ทำให้ใจไม่ใส
#1
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 04:32 PM
พ่อผมบอกว่าทำหมดตัวแล้วจะบาป แม่ผมบอกทำแต่บุนแล้วจะเอาอะไรกิน
ผมหมั่นทำทาน ศีล ภาวนา ทุกวัน อย่างเชื่อมั่นในบุน มีบุนเปนที่พึ่ง
ผมไม่รู้จะอธิบายกับเค้าอย่างไรดีให้เค้าเข้าใจเรื่องการให้ทาน
บางทีผมทำบุนไม่คิดเลยว่าจะเหลือเงินกินอะรัย จะซื้อของที่อยากได้ก็เอามาทำทานกับเนื้อนาบุนก่อน สุดท้ายผมรู้ตัวเองว่าทำบุนจนตัวเองเดือดร้อน
แต่ผมไม่คิดเสียดาย คิดแต่ว่าผมไม่มีเพราะบุนยังไม่พอต้องทำ ๆ ผมหวังว่าสักวันนึงต้องเต็ม ให้ทันใช้ส้างบุนส้างบารมีให้ทันในชาตินี้
ผมคิดว่าผมทำทานมาไม่พอ บุนยังไม่เต็ม ผมจะอทิดทานให้มีกำลังทรัพย์ทุกครั้ง
ผมจะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้อย่างไรคับ ผมไม่อยากทะเลาะกับท่าน
#2
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 05:55 PM
หนึ่ง คุณเจ้าของกระทู้กำลังบอกว่า "ทำบุญเต็มกำลัง" ในขณะที่ เจ้าของกระทู้ก็บอกว่า "ทำบุญจนตัวเองเดือดร้อน"
คือ อย่างนี้ครับ หากทำบุญจนตัวเองเดือดร้อน นั้นไม่ได้เรียกว่า ทำบุญเต็มกำลังนะครับ แต่เรียกว่า "ทำบุญเกินกำลัง" ครับ
ถ้าทำบุญเต็มกำลังจริงๆ แล้ว ตัวเองจะไม่เดือดร้อนครับ ผมยืนยัน
ดังนั้น ก่อนที่จะไปอธิบายคุณพ่อคุณแม่ ผมอยากให้เจ้าของกระทู้อธิบายให้ตัวเองเข้าใจก่อนว่า ตัวเราเองเข้าใจคำสอนของ
หลวงพ่อถูกต้องจริงแท้หรือไม่น่ะครับ หากยังไม่เข้าใจ คือ หลวงพ่อสอนอย่าง แต่เราไปอธิบายอีกอย่าง คนที่ฟังเขาไม่ได้
เข้าใจผิดมาถึงเราคนเดียว แต่จะเข้าใจผิดไปถึงครูบาอาจารย์ของเราด้วย ดังนั้น ขอให้ลองไปถามตัวเองตามข้างต้นอีกครั้งนะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 06:06 PM
อธิบายแบบนี้นะ คนเราจะดีไม่ดีอยู่ที่อะไร ขอตอบว่านิสัยนั่นแหละ เป็นตัวผลักดันข้างหลัง แต่วัดเรานั้นทุกบาททุกสตางค์ 1.คุณยายสอนต่อๆกันมาตลอดทั้งพระแหละวัด ให้ใช้จ่ายอย่างประหยัดสุดประโยชน์สูง
2.วัดสอนคนธรรมดาให้ดีขึ้นเป็นแสนเป็นล้านๆคน ทั่วโลก ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถ้าเรากล้าคิดจะทำเองบ้าง คุณกล้าทำไหม
3.ถูกแล้วที่คิดทำแบบไม่เสียดาย ถูกแล้วที่ยึดทาน ศีล ภาวนาเป็นที่ตั้ง ถูกแล้วที่มองว่าถูกเนื้อนาบุญจะหาวัดไหนที่คิดสอนคนทั้งโลกให้เป็นคนดี
4.แต่การที่จะอธิบายคนที่ไม่เคยมาวัด ไม่มีคนแนะนำดีๆให้ ไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน ... ยากอยู่ที่จะเข้าใจและคำนวณบุญได้คร่าวๆ
5.ควรสอนให้หัดสวดมนต์ อธิษฐานไปก่อนเรื่อยๆพอปรับใจบ้างค่อยอธิบาย อนิสงค์ของบุญที่ทำไปนั้นๆ
6.ทานบารมี นั้นมี3ขั้น คือขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงถึงสละได้แม้ชีวิต แต่ทั้งหมดต้องมีอธิษฐานกำกับขณะที่ใจใสๆเท่านั้นจึงจะสมบูรณ์และเห็นผลเร็วแรง
7.ยายสอนให้หัดทำจากง่ายๆไปก่อนต้องรู้จักการสละ เพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไม่ใช่ประโยชน์ตน แล้วค่อยมานึกปลื้มกับบุญนั้นๆ ค่อยอธิษฐาน
8.ยายไม่เคยสอนให้ทำบุญแล้วตัวเอง ครอบครัว หรือคนรอบข้างเดือดร้อน ให้แบ่งเป็นกองๆ เหลือจากที่จำเป็นค่อยมาทำบุญใจจะใสสบายกว่า เว้นแต่มุ่งบารมีสูงๆ นั่นคือใจต้องสูงตามนะ
9.ทุกอย่างยังต้องการเวลาส่งผล ต้นไม้จะออกดอกผลนั้นต้องให้เวลาบ้าง เราไม่ควรด่วนรีบ มีเวลาเร่งฝึกใจหยุดในหยุด นิ่งในนิ่งไปเรื่อยๆ เดียวเห็นเองครับ
10.ให้คนรอบๆข้างช่วยแนะนำดีกว่าพูดเองครับ พ่อแม่ ท่านเห็นเราเป็นเด็กเสมอ ท่านรักมากก็ห่วงมาก เป็นธรรมดาครับ เว้นแต่เราหน้าใสใจสว่างดูดีขึ้นท่านก็จะไม่ห่วงเองแหละครับ
11.อย่าคิดแก้ไขคนอื่นแต่ให้ปรับตัวเพื่อเข้าคนอื่นๆให้ได้ทุกสถานการณ์
#4
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 07:01 PM
เรียนให้เก่งจนพ่อแม่ทึ่งแล้วชวนท่านเข้าวัด อย่าลืมหน้าที่หลักสำหรับวัยของเราที่คุณพ่อคุณแม่ท่านหวังไว้กับเราอันดับแรกคือการเรียนครับ :-)
แล้วต้อง balance ระหว่าง ทาน ศีล แและภาวนา ด้วยนะครับ
เริ่มหัดเบื้องต้นจากการใช้ภาษาไทยก่อนนะครับ :-) ขออนุโมทนาบุญด้วยกับบุญที่ได้ทำไปทุกบุญด้วยนะครับ สาธุๆ
#5
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 07:54 PM
มีเพื่อนที่เขาทำแบบนี้และถูกที่บ้านว่าเหมือนกัน เขาจะควักเงินออกมาทำจนหมดกระเป๋า เคยถามว่าทำไมทำจนหมด แล้วจะเอาอะไรกิน เขาก็ตอบว่า ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันก็คงจะมีเงินเข้ามา เพราะเขาเองก็ไม่ได้ทำงานที่รับเงินเดือนเพียงครั้งเดียว และทุกครั้งที่ทำเขาจะใจใส เบิกบานแล้วก็เชื่อในบุญที่ทำลงไปมาก และหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันก็มีงานเข้ามาจริงๆ เรื่องแบบนี้ใช้ได้กับบางคนนะค่ะ
ถึงแม้เราจะไม่มีปัจจัยมาทำมากๆ เหมือนคนอื่น ก็ให้ใช้แรงกาย และแรงใจมาทำแทนค่ะ แต่ขอให้ทำบุญต่อเนื่องนะค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 08:34 PM
...ทำหมดตัวแล้วบาปไม่เคยมีในกัปใด หรืออสงค์ขัยใด ทำบุญแล้วได้บาปไม่มี มีแค่บุญปนบาป เพราะบาปกับบุญแยกกันอย่างชัดเจน ไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ดังนั้นทำบุญหมดตัวแล้วได้บาป จึงไม่มี แต่หากเสียดายทรัพย์ ก็มีแค่บุญหย่อน บุญตกหล่น แต่ไม่เคยเป็นบาปใดๆอย่างแน่นอน
...อธิบายอย่างไรเรื่องทาน ก็ไม่ยาก การให้ คนที่ไม่คิดแต่จะเอาจากคนอื่นอย่างเดียว ย่อมทำได้ การให้ หากคนที่คิดแต่จะเอาจากคนอื่นอย่างเดียว ย่อมทำไม่ได้ การให้เป็นการสละทรัพย์ เพื่อให้ผู้รับสมปรารถนา ให้เขามีความสุข ให้เขาพบเจอในสิ่งที่ดี ฯลฯ ...การให้ คนชั่วทำได้ยาก คนดีทำได้ง่าย เพราะการสละเป็นสิ่งที่แน่นอนว่าของหรือทรัพย์นั้นต้องหมดไป แต่หมดไปเพื่ออะไร? ประโยชน์ของทานมีมากมาย ความสุขที่ได้จากทานมีมากมาย ...หากไม่ให้ ก็ย่อมไม่ได้ ที่ได้ในชาตินี้ ก็เพราะเคยให้ในชาติก่อนมา แต่เพราะในวัฏฏะทำให้เราลืมหมด ว่าเคยไปให้อะไรไว้ในชาติก่อนแค่นั้นเอง...
...การทำบุญโดยตัวเราเดือดร้อน ต้องพิจารณาว่าเดือดร้อนจริงแค่ไหน หากเราสละอาหารมื้อสุดท้าย เพื่อผู้อื่นที่หิวกว่า เขามีความสุข เขาได้รับอาหารมีชีวิตต่อไป แต่คุณหิวต่อไป หากมองว่า การหิวของตัวเราเป็นสิ่งที่เดือดร้อน บุญจะหย่อน ความอดทนและเข้าใจเรื่องทานของเรา ยากที่คนจะเข้าใจหากทำทานน้อย เพราะยิ่งทำทานมาก จะมองเหตุผลของคำว่า เดือดร้อนได้กว้างขึ้น จากนั้นจะเข้าใจ และคำว่าตัวเราเดือดร้อนเมื่อทำทานจะค่อยๆเลือนหายไป..
..เป้าหมายการสร้างบารมี ย่อมมีแน่ในเรื่องอุปสรรคขัดขวาง หากเรายังไม่ลึกซึ้ง เรื่องของ ทาน ศีล ภาวนา และการสร้างบารมีเพียงพอ เรามักจะย้อนมามองตัวเอง สงสารตัวเอง ฯลฯ พอคิดก็ท้อ ใจก็ไม่ใส กำลังใจสร้างบารมีก็ถูกบั่นทอน นี่คือเล่ห์กลของพญามาร ..หลายคนมัวแต่รอให้มีทรัพย์แล้วค่อยทำบุญ แต่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยว่า เราจะรักษาลมหายใจเข้าออกไปถึงเวลานั้นได้ พุ่งนี้เราก็อาจตาย วันนี้เราก็อาจตายได้ตลอดเวลา การจะสร้างบารมี ต้องคุยกับตัวเองให้เสร็จ เมื่อคุยเสร็จจะเอาไงต่อก็ตกลงให้เรียบร้อยกับตัวเรา และจะไม่คิดย้อนคิดไปมาอีก เท่านี้ก็ลุยได้เต็มที่แล้วจ้า.... ใจไม่แข็ง ศรัทธาไม่พร้อม ความรู้ยังไม่เพียงพอ จะทำให้การสร้างบารมีติดขัด ต้องขจัดออกไป ถ้าทำได้ บุญใหญ่ใดๆ คุณก็ทำได้ และทำได้อย่างดีซะด้วย.... อย่าท้อ.. เพราะเวลาคุณไม่ได้เหลือมากพอสำหรับท้อ หรือเหลือมากพอสำหรับคิดไตรตรอง...
