ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ดอกสร้อยแสดงธรรม 24 ฉากชีวิต โดย สิริวยาส เอามาฝากครับ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 usr32350

usr32350
  • Members
  • 9 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 January 2010 - 02:37 AM

ดอกสร้อยแสดงธรรม 24 ฉากของชีวิต โดย สิริวยาส (พุทธทาส ภิกขุ)

ความเกิด
ความเอ๋ยความเกิด
จงดูเถิดยากเข็ญเป็นไหน ๆ
เจ็บปวดทั้งแม่ลูกเหมือนถูกไฟ
เพื่ออะไรกันแน่ลองแก้มา
เกิดเพื่อกินเพื่อเล่นหรือเพื่อหลับ
หรือเพื่อรับมรดกกระมังหนา?
หรือเกิดเพียงเพื่อเติบโตเช่นโคลา
ส่วนตูว่าเกิดเพื่อก่อบ่อบุญเอย

ความเป็นเด็ก
ความเอ๋ยความเป็นเด็ก
ตัวยังเล็กใจก็เล็กไม่อยากใหญ่
เพียงได้กินได้เล่นก็เย็นใจ
ไม่มีไฟสุมเผาให้เร่าร้อน
เพราะผู้ใหญ่ใจกระพือหรือจึ่งเศร้า
มิน่าเล่าจึงมักสะท้อนถอน
ถ้าผู้ใหญ่"ใจเล็ก"เหมือนเด็กอ่อน
คงเร่าร้อนน้อยกว่าที่มีอยู่เอย

ความเติบโต
ความเอ๋ยความเติบโต
ถึงม้าโคก็รู้เติบเขยิบได้
อันเติบกายเติบง่ายกว่าเติบใจ
กินเข้าไปก็เติบได้ไม่ต้องกลัว
ส่วนเติบใจเติบยากลำบากนัก
มีแต่มักแฟบไปเพราะใจชั่ว
ปรนแต่กายใจก็ตายไปจากตัว
ไยจะมัวเติบกายขายหน้าเอย

ความหนุ่ม
ความเอ๋ยความหนุ่ม
เหมือนไฟสุมขอนไม้ไม่เห็นแสง
แต่ที่แท้ความร้อนระอุแรง
ถูกศรแผลงคลุ้มคลั่งขังอยู่ใน
ล่วงละเมิดศีลธรรมทำกรรมชั่ว
นั่นจะมัวบ้าตะบึงไปถึงไหน
โอ้ความหนุ่มหนุ่มเช่นนี้ดีอะไร
ต่อเมือใดเย็นซึ้งจึ่งดีเอย

ความสาว
ความเอ๋ยความสาว
เหมือนไฟวาวแวบไหวให้เห็นแสง
คือเฝ้าแต่งไปท่าเดียวทั้งเขียวแดง
ตั้งหน้าแข่งกันจริง ๆ กว่าสิ่งใด
ถึงงามรูปงามทรัพย์และงามวิทย์
ไม่สนิทเหมือนงามธรรมจรรยาได้
หรือธรรมชาติสร้างเพื่อตกแต่งไป
จะหยุดได้ต่อแก่เฒ่าหรือเจ้าเอย

ความคนอง
ความเอ๋ยความคนอง
ถึงในห้องก็กล้าเข้าหาได้
แม้ฝนตกฟ้าร้องให้ก้องไป
ถ้าลงได้คึกคนองไม่ต้องกลัว
เมื่อคิดไปใยคนองแต่ต้องหอ
มัวกก กอ นัวเนียเรื่องเมียผัว
ไยมิลอง"คนองธรรม"บำเพ็ญตัว
ให้หยุดรัวระริกเร้านะเจ้าเอย


ความขวนขวาย
ความเอ๋ยความขวนขวาย
กระทั่งตายมิเห็นหยุดทรุดนั่งนี่
ไหนอยู่ไหนขีดเพียงพอขอดูที
อ้อไม่มีดอกหรือเจ้าเราขอบใจ
บอกตรง ๆ เช่นนี้มีทางช่วย
ให้สดสวยเย็นฉ่ำกว่าน้ำไหล
คือขวนขวายสัจจธรรมที่ล้ำนัย
มาใส่ใจบ้างซิเจ้าไม่เศร้าเอย

ความทะยาน
ความเอ๋ยความทะยาน
มีประจำสันดานไม่หลุดถอน
มันร่านหาสิ่งใหม่สวยตราบม้วยมรณ์
ไม่พักสอนป่วยการร่านเป็นเอง
ยามตายก็เป็นสหายเพื่อนจุติ
เที่ยวร่านริกันใหม่ใจเขย่ง
ชะเง้อหาใหม่เรื่อยไปไม่หมดเพลง

ความกิน
ความเอ๋ยความกิน
เป็นทาสลิ้นดิ้นรนขวนขวายหา
กินแปลก ๆ แผกชนิดคิดขึ้นมา
เพื่อตัณหาหรือเพื่อเนื้อหนังตัว?
ชอบรสแปลกและพร่ำเพรื่อ
"อยู่เพื่อกินมิใช่กินเพื่ออยู่"ดูน่าหัว
ถ้ากินเพื่อใจผ่องใสไม่ขุ่นมัว
เพียงกายว่องคล่องตัวชั่วไหมเอย?

