพักที่นั่น และรับแขกที่นั่น บางเวลาคุณยายก็ออกไปเยี่ยมลูกหลานยายที่นั่นที่นี่บ้าง ขึ้นบ้านนี้ออกบ้านโน้น ไม่น่าเชื่อผู้สูงอายุขนาด ๘๐ ปีนี้ยังแข็งแรง ยังเบิกบาน พอมีโยมมากราบมาไหว้ ท่านก็จะพูดธรรมะไม่มีความรู้สึกว่าเหนื่อยเลย

สิ่งที่น่าประทับใจและก็เป็นประวัติการณ์ของชาวจังหวัดขอนแก่นก็คือ บ้านที่คุณยายไปพำนักหลังนั้น ต่อมาเจ้าของบ้านก็ได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสถวายที่ดินให้กับหลวงพ่อธัมมชโย เพื่อสร้างเป็นศูนย์กัลยาณมิตรขอนแก่น ซึ่งตอนนี้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นตึก ๔ ชั้นสวยงาม ถ้าใครไปที่จังหวัดขอนแก่น ไปเห็นศูนย์กัลยาณมิตร ก็ให้เราทราบว่า เป็นบริเวณที่คุณยายเคยมาพำนักเมื่อครั้งสมัยกฐินคุณยายครั้งแรก

ออกจากจังหวัดขอนแก่นก็ไปที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่นั่นมีลูกหลานคุณยายเยอะมาก คุณยายได้ไปเยี่ยมวัดหนองกินเพล ไปวัดหนองป่าพง ไปเยี่ยมลูกเยี่ยมหลานตามที่ต่าง ๆ ที่น่าแปลกใจก็คือคนอุบลเขามาเล่าให้ฟังว่า “คุณยาย กฐินยายครั้งนี้ไม่เหมือนกฐินครั้งก่อน ๆ เลย ใบฎีกากฐินคุณยายนี่ เวลาไปแจกใคร ใครเขาก็รับทั้งนั้นเลย” แล้วพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาบอกว่ามีกลิ่นหอม ๆ คล้าย ๆ ดอกมะลิโชยออกมาจากใบฎีกาอยู่เรื่อย ๆ นี่คือความอัศจรรย์เหมือนกัน

ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี ก็ไปที่จังหวัดพิษณุโลก ไปเยี่ยมลูกหลานตามบ้านต่างๆ แต่ที่อาตมาเห็นแล้วประทับใจในความเมตตาอย่างยิ่งของคุณยายก็คือทุกครั้งที่ จะไปขอนแก่นก็ตาม ไปอุบลฯก็ตาม หรือไปพิษณุโลกก็ตาม คุณยายจะนั่งเครื่องบินไป แต่พิษณุโลกขากลับนี่ บังเอิญมีเจ้าภาพผู้ใหญ่ของเราท่านหนึ่งบอกว่า ไม่ต้องนั่งเครื่องก็ได้ ท่านมีรถตู้อยู่แล้ว ท่านก็เชิญชวนว่า นั่งรถตู้เถอะไม่เป็นไร ให้คุณยายนั่งตรงนี้ สมรรถภาพรถยังดี ยังใหม่อยู่เลย

หากเราลองคิดดูว่า ผู้สูงอายุ ๘๐ ปี เดินทาง ๑ ชั่วโมง ร่างกายคงจะเมื่อยล้าพอสมควรแล้ว เส้นทางจากพิษณุโลกกลับมาวัดอย่างเร็วก็ต้องใช้เวลา ๓ ชั่วโมงเกือบ ๔ ชั่วโมง แต่คุณยายเมตตานั่งรถตู้กลับกับเจ้าภาพท่านนั้น ทั้ง ๆ ที่นั่งเครื่องบินก็สะดวกสบาย แต่คุณยายอดทน เมตตา อยากจะรักษาศรัทธาของลูกหลาน ท่านก็ยอมอดทนนั่งรถตู้มาตั้งหลายชั่วโมงจนมาถึงวัด โดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของตนเองเลย

การที่คุณยายเมตตาออก เชิญชวนลูกหลานคุณยายมาเอาบุญกับยายในกฐินครั้งแรกนี้ แสดงให้เห็นว่าเรื่องบุญคุณยายไม่เคยแพ้ใคร จะต้องเป็นผู้นำบุญอยู่ชั้นแนวหน้า แม้คุณยายสั่งสมบุญมานานตั้งแต่ไหนแต่ไร จนแม้อายุ ๘๐ ปีแล้ว ก็ยังสั่งสมบุญอย่างไม่หยุดไม่หย่อนเลย