#8
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 09:09 PM
#9
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 11:37 PM
ขอแยกเป็นกรณีค่ะ
1.ต้องขออนุโมทนาบุญกับคุณเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ ที่มีความตั้งใจในการสร้างมหาทานบารมีอันยิ่งใหญ่ ด้วยการทุ่มเททำเต็มที่เต็มกำลัง
ด้วยใจที่ไม่เสียดายในทรัพย์แม้แต่นิดเดียว คุณควรหมั่นนึกถึงบุญทุกบุญที่คุณได้ทำดีแล้วทุก ๆ วัน จึงจะถูกวิธี บุญจะส่งผลให้คุณ
นึกถึงภาพที่เคยทำบุญน่ะค่ะตั้งแต่เข้าวัดถึงปัจจุบัน นึกทุกวัน ดวงบุญจะโตขึ้นทุกวัน เพราะใจที่ปลื้มในดวงบุญค่ะ
( ถ้าจะให้ดีน่ะค่ะ ควรนึกในขณะนั่งสมาธิ ใจจะใส สว่างดวงบุญจะขยายใหญ่ และ ในขณะใจหยุด ก็ตั้งจิตอธิษฐาน จะสมปราถนาค่ะ )
2.คุณทำบุญมาก ๆ จนรู้สึกตัวว่าเดือดร้อน ขอถามก่อนน่ะค่ะ ถ้าคุณเป็นคนทำงาน คุณยังมีงานทำอยู่จนทุกวันนี้ใช่ไหมค่ะ
ถ้าคุณมีงานทำรายได้ก็จะมี คุณไม่ต้องไปเสียใจกับสิ่งที่คุณได้ตัดสินใจทำไปแล้วค่ะ เดินไปข้างหน้าต่อค่ะ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ
ก็จะมีแรงสู้ หาทรัพย์ใหม่ได้ค่ะ แต่ ตายแล้ว ไม่สามารถทำบุญได้อีก มีแต่บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งทั้งชาตินี้ชาติหน้าค่ะ
3.ถ้าคุณทำแล้ว คนในครอบครัว ไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้อดอยากตามคุณไปด้วย ทุกคนในบ้านยังมีความเป็นอยู่ที่ดี
และ คุณก็ได้นำทรัพย์ส่วนหนึ่ง บำรุง บิดา มารดา ไม่ขาดเสมอ แม้ตัวคุณจะเดือดร้อนเพียงเพราะไม่สามารถใช้ทรัพย์ฟุ่มเฟือย
เหมือนคนอื่นได้ คุณไม่ควรเสียใจค่ะ สมบัตินอกตัว ตายแล้วเอาไปไม่ได้ บุญและบาปเท่านั้นที่ติดตัวไปเหมือนเงาตามตัวคุณ
ไปทุกชาติ
4.ถ้าคุณทำแล้วเดือดร้อน อันเกิดจากการกู้เงินมาทำบุญ ถ้าเป็นในกรณีนี้ขอถามน่ะค่ะ ขอแยกเป็นประเด็นคำถามค่ะ
4.1. ถ้าคุณยังมีอาชีพ มีงานทำ ต่อไปจัดสรรการใช้เงินให้ดีขึ้น ไม่ช้าหนี้ก็หมดค่ะ อย่าเพิ่งท้อน่ะค่ะ สู้ต่อไปค่ะ คุณไม่ควรเสียใจ
มานึกถึงความกล้าหาญที่กล้าเอาเงินในอนาคตมาใช้ในการทำบุญก่อน โดยไม่คำนึงถึงชีวิตที่เหลือ ให้ปลื้มในบุญนี้ให้มากๆ ค่ะ
4.2. ถ้าคุณไม่มีงานทำ และ ยืมเงินมาทำบุญ และ ไม่สามารถที่จะหาเงินมาใช้หนี้ ถ้าเป็นกรณีนี้ ไม่เห็นด้วยค่ะ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
เพราะเป็นวิธี ที่ไม่ถูกต้อง เพราะคุณจะกลายเป็นภาระให้กับคนอื่น การที่นำทรัพย์ของคนอื่นมาใช้ เจ้าหนี้ทุกคนก็อยากได้
