ข้อคิดจากเคสสุขุมมาลชาติ
เริ่มโดย หัดฝัน, Nov 11 2009 09:22 AM
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 11 November 2009 - 09:22 AM
อย่าประมาทในการสั่งสมบุญ เป็นข้อคิดจากเคสที่ผมได้รับจากเคสสุขุมมาลชาติครับ ท่านใดที่ไม่เข้าใจเรื่องเคสสุขุมมาลชาติ ให้ไปคลิ๊กที่ DMC แล้วดูในหน้าเคส Study นะครับ จะดูแบบอ่าน หรือแบบฟัง ก็เลือกได้ครับ
คือ ผมมานั่งนึกๆ ดู ว่า ผู้ปกครองแคว้นในพุทธันดรที่แล้วในเคส แต่ละท่านแต่ละท่าน ล้วนมีบุญขนาดสร้างวัดใหญ่ๆ ในแคว้นของท่านเองได้สบายๆ ยิ่งถ้าสร้างแค่อาคารเล็กๆน้อยๆ รับรองว่า ขนหน้าแข็งแต่ละท่านก็ไม่ร่วงเลย ดังนั้น การสร้างวัดใหญ่ๆ ในสมัยนั้น จึงสำเร็จลงได้อย่างง่ายดายทุกๆ แคว้นอีกด้วย
แต่ในพุทธันดรนี้ อายุมนุษย์สั้นลงเหลือแค่ไม่ถึง 100 ปี เทียบกับพุทธันดรที่แล้วที่อายุมนุษย์ยืนเป็นหมื่นๆปี ผู้มีบุญลงมาเกิดกันมากมาย ในยุคนี้ ผู้มีบุญระดับผู้ปกครองแคว้นในพุทธันดรที่แล้ว ก็ลงมาเกิดในแคว้นเดียวกัน นับๆ ดูแล้ว ถึง 4-5 คนทีเดียว แต่การสร้างวัดแม้เพียงแคว้นเดียวในยุคนี้ ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นเลย
ทำให้ได้คิดว่า ที่เคยนึกๆ ว่า ตัวเองทำบุญอะไรต่างๆ มามากมายแล้ว ตัวเองต้องมีบุญมากทีเดียว แต่พอศึกษาเคสแล้ว บอกได้คำเดียวว่า อย่าประมาทในการสั่งสมบุญเลยเป็นอันขาดครับ
คือ ผมมานั่งนึกๆ ดู ว่า ผู้ปกครองแคว้นในพุทธันดรที่แล้วในเคส แต่ละท่านแต่ละท่าน ล้วนมีบุญขนาดสร้างวัดใหญ่ๆ ในแคว้นของท่านเองได้สบายๆ ยิ่งถ้าสร้างแค่อาคารเล็กๆน้อยๆ รับรองว่า ขนหน้าแข็งแต่ละท่านก็ไม่ร่วงเลย ดังนั้น การสร้างวัดใหญ่ๆ ในสมัยนั้น จึงสำเร็จลงได้อย่างง่ายดายทุกๆ แคว้นอีกด้วย
แต่ในพุทธันดรนี้ อายุมนุษย์สั้นลงเหลือแค่ไม่ถึง 100 ปี เทียบกับพุทธันดรที่แล้วที่อายุมนุษย์ยืนเป็นหมื่นๆปี ผู้มีบุญลงมาเกิดกันมากมาย ในยุคนี้ ผู้มีบุญระดับผู้ปกครองแคว้นในพุทธันดรที่แล้ว ก็ลงมาเกิดในแคว้นเดียวกัน นับๆ ดูแล้ว ถึง 4-5 คนทีเดียว แต่การสร้างวัดแม้เพียงแคว้นเดียวในยุคนี้ ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นเลย
ทำให้ได้คิดว่า ที่เคยนึกๆ ว่า ตัวเองทำบุญอะไรต่างๆ มามากมายแล้ว ตัวเองต้องมีบุญมากทีเดียว แต่พอศึกษาเคสแล้ว บอกได้คำเดียวว่า อย่าประมาทในการสั่งสมบุญเลยเป็นอันขาดครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#3
โพสต์เมื่อ 12 November 2009 - 12:32 AM
เป็นกระทู้ที่ทำให้น่าคิดมากนะครับ
ทั้งๆ ที่ เมื่อก่อนเราก็ทำบุญ แต่พอมองดูย้อนไปกลับรู้สึกตัวได้เลยครับว่าเราออกไปทาง "ประมาท" ครับ
ขอร่วมอุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ สาธุ ...........
ทั้งๆ ที่ เมื่อก่อนเราก็ทำบุญ แต่พอมองดูย้อนไปกลับรู้สึกตัวได้เลยครับว่าเราออกไปทาง "ประมาท" ครับ
ขอร่วมอุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ สาธุ ...........