ต่อมาอาตมาได้รับฉันทานุมัติให้เป็นพิธีกรที่สภาธรรมกายสากล(หลังคามุงจาก) ซึ่งแต่ก่อนนั้นทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน ตรงหัวมุมด้านหน้าของที่นั่งมุมหนึ่ง จะเป็นที่นั่งของคุณยาย คุณยายจะลงมาทุกวันอาทิตย์ต้นเดือนมาคุมบุญ มานำบูชาข้าวพระ อีกมุมหนึ่งจะเป็นมุมของพิธีกร อาตมาสังเกตเห็นลักษณะพิเศษของคุณยายอย่างหนึ่งคือ ตั้งแต่เห็นคุณยายมาคุมบุญ มานำในการบูชาข้าวพระ คุณยายไม่เคยนั่งหลับเลย คุณยายจะนั่งตัวตรงสง่า จนถึงเสร็จพิธีคุณยายก็เดินออกไป แม้คุณยาย ๘๐ กว่า ย่างเข้า ๙๐ แล้ว อาตมาก็นั่งสังเกตดู คุณยายนั่งสงบนิ่ง กายตั้งตรง สง่างามมาก เห็นแล้ว ในใจบอกว่า..นี่ ครูบาอาจารย์ของเราเป็นอย่างนี้…พวกเราเสียอีก หลายคนยังหนุ่มๆก็ยังนั่งง่วง

ทั้งหมดที่อาตมาเล่ามาวันนี้ ขออ้างอิงถึงธรรมะบทหนึ่ง ธรรมะบทนี้ชื่อว่า “อุปัญญาตธรรม” เป็นธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรำพึงว่า คุณเครื่องอะไรหนอ ที่ทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อะไรที่เป็นปัจจัยให้พระองค์ดำเนินอริยมรรคได้อย่างสมบูรณ์

ปัจจัยประการแรกก็คือ “อสันตุฏฐิตา กุสเลสุ ธัมเมสุ” คือความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย
ปัจจัยประการที่ ๒ “อัปปฏิวาณิตา ปธานัสมิง” คือการไม่ท้อถอยจากความเพียร ไม่ยอมถอยหลังเลย ไม่หันหลังกลับเลย
นี่คือคุณเครื่องที่ทำให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ได้ดำเนินอริยมรรคได้อย่างสมบูรณ์จนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เราอาจจะเคยได้ยินบางคนบอกว่า วัดพระธรรมกาย ทำบุญบ่อยเหลือเกิน เหมือนกับว่าเรา “งกบุญ” อะไรอย่างนั้น แต่พอไปอ่านธรรมะบทนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสบอกชัดเจนว่า อย่าสันโดษในบุญ ให้ทำให้เต็มที่ เพราะที่พระองค์ตรัสรู้มาก็เพราะพระองค์ไม่สันโดษในบุญนี่เอง ทำทุ่มสุดฤทธิ์เลย และอย่างที่พวกเราทำกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะทำตามคำสอนเรื่องความไม่สันโดษในบุญ พระพุทธองค์ทรงสั่งสมบุญมาเรื่อย ๆ มีความเพียรไม่ยอมท้อถอยมาเรื่อย ๆ จนสามารถทำอริยมรรคได้สมบูรณ์

และถ้าเปรียบเทียบธรรมะนี้กับสิ่งที่คุณยายทำ ก็กล่าวได้ว่า ในโลกนี้ บุคคลที่จะทำให้ธรรมะ ๒ ประการสมบูรณ์ ที่เป็นบุคคลที่เราเห็นกับตา ก็มีคุณยายท่านหนึ่งนี่แหละที่ทำได้อย่างสมบูรณ์อย่างยิ่ง เพราะเรื่องบุญคุณยายไม่เคยท้อถอยเลย ทำได้อย่างสมบูรณ์ เป็นแบบอย่างให้เราเห็น ทราบว่าก่อนที่คุณยายจะละสังขาร ๒ สัปดาห์ คุณยายยังปรารภอยู่ว่าอยากจะสร้างลานธรรมมหาธรรมกายเจดีย์ให้สำเร็จ อยากจะสร้างองค์พระภายในให้สำเร็จ ขนาดสังขารท่านเป็นขนาดนี้ ก็ยังปรารภอยากจะสั่งสมบุญอย่างนี้อยู่ เรียกว่าเป็นผู้ที่ขวนขวายในบุญอย่างยิ่ง

ส่วนเรื่องความเพียรนี่ไม่ต้องพูดถึง ท่านไม่เคยถอยหลังเลย

เรา คงจะทราบว่าคุณยายท่านเป็นหนึ่งไม่มีสองจริง ๆ ดังนั้น ธรรม ๒ ประการข้างต้นที่ยกมากล่าวนี้ คุณยายท่านทำได้อย่างครบถ้วน ทำได้เป็นแบบอย่าง สมแห่งความเป็นมหาปูชนียาจารย์ของเราอย่างแท้จริง

แต่ก็แปลกตรงที่ว่า..คุณยายอ่านหนังสือไม่ออก ซึ่งท่านมักจะพูดตามแบบของท่านว่า “ยายอ่านหนังสือไม่ออก กอ ข้อ ไม่กระดิก” แต่ทำไมคุณยายปฏิบัติตาม หลักธรรมได้อย่างถูกต้อง เพราะบางครั้งพวกเราเอง เวลาอยากจะปฏิบัติตามหลักธรรมหมวดไหนก็ไปอ่านไปจำมา แล้วก็ปฏิบัติตาม แต่คุณยายท่านไม่ได้อ่านเลย ไม่ได้เรียนรู้มาก่อนเลย แต่สามารถปฏิบัติได้สอดคล้องกับธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ อย่างยิ่ง ก็ทำให้เราได้รู้ว่าเป็นเพราะว่าคุณยายท่านเข้าถึงธรรมกาย เห็นธรรมกาย เป็นธรรมกาย เมื่อเข้าถึงธรรมกายแล้ว ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่ในตัวธรรมกายหมด จะเอาธรรมะหมวดไหนมาเทียบว่าคุณสมบัติของคนเข้าถึงธรรมกาย จะสอดคล้องสมบูรณ์ทุกอย่างเลย นี้เองเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สะท้อนให้เห็นว่าคนเข้าถึงธรรมกายเป็นอย่างนี้ แม้จะท่านอ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม

เพราะฉะนั้นวันนี้อาตมาก็จะขอเชิญชวนลูกหลานยายทุกคน นอกจากมีความภาคภูมิใจในคุณยายแล้ว เราก็จะได้ถือโอกาสนี้ปฏิบัติบูชา นึกถึงบุญบารมีของคุณยาย ณ วันนี้ ณ บัดนี้ ถ้าหากว่าลูกหลานยายทุกคน ณ ที่บริเวณบ้านแก้วเรือนทองแห่งนี้ ได้มองไปที่ตรงหน้าที่เรือนทองของคุณยาย ขอให้เรารำลึกในใจว่า คุณยายท่านละสังขาร ได้ทอดร่างให้เราได้เห็นต่อหน้าในเรือนทอง คุณยายละไปด้วยความสง่างาม ไปอย่างพระเจ้าจักรพรรดิผู้ชนะสงคราม สังขารคุณยายได้รองรับงานคุณยายมาแล้วตั้ง ๙๒ ปี แต่ถึงละสังขารไปก็ตาม เราทุกคนก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่าคุณยายอยู่ใกล้ๆ เรานี่เอง ไม่ได้ไปไหน บารมีคุณยายยังติดอยู่ในใจเราตลอดเวลา

ให้เราสังเกตว่าคุณยายได้สร้างบารมีมาอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างให้มีสภาธรรมกายสากล… มีวัดพระธรรมกาย มีที่ดิน ๒,๐๐๐ ไร่ เป็นต้น แต่ ณ วันนี้ แม้คุณยายละสังขารไปแล้ว คุณยายไม่เคยเอาที่ดินนี้ไปด้วยเลย โฉนดสักใบก็ไม่ได้เอาไป โบสถ์ทั้งหลัง สิ่งก่อสร้างทั้งหมด คุณยายก็ไม่ได้เอาไปเป็นของคุณยาย แต่ทำไมคุณยายจึงทุ่มเททั้งชีวิตทั้งจิตใจเพื่อจะสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิด ขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าสิ่งที่คุณยายทำ ไม่ได้ทำเพื่อท่าน แต่ท่านทำเพื่อทุกๆ คน สมบัติเหล่านี้ที่คุณยายได้สร้างสรรค์ไว้ทั้งแรงกายแรงใจ คือสิ่งที่เป็นมรดกให้กับลูกหลานของเราทุกคน จะได้รักษา จะได้เป็นที่สำหรับการสร้างบารมี เป็นที่ของพระศาสนา เป็นความภาคภูมิของทุกๆ คน เพราะฉะนั้น ขอเชิญทุกท่านได้นั่งหลับตา ระลึกนึกถึงบุญบารมีของคุณยาย

