สงสัยเรื่องความนานขอวันนรก
#1
โพสต์เมื่อ 13 April 2010 - 09:29 PM
แล้วขอถามทิ้งท้าย ไฟนรก ร้อนมากไหมครับ ? สัตว์นรกทนได้หรอ ?
#2
โพสต์เมื่อ 13 April 2010 - 10:26 PM
นานครับ ยิ่งถ้านำมาเทียบกับเวลาบนโลกก็ยิ่งยาวนาน
เปรียบเทียบเสมือนช่วงชีวิตของยุง ของแมลงต่างๆ มันก็ว่ายาวนานของมันนะครับ แต่เราก็มองว่าแปบเดียว ถ้ามันเองรู้ช่วงีวิตมนุษย์ มันก็คงมองว่า มนุษย์ช่วงชีวิตยาวนานจัง
มันไม่เป็นการรับโทษมากเกินไปหรอกครับ ก็เหมาะสมกับภพภูมิที่ปรุงแต่งไว้แล้วครับ
คุณรู้ไหมเล่า ทุกขณะจิตเราที่ปรุงด้วย โลภ โกรธ หลง ตลอดเวลานี้ ได้ปรุงแต่งด้วยอกุสลจิต เป็น ภพ ชาติ รอเราไว้มากมายนัก เป็นโกฎิๆ เป็นอสงไขย
เช่นเดียวกับการสร้างบุญบารมี ที่ปรุงแต่งด้วยกุสลจิต เป็น ภพ ชาติ ที่ดีๆ และมีกำลังพอที่จะนำมาใช้ดับอวิชชา ให้เราหลุดพ้นได้ครับ
หากเราได้เสวยบุญ ท่านจะว่าเราเสวยบุญยาวนานเกินควรไปไหมละครับ ดุสิตบุรีวงศ์บุญพิเศษยาวนานมากมายนัก เร่งสร้างบารมีไปสู่ที่สุดแห่งธรรมกันเถอะครับ
เรื่องระยะเวลาที่แตกต่างกันนี้ สามารถใช้หลักทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอสไตน์มาร่วมวิจัยด้วยได้นะครับ เข้ากันได้เลย พุทธ+วิทย์
อีกนิด หากเราเข้าถึงธรรม เราสามารถไปช่วยผู้อื่นให้พ้นจากทุคติได้นะครับ ก็จะทำให้เขาพ้นจากนรกภูมิได้ด้วย
.......
ไฟนรก ร้อนมากมาย ตามคัมภีร์ว่าไว้ สะเก็ดไฟในนรกอเวจี บุคคลมองเห็นได้ในระยะห่าง 100 โยชน์ ยังอาจทำให้ตาบอดสนิทได้
แต่ที่สัตว์นรกไม่มอดไหม้หายไปได้ เพราะถูกกรรมหล่อเลี้ยงไว้ เสมือนทารกที่อยู่ในครรภ์ โดยไม่ต้องอาศัยปราณนั่นเอง จากคัมภีร์นะครับ แต่หน้าไหนจำไม่ค่อยได้ครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 13 April 2010 - 10:36 PM
อยากรู้เหมือนลืม แย้ว
เราพันธุ์ดีสุดขั้ว ชั่วลืมไปหมดแล้ว,จิตใจสูงส่งเหลือเกิน,มีปัญญา,มีมงคล,ทำที่ท่านได้ที่เรา
#4
โพสต์เมื่อ 13 April 2010 - 10:58 PM
#5
โพสต์เมื่อ 13 April 2010 - 11:35 PM
หากอยากรู้เรื่องนี้ละเอียดขึ้น ขอเชิญชวนมาเรียนพระอภิธรรมปิฏกกันค่ะ กำลังรับสมัครอยู่ตอนนี้ ถึงเดือนพฤษภาคม
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#6
โพสต์เมื่อ 13 April 2010 - 11:46 PM
เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกตัวเองให้เป็นนิสัย สันดานที่คิดดี ๆๆๆ เท่านั้น
positive thinking positive thinking positive thinking ตอกย้ำนะให้เข้าไปอยู่ในใจให้ได้ ไม่ลืมเลยค่ะ
สาธุ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
DMC ช่องนี้ช่องเดียว ทำให้innerpeaceได้ทบทวนธรรมะปฎิบัติทุกวันเลยค่ะ
love dmc ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
#7
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 12:07 AM
ปลัดใจบุญ
จำนวนความเห็น: 44
ความคิดเห็น #4 |
ดุสิตบุรีวงศ์บุญพิเศษ คืออะไรหรอครับผมงงกับคำนี้จัง ??
เห็นคำถามนี้ งง หนักใหญ่กว่า แสดงว่าไม่เคยเข้าโรงเรียนอนุบาลเลย
เห็นตั้งคำถาม มีความสงสัย มากมาย
แนะหลับตาทำสมาธินิ่งๆเดี๋ยวคำถามจะน้อยลง
เดี๋ยวจะไปเหมือนคนนอก เข้ามาทีไรคำถามเยอะ แต่ไม่เคย นั่งเยอะซักคน พอให้ไปนั่งธรรมะก็หายไปเลย
เลือกเอา ใจใสๆ
#8
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 12:46 AM
ทำดีก็เอาไปกักไว้บนสวรรค์....ให้เสพสุขสำราญ...บนสวรรค์นานๆๆๆๆๆ....เป็นล้านๆปี เป็นอสงไข
ทำชั่วก็เอาไปกักไว้ในนรก...เพื่อลงโท
#9
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 11:00 AM
............กฎแห่งกรรมก็คือ....กฎของมาร....นั่นเองครับ...