ทรัพย์ของเขาคืน กรณีนี้ ก่อนจะทำคุณควรนึกถึงคนที่ให้คุณยืมก่อนน่ะว่าเขาจะเดือดร้อนไหม และ คุณจะเดือดร้อนไหม
กรณีนี้ บุญ จะได้ไม่เต็มที่ เพราะใจคุณจะกระสับกระส่ายกังวลกับการหาเงินมาใช้คืน ใจจะเป็นทุกข์น่ะค่ะ และ คนในบ้าน
จะเป็นทุกข์กับคุณด้วยค่ะ ไม่ควรทำอย่างยิ่งยวดค่ะ
5.ในกรณีที่คุณเป็น นักศึกษา คุณไม่มีรายได้ ถ้าเดือดร้อนเพราะไม่มีเงินนำทรัพย์ไปใช้ฟุ่มเฟือยได้ ก็ไม่ต้องเสียใจค่ะ ทำดีแล้วค่ะ
และ คุณไม่ได้ทำให้พ่อแม่ เดือดร้อนก็ไม่ต้องเสียดายเสียใจค่ะ กรุณาย้อนไปอ่านข้อความข้างต้นด้วยน่ะค่ะ
6. กรณีที่ คุณพ่อ คุณแม่ ไม่เข้าใจ ไม่ควรบอกตัวเลยท่านน่ะค่ะว่า คุณทำเท่าไหร่ เพราะ ถ้าท่านไม่เข้าใจแทนที่จะได้บุญ
ก็จะไม่ได้บุญเต็มที่ เพราะใจมีอคติ มันไม่ดีกับท่านค่ะ
คุณควรพูดให้ท่านอนุโมทนาบุญกับ ความตั้งใจทำบุญของคุณ และ เล่าถึงอานิสงค์ของความตั้งใจทำบุญ ว่าจะได้อะไรบ้าง
ให้ท่านฟัง ให้ท่านได้ปลื้มในบุญที่คุณทำไปแล้ว และ เลี่ยงไม่ต้องบอกจำนวนเงินให้ท่านฟังค่ะ เพราะคนเป็นพ่อแม่ทุกคนจะห่วงลูก
กลัวลูกอดอยาก ท่านห่วงคุณทำให้ไม่พลอยยินดีกับคุณ บุญก็ไม่ได้กับคุณด้วย และ หากท่านบ่น ก็จะทำให้ใจหมองเกิดขึ้นด้วยค่ะ
ทั้งใจของคุณพ่อ คุณแม่ และ ตัวคุณจะหมองไปด้วยค่ะ
ลองเปลี่ยนการบอกหมดบอกตรง ๆ มาเป็นอ้อม ๆ ดูก็ดีน่ะค่ะ เช่น ผมตั้งใจทำให้คุณพ่อคุณแม่ขอบุญส่งผลให้ท่านอยู่กับผมนาน ๆ
คุณพ่อคุณแม่ฟังแล้วก็ปลื้มลูกรักเราทำให้เรา แค่นี้ก็เปิดใจท่านได้แล้วค่ะ และอย่าบอกว่าตัวเองไม่มีเงินเหลือน่ะค่ะ
7.หมั่นเปิดบทสวดมนต์ให้ท่านฟังบ่อย ๆ ใจท่านจะนุ่มนวลขึ้น และ เปิด DMC หรือ ธรรมะของหลวงพ่อทัตตชีโว ให้ท่านฟังบ่อย ๆ
ท่านจะได้เข้าใจในธรรมะมากขึ้นค่ะ คุณควรหาเวลาอยู่กับท่านบ่อย ๆ หรือ เอาหนังสือธรรมะมาอ่านให้ท่านฟังบ่อย ๆน่ะค่ะ
แรก ๆ ท่านก็จะบ่นว่าเบื่อ แต่ คุณเชื่อเถอะ คนแก่บ่นงั้นแหละ แต่ใจแล้วชอบเพราะลูกอยู่ใกล้ ๆ ทุกวัน มันเป็นความสุขของเค้าน่ะ
และ หากคุณทำประจำ แล้ว มีบางวันคุณไม่อ่านหนังสือให้ฟัง ท่านจะต่อว่าคุณว่าทำไมไม่สนใจท่านแล้วหรือ
เปิดใจขึ้นแรกได้ ต่อไปเปิดใจพามาวัดค่ะ และ กรุณาอย่าเอาท่านไปนั่งรวมกับคนรุ่นหนุ่มแบบคุณน่ะค่ะ ควรพาท่านไปรู้จักกับคน
วัยเดียวกับท่านค่ะ คุณเองยังอยากมีเพื่อน ท่านก็คงอยากมีเพื่อน คนแก่ติดเพื่อนก็มีน่ะค่ะ
ถ้าคุณให้ความสนใจพ่อแม่ก่อน พ่อแม่จะให้ความสนใจกับคุณ แล้วทุกอย่างก็จะราบรืนค่ะ เพราะเขารักคุณเสมอไม่เสื่อมคลายค่ะ
8.ต่อไปคุณควรจัดสรรการใช้เงินน่ะค่ะ ควรแบ่งใช้ แบ่งให้พ่อแม่ แบ่งทำบุญ ความสุขจะเกิดขึ้นกับทุกคนและ ตัวของคุณด้วยค่ะ
อยากได้บุญ ต้องรู้วิธีทำให้ได้บุญ
หาบุญได้ ต้องรู้จักใช้บุญให้เป็น
อยากให้บุญส่งผลก็ควรหมั่นนึกถึงบุญบ่อย ๆ
ทำแล้วต้อง ปลื้ม ก่อน ขณะทำ และ หลังทำ จึงจะได้บุญ 100%
ทำแล้ว คุณ และ คนในครอบครัว ต้องไม่เดือดร้อน จึงจะได้บุญ 100%
ขอให้คุณ สนุก มีความสุข เบิกบาน ปิติ ในการทำบุญ และ ทำความดีทุกรูปแบบค่ะ
หากไม่มีเงินทำบุญ ก็ ไปชวนคนอื่นร่วมบุญกับคุณ ก็ ได้น่ะค่ะ ทุกคนจะได้พ้นทุกข์ เพราะคุณไปช่วยพวกเขาน่ะค่ะ
อนุโมทนาบุญ กับ ความตั้งใจในการสร้างมหาทานบารมีของคุณค่ะ อย่าท้อ อย่าหมดกำลังใจ ให้ทำความดีต่อไปค่ะ สู้ ๆ น่ะค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ
#10
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 11:52 PM
#11
โพสต์เมื่อ 05 April 2010 - 11:54 PM
ชอบประโยคนี้ สามารถนำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์
ถ้าแน่ใจว่าตัวเองทำถูกแล้ว ก็จงอดทนต่อไปค่ะ สักวันความดีในตัวเราก็จะเปล่งประกายออกมาให้คนอื่นเห็นเอง และก็อย่าลืมว่าการทำบุญไม่ได้มีแต่การทำทานอย่างเดียวนะคะ ยังมีการใช้แรงกายเข้าแลก การใช้สมองเข้าแลก
และถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ใส่ใจกับการใช้ภาษาไทยสักนิดนะคะ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#12
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 03:51 AM
ผมเคยเหลือเงินก้อนสุดท้าย...เป็นหุ้นประมาณ 160,000 กว่าบาท (L & H Stocks)
ซึ่งตอนซื้อมาใช้เงินมากกว่านี้อีก.. ราคามันตกลงมากจนคิดว่ามันไม่ตกต่อไปอีกแล้ว
เงินใหม่ก็มองไม่เห็นว่าจะมาได้จากที่ไหนเพราะตกงานอยู่..
มีบุญใหญ่ที่สำคัญมาก..กำลังคึกคัก..เกี่ยวกับหลวงปู่..
หลวงพี่ที่รู้จักสนิทกันกล่าวเป็นนัยๆ...ว่าหากมีหุ้นอยู่ก็ให้ขายเอามาทำบุญเสีย..ตัดใจทำบุญใหญ่ดีกว่า
ผมก็ไม่สนใจฟังทำหูทวนลม..เพราะคิดว่าเป็นก้อนสุดท้าย..เก็บไว้ดีกว่า..เงินของเรามีสิทธิตัดสินใจเองได้
อยากทำบุญก็อยากทำบุญ..แต่ต้องตัดใจ..ว่างวดนี้คงต้องเว้นไปก่อน เพราะจนจริงๆ
หลังบุญใหญ่ผ่านไป...ไม่นานนัก..ราคาหุ้นมันพินาศลงไปอีก เหลือเพียงครึ่งเดียวไม่ถึงแสน
บุญใหญ่ครั้งต่อมาเลยตัดใจถอนออกมาทำบุญครึ่งหนึ่ง..เอามาซื้อฉลากออมสินครึ่งหนึ่ง
รู้ได้เลยว่า..ถ้าเชื่อหลวงพี่แล้ว..คงไม่พลาดบุญใหญ่..ครั้งนั้น..คิดทีไรเสียดายทุกที..
#13
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 10:51 AM
บุน บุญ
คับ ครับ
เปน เป็น
อะรัย อะไร
ส้าง สร้าง
อทิดทาน อธิษฐาน
อนิสงค์ อานิสงส์
อสงค์ขัย อสงไขย
ปราถนา ปรารถนา
#14
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 08:27 PM
#15
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 10:07 PM
ก่อนอื่นต้องขอแจ้งให้ทราบก่อนค่ะว่า เราไม่รู้จักเจ้าของกระทู้ท่านนี้ค่ะ และ ไม่ได้ห่วงท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ แต่ เนื่องจากเป็น case
ที่เราคิดว่า น่าจะตรงกับปัญหาของคนหลายคน จึงอยากเสนอความคิดอย่างละเอียด เพื่อที่ท่านใดอ่านแล้วจะได้เกิดความคิดสามารถ
นำไปใช้ในการแก้ปัญหาของตนเองได้ค่ะ
วิธีการของเราอาจจะไม่ถูกต้องหมดทุกอย่าง แต่ บางทีอาจจะมีประโยชน์กับบางท่านได้ค่ะ เราจึงเขียนเสนอความคิดเห็นมาค่ะ
ขออนุโมทนาบุญ กับ ท่านสมาชิกทุกท่านที่ช่วยกันระดมความคิดเห็นกันค่ะ เพื่อยังประโยชน์กับทุกคน
ช่วงนี้จะมี 4 Big Boon มาเตรียมใจใส ใส ชวนคนบวชอุบาสิกาแก้ว ทำบุญสร้างองค์พระ ทำบุญถวายไทยธรรม จุดประทีป
ทำใจใสสว่าง วันงานบุญใหญ่ ที่ทุกคนต่างรอคอย เรามาช่วยกันให้งานวันบุญใหญ่สำเร็จ สำเร็จ กันน่ะค่ะ alert & enjoy ในบุญกัน
สาธุ สาธุ สาธุ
#16
โพสต์เมื่อ 06 April 2010 - 11:41 PM
#17
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 03:33 PM
#18
โพสต์เมื่อ 07 April 2010 - 05:14 PM
ทำบุญแล้วตัวเองเดือนร้อน ไม่เรียกว่า ทำบุญเต็มกำลัง แต่เรียกว่า ทำบุญเกินกำลัง
แล้ว ทำบุญเต็มกำลัง ต่างจาก ทำบุญเกินกำลังอย่างไร
จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ
ถ้าต้องอดข้าวที่จำเป็นต้องกิน เพื่อเลี้ยงให้อัตภาพความเป็นมนุษย์ดำรงอยู่ได้
เพื่อเอาเงินมาทำบุญ แบบนี้เรียกว่า ทำบุญเกินกำลัง
แต้ถ้าชอบกินน้ำอัดลม ชาเขียว ฯลฯ อันเป็นของกินฟุ่มเฟือย
ยอมอด หันมากินน้ำเปล่าแทน ซึ่งถูกว่า เพื่อประหยัดเงินมาทำบุญ
แบบนี้เรียกว่า ทำบุญเต็มกำลัง
อีกซักนึ่งตัวอย่าง
ถ้ามีบ้านหลายหลัง มีรถหลายคัน ขายทิ้งหมด
เหลืออยู่แค่ ที่อยู่ที่ใช้จริงๆ(ยังไงก็อยู่ได้ทีละหลัง ขับรถได้ทีละคัน) เอาเงินมาทำบุญ
แบบนี้เรียกว่า ทำบุญเต็มกำลัง
แต่ถ้ามีบ้านหลังเดียว ดันขายบ้าน แล้วตัวเองไม่มีที่อยู่
ต้องไปอาศัยคนอื่น หรือเช่าคนอื่นอยู่ เพื่อเอาเงินมาทำบุญ
แบบนี้เรียกว่า ทำบุญเกินกำลัง
จากตัวอย่างที่ยกให้เห็น
จขกท. คงคิดอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง
ว่าทำบุญเต็มกำลัง ความเหมาะสมอยู่ตรงไหน
#19
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 06:50 AM
คำว่า"เต็มกำลัง"หมายถึงกำลังศรัทธาไม่ใช่กำลังทรัพย์ครับ ศรัทธามากทำมาก
ศรัทธาน้อยทำน้อย หากกำลังศรัทธามีมากกว่ากำลังทรัพย์ที่มีก็ให้ไปทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรชักชวนญาติธรรมให้มาเอาบุญร่วมกัน