ความอยู่
ความเอ๋ยความอยู่
เพื่อหราหรูอวดกันกระนั้นซิ
เข้าชมตัวมัวแย้มแก้มแทบปริ
อุตริจริงหนอเจ้าน่าเศร้าใจ
อยู่ในโลกเอาโลกแหละเป็นครู
อยู่เพื่อรู้ความจริงดอกจะบอกให้
ถ้าหลงโลกก็หมุนติดกับโลกไป
จะหยุดได้ต่อเมื่อไรไม่เห็นเอย

ความสุข
ความเอ๋ยความสุข
ใคร ๆ ทุกคนชอบเจ้าเฝ้าวิ่งหา
"แกก็สุขฉันก็สุขทุกเวลา"
แต่ดูหน้าตาแห้งยังแคลงใจ
ถ้าเราเผาตัวตัณหาก็น่า "สุข"
ถ้ามันเผาเราก็ "สุก" หรือเกรียมได้
เขาว่า "สุข สุขเน้ออย่าเห่อไป
มันสุขเย็นหรือสุกไหม้ให้แน่เอย

ความทุกข์โศก
ความเอ๋ยความทุกข์โศก
ของมีอยู่คู่โลกอย่าสงสัย
ยังหลงมัว"ตัวตน"อยู่กลใด
เป็นต้องได้โศกแน่แม้แต่ลอง
ทุกสิ่งสรรพเกิดดับอยู่ตามธรรม
ใจเจ้ากรรมเข้ารับเอาเป็นเจ้าของ
ต้องพลอยเข็ญพลอยทุกข์ทุกทำนอง
แล้วแต่ของของ "ตน"เป็น เช่นไร เอย

ความเจ็บไข้
ความเอ๋ยความเจ็บไข้
มันมีไว้ทุกข์กันเล่นเช่นนั้นหรือ?
อ๋อมิใช่มีไว้เพื่อฝึกปรือ
ให้รีบรื้อความรู้ขึ้นสู่ตน
คืออย่าง่านนาน ๆ ผ่านมาครั้ง
คิดดูมั่งวันสบายมากหลายหน
ถ้ามิชอบแก่เจ็บตายและว่ายวน
จงรีบค้นพระนิพพานอย่าคร้านเอย

ความแก่
ความเอ๋ยความแก่
เป็นเพื่อนแท้ของความตายไม่หน่ายหนี
เมื่อความแก่ล่วงกาลมานานปี
ก็มอบเวนหน้าที่ให้ความตาย
ไม่ยกเว้นใคร ๆ ไม่ลำเอียง
มิให้ใครหลีกเลี่ยงหรือเถียงได้
เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหญิงชาย
รีบทำดีก่อนตายให้มากเอย

ความรู้สึก
ความเอ๋ยความรู้สึก
ได้สำนึกเมื่อใกล้ตายนี่หนอ
เวลาเหลือน้อยกระไรแทบไม่พอ
มัวรีรอเห็นจะแย่แน่ละเรา
ทำอย่างใดใจเย็นแสนจะเย็น
ต้องรีบเฟ้นใส่ตัวไม่มัวเขลา
พบให้ได้ก่อนตายไม่ตายเปล่า
ไม่เกิดเปล่าเปลืองเปล่านะเราเอย

ความตาย
ความเอ๋ยความตาย
สิ้นชื่อหายเพราะไม่มีความดีเหลือ
คือตายเน่าตายหนอนเป็นบ่อนเบือ
น่าเหม็นเบื่อตายเช่นนี้ดีอะไร
ถ้าตัวตายไว้ลายให้โลกเห็น
ก็เหมือนเป็นอยู่คู่หล้าอย่าสงสัย
ตายแต่เปลือกเยื่อในอยู่คู่โลกไป
เป็นประโยชน์แก่ใคร ๆ ไม่สิ้นเอย

ความเกิดใหม่
ความเอ๋ยความเกิดใหม่
เกิดทำไมกันอีกเล่าเราฉงน
เกิดเพื่อวิ่งแข่งกันใหม่ใช่ไหมคน
ที่ยากจนยิ่งอยากลองเกิดปองรวย
ที่มั่งมีอยากทวียิ่งขึ้นไป
เผลก็ไพล่มาต้นแถวแล้วคิดขวย
ต้องเกิดใหม่ใหลหลงจนงงงวย
"ไม่รู้ด้วย เกิดทำไมไม่คิดเอย"

ความหลง
ความเอ๋ยความหลง
เกิดในกรงตายในกรงไม่ทายได้
ว่าถ้าตนพ้นออกนอกกรงไป
จะสุขศานติ์ ปานใดไม่เคยคิด
"แสงสว่างบังลูกตา"น่าขบขัน
เราติดมันกลับเห็นเป็นมันติด
อันหนอนพริกว่าพริกเย็นไม่เป็นพิษ
ร้อนสักนิดใครว่าร้อนห่อนเชื่อเอย

ความว่ายเวียน
ความเอ๋ยความว่ายเวียน
เพียงแต่เปลี่ยนกายดอกจะบอกให้
ดวงกมลทนระกำอยู่ร่ำไป
เปลี่ยนฉากใหม่เรื่องเก่าเศร้าเช่นเดิม
ความอยากร่าน หาญเหิมเพิ่มทุกชาติ
เหมือนยิ่งสาดน้ำมันใส่ให้ไฟเหิม
เมื่อ"ไฟ"อ่อนหย่อนไป ใส่"ฟืน" เติม
เฝ้าส่งเสริมความใคร่ว่าไป เอย

ความตรัสรู้
ความเอ๋ยความตรัสรู้
หยุดเวียนว่ายคล้ายครูผู้ชี้เช่น
คือรู้ชัดเกิดแก่ตายฝ่าย"ลำเค็ญ"
อวิชชาตัณหาเป็น"ผู้ปลูกทุกข์"
ฆ่าตัณหานายช่างให้วางวาย
อวิชชาดับหายก็ลุสุข
มรรคมีองค์แปดประการ"ทางผ่านทุกข์"
ไปสู่สุขคือฆ่าตัณหาเอย

ความหลุดพ้น
ความเอ๋ยความหลุดพ้น
หลังจากด้นค้นหามามากหลาย
ได้ผ่านด่านพ้นการต้องเกิดตาย
เพิ่งสมหมายได้บัดนี้ดีใจรับ
อวิชชาดับแล้วเห็นตามเป็นจริง
ว่า สรรพสิ่งผูกเราเพราะเราจับ
มากอดรัดด้วยดวงใจไว้กระชับ
เดี๋ยวนี้กลับตรงกันข้ามงามนักเอย

ความหยุดแล่น
ความเอ๋ยความหยุดแล่น
เคยอกแอ่นวิ่งว่ายมิได้หยุด
ในบัดนี้ไม่มีที่ซึ่งอยากหยุด
เพราะใจหลุดจากโลกไม่แล่นตาม
บัดนี้เหยื่อโลกนั้นเป็นหมันเปล่า
สำหรับเราล่อไม่จับไม่วับหวาม
เจ้าแม่เอ๋ยความหยุดได้ไม่มีความ
เกี่ยวเกาะกามนี้เย็นเหลือทุกเมื่อเอย

ความไม่เกิด
ความเอ๋ย ความไม่เกิด
เพราะความรู้ อันประเสริฐ ไม่ใหลหลง
รู้ว่าเกิด มาเพื่อเรียน ให้รู้ตรง-
ที่ไม่หลง ใหลเกิด เตลิดไป
ความเยือกเย็น สูงสุด หยุดอยู่ที่
ความไม่มี เหตุให้ เกิดไปใหม่
ถ้ามีเหตุ ให้เกิด อยู่เพียงใด
ต้องเกิดไป ทนไป ไม่เว้นเอย

พระนิพพาน
พระเอ๋ย พระนิพพาน
คือความผ่าน ไปกระทั่ง ถึงฝั่งฝา
แห่งห้วงน้ำ ความทุกข์ ซึ่งบุกมา
มิรู้ว่า กี่ชาติ อนาถหนัก
เคยเหยียบซ้ำ รอยเก่า ไม่ก้าวไป
บัดนี้ได้ ชำนะทุกข์ สุขใจนัก
แต่นี้ไป แม้ใคร จะชัง รัก
ใครหนอจัก จับเราได้ ไม่เห็นเอย

เชิงอรรถ
ใจเล็ก หมายถึงรู้สันโดษ ข่มตัณหาที่กระพือไม่มีขนาดวัดได้
ตัณหา หรือความทะยานของสัตว์เป็นเหตุให้ถือปฏิสนธิใหม่
มาต้นแถว คือ กลับทรุดใหม่
ฉากใหม่เรื่องเก่า คือ เกิดมาชาติไร ก็แสดงเรื่อง "ยึดตัวตน" ทุกชาติจนกว่าจะหยุดแสดง
คล้ายครู คือ คล้ายพระพุทธองค์
สุขในที่นี้ หมายถึง พระนิพพาน เป็น อสังขตธรรม จึงว่าลุ ไม่ว่าเกิด เพราะใครทำพระนิพพานให้เกิดขึ้นด้วยการกระทำของตนไม่ได้ พระนิพพานมีอยู่เองก่อนแล้ว


#2 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 19 January 2010 - 08:47 AM

"สักแต่ว่า"...............