ทำดีก็เอาไปกักไว้บนสวรรค์....ให้เสพสุขสำราญ...บนสวรรค์นานๆๆๆๆๆ....เป็นล้านๆปี เป็นอสงไข
ทำชั่วก็เอาไปกักไว้ในนรก...เพื่อลงโท
นอกจากไม่ตรงกับคำถามแล้ว คำตอบนี้ คนวัดเห็นว่าเป็นไงบ้างกับ คำว่ากักไว้บนสวรรค์....ให้เสพสุขสำราญ...บนสวรรค์นานๆๆๆๆๆ. ฟังดูมันทะแม่งๆ เหมือนคนรู้ แต่บิดให้มันเฉ เพราะไม่เคยเห็นท่านผู้รู้ท่านใด ใช้คำว่ากักกับคำว่าสวรรค์
เลือกเอา ใจใสๆ
#10
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 01:30 PM
1.1 สมัครเข้าเรียนหลักสูตร พระอภิธรรม ซึ่งขณะนี้ทางวัดกำลังเปิดรับสมัครอยู่ ตามที่ คห. 5 ได้เรียนให้ทราบ
1.2 ลงมือฝึกสมาธิภาคปฏิบัติแบบจริงๆจังๆ ให้สมกับความเป็นมนุษย์ผู้มีปัญญา เมื่อมีข้อสงสัยแล้วรู้จักหาคำตอบอย่างถูกวิธี
1.3 อัพเดทความรู้วิธีง่ายๆด้วยการฟังธรรมช่วงหัวค่ำทางช่อง www.dmc.tv ได้ทุกวัน
2. สิ่งที่คุณ Airy กล่าวไว้คือเรื่อง กฏแห่งกรรม ก็คือส่วนหนึ่งการการอธิบายเรื่องระยะเวลาในนรก สวรรค์ นั่นเอง ซึ่งถ้ามีความเข้าใจในเรื่องนี้แล้วก็จะเข้าใจได้ว่า ระยะเวลาที่ยาวนานในนรก หรือ สวรรค์นั้น เป็น"กฏ" ที่มีการกำหนดเอาไว้เพื่อจองจำไม่ให้สัตว์โลกหลุดออกจากสังสารวัฏนี้ได้โดยง่ายนั้นเอง ซึ่งคุณปลัดใจบุญเองก็ยังมีปัญญาเห็นว่า ไม่ยุติธรรมเลยจริงไม๊ครับ ดังนั้น อยากเชิญคุณปลัดใจบุญ ลองเปิดใจมาศึกษามโนปณิธาณการสร้างบารมีของวัดพระธรรมกายดีไม๊ครับ รับรองว่าน่าจะมีโอกาสมาเป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งในการแก้ไข "กฏ" ที่คุณเห็นว่าไม่ยุติธรรมนี้เลย
โอกาสสงกรานต์ปีนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนาให้ยิ่งๆขึ้นไปนะครับ
#11
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 01:54 PM
ศาสนาพุทธไม่เน้น พีชนิยาม และอุตุนิยามมากนัก ซึ่งกฎแห่งกรรมก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานนิยาม 5 และสัจจะอันสูงสุด ได้แก่อริยสัจ 4 นั่นเอง
ควรจะทำความเข้าใจกันว่า
อกุสลาธรรมานั้นปรุงและสร้าง กิเลศ ภพ ชาติ นรก ชรา มรณะ ทุกข์ ด้วยอวิชชา
กุสลาธรรมานั้นปรุงและสร้าง ธรรมวินัย สุคติภพ อชาติ สวรรค์ อชรา อมตะ สุข ด้วยวิชชา
การที่ได้ไปเสวยบุญอยู่บนสวรรค์นานๆนั้น สวรรค์เป็นกุศล แต่การหลงใหลอยู่ในทิพยสมบัติต่างหาก เป็นอกุศล ทำให้เราถูกกักเอาไว้กับภพ ถูกกักเอาไว้กับโลก ซึ่งก็คือ กิเลศอาสวะ อนุสัย เครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลกนั่นเอง
ความจริงแล้วมันยุติธรรม สมควรแก่กรรมที่สัตว์ได้กระทำไว้แล้ว เพียงแต่ว่า ภาคดำอวิชชาเขาแรงกว่า จึงทำให้สัตว์รับเอาอกุสลไว้มากมายนัก
กติกานี้ใครล่วงอำนาจกัน ก็ต้องเก็บฤทธิ์กัน ที่เขตประมวลฤทธิ์ ดำ ขาว กลาง ใครทำวิชชาได้ละเอียดมากกว่าก็ชนะ
หากเราได้มาเรียนรู้พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายแล้ว เราจักสามารถเข้าใจวิชชา อวิชชา ตรงนี้ และสามารถที่จะเก็บฤทธิ์อวิชชา ด้วยวิชชา ให้บุญบารมีทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
เรียนวิชชาพระอภิธรรมนั้นดี สนับสนุน และควรเข้าใจว่า วิชชาธรรมกายนั้นเป็นอภิธรรมภาคปฏิบัติ เป็นธรรมแท้ๆ พระพุทธองค์ตรัสรู้สัจจธรรม แล้วนำมาสอนเป็นภาษาโลกๆให้เราเข้าใจกันนั้นเอง ทางที่ดีนอกจากเรียนรู้แล้ว ควรเข้าที่นั่งธรรมะให้เข้าถึงธรรมที่แท้จริงด้วยจักษุคือญาณเทอญ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย