ทำอย่างไรถึงจะได้เกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรน์ครับ
#1
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 05:32 PM
2.ที่หลวงพ่อบอกว่าอีก 1 อสงไขก็ถึงยุคของพระศรีอริยเมตไตรน์ คือกี่ปีมนุษย์ครับ (จะได้คำนวนถูกว่าตัวเราเองต้องเกิดตายๆ อีกกี่ครั้งล่ะนี่)
3.ช่วงก่อนถึงยุคพระศรีอริยเมตไตรน์ พระอรหันต์ที่บรรลุธรรมแล้วจะยังมีเกิดขึ้นหรือไม่ครับ หรือว่าต้องถึงยุคพระศรีอริยเมตไตรน์เท่านั้นถึงจะมีพระอรหันต์อีกครั้ง
คิดเห็นอย่างไรครับ
#2
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 06:16 PM
2. อีก 1 อสงไขยปีเศษครับ ซึ่งเท่ากับอีก 100000...(ให้คุณพิมพ์ศูนย์ไป 140 ตัว)...000 ปี
3. หากศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอยู่ ก็ยังอาจจะมีพระอรหันต์ได้ครับ (แต่ก็ไม่ทราบว่าใคร) แต่ถ้าหมดศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว (ไม่มีใครจำคำสอนในพระพุทธศาสนาตอนนี้ได้อีกแล้ว) พระอรหันต์ก็จะหมดไปจากโลกนี้อย่างแน่นอนครับ อาจจะมีก็เป็นแต่เพียง พระอนาคามีที่ละโลกไปเกิดที่พรหมชั้นสุทธาวาสแล้ว และยังคงบำเพ็ญเพียรอยู่จนบรรลุธรรมที่ชั้นพรหมเลย ท่านเหล่านั้นจะไม่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้วครับ
ดังนั้น ต้องถึงยุคพระศรีอารีย์เท่านั้น จึงจะมีพระอรหันต์ได้อีกครั้ง
#3
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 08:44 PM
นาน นาน
เอาไงดี เรา เอ.....
เอางี้ล่ะกัน ถึงจะไม่มีแม้แต่ระยะทางที่กำลังเดินไป แต่ก็มั่นใจในคุณความดี
ช่วยงานครูไม่ใหญ่ จนถึงที่สุดแห่งธรรมดี ก๋า
สิ่งที่ต้องแสวงหา คือ พระรัตนตรัยภายใน
เป้าหมายชีวิต คือ ที่สุดแห่งธรรม
#4
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 09:51 PM
#5
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 11:02 PM
ใน อมตรสธารา อรรถกถาอนาคตวงศ์ รจนาโดย พระอุปติสสะเถระ พระอรรถกถาจารย์ แห่ง ลังกาทวีป ได้อรรถาธิบาย ว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เมื่อจักทรงแสดงความที่พระมหาบุรุษผู้สูงสุดผู้ทรงบรรลุพระอมตะมหานิพพานนั้น เป็นบุรุษผู้หาได้ยากอย่างยิ่งในโลก จึงทรงมีพุทธดำรัส ว่า
“บุรุษผู้อาชาไนย (ผู้ประเสริฐ) เป็นบุรุษผู้หาได้ยาก บุรุษผู้อาชาไนยนั้น จักไม่บังเกิดโดยทั่วไป เขาผู้เป็นนักปราชญ์ได้บังเกิดแล้วในตระกูลใด ย่อมยังตระกูลนั้นให้ถึงความสุข”
อรรถกถาอธิบายว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ครั้นทรงแสดงความที่พระมหาบุรุษผู้สูงสุดเป็นผู้หาได้ยากอย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อพระองค์จักทรงตรัสชักชวนการบำเพ็ญบุญญสัมปทาอันเป็นเหตุให้ได้พบพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงทรงมีพุทธดำรัสว่า
“เพราะเหตุนั้น พวกเธอทั้งหลายผู้ดำรงอยู่ในพระศาสนาแห่งเรานี้ จงเป็นผู้มีความสะดุ้งหวาดกลัวภัย จงประกอบความเพียรให้มั่นคง เพื่อให้ได้พบพระเมตไตรยพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชนเหล่าใดในโลกนี้เป็นผู้ประกอบความดี ดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้กระทำการบูชาใหญ่ เป็นผู้กระทำพุทธสักการะอันโอฬาร จักเป็นผู้ได้ประสบความเจริญในกาลนั้น ท่านทั้งหลาย จงให้ทานอันมีค่ามาก จงอยู่จำรักษาอุโบสถศีล เจริญเมตตาให้ดี ยินดีในความไม่ประมาท ยินดีในการบำเพ็ญบุญ ในกาลทุกเมื่อ ครั้นบำเพ็ญกุศลในโลกนี้แล้ว จักกระทำที่สุดแห่งสังสารทุกข์ได้”
ใน อมตรสธารา อรรถกถาอนาคตวงศ์ รจนาโดย พระอุปติสสะเถระ พระอรรถกถาจารย์ แห่ง ลังกาทวีป ได้อรรถาธิบาย ว่า
มีข้อปุจฉาว่า
“บุคคลเหล่าใด จักได้พบเห็นพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า”
อาจารย์บางพวกได้กล่าววิสัชนาว่า
“บุคคลผู้จักได้พบเห็นพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น คือ
บุคคลผู้ได้ถวายทาน รักษาศีล อยู่จำรักษาอุโบสถศีล ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์
บุคคลผู้ก่อพระเจดีย์ ค้ำต้นโพธิ์ ปลูกดอกไม้ สร้างสวน ปลูกป่า สร้างสะพาน ตกแต่งหนทาง สร้างศาลา ขุดบ่อน้ำ เชิดชูพระพุทธศาสนา ตั้งพัดวิชนี บูชาด้วย ผ้า แก้ว ของหอม คอกไม้ ธูป เทียน ดวงประทีป เป็นต้น ให้การฟังธรรมเป็นไปโดยเคารพ
บุคคลผู้กระทำการบูชาด้วย อามิส(อาหาร) เป็นต้น แก่พระสงฆ์
บุคคลผู้กระทำการบำรุงมารดา บำรุงบิดา กระทำการอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ถวายสลากภัต(อาหารถวายพระด้วยวิธีจับสลาก) ปักขิกภัต(อาหารที่ถวายพระประจำปักษ์) บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ให้บริบูรณ์ ปรารถนาพบพระผู้มีพระภาค โดยที่สุด ถวายระเบียงดอกไม้กำมือหนึ่ง เปลวประทีป คำข้าวคำหนึ่ง และผู้กระทำอนุโมทนาบุญแก่คนเหล่าอื่น”
ใน อมตรสธารา อรรถกถาอนาคตวงศ์ รจนาโดย พระอุปติสสะเถระ พระอรรถกถาจารย์ แห่ง ลังกาทวีป ได้อรรถาธิบาย ว่า
มีข้อปุจฉาว่า
“บุคคลเหล่าใด จักมิได้พบเห็นพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”
อาจารย์บางพวกได้กล่าววิสัชนาว่า
“บุคคลผู้จักมิได้พบเห็นพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น คือ
บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ (มีความเห็นผิดอย่างไม่เปลี่ยนแปลง)
บุคคลผู้กระทำปัญจานันตริยกรรม ๕ (ฆ่ามารดา ๑ ฆ่าบิดา ๑ ฆ่าพระอรหันต์ ๑ ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ๑ ทำสงฆ์ให้แตกกัน ๑ )
บุคคลผู้บังเกิดในอเวจีมหานรก(นรกที่ถูกไฟเผาตลอกเวลา)
บุคคลผู้กล่าวติเตียนครูบาอาจารย์
บุคคลผู้เกิดในอักขณะทั้ง ๘ (ใน “พระคัมภีร์โลกทีปกสาร” ของ พระสังฆราชเมธังกร ผู้เป็นพระเถราจารย์ของศรีสุริยะพระมหาธรรมราชาธิราช พระยาลิไท ได้อรรถาธิบายความหมายของบุคคลผู้เกิดในอักขณะทั้ง ๘ ว่า
บุคคลต้องถูกกระทำกรรมกรณ์อันทารุณยิ่งนัก อันน่าสะพรึงกลัวรุนแรงร้ายกาจใน นรก จักกระทำบุญได้อย่างไร ๑
บุคคลผู้อยู่ใน ภพดิรัจฉาน อันเว้นเสียแล้วจากความหมายรู้พระสัทธรรมอันมีชีวิตต้องดิ้นรนทุกเมื่อ จักกระทำบุญได้อย่างไร ๑
บุคคลไปสู่ แดนเปรต อันมีร่างซูบเซียว อันมีแต่ความหิวกระหายเป็นเบื้องหน้า จักกระทำบุญได้อย่างไร ๑
บุคคลที่บังเกิดใน อรูปภพ อันไม่มีทางที่จักรับฟัง อันเป็นภพที่เสื่อมทรามจากการฟังพระสัทธรรม จักกระทำบุญได้อย่างไร ๑
บุคคลที่บังเกิดใน อสัญญีภพ อันไม่มีทางที่จักรับฟัง อันเป็นภพที่เสื่อมทรามจากการฟังพระสัทธรรม จักกระทำบุญได้อย่างไร ๑
บุคคลที่บังเกิดใน แคว้นอันเป็นปัจจันตประเทศ อันมั่วมูลไปด้วยอธรรมเป็นอย่างยิ่ง อันห่างเหินจากการสดับพระธรรมของพระจอมมุนี จักกระทำบุญได้อย่างไร ๑
บุคคล ผู้แล่นไปสู่ความเห็นอันลามก อันไม่มีทางกลับคืนด้วยประการทั้งปวง อันเป็นเสมือนตอแห่งสังสารวัฏ จักกระทำบุญได้อย่างไร ๑
ใน เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ ทรงเป็นพระผู้แสดงทางแห่งความบริสุทธิ์ บุคคลยังเป็นไปอยู่ในความมืด คือ โมหะ จักกระทำบุญได้อย่างไร ๑)
บุคคลผู้เป็นนิคณฐ์(นักบวชนอกพระพุทธศาสนา)
บุคคลผู้ขโมยกินกัปปิยวัตถุ(สมควร)ของสงฆ์”
หมายเหตุ
อนาคตวงศ์ เป็นพระบาลีที่พรรณาถึงวงศ์แห่งพระโพธิสัตว์ที่จักมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหม่ในอนาคต และเป็นพระบาลีสำคัญที่มีอรรถกถาและฎีกาไขความเช่นเดียวกับ พระไตรปิฎก
อนาคตวงศ์ ฉบับร้อยกรอง เป็นอนาคตวงศ์ที่พระเถระแห่งโจฬมณฑลอินเดียตอนใต้ ผู้มีนามว่า "กัสสปะ" ได้รจนาไว้ในระหว่างปีพุทธศักราช ๑๗๐๓ - ๑๗๗๓ โดนรจนาเป็นพระคาถาอันมีความยาวทั้งสิ้น ๑๔๒ คาถา และพระคาถาทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ในอนาคตวงศ์ ฉบับร้อยกรองนี้ ผู้รจนาได้แสดงไว้ว่า เป็นพระพุทธวจนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ทรงตรัสแสดงแก่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เมื่อครั้งที่พระอัครสาวกทูลอาราธนาขอให้พระองค์ทรงตรัสเล่าถึงพุทธประวัติ ของ พระศรีอริยเมตไตรย ผู้จักมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ในอนาคต ณ โคนต้นมาตุลพฤกษ์ เมืองมาตุลนคร แคว้นมคธ
นอกจากนี้ อนาคตวงศ์ ฉบับร้อยกรอง ของ พระกัสสปะเถระ ยังปรากฏเป็นพระบาลีที่มีอรรถกถาและฎีกาไขความเช่นเดียวกับพระไตรปิฎก คือ
- อมตรสธารา อรรถกถาอนาคตวงศ์ รจนาโดย พระเถระชาวลังกาทวีป ผู้มีนามว่า "อุปติสสะ"
- อมตรสธารา ฎีกาอนาคตวงศ์ รจนา โดย พระเถระชาวลังกาทวีป ผู้มีนามว่า "อุปติสสะ"
ปล.ลองหาคำอ้างอิงจากที่อื่นมาเสริมครับ อย่าหาว่านอกเรื่องเลยนะครับ
#6
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 12:36 AM
#7
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 05:22 AM
แต่ดีที่สุดต้องทำตามคำที่ว่า
"ว่าอย่างไร ว่าตามกัน ท่านจะพาเราไปสู่ที่สุดแห่งธรรม พักกลางทางที่ดุสิตบุรี (วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์)"
#8
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 07:13 AM
ชัวร์ที่สุด แน่นอนที่สุด
#9
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 07:30 AM
#10
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 11:16 PM
#11 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 06 September 2010 - 07:38 PM
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=2949
#13 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 02 March 2011 - 11:41 PM
ทำแล้วก็เหมือนเอาน้ำพริกละลายแม่น้ำ ซึงคนส่วนใหญ่ในสังคมโลกนี้ก็เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น
เมื่อไหร่คนทำดีจะได้ดีอย่างเป็นรูปธรรมกันซักที เราควรที่จะสนับสนุนคนดีให้คนดีทำดีต่อไปและคนส่วนใหญ่อยากทำดีตาม
เช่น มีการออกข่าวคนทำดีให้เป็นที่ยิ่งใหญ่หรือไม้ก็ก็มีรางวัลคนดีแห่งประเทศชวนมาออกสื่อให้มากที่สุดเพื่อที่จะให้ทุกคนเห็นว่าทำดีแล้วได้ดีจริง อย่างเช่น ให้ได้รับโอกาศดีๆ ทำงานดีๆ และความเป็นอยู่ดีขึ้น มันอาจจะดูว่าความคิดผมคือทำดีหวังผม แต่ผลพวงที่ตามมาคือคนจะทำดีกันมากขึ้น แล้วการศึกษาควรที่จะให้เด็กนักเรียนเข้าวัดกันมากขึ้น โดยกำหนดเวลาเข้าวัดเช่น 1 อาทิตย์ต้องมีการเข้าวัดไปทำกิจกรรมกวาดเช็ดถูวัดและฟังเทศจากพระ ผมว่าถ้าปลูกฝังตั้งแต่เด็กโตขึ้นจะได้เป็นคนดี มันต้องทำให้เป็นรูปธรรม
ผมยังอยากเห็นคนดีมีหน้ามีตาในสังคม ไม่ใช่เป็นตัวประหลาดในสังคม มันต้องเปลี่ยนความคิดกันซะใหม่แล้ว ไอ้ที่เห็นคนทำดีแล้วแปลกแต่ถ้าทำสิ่งผิดๆเป็นเรื่องเฉยๆธรรมดา มันต้องหมดไปแล้ว ถ้าผู้ที่มีอำนาจในสังคมได้มาอ่านช่วยทำให้เป็นจริงด้วยนะคับ
เพราะผมยังอยากที่จะทำดีต่อไปโดยที่ไม่คิดว่าทำไปแล้วได้อะไรอีก ถึงแม้ว่ามันจะขัดต่อความรู้สึกบ้างแต่ผมก็ต้องทำดีต่อไป ถ้าทำดีแล้วได้ีดี คงมีคนทำดีขึ้นเยอะในสังคม
#14 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 03 March 2011 - 12:20 AM
บ้านผมเข้าวัดทำบุญกันเป็นนิจเอาเป็นว่าวักพระต้องมี1คนในบ้านผมไปวัด
เข้าเรื่อง เมื่อประมาณ30ปีที่แล้ว แม่ผมเพิ่งจะสอบบันจุเป็นครูได้ที่โรงเรียนที่บ้าน ด้วยความที่เป็นครูใหม่ไฟแรงก็จะทำทุกอย่างเพื่อเด็กนักเรียนและโรงเรียน อีกอย่างตาผมซึ่งคนะนั้นเป็นผู้ใหญ่บ้าน โรงเรียนที่แม่ผมสอนนั้นเป็นโรงเรียนที่ใช้พื้นที่ในวัดสร้างห้องเรียน
มาวันหนึ่งมีการประชุมชาวบ้านเพื่อที่จะขยายห้องเรียนเพิ่มขึ้นแต่ไม่มีที่ ที่จะสร้าง ตาผมและแม่ได้เสนอขอบริจากที่ดินส่วนตัวเพื่อที่จะให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนแห่งใหม่ไม่เยอะเท่าไหร่แต่ก็บริจาคด้วยจิตใจเป็นกุสล อาคารเรียนใหม่สร้างเสร็จยังเหลือที่ที่จะใช้สอยอีกประมาณ2งาน
เวลาผ่านไป10ปีแม่ผมเป็นครูน้อยอยู่ที่โรงเรียนนั้นไม่ได้ขั้นขอเงินเดือนเลยสักขั้นมีแต่เมียครูใหญ่และเพื่อนเมียได้กัน ขั้นครึ่ง 2 ขั้นบ้าง
จนแม่ผมทนไม่ไหวฟองครูใหญ่ว่าลำเอียงให้แต่เมียและครูที่ไม่ได้ทำงานเท่าไหร่ ทั้งๆที่แม่ผมที่ดินไม่มีก็บริจาคให้ ครูไม่พอแม่ผมสอนควบเลย2ชั้น ป1 ป4 ทำงานหนักแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นขั้นเท่าเดิมซีเท่าเดิม พอฟ้องแล้วครูใหญ่ก็ยังเดินลอยหน้าในโรงเรียนเฉยโดยที่ไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานใดเลย แม่ผมถูกบีบจากครูใหญ่เลยขอลาออกไปอยู่อีกโรงเรียนหนึ่ง
พอมาถึงวันหนึ่งมีการวัดทีสอบเขตที่ดินใหม่ โดยหนึ่งในทีดินนั้นคือที่ดินที่ตาและครอบครัวผมได้บริจาคให้กับโรงเรียน ปรากฏว่ามีการวัดเสาหลักหืนอบกเขตผิด ที่ดินที่ยกให้มันยังไม่หลักเขตที่กรมที่ดินเขียนโฉนดออกมา ก็เลยต้องเป็นเรื่องฟ้องศาลเกิดขึ้น เมื่อถึงวันสืบพยานให้ครูใหญ่มาชีเขต กับบอกเจ้านาที่ศาลว่ายายทวดผมมาชีเขตตรงที่นายทะเบียนที่ดินเขียนไว้ถูกแล้ว สรุปคือครูใหญ่ก็พยามบอกว่ายายทวดผมชีเขตเดียวกับโฉนดที่กรมดินเขียนขึ้น ทั้งที่ตอนนั้นยายทวดผมขาไม่ดีเดินไม่สะดวก ท่านจะเป็นคนชีบอกเขตได้อย่างไร ทั้งครูใหญ่และเจ้าหน้าที่รู้กันว่างั้น พอถึงเวลาตัดสินของศาลบอกว่าแม่ผมแพ้ให้เอาตามโแนดที่เขียนขึ้น ศาลให้ขอมูลว่าเวาลผ่านไปตั้ง10ปีำทไมไม่ตรวจสอบก่อนหน้านั้น รอจนยกที่สร้างโรงเรียนเสร็จแล้ว ถามว่าถ้าคุณๆที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้วเป็นคุณ คุณจะไปขอตรวจขอดูเอกสารมั้ย เพราะเราตั้งใจบริจาคก็คิดว่าฝ่ายที่ถูกฟ้องจะทำโดยไม่มีการโกงเกิดขึ้น แล้วศาลก็ไม่รู้ใช้อะไรคิดที่บริจาคเนี้ยบริจาคด้วยจิตกุสลแต่กับเข้าข้างเจ้าหน้าที่ข้าราชการเหมือนกันเพราะถ้าศาลตัดสินว่าคนเขียนโฉนดผิดคนนั้นจะโดนลงโทษตามระเบียบของกรม เอาเป็นว่าที่เล่ามาทำดีมันได้ดีหรือป่าวครับ เนี้ยมันเป็นแบบนี้แล้วจะให้ผมคิดอย่างไร
ผมก็โดนผมทำงานที่สถาบันแห่งหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการสาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์หน้าที่หลักคือดูแลวัสดุคุรุภัณฑ์ในภาค และดูแลคอมพิเตอร์ในภาค เรื่องผมเป็นคอมพิวเตรอ์ก็รู้ไปทั่วสถาบัน ก็เลยมีเจ้าหน้าที่ในนั้นวานให้ผมไปดูคอมให้เพราะเครื่องมีปัญหาทำงานไม่ได้โทรแจ้งส่วนที่รับผิดชอบก็บอกว่าไม่ว่างงานเยอะบ้าง จนเค้าเอือมกันทั้งสถาบันพอมี1 ก็มี2 จนผมต้องรับหน้าที่ดูแลคอมทั้งสถาบันโดยปริยาย
อยู่มาวันหนึ่งผมโดนหนังสือเตือนจากหน่วยงานว่าไปก้าวก่ายหน้าที่กัน เอาสิทำดีได้ดีตรงไหน ผมช่วยให้คนส่วนใหญ่ทำงานต่อได้ แต่คนกลุ่มเล็กโดนตำนิ ผมเลยโดนต่อว่า เอ๋....ผมผิดใช่ไหมที่มีน้ำใจช่วยผู้อื่น ทุกวันนี้ผมโดนประเมินไม่ผ่านเพราะว่าไปก้าวก่ายหน้าที่คนอื่น
และก็โดนอาจารย์บางท่านที่สถาบันไม่พอใจ เพราะว่าผมรู้มากกว่าเนี้ยนะ เอาเข้าไป รู้มากกว่าก็ไม่ดี ทำงานเยอะก็ไม่ดี
ตกลงผมทำดีเนี้ยได้แต่โทษกลับมาทั้งนั้นเลยเหรอ กำแท้ๆ