#4
โพสต์เมื่อ 12 November 2009 - 09:31 AM
สาธุกับข้อคิดดีๆค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 12 November 2009 - 10:47 AM
ผมว่าเคสนี้ยิ่งกว่า of the year อีกครับ
มันมัน "of the ชาติ" ก็ว่าได้ ข้อคิดจาก case ผมว่ามันมีอีกหลายมุมมองนะครับ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือ
"แล้วเราหละ ######################### "
มันมัน "of the ชาติ" ก็ว่าได้ ข้อคิดจาก case ผมว่ามันมีอีกหลายมุมมองนะครับ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือ
"แล้วเราหละ ######################### "
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"
#6
โพสต์เมื่อ 12 November 2009 - 02:53 PM
Case Studyนี้ให้ข้อคิดมากมาย และทำให้ได้ศึกษาในเรื่องกฏแห่งกรรมได้ชัดเจน
#7
โพสต์เมื่อ 14 November 2009 - 10:19 PM
ข้อคิดของผม
ผมว่ามารมันร้ายนะ สามารถเอาพวกแสบๆ ที่ทำไว้ชาติก่อน มาเกิดร่วมกันกะเราในชาตินี้ได้ด้วย แถมยังแสบเยิ่งกว่าเดิมซะด้วย
สมัยก่อน เคยสงสัยในพุทธประวิติ ว่าทำไม เทวทัต ชอบเกิดมาเจอพระโพธิสัตว์จัง แถมเจอแล้วมีแต่ทำเรื่องชั่วๆกับพระโพธิสัตว์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พอฟังเคสสุขุมาลชาติแล้ว เข้าใจเลย ว่าเป็นเพราะพวกแสบเป็นหุ่นของมาร ส่วนพวกเราเป็นหุ่นของพระ เวลาพวกเราลงมาสร้างบารมี มารก็จัดพวกแสบมาเกิดพร้อมกับเราด้วย เพื่อคอยชัดขวางหมู่คณะเรา
คิดแล้วก็สงสารพวกแสบบางตัว ที่เคยทำบุญใหญ่ๆไว้ในอดีตจนชาตินี้มีอำนาจ บารมี ยศฐาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง แต่กลับเอาผลบุญนั้นมาเป็นพลังทำชั่วในชาตินี้
ผมว่ามารมันร้ายนะ สามารถเอาพวกแสบๆ ที่ทำไว้ชาติก่อน มาเกิดร่วมกันกะเราในชาตินี้ได้ด้วย แถมยังแสบเยิ่งกว่าเดิมซะด้วย
สมัยก่อน เคยสงสัยในพุทธประวิติ ว่าทำไม เทวทัต ชอบเกิดมาเจอพระโพธิสัตว์จัง แถมเจอแล้วมีแต่ทำเรื่องชั่วๆกับพระโพธิสัตว์ซ้ำแล้วซ้ำอีก พอฟังเคสสุขุมาลชาติแล้ว เข้าใจเลย ว่าเป็นเพราะพวกแสบเป็นหุ่นของมาร ส่วนพวกเราเป็นหุ่นของพระ เวลาพวกเราลงมาสร้างบารมี มารก็จัดพวกแสบมาเกิดพร้อมกับเราด้วย เพื่อคอยชัดขวางหมู่คณะเรา
คิดแล้วก็สงสารพวกแสบบางตัว ที่เคยทำบุญใหญ่ๆไว้ในอดีตจนชาตินี้มีอำนาจ บารมี ยศฐาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง แต่กลับเอาผลบุญนั้นมาเป็นพลังทำชั่วในชาตินี้
#8
โพสต์เมื่อ 15 November 2009 - 01:16 PM
ใช่แล้วล่ะครับ คุณ Somchet ต่างกันนิดนึงเพียงแต่ว่า ที่พวกแสบๆ นี่น่าสงสาร เป็นเพราะ พวกแสบๆ นี่ก็คือ หุ่นของพระนั่นแหละ แต่ถูกมารเข้าแทรกเลยกลายเป็นหุ่นของมาร หากเราไม่หาทางช่วยพวกเขา ที่สุดแห่งธรรม(คือ สรรพสัตว์ทั้งหมด ทั้งแสบและไม่แสบ บรรลุธรรม) ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แหละครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#9
โพสต์เมื่อ 16 November 2009 - 11:15 AM
ยุคนี้มันเป็น "ยุคของเขา"น่ะครับ
เขาเลย Lock down พวกเราไว้ได้เป็นชั้นๆๆ
Time Place Persons Race Culture Politic Social Family Individaulism
นี่เอาแค่เรื่อง ยุคสมัย ก่อนนะ Time
ยุคนี้เป็นยุคเสื่อม กัลป์ไขลง
มนุษย์โลกอายุเฉลี่ย 75 ปี น้อยมากๆๆๆๆ เกิดมาไม่ทันโต มันจะตายกันแล้ว
อายุน้อยก็ทำความดีลำบาก ทำความดีได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องตายแล้ว
ชีวิตเป็นของน้อย เปรียบประดุจน้ำค้างบนยอดหญ้า เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็ย่อมเลือนหายไป
ลองคิดดูว่านักวิทยาศาสตร์ของโลก ถ้าพวกเขาอายุยืนกว่านี้คงคิดสิ่งดีๆได้อีกมากมาย
ตัวอย่าง อย่างไอน์สไตน์ถ้าเขายังไม่ตายนะ อย่าว่าแต่ทฤษฎี Cold Fusion เลย
Bio-Machanized Synergy เขาก็ทำได้
GA 's Theory คงสมบูรณ์มากกว่านี้ (Genetic Algorithms)
http://books.google....v...;q=&f=false
องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เอามาใช้สร้างบารมีได้อีกมากมาย เข้าไปถอดรหัส เอาลักษณะกายมหาบุรุษที่อยู่ใน Genes มาใช้ เอาความรู้มาใช้สร้างอุปกรณ์สร้างบารมีชั้นเลิศกันดีกว่า รึขอแค่แข็งแรงกว่านี้ก็พอได้
ชาตินี้ ลำบากจัง ส่องกระจกที ไม่หล่อ ไม่สวย ไม่ได้ใกล้เคียงพระพุทธองค์กันเลย ผิวพรรณก็ไม่งาม(เสียตังค์ไปเสริมสวยกันตั้งเท่าไหร่ ตัดทอนทานบารมีไปอีก) ตัวก็เล็กแกรน นั่งก็เมื่อย ลุกก็เมื่อย โรคก็เยอะ รักษาไม่หายอีกต่างหาก ฯลฯ
ในพระไตรปิฎก ฉบับทอง กล่าวไว้ว่า
เมื่ออายุของมนุษย์เฉลี่ยน้อยกว่า 250 ปี จักมีเหตุวิปริต ที่ไม่พบในยุคอื่นๆ คือ
1) มหาสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงครามในยุคอื่นๆจำกัดไว้แค่ การกระทบกระทั่งระหว่างแคว้น
-ในยุคนี้ เราคงคุ้นอยู่แล้วกับ World War ทั้ง 1 และ 2 ส่วน 3 ยังเกิดไม่ได้เพราะมหาปูชนียาจารย์ท่านมาเกิดกันซะก่อน
2) โรคระบาด โรคภัยไข้เจ็บในยุคอื่นๆ เป็นโรคเฉพาะคน ไม่ระบาดไปยังผู้อื่นไม่ตายทั้งเมือง
-ยุคนี้โรคภัยไข้เจ็บซับซ้อนมากขึ้น แถมรักษาไม่หายกันอีก น่ากลัวจะตาย คนโบราณเขาเรียก HA ลงเมือง
3) ทุพพิขภัย ข้าวยากหมากแพง การอดอยากจนตายทั้งเมือง ในยุคอื่นๆ พืชทุกชนิดใช้เป็นอาหารได้ แม้แต่ดินก็กินได้
-คนไทยคงนึกกันไม่ออก แค่เศรษฐกิจถดถอยก็บ่นกันแล้ว มันก็แค่ไม่มีเงินไปกิน เที่ยว เล่นกันเท่านั้นเอง ยังไม่อดตายกันทั้งเมืองซะหน่อย เดินไปปากซอยเดี๋ยวก็อิ่ม แต่คงเห็นชัดในต่างประเทศ ในหลายทวีป เช่น อัฟริกา เป็นต้น
ผู้คนในยุคนี้ยังกิเลสหนา ปัญญาหยาบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าชั่วก็ระดับชั่วตัวโคตรกันเลย
ผู้คนทำแท้งกันจนกลายเป็นปกติไป สงสารเจ้าเต่าตาบอดอุตส่าห์โผล่เข้าท้องมนุษย์ได้ แม่มันรีดทิ้งซะฉิบ T T
มาเกิดก็ยาก อยู่ให้รอดก็ยาก ตายก็ง่าย
ที่อยู่กันทุกวันนี้ รู้ตัวกันมั้ยเนี่ยว่า "อึด" กันแค่ไหน
จึงเป็นช่วงเวลาที่พระโพธิสัตว์ไม่เสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันนะครับ
เขาเลย Lock down พวกเราไว้ได้เป็นชั้นๆๆ
Time Place Persons Race Culture Politic Social Family Individaulism
นี่เอาแค่เรื่อง ยุคสมัย ก่อนนะ Time
ยุคนี้เป็นยุคเสื่อม กัลป์ไขลง
มนุษย์โลกอายุเฉลี่ย 75 ปี น้อยมากๆๆๆๆ เกิดมาไม่ทันโต มันจะตายกันแล้ว
อายุน้อยก็ทำความดีลำบาก ทำความดีได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องตายแล้ว
ชีวิตเป็นของน้อย เปรียบประดุจน้ำค้างบนยอดหญ้า เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็ย่อมเลือนหายไป
ลองคิดดูว่านักวิทยาศาสตร์ของโลก ถ้าพวกเขาอายุยืนกว่านี้คงคิดสิ่งดีๆได้อีกมากมาย
ตัวอย่าง อย่างไอน์สไตน์ถ้าเขายังไม่ตายนะ อย่าว่าแต่ทฤษฎี Cold Fusion เลย
Bio-Machanized Synergy เขาก็ทำได้
GA 's Theory คงสมบูรณ์มากกว่านี้ (Genetic Algorithms)
http://books.google....v...;q=&f=false
องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เอามาใช้สร้างบารมีได้อีกมากมาย เข้าไปถอดรหัส เอาลักษณะกายมหาบุรุษที่อยู่ใน Genes มาใช้ เอาความรู้มาใช้สร้างอุปกรณ์สร้างบารมีชั้นเลิศกันดีกว่า รึขอแค่แข็งแรงกว่านี้ก็พอได้
ชาตินี้ ลำบากจัง ส่องกระจกที ไม่หล่อ ไม่สวย ไม่ได้ใกล้เคียงพระพุทธองค์กันเลย ผิวพรรณก็ไม่งาม(เสียตังค์ไปเสริมสวยกันตั้งเท่าไหร่ ตัดทอนทานบารมีไปอีก) ตัวก็เล็กแกรน นั่งก็เมื่อย ลุกก็เมื่อย โรคก็เยอะ รักษาไม่หายอีกต่างหาก ฯลฯ
ในพระไตรปิฎก ฉบับทอง กล่าวไว้ว่า
เมื่ออายุของมนุษย์เฉลี่ยน้อยกว่า 250 ปี จักมีเหตุวิปริต ที่ไม่พบในยุคอื่นๆ คือ
1) มหาสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงครามในยุคอื่นๆจำกัดไว้แค่ การกระทบกระทั่งระหว่างแคว้น
-ในยุคนี้ เราคงคุ้นอยู่แล้วกับ World War ทั้ง 1 และ 2 ส่วน 3 ยังเกิดไม่ได้เพราะมหาปูชนียาจารย์ท่านมาเกิดกันซะก่อน
2) โรคระบาด โรคภัยไข้เจ็บในยุคอื่นๆ เป็นโรคเฉพาะคน ไม่ระบาดไปยังผู้อื่นไม่ตายทั้งเมือง
-ยุคนี้โรคภัยไข้เจ็บซับซ้อนมากขึ้น แถมรักษาไม่หายกันอีก น่ากลัวจะตาย คนโบราณเขาเรียก HA ลงเมือง
3) ทุพพิขภัย ข้าวยากหมากแพง การอดอยากจนตายทั้งเมือง ในยุคอื่นๆ พืชทุกชนิดใช้เป็นอาหารได้ แม้แต่ดินก็กินได้
-คนไทยคงนึกกันไม่ออก แค่เศรษฐกิจถดถอยก็บ่นกันแล้ว มันก็แค่ไม่มีเงินไปกิน เที่ยว เล่นกันเท่านั้นเอง ยังไม่อดตายกันทั้งเมืองซะหน่อย เดินไปปากซอยเดี๋ยวก็อิ่ม แต่คงเห็นชัดในต่างประเทศ ในหลายทวีป เช่น อัฟริกา เป็นต้น
ผู้คนในยุคนี้ยังกิเลสหนา ปัญญาหยาบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าชั่วก็ระดับชั่วตัวโคตรกันเลย
ผู้คนทำแท้งกันจนกลายเป็นปกติไป สงสารเจ้าเต่าตาบอดอุตส่าห์โผล่เข้าท้องมนุษย์ได้ แม่มันรีดทิ้งซะฉิบ T T
มาเกิดก็ยาก อยู่ให้รอดก็ยาก ตายก็ง่าย
ที่อยู่กันทุกวันนี้ รู้ตัวกันมั้ยเนี่ยว่า "อึด" กันแค่ไหน
จึงเป็นช่วงเวลาที่พระโพธิสัตว์ไม่เสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันนะครับ
#10
โพสต์เมื่อ 16 November 2009 - 12:26 PM
QUOTE
ในพระไตรปิฎก ฉบับทอง กล่าวไว้ว่า
เมื่ออายุของมนุษย์เฉลี่ยน้อยกว่า 250 ปี จักมีเหตุวิปริต
- ฟังดูน่ากลัว แต่ก็ท้าทายหมู่คณะฯที่ลงทำงานสร้างบารมีมากๆเมื่ออายุของมนุษย์เฉลี่ยน้อยกว่า 250 ปี จักมีเหตุวิปริต
- ชมพูทวีปยุคนี้ หมู่คณะฯจะได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ทั้ง ดีสุดขั้ว ชั่วสุดขีด
- ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร จะกลับที่พักระหว่างทางได้หรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ว่าเราจะดำเนินผังชีวิตไปในทิศทางใด
- ยุคนี้ต้องออกแรงงัดข้อกันอย่างหนักหน่วงเพื่อพยุงอายุพระศาสนา เพราะเงื่อนไขนั้นจำกัดด้วยกาลเวลา
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#11
โพสต์เมื่อ 16 November 2009 - 01:23 PM
จากเหตุที่ผมเล่าไว้ พระโพธิสัตว์ท่านยังไม่ลงมาตรัสรู้กัน แล้วทำไมพวกเรายังต้องมาเกิดกัน
มีได้ก็มีเสีย ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เช่นกัน
ในช่วงเวลานี้ ชาตินี้ก็ต้องมีของดีมากๆ
คนจริง ย่อมคู่กับ ของจริง
คนดี ย่อมคู่กับ ของดี
คนที่ทำในสิ่งที่ยาก ย่อมคู่กับ ของหายาก
ดูที่สิ่งปลูกสร้างครับ
พระมหาธรรมเจดีย์ และ มหาวิหารพระผู้ปราบมาร
ยืนยันได้ว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่เคยบังเกิดขึ้นมาก่อน
Never before and Never Never again
ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ
แต่ผมว่านะ พวกเราไม่ได้แค่เข้าถ้ำเสือกันหรอกครับ
อย่างพวกเราน่ะ ลงมา ล้วงมดลูกแม่เสือกันเลยครับ
ลองนึกภาพนะครับ
เอ้า ประชุมๆๆๆ มันมีลูกเสือทองคำอยู่นะ ถ้าได้มา ดียังงั้นๆ ยังงี้ๆๆ ขั้นตอนเป็นอย่างนี้นะ
เดินเข้าถ้ำ หาตัวให้เจอ วางยาสลบ มีดผ่าท้อง ควักลูกออก เย็บมดลูก เย็บปิดแผลนอก(พร้อมตกแต่งให้เนียน) ปั๊มเด็ก(ลูกเสือ)ทองคำให้รอด
เอ็งขับรถนะ เอ็งนำทางนะ เอ็งวางยานะ เอ็งเย็บแผลนะ เอ็งเลี้ยงลูกเสือนะ
โดยมี เจ้าแห่งนายพรานล่าเสือผู้คัดท้าย คุมแถวไปให้ ก็ค่อยอุ่นใจหน่อย
ความวุ่นวะวุ่นวายนั้น โอ้โห
นั่งรถมารวมกันหน้าถ้ำ รถยางแตก!!! เออ รถคว่ำซะ กระจัดกระจาย ไปไหนกันหมด
มาก็ไม่ครบ เจ้าแห่งนายพรานล่าเสือท่านก็รอนานไม่ได้นะ รีบหน่อยลูก เดี๋ยวเสือตื่น
เดินเข้าถ้ำ เอ้า หลงถ้ำกันอีก แผนที่ก็หาย ขี้เกียจเดินกันอีก งอแงบ่นอยากกลับบ้าน.....ท่านก็ต้องมาคอยปลอบ คอยโอ๋
เจอตัวแม่มันแล้ว คนวางยาสลบ -ลืมเอายามาครับ (นั่งทำใหม่กันในถ้ำ ต่อหน้าแม่เสือน่ะแหล่ะ) ระทึกๆ
หลอกล่อแม่เสือไปพลางๆก่อน เร้ววววววว ตั้งแผนกพิเศษเฉพาะกิจ(คนในวัดคงเข้าใจ) - หน่วยเต้นรำ หลอกล่อแม่เสือ
----------> สำเร็จ แม่เสือหลับแว้ววววววว
ผ่าท้องแล้ว มีดหักอีก(กรรมของเวร!) รีบๆเย็บๆๆๆๆๆ -เอาเนียนๆนะลูก เอ้า ตื่นๆๆ หลับกันซะ
ห้ามเลือดๆๆๆๆ คนเย็บแผลหายไปไหน - ไปชมดอกไม้ ที่ถ้ำข้างๆอยู่ครับ เออ = ="
เอ้า ลูกเสือทองคำออกแล้ว คนเลี้ยงๆๆ - โดนพ่อเสือมันมาลากไป เจี๊ยะ เรียบร้อยแล้วครับ เหยย
แม่เสือตื่นแล้ว เผ่นโลดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! นัดเจอกันหน้าถ้ำเน่อ
ถ้ำก็มืด เอ้า วิ่งชนกันอีก(ทะเลาะกัน) หัวร้างข้างแตก – แยกๆ มาทางนี้ๆๆๆ
ค่อยๆวิ่ง รวมกลุ่มกันไว้ อย่าแตกแถวสิ ไอ้ดอกไม้นั่นน่ะ ทิ้งไว้ก่อนเถอะ แล้วนี่ใครไปจุดไฟเผาถ้ำเค้าล่ะ
เฮ้ย พวกเสือมันตื่นกันแล้ว ฝูงเสือไล่หลังมาแล้ว!!!!!
เวลาผ่านไป ณ ปากถ้ำ แล้วมันจะกลับกันครบมั้ยเนี่ยยยยยยยยย
เจ้าแห่งนายพรานล่าเสือผู้คัดท้ายระวังหลังให้เนี่ย ท่านจะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน
แล้วจะเข้าใจกันครับ ทำไม เวลา จึงเป็นคู่แข่งของเรา
ผมแค่บอกว่า เราเข้าถ้ำเสือ มาล้วงมดลูกเสือ กันครับ แหะๆ
ผมเปรียบเทียบความยากของสิ่งที่ได้มาน่ะครับ
เราบุกลำบาก เขาก็ป้องกันลำบากเหมือนกัน
เราสูญเสีย เขาก็ย่อยยับและยังถูกลบเหลี่ยมกันขนาดไหน คิดกันเองนะครับ
แต่สิ่งที่ได้มานั้น คุ้มค่า ควรค่า สูงค่าแค่ไหน ไม่ต้องบรรยายกันล่ะนิ
มีได้ก็มีเสีย ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เช่นกัน
ในช่วงเวลานี้ ชาตินี้ก็ต้องมีของดีมากๆ
คนจริง ย่อมคู่กับ ของจริง
คนดี ย่อมคู่กับ ของดี
คนที่ทำในสิ่งที่ยาก ย่อมคู่กับ ของหายาก
ดูที่สิ่งปลูกสร้างครับ
พระมหาธรรมเจดีย์ และ มหาวิหารพระผู้ปราบมาร
ยืนยันได้ว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่เคยบังเกิดขึ้นมาก่อน
Never before and Never Never again
ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ
แต่ผมว่านะ พวกเราไม่ได้แค่เข้าถ้ำเสือกันหรอกครับ
อย่างพวกเราน่ะ ลงมา ล้วงมดลูกแม่เสือกันเลยครับ
ลองนึกภาพนะครับ
เอ้า ประชุมๆๆๆ มันมีลูกเสือทองคำอยู่นะ ถ้าได้มา ดียังงั้นๆ ยังงี้ๆๆ ขั้นตอนเป็นอย่างนี้นะ
เดินเข้าถ้ำ หาตัวให้เจอ วางยาสลบ มีดผ่าท้อง ควักลูกออก เย็บมดลูก เย็บปิดแผลนอก(พร้อมตกแต่งให้เนียน) ปั๊มเด็ก(ลูกเสือ)ทองคำให้รอด
เอ็งขับรถนะ เอ็งนำทางนะ เอ็งวางยานะ เอ็งเย็บแผลนะ เอ็งเลี้ยงลูกเสือนะ
โดยมี เจ้าแห่งนายพรานล่าเสือผู้คัดท้าย คุมแถวไปให้ ก็ค่อยอุ่นใจหน่อย
ความวุ่นวะวุ่นวายนั้น โอ้โห
นั่งรถมารวมกันหน้าถ้ำ รถยางแตก!!! เออ รถคว่ำซะ กระจัดกระจาย ไปไหนกันหมด
มาก็ไม่ครบ เจ้าแห่งนายพรานล่าเสือท่านก็รอนานไม่ได้นะ รีบหน่อยลูก เดี๋ยวเสือตื่น
เดินเข้าถ้ำ เอ้า หลงถ้ำกันอีก แผนที่ก็หาย ขี้เกียจเดินกันอีก งอแงบ่นอยากกลับบ้าน.....ท่านก็ต้องมาคอยปลอบ คอยโอ๋
เจอตัวแม่มันแล้ว คนวางยาสลบ -ลืมเอายามาครับ (นั่งทำใหม่กันในถ้ำ ต่อหน้าแม่เสือน่ะแหล่ะ) ระทึกๆ
หลอกล่อแม่เสือไปพลางๆก่อน เร้ววววววว ตั้งแผนกพิเศษเฉพาะกิจ(คนในวัดคงเข้าใจ) - หน่วยเต้นรำ หลอกล่อแม่เสือ
----------> สำเร็จ แม่เสือหลับแว้ววววววว
ผ่าท้องแล้ว มีดหักอีก(กรรมของเวร!) รีบๆเย็บๆๆๆๆๆ -เอาเนียนๆนะลูก เอ้า ตื่นๆๆ หลับกันซะ
ห้ามเลือดๆๆๆๆ คนเย็บแผลหายไปไหน - ไปชมดอกไม้ ที่ถ้ำข้างๆอยู่ครับ เออ = ="
เอ้า ลูกเสือทองคำออกแล้ว คนเลี้ยงๆๆ - โดนพ่อเสือมันมาลากไป เจี๊ยะ เรียบร้อยแล้วครับ เหยย
แม่เสือตื่นแล้ว เผ่นโลดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! นัดเจอกันหน้าถ้ำเน่อ
ถ้ำก็มืด เอ้า วิ่งชนกันอีก(ทะเลาะกัน) หัวร้างข้างแตก – แยกๆ มาทางนี้ๆๆๆ
ค่อยๆวิ่ง รวมกลุ่มกันไว้ อย่าแตกแถวสิ ไอ้ดอกไม้นั่นน่ะ ทิ้งไว้ก่อนเถอะ แล้วนี่ใครไปจุดไฟเผาถ้ำเค้าล่ะ
เฮ้ย พวกเสือมันตื่นกันแล้ว ฝูงเสือไล่หลังมาแล้ว!!!!!
เวลาผ่านไป ณ ปากถ้ำ แล้วมันจะกลับกันครบมั้ยเนี่ยยยยยยยยย
เจ้าแห่งนายพรานล่าเสือผู้คัดท้ายระวังหลังให้เนี่ย ท่านจะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน
แล้วจะเข้าใจกันครับ ทำไม เวลา จึงเป็นคู่แข่งของเรา
ผมแค่บอกว่า เราเข้าถ้ำเสือ มาล้วงมดลูกเสือ กันครับ แหะๆ
ผมเปรียบเทียบความยากของสิ่งที่ได้มาน่ะครับ
เราบุกลำบาก เขาก็ป้องกันลำบากเหมือนกัน
เราสูญเสีย เขาก็ย่อยยับและยังถูกลบเหลี่ยมกันขนาดไหน คิดกันเองนะครับ
แต่สิ่งที่ได้มานั้น คุ้มค่า ควรค่า สูงค่าแค่ไหน ไม่ต้องบรรยายกันล่ะนิ
#12
โพสต์เมื่อ 16 November 2009 - 03:24 PM
มาต่อเรื่อง TIME ยุคสมัยและเวลาครับ
ถ้าเวลามันน้อยนิดเพียงนี้ แล้วในวิกฤตนี้มี"โอกาส"อะไรซ่อนอยู่กันล่ะ
เวลาสัมพัทธ์ ครับ
ลองคิดนะ คำนวนอัตราเร็ว ของสวรรค์โดยทฤษฏีของพระพุทธเจ้าและไอน์สไตล์และรายละเอียดของเทวดา
ซึ่งความแตกต่างเวลาระหว่างโลกกับสวรรค์ชั้นต่างๆนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้โดยตรงเช่น
....ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 20 (เป็นพระสุตันตปิฏกเล่ม 12) อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ข้อที่ 510
....ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 23 (เป็นพระสุตันตปิฏกเล่ม 15) อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาท ข้อที่ 132,133 และ 135
โดยในกระทู้ที่แล้วจะคำนวณ โดยใช้ 1 ปี = 365 วันหรือ 366 วันถ้าเป็นปีอธิกสุรทินซึ่งเป็นปีในแบบที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ แต่ผลคำนวณในกระทู้นี้จะใช้ 1 ปี = 360 วันตามพระพุทธพจน์ ซึ่งก็ได้ผลออกมาใกล้เคียงกัน
ตัวอย่างวิเคราะห์สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
...พระพุทธพจน์ : " ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๑๖๐๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี....๑๖๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้นเป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี "
...วิเคราะห์อายุขัย : นั้นคือบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี 1 วัน = 16000 ปีมนุษย์
เทวดาชั้นนี้อายุขัย 16000 ปีบนสวรรค์ = 16000 x 360 วันบนสวรรค์
= 16000 x 360 x 1600 ปีมนุษย์
= 9216 ล้านปีมนุษย์
...วิเคราะห์อัตราเร็วสัมพัทธ์กับโลก
v = 299792457.9999954820 m/s (เมตร/วินาที) หรือ
v = 0.99999999999998492959 c
( 0.99999999999998492959 เท่าของอัตราเร็วแสง )
ในโลกของ เทวดา
อัตราเร็วที่สัมพัทธ์กับโลก เริ่มตั้งแต่ 299,792,457.8876 m/s
เทียบเท่ากับอัตราเร็วของแสง 99.9999999625674% ของแสง.
อัตราเร็วที่สัมพัทธ์กับโลก จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ในสวรรค์ ชั้นสูง
ซึ่งนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ ทำให้มิติของโลกเรานี้ กับ มิติโลกสวรรค์ นั้นติดต่อกันไม่ได้ง่ายๆเนื่องจากมีอัตราเร็วที่สัมพัทธ์กันระหว่างมิติสูงมาก.
ซึ่งการติดต่อระหว่างมิติทั้งสองนี้ ทำได้ โดยการเพิ่มอัตราเร็วทางจิตให้เที่ยบเท่ากับ อัตราเร็วที่สัมพัทธ์กับโลก ของ โลกวิญญาน.
ที่พูดมาทั้งหมดนี่ผมเพียงแค่จะบอกว่า
ในโลกมนุษย์เราจะเคลื่อนไหวเร็วมากจน"เขา"มองตามไม่ทัน
นี่เป็นข้อได้เปรียบมากในยุคสมัยนี้ครับ
เทพบุตรบนสวรรค์กำลังหันหน้าไปชมวิมานอยู่ หันกลับมาอีกที อ้าว ลูกฉัน ตายซะแล้ว
ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีงานอยู่ตลอดเวลาครับ อย่าหยุดครับ อย่าหยุดนิ่ง(ภายนอกนะ)
หลวงพ่อท่านจึงต้องชักชวนพวกเราทำงานบุญอยู่ตลอดเวลายังไงล่ะครับ ช้าไม่ได้ ช้านิดเดียว เขาเห็นล่ะก็........
เมื่อเทียบกับภพชาติที่ผ่านมาน่ะเหรอ เราทำบุญกันสบายๆ 2 ปี 1 โปรเจค ทำอีกที 5 ปี ข้างหน้า
โถ ก็นานๆทำกันทีอย่างนี้ นี่เล่า จึงประมาทกันถ้วนหน้าซะ
ชาตินี้เลยได้รับตำแหน่ง "อดีตคนเคยรวย" กันถ้วนหน้าเหมือนกัน
ใครที่คิดว่า เสร็จงานนี้แล้ว ฉันพอแล้ว หยุดแล้ว จะไปเที่ยวรอบโลก(ฝันไปเหอะ)
โห หลวงพ่อเจ้าขา ต้นปีก็หมื่น ปลายปีก็แสน ยังไม่ได้ไปเที่ยวกันเลยเจ้าค่ะ
โถ ลูก มันหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดก็โดนหยุดลมหายใจ(ใครจะไปกล้าบอกเธอตรงๆล่ะจ๊ะ)
มีโอกาสได้ทรัพย์มาทำบุญแล้วยังบ่น พวกนี้นี่!!!
แต่งานที่พวกเราต้องทำนับว่า ต้องให้ไวกันแล้ว ใจที่คิดจะทำน่ะ ตัดสิน ตัดใจกันไวกว่านั้นอีกนะครับ
คนแถวนี้น่ะ หัวใจไวกว่าแสง จนไอน์สไตน์ยังคำนวณไม่ได้เลย (ว่าไปนั้น แหะๆ )
ถ้าเวลามันน้อยนิดเพียงนี้ แล้วในวิกฤตนี้มี"โอกาส"อะไรซ่อนอยู่กันล่ะ
เวลาสัมพัทธ์ ครับ
ลองคิดนะ คำนวนอัตราเร็ว ของสวรรค์โดยทฤษฏีของพระพุทธเจ้าและไอน์สไตล์และรายละเอียดของเทวดา
ซึ่งความแตกต่างเวลาระหว่างโลกกับสวรรค์ชั้นต่างๆนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้โดยตรงเช่น
....ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 20 (เป็นพระสุตันตปิฏกเล่ม 12) อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ข้อที่ 510
....ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 23 (เป็นพระสุตันตปิฏกเล่ม 15) อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาท ข้อที่ 132,133 และ 135
โดยในกระทู้ที่แล้วจะคำนวณ โดยใช้ 1 ปี = 365 วันหรือ 366 วันถ้าเป็นปีอธิกสุรทินซึ่งเป็นปีในแบบที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ แต่ผลคำนวณในกระทู้นี้จะใช้ 1 ปี = 360 วันตามพระพุทธพจน์ ซึ่งก็ได้ผลออกมาใกล้เคียงกัน
ตัวอย่างวิเคราะห์สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
...พระพุทธพจน์ : " ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๑๖๐๐ ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี....๑๖๐๐๐ ปีทิพย์โดยปีนั้นเป็นประมาณอายุของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี "
...วิเคราะห์อายุขัย : นั้นคือบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี 1 วัน = 16000 ปีมนุษย์
เทวดาชั้นนี้อายุขัย 16000 ปีบนสวรรค์ = 16000 x 360 วันบนสวรรค์
= 16000 x 360 x 1600 ปีมนุษย์
= 9216 ล้านปีมนุษย์
...วิเคราะห์อัตราเร็วสัมพัทธ์กับโลก
v = 299792457.9999954820 m/s (เมตร/วินาที) หรือ
v = 0.99999999999998492959 c
( 0.99999999999998492959 เท่าของอัตราเร็วแสง )
ในโลกของ เทวดา
อัตราเร็วที่สัมพัทธ์กับโลก เริ่มตั้งแต่ 299,792,457.8876 m/s
เทียบเท่ากับอัตราเร็วของแสง 99.9999999625674% ของแสง.
อัตราเร็วที่สัมพัทธ์กับโลก จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ในสวรรค์ ชั้นสูง
ซึ่งนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ ทำให้มิติของโลกเรานี้ กับ มิติโลกสวรรค์ นั้นติดต่อกันไม่ได้ง่ายๆเนื่องจากมีอัตราเร็วที่สัมพัทธ์กันระหว่างมิติสูงมาก.
ซึ่งการติดต่อระหว่างมิติทั้งสองนี้ ทำได้ โดยการเพิ่มอัตราเร็วทางจิตให้เที่ยบเท่ากับ อัตราเร็วที่สัมพัทธ์กับโลก ของ โลกวิญญาน.
ที่พูดมาทั้งหมดนี่ผมเพียงแค่จะบอกว่า
ในโลกมนุษย์เราจะเคลื่อนไหวเร็วมากจน"เขา"มองตามไม่ทัน
นี่เป็นข้อได้เปรียบมากในยุคสมัยนี้ครับ
เทพบุตรบนสวรรค์กำลังหันหน้าไปชมวิมานอยู่ หันกลับมาอีกที อ้าว ลูกฉัน ตายซะแล้ว
ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีงานอยู่ตลอดเวลาครับ อย่าหยุดครับ อย่าหยุดนิ่ง(ภายนอกนะ)
หลวงพ่อท่านจึงต้องชักชวนพวกเราทำงานบุญอยู่ตลอดเวลายังไงล่ะครับ ช้าไม่ได้ ช้านิดเดียว เขาเห็นล่ะก็........
เมื่อเทียบกับภพชาติที่ผ่านมาน่ะเหรอ เราทำบุญกันสบายๆ 2 ปี 1 โปรเจค ทำอีกที 5 ปี ข้างหน้า
โถ ก็นานๆทำกันทีอย่างนี้ นี่เล่า จึงประมาทกันถ้วนหน้าซะ
ชาตินี้เลยได้รับตำแหน่ง "อดีตคนเคยรวย" กันถ้วนหน้าเหมือนกัน
ใครที่คิดว่า เสร็จงานนี้แล้ว ฉันพอแล้ว หยุดแล้ว จะไปเที่ยวรอบโลก(ฝันไปเหอะ)
โห หลวงพ่อเจ้าขา ต้นปีก็หมื่น ปลายปีก็แสน ยังไม่ได้ไปเที่ยวกันเลยเจ้าค่ะ
โถ ลูก มันหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดก็โดนหยุดลมหายใจ(ใครจะไปกล้าบอกเธอตรงๆล่ะจ๊ะ)
มีโอกาสได้ทรัพย์มาทำบุญแล้วยังบ่น พวกนี้นี่!!!
แต่งานที่พวกเราต้องทำนับว่า ต้องให้ไวกันแล้ว ใจที่คิดจะทำน่ะ ตัดสิน ตัดใจกันไวกว่านั้นอีกนะครับ
คนแถวนี้น่ะ หัวใจไวกว่าแสง จนไอน์สไตน์ยังคำนวณไม่ได้เลย (ว่าไปนั้น แหะๆ )