โดยน้อมนึกถึงภาพคุณยายให้ปรากฏไว้ที่ศูนย์กลางกายของพวกเราทุกคน นึกถึงบุญบารมี ธรรมะอันละเอียดอ่อนทั้งหลายที่คุณยายได้สั่งสมไว้ ขอให้เป็นกระแสบุญอันบริสุทธิ์ เชื่อมโยงมาสู่ศูนย์กลางกายของเรา ให้เพิ่มมาเติมบุญบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ ให้ทับทวียิ่งๆ ขึ้นไป ให้เราทุกคนได้มีโอกาสได้สั่งสมบุญบารมีเหมือนอย่างคุณยายที่ได้ดำเนินเป็น แบบอย่าง

เมื่อใจใส ใจสะอาด บริสุทธิ์ เห็นภาพคุณยายชัดแจ่มกระจ่างที่ศูนย์กลางกายดีแล้ว ให้ทุกท่านได้นึกน้อมขอบุญบารมีของคุณยายได้ปกป้องคุ้มครองรักษาให้ลูกหลาน ยายทุกคน พบแต่ความสุข ความเจริญ ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม ให้ดวงบุญในตัวของเราจงเป็นที่รองรับบุญกุศลบารมีของคุณยายที่จะได้แผ่มาถึง พวกเราทุกคน เติมบุญเติมบารมีที่ตัวของเราให้สว่างไสว ให้บุญนี้ ดวงบุญนี้เป็นที่ตั้งเป็นที่ดึงดูดมาซึ่งความเป็นสิริมงคล ให้ขจัดปัดเป่าอุปัทวอันตรายทั้งหลายมลายหายไป

ด้วยบุญบารมีของคุณยาย ขอให้ลูกหลานทุกคนพบแต่คำว่าสำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ ขอบุญบารมีของคุณยายให้เชื่อมโยงสายบุญให้เราทุกคน ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุนพระพุทธศาสนา มีสายสมบัติดึงดูด หลั่งไหลมาสู่ตัวเราด้วยความชอบธรรม จะจับ จะทำอะไร ก็ขอให้เป็นเงินเป็นทอง สมบัติได้มาให้เป็นสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง จะได้ใช้สร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป มีทั้งทรัพย์สมบัติ บริวารสมบัติ มีลูกมีหลานก็ให้ว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท ให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข ขอให้บุญบารมีคุณยายปกป้องคุ้มครองตัวเรา ให้พบแต่คนดี พบแต่บัณฑิต พบแต่นักปราชญ์ คนภัยคนพาล คนคดคนโกงอย่าได้มากล้ำกราย ให้มีรูปสมบัติ คุณสมบัติ นิพพานสมบัติ ให้ได้สร้างบุญบารมีติดตามคุณยายไปทุกภพทุกชาติตราบถึงที่สุดแห่งธรรม
********************************* จบ *********************************


#2 SatChu

SatChu
  • Members
  • 106 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 October 2009 - 05:33 PM

สาธุ ครับ smile.gif

  " ปราบมาร " 


#3 อาสาสมัครรักบุญ

อาสาสมัครรักบุญ
  • Members
  • 225 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 October 2009 - 11:34 PM

สาธุๆๆค่ะ

#4 usr31314

usr31314
  • Members
  • 6 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 October 2009 - 01:22 PM

SATHU SATHU SATHU

#5 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 October 2009 - 12:18 AM

สาธุ ครับผม


#6 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 12:22 PM

มีข้อสังเกตุว่า ชีวิตของผู้ที่มีความสุขนั้น ชีวิตของเขาจะ

มองไปข้างหน้าก็มีความหวัง(เป้าหมาย) มองย้อนกลับมาข้างหลังก็มีความสุข(ความภูมิใจ)

ชีวิตของหลวงพี่ท่านแต่ละวันล้วนผ่านไปด้วยความภาคภูมิใจ ต่างจากชีวิตของผู้ไม่มีความสุข วันๆ มักจะเต็มไปด้วยปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนไม่พานพบเจอความสุขในชีวิตเลย
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร